“เจ้าต้องการอะไร” “ท่องคัมภีร์มหาเวทย์ออกมา แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป” สตรีหน้าตาหมดจดงดงาม ทว่านัยน์ตาทั้งคู่กลับฉายแววโหดเหี้ยม ลมหายใจเข้าออกเรื่อยช้า เยือกเย็นเชยคางประมุขน้อยหนุ่มขึ้นสบตา แต่แทนที่เขาจะทำตามความต้องการของนาง กลับห่วงความปลอดภัยของผู้ที่ติดตามมาด้วยมากกว่า“คนของข้าล่ะ”“คุณชายดวงตาพิการผู้นั้นน่ะหรือ ข้าขังเขาไว้ในห้องข้างๆ นี่เอง หากเจ้าท่องคัมภีร์มหาเวทย์ออกมาแล้ว ข้าก็จะปล่อยเจ้า และเขาออกไปพร้อมกัน”“แล้วข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เจ้าจะไม่โกหก”“ข้ามีเหตุผลอันใดต้องโกหกเจ้าด้วยเล่า”“หากข้าไม่ทำตามล่ะ”“ข้าก็จะทรมานเจ้าจนตาย แม้แต่คุณชายผู้นั้นก็ต้องตายด้วยเช่นกัน” “หากข้าตาย คัมภีร์มหาเวทย์ก็จะหายไปพร้อมกับข้าด้วย เจ้าปล่อยเขาก่อนสิ แล้วข้าจะท่องคัมภีร์นั่นออกมา” ภายนอกนั้น ประมุขน้อยหนุ่มพูดจาเล่นลิ้นไปเรื่อยก็จริง ทว่าสมองกลับคิดหาทางเอาตัวรอดอยู่จริงสินะ ทุกครั้งที่พบกับอันตราย เหตุการณ์จวนตัวจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว พลังปราณในกายเขาจึงจะสำแดงออกมา ตอนพบกับจิ้งจอกม่วง หรือแม้กระทั่งตอนวิ่งหนีกลุ่มชายชุดดำเมื่อคืน ก็ล้วนเอาตัวรอดได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งนั
“ข้าได้ทำร้ายเจ้าหรือไม่” ไม่ ตรงกันข้ามเจ้ากลับเป็นคนพาข้าหนีออกมาด้วยซ้ำ แสดงว่าเจ้ายังคงครองสติได้ แต่ไม่อาจควบคุมพลังสังหารในตัวเจ้าได้” ฟังคำตอบของบุรุษเซียนแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็ได้แต่ระบายลมหายใจหนักๆ“มือของข้าเปื้อนเลือดซะแล้ว”“แต่พวกเขาเป็นฝ่ายทำร้ายเจ้าก่อน”“หากข้าควบคุมพลังไม่ได้ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร” “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลไปเลย พักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเริ่มฝึกกัน” “ก็ได้ๆ ว่าแต่เจ้าเถอะ เป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บหรือไม่”“ข้าไม่เป็นไร ที่หอเหม่ยลี่ ตอนกำลังจะถูกแส้ของนาง จู่ๆ ข้าก็เรียกพัดเวทย์ออกมาปัดแส้ไว้ได้ทัน แต่พลังก็ยังคงอ่อนอยู่” “แต่เจ้าก็ไม่ได้อ่อนแรงแล้วนี่ แสดงว่าพลังวิญญาณเจ้าเริ่มฟื้นขึ้นมาทีละน้อยแล้ว เจ้าเองก็ต้องฝึกฝนด้วยเช่นกัน” “คงต้องเป็นอย่างนั้น อากาศเริ่มเย็นแล้ว ใส่เสื้อเถอะ มา ข้าช่วย” ว่าแล้วบุรุษเซียนก็คว้าเสื้อของตนเองมาถือไว้ในมือ รอกระทั่งอีกฝ่ายหยัดกายลุกขึ้นนั่งแล้ว จึงค่อยๆ สวมให้“เสื้อเจ้าขาดหมดแล้ว ใส่เสื้อข้าไปก่อนนะ” “ขอบคุณ” อู๋เหริ่นชวนไม่เอ่ยเปล่า ชำเลืองมองเสี้ยวหน้าคมคายของคนกำลังสวมเสื้อให้แน่วนิ่ง เพีย
