“นึกว่าใคร ที่แท้เป็นคนกันเอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เซวียนจางหย่ง ข้านึกว่าเจ้าตายไปเสียแล้ว เห็นเจ้ายังมีชีวิตแข็งแรงเช่นนี้ บิดาเจ้าคงดีใจไม่น้อย” จวิ้นอ๋องกัดฟันพูด ด้วยน้ำเสียงมีเมตตา
“กระหม่อมก็อยู่ที่เหิงเยว่มาหลายเดือนแล้ว เสียดาย ไม่ได้เจอพระองค์เลยสักครั้ง ได้เจอกันวันนี้ นับว่าเป็นโชคของกระหม่อมโดยแท้”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทางยียวน พร้อมกับสั่งการให้คนของเขาเข้าไปหาหลักฐานในวัด
“แท้จริง กระหม่อมก็เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว เพราะกระหม่อมมาสืบราชการที่วัดซือคงแต่โดนหลวงจีนในวัดวางยาพิษแล้วตามไล่ล่า โชคดีที่มีคนช่วยข้าเอาไว้ จึงได้ทำความดีช่วยเหลือทางการของเหิงเยว่พ่ะย่ะค่ะ”
“ใต้เท้าท่านนี้ อาตมาเลอะเลือน ไม่รู้ว่ามีมารร้ายแฝงตัวอยู่ในวัดเสียนาน แถมยังกล้าทำร้ายขุนนางอีก” ไต้ซือไป๋รีบออกตัวทันที
“เหรอ เป็นมารร้ายที่ปลอมตัวเป็นหลวงจีน หรือว่าแท้จริงเป็นหลวงจีนชั่วที่แสร้งทำตัวดีกันแน่”
วาจาบาดหูของหัวหน้าหน่วยตงฉาง ทำเอาทุกคนถึงกับสูดหายใจลึก
“ประสกกล่าวเกินไปแล้ว อาตมาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้”
“เป็นเช่นนั้นหรือ ไต้ซือ เมื่อคืน เป็นข้าเองที่บุกเข้าไปทำลายพิธีชั่วช้าในวัด มีการสังเวยวิญญาณมากมายและชักเชิดศพให้เฝ้าค่ายกล ข้าไม่คิดว่าผู้กระทำผิดจะเป็นเพียงแค่โจรป่าธรรมดาเสียแล้ว ท่านไม่คิดอย่างนั้นหรือ”
“เช่นนั้นท่านมีหลักฐานหรือ ว่าเป็นฝีมืออาตมา”
เซวียนจางหย่งยืนจ้องหน้าไต้ซือไป๋ที่กัดฟัน ยืนสงบนิ่ง ไม่กล้าตอบโต้ให้เสียภาพลักษณ์หลวงจีนผู้เปี่ยมเมตตา ยืนรอเพียงไม่นาน คนของเขาก็วิ่งออกมาจากวัด ก่อนจะรายงาน
“เรียนหัวหน้า ข้าไปตรวจสอบศาลากลางป่าที่มีอุโมงค์เชื่อมต่อกับวัดแล้ว พบว่าทุกอย่างถูกเผาทำลายทิ้งไปหมดแล้วขอรับ”
จวิ้นอ๋องและไต้ซือไป๋นั้นถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่เสียแรงที่เมื่อคืนเร่งเดินทางกลับมาทำลายหลักฐานให้หมดสิ้น ไม่หลงเหลือให้มาเอาผิดพวกเขาได้
“เป็นพวกโจรพวกนั้นที่ทำลายหลักฐาน พวกมันเกรงกลัวทางการจะมาจับกุม บาปกรรมแท้ๆ”
“แต่หัวหน้าขอรับ พวกเราพบอาวุธจำนวนมากในห้องของไต้ซือไป๋ รวมถึงตุ๊กตาดินปั้นจำนวนมากด้วยขอรับ” เลี่ยงหรงนำของเหล่านั้นมอบให้เซวียนจางหย่งท่ามกลางสีหน้าตกตะลึงของทุกคน
“นี่มัน..ไม่ใช่ของข้า ไม่ใช่นะ”
ไต้ซือไป๋นั้นเป็นหลวงจีนที่แอบฝึกวิชานอกรีตมากมาย เขาเรียนรู้เกี่ยวกับค่ายกลและการทำพิธีกรรมชั่วช้าที่ใช้ชีวิตคนสังเวยจนเชี่ยวชาญ อุปกรณ์ทุกอย่างล้วนแต่นำไปฝังดินซ่อนไว้อย่างแนบเนียน เขาไม่เคยเก็บอุปกรณ์พวกนี้เอาไว้ในห้องเลยสักครั้ง
“ข้าถูกใส่ร้าย”
เซวียนจางหย่งกระตุกยิ้มร้าย ก่อนจะแสร้งทำหน้าตกใจ เมื่อเห็นตุ๊กตาพวกนี้
“นี่มันคือของสิ่งเดียวกับที่ข้าเห็นในแท่นพิธี เป็นอย่างเดียวกันแน่นอน เช่นนั้นย่อมหมายความว่าไต้ซือผู้นี้นั้นคือ ผู้อยู่เบื้องหลังพิธีกรรมชั่ว กล้าใช้วิชานอกรีตทำร้ายขุนนางขั้นสี่ เจ้าอยากตายสินะ เลี่ยงชิว จับตัวไต้ซือไป๋ไปสอบสวนเพิ่มเติมเดี๋ยวนี้”
ไม่มีหลักฐาน เขาก็ทำให้มันมี งานของหน่วยสืบราชการลับไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างหน่วยงานอื่น ประสบการณ์สอนเขาว่าการต่อสู้กับพวกเจ้าเล่ห์ เราก็ควรจะเจ้าเล่ห์กลับด้วย
“ไม่นะ อย่ามาจับอาตมา ปล่อยข้า ปล่อย ท่านอ๋องช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย” ไต้ซือไป๋ถูกจับมัดแบกขึ้นบ่าออกไปอย่างรวดเร็ว จนไม่มีใครมองตามทัน ผู้สมคบคิดทั้งหลายมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตื่นตะลึงและคาดไม่ถึง
“เซวียนจางหย่ง เจ้า..” จวิ้นอ๋องถึงกับเอ่ยอะไรไม่ออก ยามนี้สถานการณ์เริ่มไม่แน่นอน แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงแค่ขุนนาง เทียบกับตนที่เป็นอ๋องไม่ได้ แต่ขุนนางที่อยู่ในหน่วยตงฉางนั้นสามารถจับกุมขุนนางบุ๋นบู๊ได้ทุกระดับ แม้แต่เชื้อพระวงศ์ หากมีหลักฐานว่ากระทำความผิด ก็สามารถจับกุมได้เช่นกัน
เซวียนจางหย่งหันมาทางจวิ้นอ๋องเฉินหวังหย่ง ด้วยสายตาลึกล้ำยากจะคาดเดาก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ
“จวิ้นอ๋อง พระองค์สนิทสนมกับไต้ซือไป๋ ถึงขนาดชวนไปเสวนาธรรมที่จวน พระองค์ไม่รู้หรือว่าเขาเป็นเช่นนี้ หรือว่าที่จริงพระองค์ก็ร่วมมือกับเขา”
“สามหาว คิดว่าเป็นหัวหน้าหน่วยตงฉางแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือ เป็นเพียงแค่ขุนนาง กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับเชื้อพระวงศ์อย่างจวิ้นอ๋องได้อย่างไร เจ้ามีหลักฐานรึถึงได้กล้าพูดจาเช่นนี้” คนของจวิ้นอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงเดือดดาล มองไปโดยรอบเขาก็เห็นทหารของจวิ้นอ๋องที่นำมาล้อมวัดซือคง ขยับตัวกันมาล้อมรอบผู้เป็นนายพร้อมโจมตีทันทีหากได้รับคำสั่ง บรรยากาศหน้าวัดซือคงในเวลานี้คุกรุ่น ตึงเครียดไม่น้อย
“เรื่องนี้ ข้าไม่เกี่ยวข้อง ข้าไม่เคยรู้ว่าไต้ซือไป๋เป็นพวกนอกรีตมาก่อน เสียดายนักที่ผ่านมาคอยสนับสนุนวัดซือคงมาตลอด”
“พระองค์จะบอกว่า ตัวเองไม่เกี่ยว”
“ใช่ ข้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ หากเจ้ามีหลักฐานว่าข้าเกี่ยวข้อง ก็เอาออกมาเสียสิ” จวิ้นอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง เขาเริ่มเหนื่อยกับสงครามประสาทครั้งนี้เกินทนแล้ว
“น่าเสียดายที่กระหม่อมยังไม่มีหลักฐานอะไรเชื่อมโยงไปถึงพระองค์”
“เช่นนั้นก็ไสหัวออกไปซะ วันนี้จวิ้นอ๋องเหนื่อยมามากแล้ว”
“เดี๋ยวก่อนสิ ข้ายังมีภารกิจสุดท้ายที่ต้องทำอยู่อีกอย่างหนึ่ง”
เขายกยิ้มร้าย มองจวิ้นอ๋องด้วยสายตาคมปลาบน่าขนลุก ก่อนจะมีทหารหลวงผู้หนึ่งขี่ม้าตรงเข้ามาทางนี้ พร้อมกับบางสิ่งบางอย่างในมือของตน
เซวียนจางหย่งรับม้วนราชโองการสีทองจากผู้มาใหม่ ก่อนจะเปิดขึ้นอ่านท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของทุกคนในที่นี้
“นี่มัน..ราชโองการจากฮ่องเต้นี่”
“พ่ะย่ะค่ะ เมื่อคืน ฮ่องเต้ที่ประชวรมาสักพัก อาการดีขึ้นอย่างปาฏิหาริย์ เมื่อได้สติพระองค์จึงได้ให้กระหม่อมนำของฝากมาให้น้องชายที่ท่านรักยิ่งชีวิต จวิ้นอ๋องรับราชโองการ” เสียงเข้มเอ่ยเสียงดังก้องกังวานได้ยินทั่วทุกคน เมื่อได้เห็นราชโองการก็เหมือนกับได้เห็นฮ่องเต้ พวกเขาต่างพากันคุกเข่าน้อมรับโดยพร้อมเพรียง
“จวิ้นอ๋องทำคุณงามความดีให้บ้านเมืองต่อเนื่องมาหลายปี ถือศีลกินเจ ทะนุบำรุงศาสนา เป็นผู้ลึกซึ้งในคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างหายากยิ่ง สมกับที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับพสกนิกรเสมอมา บัดนี้บ้านเมืองระส่ำระสาย ผู้คนขาดที่พึ่งและกำลังใจ เพื่อส่งเสริมความสนใจในพระพุทธศาสนาของจวิ้นอ๋อง ฮ่องเต้จึงมีคำสั่งให้จวิ้นอ๋องออกบวชที่วัดเลี่ยงชูแห่งเมืองไห่โอว สร้างกุศลให้แคว้นเว่ย เป็นขวัญและกำลังใจให้กับประชาชน คุณงามความดีของท่านจะได้รับการจารึกดังที่เคยเป็นมาตลอด”
จวิ้นอ๋องแทบจะล้มทั้งยืน ความเจ็บปวดจากการโดนพลังตีกลับเมื่อคืน ยังไม่เจ็บเท่ากับที่โดนขับไล่ให้ไปบวชที่เมืองอันแสนแร้นแค้นอย่างไห่โอว แผนการที่วางไว้ทั้งหมดพังครืน เพียงข้ามคืนที่เขาเสียดวงชะตามหาโชคกลับไปให้กับหลี่เฉียงฮุย ชีวิตก็พลิกผันทั้งหน้ากระดาน
เจ็บใจนัก