“ไปให้พ้น!” นางชี้ปลายกระบี่ไปที่ผู้อาวุโสกว่า“เจ้าเก็บกระบี่ก่อนได้หรือไม่ ข้าเพียงอยากมาขอโทษเจ้า ข้าไม่ได้เจตนาจะหลอกลวงเจ้า” อู๋หมิ่นเยี่ยนสอดกระบี่เข้าฝักอย่างกระแทกกระทั้นเต็มที“หากไม่เพราะท่านประมุขสัมผัสปราณเซียนร้อยปีของท่านได้ ท่านคงไม่ยอมรับ คงเห็นข้าโง่งมนักสินะ”“ไม่ใช่อย่างนั้น หากข้าบอกเจ้าแต่แรกว่า ข้าแก่ปูนนี้ อายุเกินร้อยปีแล้ว เจ้าจะเชื่อหรือ” อู๋หมิ่นเยี่ยนชะงัก จริงสินะ หากเขาบอกนางว่าอายุเกินร้อยปีตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน นางคงหาว่าเขาล้อเล่นเท่านั้น คนอายุร้อยปีอะไร จะยังอ่อนเยาว์อยู่เช่นนี้ “ข้าขอโทษ ที่ข้าจะพูดก็มีเพียงเท่านี้ หากเจ้าไม่สบายใจละก็ ข้าจะออกจากเคหาสน์พันดาวไปเสียเดี๋ยวนี้ และจะไม่กลับมาให้เจ้าเห็นหน้าอีก” ไม่รู้เหตุใด เพียงแค่รู้ว่าเขากำลังจะจากไปแล้ว นางจึงรู้สึกคล้ายของรักกำลังจะหลุดลอยไปจากมือเช่นนี้ นางจะต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่ ที่รู้สึกพิเศษกับผู้อาวุโสคราวทวดได้เช่นนี้ “ท่านจะไปที่ใด เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย แต่อย่างไรท่านก็ควรให้เกียรติท่านประมุขด้วย ไม่ใช่นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ถึงท่านจะเป็นผู้อาวุโส แต่ก็ใช่จะทำตามอำเพอใจได้” ที่เ
“แม่นางอู๋ มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ” “ข้า... ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่าน” “แม่นางโปรดรอซักครู่ ข้าขอสวมเสื้อให้เรียบร้อยก่อน” ครู่ต่อมา หนึ่งเซียนกระบี่ กับอีกหนึ่งหญิงสาวก็มานั่งประจันหน้ากันอยู่ตรงม้าหินใต้ต้นจามจุรีต้นใหญ่ กลางสวนหย่อมใกล้กับเรือนรับรอง “ขออภัยที่ข้ามารบกวนท่าน” ทั้งที่เมื่อตอนหัวค่ำ เพิ่งจะล่วงเกินคนรุ่นทวดไป ถึงขนาดชักกระบี่ออกมาข่มขู่ หากความอยากรู้ก็ทำให้นางต้องยอมอ่อนข้อให้คนตรงหน้าเสียอย่างนั้น “ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือเป็นการรบกวนอะไร” หูซื่อเยว่แย้มริมฝีปากน้อยๆ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว นึกไม่ถึงเลยว่า สตรีงามตรงหน้าจะถามเรื่องที่เขาไม่ต้องการตอบเช่นนี้“แม่นางชิงชิงเป็นใคร”เซียนกระบี่หน้าละอ่อนก้มหน้าน้อยๆ ดวงหน้าคมคายสลดลงอย่างไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้เลย “นางคือฮูหยินของข้า นอกจากคนของเขาเทียนคงแล้ว ไม่เคยมีใครรู้จักนาง แล้วเจ้ารู้จักนางได้อย่างไร” “ข้าเองก็ไม่รู้ว่า ข้ารู้จักชื่อนางได้อย่างไร แต่ในทุกค่ำคืนที่ข้าหลับ ข้ามักจะฝันเห็นนาง ใช้ชีวิตอยู่กับบุรุษผู้หนึ่ง กร