ณ บ้านตระกูลหลิว หลิวซีซวนที่เพิ่งถูกฟ้าผ่ามาหมาดๆ หลังจากที่ได้นอนพักผ่อนอยู่หนึ่งวันเต็มๆ อาการของเขาก็ดีขึ้นมาก ร่างกายไม่มีส่วนใดผิดปกติ สิ่งที่ผิดปกติคงจะมีเพียงแค่พลังวิเศษที่ได้จากท่านตามาเต็มกราฟ หายไปจนเกลี้ยงเสียดายจัง เพิ่งได้ถือครองพลังหลายด้านเพียงไม่ถึงวัน สุดท้ายโดนทัณฑ์สวรรค์ลงโทษจนหายไปหมด หลิวซีซวนหวนคิดไปก็หงุดหงิดไม่น้อย การที่ทำพิธีชิงดวงนั้นเป็นการฝืนชะตาฟ้าดิน คนที่ทำคงจะใช้เหยื่อมนุษย์สังเวยเป็นการปิดตาสวรรค์โดยแท้ ดังนั้นการทำลายพิธีนั้น ผู้ที่ทำลายก็จะได้รับทัณฑ์สวรรค์เป็นการลงโทษที่ยุ่งเกี่ยวกับชะตาของผู้อื่นให้ตายเถอะ สวรรค์ ท่านไม่มีตารึอย่างไร ข้าเป็นผู้ทำลายพิธีชิงดวง ข้าช่วยคนแต่คนได้รับทัณฑ์กลับเป็นตัวข้า ทำไมท่านไม่ผ่าใส่กบาลจวิ้นอ๋องไปเลยล่ะสรุปคือ ตอนนี้เขากลายเป็นเกอธรรมดาที่มีดีแค่หน้าตาเท่านั้นหลิวซีซวนนอนอยู่บนตั่งไม้ริมสระบัวอย่างเกียจคร้าน แม้ว่าในเมืองเหิงเยว่จะเกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย แต่ในหัวสมองเขามีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นเซวียนจางหย่ง บุรุษที่อยู่ข้างกายเขามาตลอด มีตำแหน่งใหญ่โตในระดับหัวหน้าหน่วยตงฉาง และที่สำคัญเขายังเคยเป็นคู่หมาย
“หากทำเช่นนั้นย่อมต้องมีหลักฐานแน่ชัด ไม่เช่นนั้นจะเป็นการหมิ่นเกียรติเชื้อพระวงศ์ เสื่อมเสียไปถึงฮ่องเต้ด้วย ข้าคิดว่าฮ่องเต้เองก็คงไม่ได้อยากจะจัดการขั้นเด็ดขาดกับน้องชายผู้นี้หรอก เพราะมีผู้ที่ชื่นชอบและสนับสนุนจวิ้นอ๋องไม่น้อย”หลิวซีซวนพยักหน้าเห็นด้วยกับความเห็นของตู้เฉิง ไม่น่าเชื่อว่าชายชราพ่อบ้านตระกูลหลิวจะมีความคิดแตกฉานเช่นนี้“แต่ข้าได้ยินเรื่องตลกมาด้วย พวกชาวบ้านพากันพูดว่าหัวหน้าหน่วยตงฉางนั้นหล่อเหลาสูงส่ง ทว่ามีใบหน้าละม้ายคล้ายกับพี่จางหย่ง พวกหญิงชาวบ้านเอาไปพูดกันทั่วตลาดว่า แท้จริงพี่จางหย่งเป็นหัวหน้าหน่วยตงฉางที่ปลอมตัวมาอยู่ที่เหิงเยว่”“ตู้เจา พวกนางเข้าใจถูกแล้ว เขาคือ เซวียนจางหย่ง หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับตงฉางจริงๆ”“ท่านล้อข้าเล่นแล้ว” ตู้เจาหัวเราะลั่น ทว่าเมื่อเห็นเกอรูปงามที่เกี้ยวบ่าวข้างกายไม่หยุด มีใบหน้าเรียบเฉย ไร้แววล้อเล่น ก็ถึงกับเหม่อไปพักใหญ่ที่ผ่านมา เขาอาศัยอยู่กับขุนนางระดับสูง กินข้าวหม้อเดียวกันมาหลายเดือนเลยหรือเนี่ย“แฮะๆ นั่นสิ ผู้ที่ท่านเกี้ยวมาเป็นสามีจะธรรมดาสามัญได้อย่างไร หัวหน้าหน่วยตงฉางกับคุณชายหลิวแห่งเหิงเยว่ ช่างเหมาะสมกัน
หลิวซีซวนจำต้องนำบุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้ขึ้นมายังห้องรับรองส่วนตัว เขาไม่คิดว่าคนระดับอ๋องจะมาพบเขาเพื่อขอดูดวงชะตา น่าเสียดายที่เขาไม่มีพลังในการอ่านดวงชะตาได้แล้ว ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะพอตรวจสอบได้บ้างว่าจวิ้นอ๋องมีแผนการอะไรกันแน่“เจ้าอาจจะไม่รู้ ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยมารับชมการแสดงที่ห้องรับรองนี้มาก่อน ข้ามาชมการแสดงของเจ้าที่แสดงในวันแรก ในใจชื่นชมไม่น้อยที่ตระกูลหลิวมีทายาทที่มีความสามารถเช่นนี้”“กระหม่อมนั้นด้อยปัญญา พระองค์ต้องการอะไร บอกมาตามตรงเลยดีกว่า” หลิวซีซวนขี้เกียจเล่นเกมพูดจาอ้อมไปอ้อมมาอีกแล้วจวิ้นอ๋องที่มีสีหน้าเปื้อนยิ้มค่อยๆ หุบยิ้มลงช้าๆ ก่อนจะกระตุกยิ้มอย่างถูกใจ“ข้าชอบเจ้านะ คนอย่างเจ้าควรจะมาอยู่ข้างกายข้ามากกว่า เสียดายที่เจ้าเป็นคนตระกูลหลิว”“กระหม่อมต่ำต้อย ต่อให้ไม่ใช่คนตระกูลหลิว กระหม่อมก็ไม่คู่ควรหรอกพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ฉลาดพูดจายอกย้อนนัก คนตระกูลหลิวเป็นเช่นนี้หมดทุกคนเลยหรือไม่”“พระองค์รู้จักคนตระกูลหลิวด้วยเหรอพ่ะย่ะค่ะ”“ใช่ ข้าจำได้ไม่ลืมเลยล่ะ มันทำข้าเจ็บแสบเชียว มันเป็นองครักษ์ข้างกายบิดาข้ารับใช้ใกล้ชิดมาหลายปี พอบิดาข้าสวรรคตโดยที่ยังไม่มีรัชทายาท
ท่ามกลางเพลิงไฟที่ก่อตัวอยู่รอบตัวจนผิวกายร้อนระอุ ในหูได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอยู่ด้านนอก น่าแปลกนัก หลิวซีซวนไม่ใช่คนหลับลึกแต่กลับหลับสนิทท่ามกลางกองไฟ หากไม่ได้ท่านตาปลุก เขาคงโดนย่างสดอยู่ที่นี่เป็นแน่หรือว่านี่มันไม่ใช่เพลิงไหม้ธรรมดากัน“แค่กๆ ไม่ไหว แค่ก” ไม่มีเวลาจะมาคิดวิเคราะห์อะไร เขาเอาผ้าชุบน้ำล้างหน้าคลุมหัวแล้วเร่งหาทางออก ก่อนจะได้ตายรอบสองจริงๆ เกอรูปงามหันซ้ายหันขวาก็เห็นทางออกตรงหน้าต่างก็รีบปีนออกไปอย่างรวดเร็ว ในจังหวะที่ไฟลามมาถึงเตียงของเขาพอดี“ฮู้ว รอดตายแล้ว” หลิวซีซวนลูบอกตัวเองไปมา ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตะลึงลาน เพราะเมื่อปีนออกมาด้านนอกก็พบว่าทุกส่วนของบ้านตระกูลหลิวนั้นติดไฟไหม้ไปหมด แม้แต่โรงเตี๊ยมตระกูลหลิวก็กำลังมีเพลิงไฟโหมกระหน่ำโอ๊ย แล้วจะหนีไปไหนได้ล่ะ พลังวิเศษอะไรก็ไม่มี หายตัวก็ไม่ได้ มีทางเดียวคือเขาต้องวิ่งฝ่ากองไฟมหึมาออกไปด้านนอก แล้วไปลุ้นเอาว่าตนเองจะถึงประตูหรือไหม้เป็นเถ้าถ่านก่อน“เอาวะ อย่างน้อยก็ตาย ทำยังกับไม่เคยตายไปได้”ถึงจะน่าเศร้านิดหน่อยที่ตายอย่างไร้สามีก็ตามในจังหวะที่เขากำลังจะวิ่งฝ่ากองไฟออกไปด้านนอก ก็มีใครบางคนกระโด
“ข้าว่ามันแปลกๆ ข้าไม่ใช่คนหลับลึกแต่กลับหลับไม่ได้สติเลย ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะโดนวางยา” ตู้ลี่จูเอ่ยขึ้นมาอย่างหมายมาด แม่ลูกอ่อนที่กำลังให้นมบุตรมีสีหน้าเหนื่อยล้าไม่น้อย ดึกเพียงนี้ พวกเขาต้องมานั่งท้าลมหนาวอยู่นอกเรือนราวกับคนยาจก แม้แต่โรงเตี๊ยมก็เกิดไฟไหม้จนเหลือแค่โครงไม้ โชคดีที่แขกที่มาพักหนีออกมาทันทั้งหมดและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน มีคนตั้งใจวางเพลิงพวกเราแล้ววางยานอนหลับ หวังให้พวกเราทั้งหมดตายในกองเพลิง” ตู้เจาเสนอความคิดขึ้นมา“อำมหิต ชั่วช้า คุณชายท่านรู้หรือไม่ว่ามันเป็นใคร” “ตอนนี้ข้าคิดออกเพียงคนเดียว ข้าคิดว่าเป็นฝีมือจวิ้นอ๋อง”“จวิ้นอ๋องรึ ข้าจะไปเอาเรื่องเขาเดี๋ยวนี้” ตู้เจาขบกรามเข้าหากันจนเป็นสันนูน ดวงตาเต็มไปด้วยความเดือดดาลพร้อมระเบิดอารมณ์ออกมาได้ทุกเมื่อ ทว่าเซวียนจางหย่งกลับห้ามเอาไว้ก่อน“พวกเจ้าไปไม่ทันหรอก เมื่อคืนจวิ้นอ๋องเลื่อนการเดินทางไปไห่โอวเร็วขึ้น ยามนี้เดินทางออกไปแล้ว”“บัดซบ” หลิวซีซวนแค้นจนแทบหลั่งน้ำตา ลำพังมันทำร้ายเขาไม่เท่าไหร่แต่มาทำร้ายคนของเขา มาทำลายทรัพย์สมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ หากว่าเขาได้เจอจวิ้นอ๋อง
หลิวซีซวน เกอคนงามที่ข้ามมิติมาแสนไกล สูดลมหายใจลึกเพิ่มพลังให้กับตัวเองเพื่อฝ่าฟันกับอุปสรรคครั้งใหญ่ในชีวิตครั้งนี้ ก่อนจะหันไปหาอดีตบ่าวคนสนิทที่มีตำแหน่งเป็นถึงขุนนาง“จางหย่ง ข้าขอเข้าไปตรวจสอบโรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ว่ามีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง” “ได้ ตอนนี้ไฟดับสนิทแล้ว แต่ต้องระวังเสียหน่อย เดี๋ยวข้าจะไปกับเจ้าด้วย”เซวียนจางหย่งเดินนำคนจากตระกูลหลิวที่พากันเข้ามาสำรวจโรงเตี๊ยม เมื่อก้าวเข้ามา ตู้เฉิงก็แทบจะเป็นลมเมื่อเห็นสภาพซากปรักหักพังของโรงเตี๊ยมที่พร้อมจะพังครืนมาได้ทุกเมื่อ“โฮ คุณชาย ข้าทำใจไม่ได้ ข้าอยู่กับที่แห่งนี้มาตั้งแต่ยังหนุ่ม เมื่อก่อนนายท่านสร้างที่แห่งนี้ให้เป็นหอเก็บอาวุธ แต่พอรายได้ฝืดเคือง ข้าจึงดัดแปลงให้เป็นโรงเตี๊ยมเพื่อหารายได้เลี้ยงตนเองและหลานชาย ไม่คิดเลยว่ามันจะเหลือเพียงซากเช่นนี้” ชายชราคร่ำครวญอย่างยากจะทำใจ จนหลิวซีซวนยังอดสะท้อนใจไม่ได้ เขาตั้งสติแล้วเดินสำรวจรอบบริเวณ ข้าวของประดับประดาที่ทั้งมีราคาและไม่มีราคา สุดท้ายเมื่อถูกเพลิงไหม้ก็กลายเป็นแค่เศษซากชิ้นหนึ่ง ไม่ต่างกันยามนี้ดูเหมือนจะเหลือสมบัติตระกูลหลิวเพียงชิ้นเดียวแล้วสินะเกอคนงามล้วงป้า