หลังการจิบน้ำชาร่วมกับสหายใหม่ผ่านพ้นไป หูซื่อเยว่ก็กลับมาลาประมุขอู๋ลี่หมิง เพื่อเดินทางออกจากเคหาสน์พันดาว นึกไม่ถึงเลยว่า เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้ามาภายในห้องรับรอง จะพบอู๋หมิ่นเยี่ยนอยู่ในห้องนั้นด้วย “ท่านประมุขอู๋ แม่นางอู๋” เซียนกระบี่หน้าละอ่อนประสานมือคารวะนอบน้อม “ท่านอาวุโส มาพอดีเลย เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะให้เยี่ยนเอ๋อร์เป็นตัวแทนพรรคมารโลหิต เดินทางไปแสดงความยินดีกับประมุขเผ่าเซียนคนใหม่ ที่จะขึ้นรับตำแหน่งในต้นเดือนหน้าอยู่พอดี เยี่ยนเอ๋อร์บอกข้าว่า ท่านจะร่วมเดินทางไปด้วย ข้าจึงมิได้ให้อาเหยียน อาถง อาเฉียงติดตามไปด้วย มีศิษย์เอกของสำนัก ร่วมเดินทางไปกับท่านเซียนกระบี่เขาเทียนคง เดินทางไปพร้อมของขวัญล้ำค่า ก็เพียงพอแล้ว” “เหตุใดท่านประมุขจึงไม่แต่งขบวนของกำนัลไปล่ะ” หูซื่อเยว่ยังมิอาจคลายความสงสัยได้ “จะแต่งขบวนไปได้อย่างไร ในเมื่อผู้ที่ก้าวขึ้นนั่งตำแหน่งประมุขมิใช่ท่านหลัวเซียนน่ะสิ ท่านหลัวเซียนหายตัวไปไม่นาน หลัวจุ้นซิน ศิษย์ผู้น้องก็เสนอตนขึ้นรับตำแหน่งประมุขเสียแล้ว เช่นนี้ดูไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย”
“หากสหายข้า เรียกกู่ฉินออกมาได้ ท่านจะให้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน” “เงินหนึ่งร้อยตำลึง” เฉาเหว่ยพูดจาส่งเดชไปอย่างนั้นเอง เขามั่นใจเหลือเกินว่า อย่างไรเสียก็ไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากนี้ไปอย่างแน่นอน ขณะที่หลัวเซียนเพียงแต่แย้มริมฝีปากน้อยๆ รู้หรอกว่า ประมุขน้อยหนุ่มกำลังหลอกเอาเงินจากคนท้าอยู่ เพื่อปากท้องระหว่างเดินทาง คงต้องยอมเรียกกู่ฉินออกมาสักหน่อยแล้วละ บอกตนเองแล้ว บุรุษเซียนก็วาดพลิกฝ่ามือขึ้นในอากาศ ครู่เดียวกู่ฉินเวทย์ก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า “เรื่องเงิน เจ้าคงไม่ผิดคำพูดหรอกนะ”ยามนี้เฉาเหว่ยแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง แต่ก็ยอมหยิบถุงเงินออกมายื่นให้ประมุขน้อยหนุ่มอย่างไม่เต็มใจนัก “คุณชาย เมื่อครู่ตอนที่ข้ากำลังชมป่าอยู่ ได้ยินเสียงฉินของท่าน รู้สึกหลงไหลในท่วงทำนองยิ่งนัก จึงได้เที่ยวตามหาจนมาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่า ท่านพอจะดีดฉินให้ข้าฟังอีกครั้งได้หรือไม่” ไม่เพียงแต่ต้องการฟังเสียงฉิน บุรุษหนุ่มผู้ดูมีฐานะ ยังให้คนของเขาเตรียมสุรา มาพร้อมสรรพอีกต่างหาก จากคนแปลกหน้า เมื่อต่างได้ดื่มสุ