ตระกูลหลิวนั้นไม่ได้โด่งดังมีชื่อเสียงไปทั่วแคว้น หาใช่เพราะว่าพวกเขาไม่ร่ำรวยหรือไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะตระกูลหลิวแห่งเหิงเยว่เลือกที่จะอยู่ใช้ชีวิตอย่างสงบ แม้จะมีพลังวิเศษที่แตกต่างกันไปจากรุ่นสู่รุ่นจนโดดเด่นขึ้นมา แต่พวกเขาก็มักจะเลือกทำงานที่ไม่ออกหน้าออกตามากนัก ยศถาบรรดาศักดิ์เป็นสิ่งที่พวกเขาวิ่งหนีมาโดยตลอด หากมีใครบางคนในรุ่นได้ดิบได้ดีเป็นขุนนางหรือเป็นคนสำคัญ คนที่เหลือก็มักจะหลบหลีกเร้นกาย ไม่แสดงตัวเท่าไหร่นักด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคนหลงลืมไปว่าหลายศตวรรษที่ผ่านมาตระกูลหลิวรับใช้ราชสำนักและสร้างคุณงามความดีให้กับบ้านเมืองมากมายเท่าไรมันไม่แปลกหรอกที่จะมีสมบัติอลังการแบบนี้ แต่แปลกที่เขาเพิ่งรู้เนี่ยแหละหลิวซีซวนเห็นกองสมบัติมหาศาลที่สะสมมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษก็ถึงกับตาตั้ง แล้วสลบไปในอ้อมกอดของเซวียนจางหย่งทันทีไม่ได้สลบเพราะตกใจ แต่สลบเพราะจะเข้ามิติส่วนตัวไปวีนท่านตาหลิวหงชิงต่างหาก“ท่านตา ท่านตา ท่านอยู่หรือไม่” เขาวิ่งไปยังสระบัวเป็นสถานที่แรก จากการที่ได้แวะเวียนเข้ามาในมิติส่วนตัวหลายครั้ง เขาพบว่าบรรพบุรุษผู้นี้ชื่นชอบการจิบชาริมน้ำมากที่สุด“ว่าอย่างไร ห
“เฮือก!!”“เจ้าเป็นอะไรไป”หลิวซีซวนสะดุ้งตื่นขึ้นมา เวลานี้เขาอยู่ในอ้อมกอดของเซวียนจางหย่งที่ในห้องลับคลังสมบัติตระกูลหลิวเช่นเดิม เซวียนจางหย่งนั้นมีสีหน้ากังวลไม่น้อยแต่เมื่อเห็นคนในอ้อมกอดฟื้นขึ้นมาพร้อมกับคลี่ยิ้มพริ้มพราย ก็ถึงกับใจกระตุก“ดีจังเลยที่ฟื้นขึ้นมาได้เจอเจ้า ข้าไปพบบรรพบุรุษมาเท่านั้น อย่าได้กังวล”“พบบรรพบุรุษ?”หลิวซีซวนทำเป็นไม่ได้ยินคำถามจากอีกฝ่าย เขาผุดลุกขึ้นมาด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง มองไปยังท่านตาตู้เฉิงที่กำลังนั่งจดบันทึกทรัพย์สมบัติในห้องลับนี้ด้วยท่าทางแข็งขัน ก่อนจะเดินไปสำรวจข้าวของในห้องอีกครั้งหู้ย รวยแล้ว“ท่านตา ตู้เจา ลี่จู พวกเรารวยแล้ว” เขาพุ่งเขาไปกอดทุกคนอย่างดีอกดีใจ พวกเขาเพิ่งกลายเป็นคนไร้บ้านหยกๆ บัดนี้กลายเป็นเศรษฐีผู้ร่ำรวยไปในเพียงพริบตา“นี่ข้าทำงานหน้าเตาอยู่บนทรัพย์สมบัติเหล่านี้มาหลายปีเลยหรือ ข้าจะเป็นลมแล้วคุณชายหลิว” ตู้ลี่จูเองก็แทบไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่เห็นมองรอบกาย ตาปริบๆ“คุณชาย เรื่องนี้อย่าเอะอะไปนะ” ตู้เจาเอ่ยเสียงแผ่ว ก่อนจะมองไปรอบกาย ในห้องนี้นอกจากพวกเขาแล้ว ก็มีเซวียนจางหย่งอีกคน“ใช่ รู้กันแค่นี้ คนเรารู้หน้า ไม่
ห้าปีต่อมาหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองหลวงเมื่อห้าปีก่อน จวนตระกูลหลิวก็ปิดเงียบมาตลอด ฮ่องเต้เฉินเฟยหลงนั้นเหนื่อยใจไม่น้อยที่อุตส่าห์พาตัวทายาทตระกูลหลิวกลับมาอยู่ในเมืองหลวง แต่อีกฝ่ายก็ยังคงมีนิสัยเหมือนกับต้นตระกูล นั่นคือเกลียดความวุ่นวาย สิ่งที่หลิวซีซวนขอพระราชทานเป็นรางวัลจากเขาคือ การที่เขาสามารถอยู่เฉยๆ ได้ และปฏิเสธการเข้าพบคนจากราชสำนักหรือใครหน้าไหนก็ตามเขาจะต้องการอะไรอีกเล่า ในเมื่อยามนี้ได้สามีแล้ว เงินทองก็มีจนไม่รู้จะใช้ยังไงหมด ทรัพย์สมบัติในคลังสมบัติตระกูลหลิวก็ถูกเก็บไว้อย่างดีที่บ้านตระกูลหลิวที่เหิงเยว่โดยมีท่านตาตู้เฉิงเป็นผู้ดูแลด้านตู้เจาและตู้ลี่จูนั้นหลังจากเริ่มกิจการของตัวเอง ยามนี้ก็กลายเป็นร้านค้าชื่อดังที่มีหลายสาขา การงานการเงินมั่นคง ส่วนบุตรชายอย่างอาจ้านก็กำลังเตรียมสอบเข้าโรงเรียนหมอตามที่ตั้งใจไว้ หลิวซีซวนภูมิใจไม่น้อยที่คนข้างกายเขากำลังไปได้ดีกันทุกคน“กรี๊ดดดด อ๊ากกกกกกก”ยามนี้เสียงกรีดร้องกลับดังออกมาจากจวนตระกูลหลิวในเมืองหลวง บ่าวไพร่พากันวิ่งวุ่น ยามนี้สองจวนทุบกำแพงเข้าหากันจนกลายเป็นจวนขนาดใหญ่ ยิ่งเป็นการเสริมบารมีให้หลิวซีซวนแ