“ข้าต้องขออภัยทุกท่านแทนสหายของข้าด้วย” บุรุษเซียนลุกขึ้นยืน ประสานมือขึ้นคารวะนอบน้อม “ข้ากับสหายเป็นเพียงคนผ่านทาง องค์รัชทายาทเพียงแต่มาฟังข้าดีดฉินเท่านั้น ขอท่านอย่าได้ถือสา” “คุณชายท่านนี้กับสหายผู้นั้น ล้วนเป็นแขกพิเศษของข้า หากพวกเจ้ากล้าเสียมารยาท ไม่ยอมสอดกระบี่เก็บเข้าฝัก หากกลับถึงวัง ข้าจะสั่งตัดมือพวกเจ้าทุกคนทิ้งเสีย!” สิ้นคำสั่งเฉียบขาดนั้น หัวหน้ากองทหาร พร้อมด้วยทหารผู้ติดตามก็ต่างสอดกระบี่เก็บเข้าฝักโดยพร้อมเพรียงกัน “คุณชายจิ้ง ข้าต้องขออภัยแทนทหารไร้มารยาทของข้าด้วย หากท่านไม่รังเกียจละก็ ขอเชิญกลับเข้าวังไปพร้อมกับข้าเถิด” หากจะขัดรับสั่งก็เกรงว่าตนเองและประมุขน้อยพรรคมารจะไม่ปลอดภัย จึงจำต้องเดินทางมากับขบวนเสด็จขององค์ชายฉู่หนิงจิ้งเสีย ณ ห้องลับ ใต้หอคัมภีร์ของวังหลวง แคว้นไป่ลี่ ภายในห้องโล่งกว้าง มืดทึบ มีเพียงแสงรำไรจากตะเกียงมุมห้องให้แสงสว่างเพียงสลัวราง มหาราชครูฉินหรูอวี้ กำลังจ้องมองเข้าไปในกระจกหมื่นลี้บานใหญ่ หลังจาก
“สหายอู๋ ท่านตื่นแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง” หลัวเซียนลุกขึ้นประสานมือคารวะสหายที่กลายมาเป็นองค์ชาย เห็นดังนั้นประมุขน้อยหนุ่มจึงทำตามอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ “สหายทั้งสองไม่ต้องมากพิธีหรอก ในห้องนี้มีเพียงข้ากับสหาย ไม่มีองค์ชายกับราษฎร ค่ำนี้ข้าได้ให้ห้องเครื่องเตรียมสุราอาหารคาวหวานไว้รับรองสหายทั้งสองแล้ว” “รบกวนองค์ชายแล้ว” หลัวเซียนค้อมตัวลงเล็กน้อย “สหายจิ้งเทียน ท่านอย่าได้เกรงใจไปเลย อย่างไรข้าต้องต้อนรับว่าที่อาจารย์ของข้าเป็นอย่างดีอยู่แล้ว” “อาจารย์ หมายความว่ายังไง” “ข้าขอให้สหายจิ้งเทียนมาเป็นครูสอนกู่ฉิน และสหายจิ้งเทียนก็ได้ตอบตกลงแล้ว ส่วนสหายอู๋นั้น ระหว่างที่สหายจิ้งเทียนสอนข้าดีดฉินอยู่ในสวน ข้าจะหาหญิงงามมาปรนณิบัติท่านเป็นอย่างดี มิให้ท่านต้องเบื่อหน่ายอย่างแน่นอน”ไม่รู้เหตุใด เพียงแค่องค์ชายเอ่ยถึงหญิงงาม ประมุขน้อยหนุ่มก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา ว่ากันว่าบุรุษย่อมพึงใจในหญิงงาม เหตุใดเขาจึงไม่นึกพึงใจเช่นนั้นบ้างนะ แต่ถึงจะไม่พึงใจในหญิงงามอย่างไร แต่ก็อยากยั่วโมโหหล
“สหายอู๋ ท่านตื่นแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง” หลัวเซียนลุกขึ้นประสานมือคารวะสหายที่กลายมาเป็นองค์ชาย เห็นดังนั้นประมุขน้อยหนุ่มจึงทำตามอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ “สหายทั้งสองไม่ต้องมากพิธีหรอก ในห้องนี้มีเพียงข้ากับสหาย ไม่มีองค์ชายกับราษฎร ค่ำนี้ข้าได้ให้ห้องเครื่องเตรียมสุราอาหารคาวหวานไว้รับรองสหายทั้งสองแล้ว” “รบกวนองค์ชายแล้ว” หลัวเซียนค้อมตัวลงเล็กน้อย “สหายจิ้งเทียน ท่านอย่าได้เกรงใจไปเลย อย่างไรข้าต้องต้อนรับว่าที่อาจารย์ของข้าเป็นอย่างดีอยู่แล้ว” “อาจารย์ หมายความว่ายังไง” “ข้าขอให้สหายจิ้งเทียนมาเป็นครูสอนกู่ฉิน และสหายจิ้งเทียนก็ได้ตอบตกลงแล้ว ส่วนสหายอู๋นั้น ระหว่างที่สหายจิ้งเทียนสอนข้าดีดฉินอยู่ในสวน ข้าจะหาหญิงงามมาปรนณิบัติท่านเป็นอย่างดี มิให้ท่านต้องเบื่อหน่ายอย่างแน่นอน”ไม่รู้เหตุใด เพียงแค่องค์ชายเอ่ยถึงหญิงงาม ประมุขน้อยหนุ่มก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา ว่ากันว่าบุรุษย่อมพึงใจในหญิงงาม เหตุใดเขาจึงไม่นึกพึงใจเช่นนั้นบ้างนะ แต่ถึงจะไม่พึงใจในหญิงงามอย่างไร แต่ก็อยากยั่วโมโหหล
“ข้าต้องขออภัยทุกท่านแทนสหายของข้าด้วย” บุรุษเซียนลุกขึ้นยืน ประสานมือขึ้นคารวะนอบน้อม “ข้ากับสหายเป็นเพียงคนผ่านทาง องค์รัชทายาทเพียงแต่มาฟังข้าดีดฉินเท่านั้น ขอท่านอย่าได้ถือสา” “คุณชายท่านนี้กับสหายผู้นั้น ล้วนเป็นแขกพิเศษของข้า หากพวกเจ้ากล้าเสียมารยาท ไม่ยอมสอดกระบี่เก็บเข้าฝัก หากกลับถึงวัง ข้าจะสั่งตัดมือพวกเจ้าทุกคนทิ้งเสีย!” สิ้นคำสั่งเฉียบขาดนั้น หัวหน้ากองทหาร พร้อมด้วยทหารผู้ติดตามก็ต่างสอดกระบี่เก็บเข้าฝักโดยพร้อมเพรียงกัน “คุณชายจิ้ง ข้าต้องขออภัยแทนทหารไร้มารยาทของข้าด้วย หากท่านไม่รังเกียจละก็ ขอเชิญกลับเข้าวังไปพร้อมกับข้าเถิด” หากจะขัดรับสั่งก็เกรงว่าตนเองและประมุขน้อยพรรคมารจะไม่ปลอดภัย จึงจำต้องเดินทางมากับขบวนเสด็จขององค์ชายฉู่หนิงจิ้งเสีย ณ ห้องลับ ใต้หอคัมภีร์ของวังหลวง แคว้นไป่ลี่ ภายในห้องโล่งกว้าง มืดทึบ มีเพียงแสงรำไรจากตะเกียงมุมห้องให้แสงสว่างเพียงสลัวราง มหาราชครูฉินหรูอวี้ กำลังจ้องมองเข้าไปในกระจกหมื่นลี้บานใหญ่ หลังจาก
“หากสหายข้า เรียกกู่ฉินออกมาได้ ท่านจะให้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน” “เงินหนึ่งร้อยตำลึง” เฉาเหว่ยพูดจาส่งเดชไปอย่างนั้นเอง เขามั่นใจเหลือเกินว่า อย่างไรเสียก็ไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากนี้ไปอย่างแน่นอน ขณะที่หลัวเซียนเพียงแต่แย้มริมฝีปากน้อยๆ รู้หรอกว่า ประมุขน้อยหนุ่มกำลังหลอกเอาเงินจากคนท้าอยู่ เพื่อปากท้องระหว่างเดินทาง คงต้องยอมเรียกกู่ฉินออกมาสักหน่อยแล้วละ บอกตนเองแล้ว บุรุษเซียนก็วาดพลิกฝ่ามือขึ้นในอากาศ ครู่เดียวกู่ฉินเวทย์ก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า “เรื่องเงิน เจ้าคงไม่ผิดคำพูดหรอกนะ”ยามนี้เฉาเหว่ยแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง แต่ก็ยอมหยิบถุงเงินออกมายื่นให้ประมุขน้อยหนุ่มอย่างไม่เต็มใจนัก “คุณชาย เมื่อครู่ตอนที่ข้ากำลังชมป่าอยู่ ได้ยินเสียงฉินของท่าน รู้สึกหลงไหลในท่วงทำนองยิ่งนัก จึงได้เที่ยวตามหาจนมาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่า ท่านพอจะดีดฉินให้ข้าฟังอีกครั้งได้หรือไม่” ไม่เพียงแต่ต้องการฟังเสียงฉิน บุรุษหนุ่มผู้ดูมีฐานะ ยังให้คนของเขาเตรียมสุรา มาพร้อมสรรพอีกต่างหาก จากคนแปลกหน้า เมื่อต่างได้ดื่มสุ