“เจ้ารู้ข่าวของถานตงหยางแล้วใช่หรือไม่”“ตอนนั้น ข้าเห็นเขาจากในภาพนิมิตแล้ว สุดท้ายคนผู้นั้นก็ถูกฆ่าตายอย่างไร้ค่ายิ่งนัก”“แล้วเจ้า..ไม่เสียใจหรือ” เซวียนจางหย่งนั้นเป็นบุรุษใจกว้าง เขารู้ดีว่าเขากำลังแต่งให้กับคนงามที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว เขาตระหนักอยู่เสมอว่า แม้หลิวซีซวนจะเลิกรากับอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เยื่อใย อย่างไรก็คนที่เคยอยู่กินกันมาหลายปี“ไม่หรอก เขาสมควรตายจริงๆ คนเช่นนั้นอย่างไรก็คิดไม่ได้ วันข้างหน้าย่อมต้องก่อการเลวร้ายอีกแน่ นับว่าความแค้นระหว่างข้าและเขาได้จบสิ้นในชาตินี้อย่างสมบูรณ์แล้ว” หลิวซีซวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เรียกรอยยิ้มจากบุรุษรูปงามได้ไม่น้อยตัดเวรกันได้แล้วก็ดีชายหนุ่มก้าวเข้ามา ก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมกอดแนบชิดทั้งสองร่างจากทางด้านหลัง แก้มนวลขึ้นสีเล็กน้อยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง ที่ผ่านมาเหอซีซวนนั้นเป็นคนซุกซนชอบเรื่องสนุกสนาน แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็ซึมลงไปถนัดตาจนน่าเป็นห่วง เขานึกไปว่าอีกฝ่ายเสียอกเสียใจเรื่องอดีตสามีเสียอีก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กำลังมีบางเรื่องรบกวนจิตใจเกอคนงามอยู่“แล้วเมื่อกี้ เจ้ากำลั
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นเมืองหลวง ก็ถึงเวลาแห่งการฟื้นฟู โชคดีที่นอกจากจัตุรัสกลางเมืองแล้ว ไม่มีสิ่งใดพังทลาย ทว่าก็มีชาวบ้านโดนลูกหลงจนบาดเจ็บเป็นจำนวนไม่น้อย จนฮ่องเต้ต้องประกาศเรียกตัวหมอตามเมืองต่างๆ ให้เร่งเข้ามาช่วยรักษาอาการให้ปลอดภัยสิ่งที่ทำให้ผู้คนนึกทึ่งในช่วงเวลาวิกฤตก็คือ องค์ชายห้าจอมเสเพลนั้น แท้จริงแล้วเป็นเจ้าของที่แท้จริงของห้องอาหารส่องดาว พระองค์นำอาหารจากห้องอาหารมาเปิดโรงทานแจกจ่ายให้กับผู้คนอย่างไม่รอช้า เหล่าองค์ชายคนอื่นก็ไม่น้อยหน้า เมื่อได้เวลาแสดงความสามารถก็ต่างพากันช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันอย่างเต็มกำลังสถานการณ์ในเมืองจึงกลับมาสู่สภาพปกติดังเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือกลุ่มขุนนางชั่ว งานนี้ความผิดประจักษ์เห็นต่อหน้า จวิ้นอ๋องกำเริบเสิบสาน ตั้งใจชิงบัลลังก์ถึงขั้นกล้าลงมือกับประชาชนโดยมีขุนนางหลายคนหนุนหลัง ฮ่องเต้แต่ไหนแต่ไรประนีประนอม ใจอ่อนให้จวิ้นอ๋องที่มีอำนาจฝั่งมารดาถ่วงดุลอยู่ไม่น้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายตายไปแล้ว เขาก็ไม่คิดจะยั้งมือกับพวกขุนนางทั้งหมดที่ร่วมก่อการในครั้งนี้หนึ่งในนั้นก็คือ เสนาบดีเซี่ยโม่โฉว วันนั้นเลี่ยงชิงและเลี่ยงหรงใ
“หลานรัก” เสียงเพรียกดังขึ้นมาแต่ไกล เขาหลับตาลง ก่อนจะพบว่าตนเองมาโผล่อยู่ในมิติส่วนตัวของตนอีกครั้งในที่นี้นั้นสงบเงียบและปลอดโปร่ง ต่างจากโลกแห่งความจริงที่เขากำลังเผชิญ ท่านตาหลิวหงชิงกำลังจิบชาร้อนด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะหันมายิ้มให้เขา“ท่านตา เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“ข้ารู้แล้ว เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหา”“แต่ท่านตา ผู้คนกำลังจะตาย ข้าเองก็จะไม่ไหวแล้ว”“ชู่ หลานรัก ทำใจให้สบาย ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่า วันนี้เจ้าต้องมีสติให้มาก” หลิวหงชิงยกยิ้มอ่อนโยนให้กับหลานคนเดียว ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้“ข้าพยายามเต็มที่แล้ว