หลังการจิบน้ำชาร่วมกับสหายใหม่ผ่านพ้นไป หูซื่อเยว่ก็กลับมาลาประมุขอู๋ลี่หมิง เพื่อเดินทางออกจากเคหาสน์พันดาว นึกไม่ถึงเลยว่า เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้ามาภายในห้องรับรอง จะพบอู๋หมิ่นเยี่ยนอยู่ในห้องนั้นด้วย “ท่านประมุขอู๋ แม่นางอู๋” เซียนกระบี่หน้าละอ่อนประสานมือคารวะนอบน้อม “ท่านอาวุโส มาพอดีเลย เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะให้เยี่ยนเอ๋อร์เป็นตัวแทนพรรคมารโลหิต เดินทางไปแสดงความยินดีกับประมุขเผ่าเซียนคนใหม่ ที่จะขึ้นรับตำแหน่งในต้นเดือนหน้าอยู่พอดี เยี่ยนเอ๋อร์บอกข้าว่า ท่านจะร่วมเดินทางไปด้วย ข้าจึงมิได้ให้อาเหยียน อาถง อาเฉียงติดตามไปด้วย มีศิษย์เอกของสำนัก ร่วมเดินทางไปกับท่านเซียนกระบี่เขาเทียนคง เดินทางไปพร้อมของขวัญล้ำค่า ก็เพียงพอแล้ว” “เหตุใดท่านประมุขจึงไม่แต่งขบวนของกำนัลไปล่ะ” หูซื่อเยว่ยังมิอาจคลายความสงสัยได้ “จะแต่งขบวนไปได้อย่างไร ในเมื่อผู้ที่ก้าวขึ้นนั่งตำแหน่งประมุขมิใช่ท่านหลัวเซียนน่ะสิ ท่านหลัวเซียนหายตัวไปไม่นาน หลัวจุ้นซิน ศิษย์ผู้น้องก็เสนอตนขึ้นรับตำแหน่งประมุขเสียแล้ว เช่นนี้ดูไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย”
“แม่นางอู๋ มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ” “ข้า... ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่าน” “แม่นางโปรดรอซักครู่ ข้าขอสวมเสื้อให้เรียบร้อยก่อน” ครู่ต่อมา หนึ่งเซียนกระบี่ กับอีกหนึ่งหญิงสาวก็มานั่งประจันหน้ากันอยู่ตรงม้าหินใต้ต้นจามจุรีต้นใหญ่ กลางสวนหย่อมใกล้กับเรือนรับรอง “ขออภัยที่ข้ามารบกวนท่าน” ทั้งที่เมื่อตอนหัวค่ำ เพิ่งจะล่วงเกินคนรุ่นทวดไป ถึงขนาดชักกระบี่ออกมาข่มขู่ หากความอยากรู้ก็ทำให้นางต้องยอมอ่อนข้อให้คนตรงหน้าเสียอย่างนั้น “ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือเป็นการรบกวนอะไร” หูซื่อเยว่แย้มริมฝีปากน้อยๆ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว นึกไม่ถึงเลยว่า สตรีงามตรงหน้าจะถามเรื่องที่เขาไม่ต้องการตอบเช่นนี้“แม่นางชิงชิงเป็นใคร”เซียนกระบี่หน้าละอ่อนก้มหน้าน้อยๆ ดวงหน้าคมคายสลดลงอย่างไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้เลย “นางคือฮูหยินของข้า นอกจากคนของเขาเทียนคงแล้ว ไม่เคยมีใครรู้จักนาง แล้วเจ้ารู้จักนางได้อย่างไร” “ข้าเองก็ไม่รู้ว่า ข้ารู้จักชื่อนางได้อย่างไร แต่ในทุกค่ำคืนที่ข้าหลับ ข้ามักจะฝันเห็นนาง ใช้ชีวิตอยู่กับบุรุษผู้หนึ่ง กร
“ไปให้พ้น!” นางชี้ปลายกระบี่ไปที่ผู้อาวุโสกว่า“เจ้าเก็บกระบี่ก่อนได้หรือไม่ ข้าเพียงอยากมาขอโทษเจ้า ข้าไม่ได้เจตนาจะหลอกลวงเจ้า” อู๋หมิ่นเยี่ยนสอดกระบี่เข้าฝักอย่างกระแทกกระทั้นเต็มที“หากไม่เพราะท่านประมุขสัมผัสปราณเซียนร้อยปีของท่านได้ ท่านคงไม่ยอมรับ คงเห็นข้าโง่งมนักสินะ”“ไม่ใช่อย่างนั้น หากข้าบอกเจ้าแต่แรกว่า ข้าแก่ปูนนี้ อายุเกินร้อยปีแล้ว เจ้าจะเชื่อหรือ” อู๋หมิ่นเยี่ยนชะงัก จริงสินะ หากเขาบอกนางว่าอายุเกินร้อยปีตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน นางคงหาว่าเขาล้อเล่นเท่านั้น คนอายุร้อยปีอะไร จะยังอ่อนเยาว์อยู่เช่นนี้ “ข้าขอโทษ ที่ข้าจะพูดก็มีเพียงเท่านี้ หากเจ้าไม่สบายใจละก็ ข้าจะออกจากเคหาสน์พันดาวไปเสียเดี๋ยวนี้ และจะไม่กลับมาให้เจ้าเห็นหน้าอีก” ไม่รู้เหตุใด เพียงแค่รู้ว่าเขากำลังจะจากไปแล้ว นางจึงรู้สึกคล้ายของรักกำลังจะหลุดลอยไปจากมือเช่นนี้ นางจะต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่ ที่รู้สึกพิเศษกับผู้อาวุโสคราวทวดได้เช่นนี้ “ท่านจะไปที่ใด เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย แต่อย่างไรท่านก็ควรให้เกียรติท่านประมุขด้วย ไม่ใช่นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ถึงท่านจะเป็นผู้อาวุโส แต่ก็ใช่จะทำตามอำเพอใจได้” ที่เ
“ข้าได้ทำร้ายเจ้าหรือไม่” ไม่ ตรงกันข้ามเจ้ากลับเป็นคนพาข้าหนีออกมาด้วยซ้ำ แสดงว่าเจ้ายังคงครองสติได้ แต่ไม่อาจควบคุมพลังสังหารในตัวเจ้าได้” ฟังคำตอบของบุรุษเซียนแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็ได้แต่ระบายลมหายใจหนักๆ“มือของข้าเปื้อนเลือดซะแล้ว”“แต่พวกเขาเป็นฝ่ายทำร้ายเจ้าก่อน”“หากข้าควบคุมพลังไม่ได้ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร” “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลไปเลย พักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเริ่มฝึกกัน” “ก็ได้ๆ ว่าแต่เจ้าเถอะ เป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บหรือไม่”“ข้าไม่เป็นไร ที่หอเหม่ยลี่ ตอนกำลังจะถูกแส้ของนาง จู่ๆ ข้าก็เรียกพัดเวทย์ออกมาปัดแส้ไว้ได้ทัน แต่พลังก็ยังคงอ่อนอยู่” “แต่เจ้าก็ไม่ได้อ่อนแรงแล้วนี่ แสดงว่าพลังวิญญาณเจ้าเริ่มฟื้นขึ้นมาทีละน้อยแล้ว เจ้าเองก็ต้องฝึกฝนด้วยเช่นกัน” “คงต้องเป็นอย่างนั้น อากาศเริ่มเย็นแล้ว ใส่เสื้อเถอะ มา ข้าช่วย” ว่าแล้วบุรุษเซียนก็คว้าเสื้อของตนเองมาถือไว้ในมือ รอกระทั่งอีกฝ่ายหยัดกายลุกขึ้นนั่งแล้ว จึงค่อยๆ สวมให้“เสื้อเจ้าขาดหมดแล้ว ใส่เสื้อข้าไปก่อนนะ” “ขอบคุณ” อู๋เหริ่นชวนไม่เอ่ยเปล่า ชำเลืองมองเสี้ยวหน้าคมคายของคนกำลังสวมเสื้อให้แน่วนิ่ง เพีย