ท่านตา แต่ข้าจัดการพวกมันไม่ได้ ข้าช่วยใครไม่ได้เลย”“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าทำดีแล้ว เด็กดี ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อให้มีชีวิตที่ดี ได้สร้างครอบครัวดั่งที่ใจปรารถนา ข้าไม่ได้ตั้งใจจะให้เจ้าต้องรับศึกหนักเช่นนี้” ชายชราปลอบหลานชาย ก่อนจะเอ่ยต่อ“เวลาที่ผ่านมา ข้าติดอยู่ในมิติส่วนตัวนี้มานานเกินไปเหลือเกิน ยามนี้เหอซีซวนได้รับการปลดปล่อยแล้ว ตัวข้าที่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยววิญญาณก็ควรถึงเวลาต้องไปแล้วเช่นกัน”“ท่านตา ท่านจะไปไหน ท่านไปแล้ว ข้าจะอยู่กับใคร” “เจ้าก็อยู่กับสามี
เขาจะทำอะไรได้ ยามนี้แค่ทรงตัวยืนอยู่ แล้วตั้งรับดาบที่เข้ามารอบทิศก็ลำบากมากแล้ว และก่อนที่เขาพลาดท่าก็มีใครบางคน ปรี่มาช่วยเขาเสียก่อน“คุณชายหลี่” ใช่แล้ว คือพ่อหนุ่มดวงมหาโชคคนดีคนเดิมนั่นเอง ดูจากฝีไม้ลายมือ เขาก็พอจะดูออกว่าคนผู้นี้นั้นไม่สันทัดเรื่องการใช้กำลังเท่าไหร่นัก ไม่แปลกใจที่ได้ทำงานสายผู้ตรวจการมากกว่าจะไปทางทหาร แบบเซวียนจางหย่ง“หลิวซีซวน เจ้าระวังตัวด้วย”“สามีข้าเป็นอย่างไรบ้าง”หลี่เฉียงฮุยถึงกับหันกลับมามองเขา ด้วยสายตาเหลือเชื่อ“เจ้าห่วงชีวิตสหายข้ามากกว่าชีวิตตนเองอีกหรือ รีบเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ข้าเองก็ไม่รู้จะช่วยเจ้าต้านไว้ได้มากเพียงใด”“คุณชายหลี่ ท่านช่วยหยุดโจวเฟิง มันจะจุดเทียนอีกครั้ง ค่ายกลชิงดวงจะกลับมาทำงานได้ใหม่” หลี่เฉียงฮุยมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที เขาสองคนถูกรุมล้อมรอบด้าน จนแทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นนี้ จะทำอะไรได้“งั้นเอาเช่นนี้ก็แล้วกัน” หลี่เฉียงฮุยถือคติว่า อะไรทำได้ก็ให้ทำไปก่อน เขาดึงมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ออกมา ก่อนจะปาไปทางโจวเฟิงหวังปลิดชีพถึงจะปลิดชีพไม่ได้ แต่ทำลายสมาธิมันได้ก็ยังดีแต่ใครจะไปคาดคิดในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมีดสั้นพ
หลิวซีซวนค่อยๆ ลุกขึ้นมาช้าๆ ด้วยแรงแค้นที่แน่นอก หากคนตกใจสามารถยกโอ่งหนีไฟไหม้ได้ คนที่กำลังโกรธก็น่าจะยกภูเขาได้ไม่ต่างกัน โดยที่ไม่มีใครคาดฝัน เกอคนงามร่างบางที่เมื่อครู่ยังซวนเซ กลับเดินไปยกแท่นพิธีที่หักครึ่งแล้วทุ่มไปทางโจวเฟิงอย่างไม่ออมมือตู้ม!!!โจวเฟิงนั้นแม้บาดเจ็บอยู่ แต่ประสาทสัมผัสยังคงเฉียบคม เขาจึงกระโดดหลบแท่นหินขนาดใหญ่ได้อย่างหวุดหวิด“นี่เจ้า”“หมาลอบกัด เจ้าแอบซ่อนอยู่ข้างกายข้าและจางหย่งมาตลอด” หลิวซีซวนตวาดดังลั่น เสียงสั่นด้วยความโมโห“แล้วอย่างไร บุรุษผู้นี้มันโง่เอง มันกล้าบุกเข้ามาสอบสวนข้าเพียงลำพัง ทั้งที่รู้ว่าข้านั้นเป็นหลวงจีนที่มีวิชาอาคม สุดท้ายมันก็ถูกข้าใช้วิชาสับเปลี่ยนวิญญาณ และปล่อยให้มันตายไปกับร่างเดิมของข้าในคุก ฮ่าๆๆ”“เจ้ามันสารเลว เพราะเจ้า ผู้คนถึงได้เดือดร้อน เจ้าไม่ได้ต้องการช่วยจวิ้นอ๋องให้ครองบัลลังก์ เจ้าก็แค่ต้องการละเลงเลือดทาแผ่นดินก็เท่านั้น เจ้ามันปีศาจชัดๆ ไม่ต้องพูดมาก เจ้าจะเป็นใครก็ช่าง ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปได้แน่ กล้าทำร้ายคนของข้า เช่นนั้นเจ้าก็จงรับผลกรรม” หลิวซีซวนหยิบดาบขึ้นมาถือไว้พร้อมกับกระชับไว้แน่น พร้อมที่จะโ