“เจ้าต้องการอะไร” “ท่องคัมภีร์มหาเวทย์ออกมา แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป” สตรีหน้าตาหมดจดงดงาม ทว่านัยน์ตาทั้งคู่กลับฉายแววโหดเหี้ยม ลมหายใจเข้าออกเรื่อยช้า เยือกเย็นเชยคางประมุขน้อยหนุ่มขึ้นสบตา แต่แทนที่เขาจะทำตามความต้องการของนาง กลับห่วงความปลอดภัยของผู้ที่ติดตามมาด้วยมากกว่า“คนของข้าล่ะ”“คุณชายดวงตาพิการผู้นั้นน่ะหรือ ข้าขังเขาไว้ในห้องข้างๆ นี่เอง หากเจ้าท่องคัมภีร์มหาเวทย์ออกมาแล้ว ข้าก็จะปล่อยเจ้า และเขาออกไปพร้อมกัน”“แล้วข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เจ้าจะไม่โกหก”“ข้ามีเหตุผลอันใดต้องโกหกเจ้าด้วยเล่า”“หากข้าไม่ทำตามล่ะ”“ข้าก็จะทรมานเจ้าจนตาย แม้แต่คุณชายผู้นั้นก็ต้องตายด้วยเช่นกัน” “หากข้าตาย คัมภีร์มหาเวทย์ก็จะหายไปพร้อมกับข้าด้วย เจ้าปล่อยเขาก่อนสิ แล้วข้าจะท่องคัมภีร์นั่นออกมา” ภายนอกนั้น ประมุขน้อยหนุ่มพูดจาเล่นลิ้นไปเรื่อยก็จริง ทว่าสมองกลับคิดหาทางเอาตัวรอดอยู่จริงสินะ ทุกครั้งที่พบกับอันตราย เหตุการณ์จวนตัวจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว พลังปราณในกายเขาจึงจะสำแดงออกมา ตอนพบกับจิ้งจอกม่วง หรือแม้กระทั่งตอนวิ่งหนีกลุ่มชายชุดดำเมื่อคืน ก็ล้วนเอาตัวรอดได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งนั
ขณะที่บุรุษเซียนมือไม้สั่น ขณะลงกับหัวกางเกงอีกฝ่าย “พอๆ ไม่ต้องหาแล้ว ข้าล้อเล่นน่ะ อยากรู้ว่าเจ้าจะทำยังไง” “เจ้า!” เจอคนขี้เล่นแกล้งเข้าให้ บุรุษเซียนก็นึกฉุน คว้าไม้ไผ่มาไว้ในมือ ลุกขึ้นได้ก็เดินฉับๆ กลับมาหน้าตาเฉย “เป็นอะไร โกรธรึไง รึว่าเสียดาย” “เสียดายอะไร” “ก็เสียดายที่ไม่ได้จับพญาช้างศารของข้าน่ะสิ เจ้าเกิดในตระกูลเซียนชั้นสูง คงไม่เคยมีใครหยอกเจ้าแบบนี้สินะ” “ใช่” หลัวเซียนพยักหน้ารับ จริงอย่างที่เขาว่านั่นละ ใครเลยจะกล้าเล่นหัวกับว่าที่ประมุขเผ่าเซียน แค่เห็นว่าหลัวเซียนเดินผ่านมาก็ต้องแสดงการคารวะ แล้วเดินตัวลีบเลี่ยงไปทางอื่น ยิ่งเขาเติบโตขึ้น สำนักเซียนรับศิษย์รุ่นใหม่ เขาก็กลายเป็นอาจารย์ไปโดยปริยาย ใครเลยจะกล้าหยอกเล่นกับอาจารย์กันเล่า “รีบกลับเถอะ ข้าง่วงแล้ว” อู๋เหริ่นชวนยกมือขึ้นปิดปากหาวหวอด เร่งฝีเท้านำอีกฝ่ายกลับมายังโรงเตี๊ยม ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองว่า เขาจะเดินตามมาทันหรือไม่ เมื่อไม่มีธุระอะไรแล้ว ใยต้องสนใจคนที่ใจไม่เคยนับเป็นสหายอีกเล่า ณ