ไต้ซือไป๋ในร่างของโจวเฟิงล้วงเข้าไปในปกเสื้อ ดึงเทียนทำพิธีสีแดงแท่งใหม่มาถือไว้อย่างหมายมาด เวลาเหลืออีกไม่มากนัก หากว่าเทียนเล่มเก่าดับ เช่นนั้นเขาก็จะจุดแท่งใหม่ด้วยตัวเองถึงอย่างไร เขาก็ต้องทำภารกิจวันนี้ให้สำเร็จให้ได้เขาควบม้ามุ่งหน้าเข้าไปใจกลางเมือง ถึงแม้เทียนจะดับ แต่หากเขาสามารถจุดเทียนสำรองนี้ได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามโดยที่เหยื่อบูชายัญทั้งสี่ทิศยังคงอยู่ที่เดิม ค่ายกลก็ยังกลับมาทำงานได้อีกครั้งไม่แน่ว่าป่านนี้ คนที่บุกไปทำลายพิธีอาจจะโดนทัณฑ์สวรรค์ผ่าร่างจนตายไปแล้วก็ได้โจวเฟิงมองออกไปไกลยังใจกลางเมือง ก็เห็นเมฆก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีอัสนีฟาดลงมาที่กลางเมืองจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนแผ่นดินสะเทือนเปรี้ยง!!สายฟ้าฟาดลงมากลางแท่นพิธีที่จัตุรัสกลางเมืองเก้าครั้งติดกันไม่หยุด วันนี้ที่เมืองหลวงนั้นเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวมืดครึ้มเดี๋ยวสว่าง จู่ๆ ท้องฟ้านั้นกลับส่งสายฟ้าฟาดลงมา ท่ามกลางการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย“แฮ่กๆๆ รอดจริงๆ ด้วย” หลิวซีซวนที่ร่ายรำอยู่นาน สุดท้ายเขาก็สามารถเอาตัวรอดจากทัณฑ์สวรรค์ได้ เขามองไปรอบกายก็พบว่าจัตุรัสกลางเมืองนั้นเละ ไม่เหลือชิ้น
ในขณะพวกเขายังสู้กันต่อ แต่หลิวซีซวนกำลังตัวสั่นอยู่กลางพิธี ดวงตาสีทองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าแตกตื่นนี่เราลืมอะไรไปรึเปล่าอ๋อ เราลืมไปใช่หรือไม่ว่าหลังจากทำลายค่ายกลชิงดวงแล้ว จะได้รับทัณฑ์สวรรค์เป็นสายฟ้าฟาดเวรเอ๊ย กูจะโดนฟ้าผ่าอีกแล้วเหรอวะเนี่ย ครั้งที่แล้วโดนไปยังเกือบตายสักพัก เขากลับได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาจากภายใน เป็นเสียงของท่านตาที่คงอดทนไม่ไหว จึงแอบมาบอกเขา“ค่ายกลเทวาร่ายรำ” เขามองท้องฟ้าที่เริ่มมีเมฆตั้งเค้าอีกรอบด้วยความสยอง เวลานี้จำเป็นต้องงัดวิชาทุกวิชาของตระกูลหลิวออกมาเพื่อปกป้องตนเองเสียก่อน เทวาร่ายรำก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำเพื่อสร้างเกราะกำบังกายให้กับตนเองจะรออะไรล่ะ ร่ายรำไปเลยสิจ๊ะหลิวซีซวนขยับร่างกายไปพร้อมกับบริกรรมคาถาไปด้วย เขาต้องเรียกสติตนเองตลอดเวลาเพราะหาไม่แล้วอาจจะเผลอก่นด่าสวรรค์ไปแล้วหลายรอบ รอบกายของเกอคนงามเปล่งประกายสีทอง ราวกับแผ่ออกมาเพื่อเป็นเกราะกำบังภัย ตัวของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด กล้ามเนื้อถูกเคี่ยวกรำอย่างหนัก จนเริ่มรับพลังมหาศาลที่ไหลเวียนในกายไม่ไหว เขาไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ แต่เขาจะไม่ยอมโดนฟ้าผ่าตายอีกหนแน่ๆที่หน้าประตูเม
เซวียนจางหย่งถึงกับมีสีหน้ามืดครึ้ม ทัพของจวิ้นอ๋องและแม่ทัพหวงจะมีอะไรให้น่ากังวล ต่อให้พวกเขาบุกเข้ามาเวลานี้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีชัยเหนือคนที่เหลือสิ่งที่น่ากลัวคือ ทัพของหยวนหลี่เฉียงต่างหาก คนผู้นั้นเด็ดขาดโหดเหี้ยม ไม่เคยแพ้ให้กับผู้ใด ไม่เคยมีใครคิดระแวงว่าเขาจะย้ายฝั่งไปสนับสนุนจวิ้นอ๋อง“ข้านี่โชคดีเหลือเกินที่เลือกออกเดินทางไปศึกษาวิชากับพวกหลวงจีนและนักพรตตามเมืองต่างๆ จึงได้รู้จักหลวงจีนที่เชี่ยวชาญวิชานอกรีตอย่างหาตัวจับได้ยาก เขาเก่งถึงขนาดที่สามารถสับเปลี่ยนดวงวิญญาณของตนเองกับผู้อื่นได้ เช่นนี้ข้าคงไม่เหลืออะไรให้กังวล แม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ยังต้องยอมสยบให้กับข้า หึหึ” จวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับมองสงครามกลางเมืองที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด แม้ว่ายามนี้จะมีกองกำลังน้อยกว่าแต่กลับได้เปรียบกว่าทหารหาญและราชองครักษ์ในที่นี้ เซวียนจางหย่งต้องต่อสู้ไปพร้อมกับเฝ้าสังเกตอาการของคนรักที่อยู่กลางแท่นพิธีเพียงลำพังหลิวซีซวนหวนคิดถึงท่านตา ถึงว่าเมื่อคืนถึงคอยกำชับให้เราตั้งสติ เพราะจะเกิดเรื่องแบบนี้นี่เอง ครั้งก่อนเขาเป็นผู้ที่ทำลายพิธีชิงดวงของหลี่เฉียงฮุยเพียงผู้เดียว ครา