หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น
“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”
‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’
“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’
“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”
‘ใช่แล้ว ข้าเอง’
“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”
‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’
“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”
‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’
“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”
‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’
หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนาง
นางก็เช่นกัน หยวนอี้เหลียน ผู้ที่ทำให้หยวนจือหลินคนก่อนตายไปด้วยน้ำมือของนางเอง
“ฝ่าบาท พระสนมอี้เฟยตกหน้าผาตายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ ดีแล้วจะได้ไม่เสียเวลาจัดการกับศพของนาง”
“แต่ว่านางมีฐานะเป็นพระสนมนะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ควรที่จะ…”
“ข้าไม่สังหารนางเองกับมือก็นับว่าดีมากเท่าไหร่แล้ว อย่าได้คิดจะเอาศพของนางมาอยู่ร่วมสุสานเดียวกันกับราชวงศ์เป็นอันขาด ไปจัดการตามที่ข้าสั่ง”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ยามจื่อ[1]
กลางดึกคืนนั้นหยวนจือหลินนอนกระสับกระส่ายเหงื่อท่วมไปทั่วทั้งตัว ในห้วงแห่งความฝันอันเลือนลางนั้นนางรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นกำลังยืนอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ที่มืดมิดมองแทบไม่เห็นทางข้างหน้าเลยแม้เพียงนิด
‘จือหลินเจ้าได้ยินข้าหรือไม่’
‘นั่นใคร? เสียงใครกัน?’
‘จือหลิน ข้าเอง’
ความมืดสนิททำให้หยวนจือหลินเริ่มกลัวขึ้นมาบ้างแล้วนางหันมองไปทั่วแต่ก็ไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ เห็นเพียงหมอกควันจางๆ ที่ลอยปกคลุมเรือนร่างของใครบางคนเอาไว้ที่ยืนอยู่ห่างจากนางไม่ไกลกันนัก
‘นั่นใครกัน?’
หยวนจือหลินตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ๆ ถึงได้เห็นใบหน้าของคนผู้นั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
‘ทะ ท่าน! เหตุใดท่านถึงมีใบหน้าเหมือนกันกับข้าเช่นนั้นเล่า’
‘เพราะเราทั้งสองมีดวงชะตาเกี่ยวพันกัน จือหลินข้าต้องไปแล้ว”
“ไป? ไปไหนแล้วมาบอกข้าทำไมเจ้าคะ”
“ข้ามาหาเจ้าก็เพียงแค่มาร่ำลาเท่านั้น ฝากเด็กๆ ทั้งสองและบุรุษผู้นั้นให้เจ้าดูแลแทนด้วยนะ ชาตินี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้ดูแลพวกเขาอีกแล้ว’
‘ท่านหมายความว่าอย่างไร แล้วข้าล่ะข้าจะได้กลับบ้านหรือไม่’
นางไม่ได้ตอบคำถามนั้นเพียงแค่ส่งยิ้มให้หยวนจือหลินก่อนที่เงาร่างของนางจะค่อยๆ เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาของหยวนจือหลินทีละนิด
‘เดี๋ยวสิ! จะรีบไปไหนรอข้าก่อน!’
“เฮือก!”
หยวนจือหลินสะดุ้งตื่นขึ้นมาร่างกายของนางเหงื่อท่วมไปหมด คำพูดของหยวนจือหลินคนก่อนผู้นั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวของนางไม่จางหาย
หากไม่ใช่ว่าตอนนี้นางนั่งอยู่บนเตียงนอนหลังนี้แล้วนั้น สิ่งที่นางพบเจอเมื่อครู่คงจะเป็นเรื่องจริงมากกว่าความฝันอย่างแน่นอน
‘น่าขนลุกเสียจริง’
“หลินเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
“ท่านพี่เองหรอกหรือเจ้าคะ”
“ก็ข้าน่ะสิเจ้าคิดว่าจะมีใครมานอนข้างๆ เจ้าได้กัน”
“ไม่ใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ คือว่า…ข้าฝันร้ายอยู่น่ะเจ้าคะ”
“ฝันร้ายหรือ”
“ก็ไม่น่าจะเป็นฝันร้ายไปเสียทีเดียวหรอกเจ้าคะ”
‘สตรีผู้นั้นคือเจ้าของร่างนี้สินะ นางจากไปแล้วเช่นนั้นก็แสดงว่าข้าคงต้องอยู่ที่นี่ต่อไปเช่นนั้นหรือ’
“ทำไมเงียบไปเล่าเจ้าฝันว่าอะไรงั้นหรือเล่าให้ข้าฟังได้นะ”
“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะท่านพี่ ท่านนอนต่อเถอะข้าจะไปดูลูกๆ เสียหน่อย”
“ก็ได้”
หยวนจือหลินค่อยๆ ลุกจากเตียงนอนก่อนจะเดินออกมาจากห้องแล้วปิดประตูลงอย่างเบามือ นางเดินออกไปยังระเบียงหน้าบ้านมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เวลานี้ความมืดมิดได้ปกคลุมไปจนทั่ว แต่ก็
เพราะมีแสงจากดวงจันทร์และดวงดาวที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่นั่นเองถึงทำให้ท้องฟ้าในเวลานี้นั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่น่าจะเป็น
‘ก็เหมือนชีวิตของนางในเวลานี้หรือไม่นะที่ไม่ได้มืดมนไปเสียทุกอย่าง’
‘หยวนจือหลินข้าขอให้วิญญาณของท่านไปสู่สุขติเถอะนะ ต่อจากนี้ไปข้าจะดูแลก้อนแป้งทั้งสองของท่านและสามีผู้ซื่อสัตย์ของท่านให้ดีที่สุดเอง’
หยวนจือหลินยืนมองดวงดาวบนท้องฟ้าอยู่นานสองนานจนหลี่หงอี้ต้องเดินตามออกมา
“เหตุใดเจ้าถึงมายืนอยู่ตรงนี้กันล่ะหลินเอ๋อร์”
“ข้าก็แค่คิดยืนอะไรไปเรื่อยน่ะเจ้าค่ะ ท่านไม่นอนต่อหรอกหรือ”
“ไม่มีเจ้าอยู่ข้างกายข้านอนไม่หลับ”
หยวนจือหลินหันไปมองใบหน้าของผู้เป็นสามีอยู่นานสองนานนางคิดในใจมาตลอดว่าควรที่จะสารภาพความจริงกับเขาดีหรือไม่ ว่านางไม่ใช่หยวนจือหลินตัวจริงเป็นเพียงแค่วิญญาณเร่ร่อนที่มาอาศัยร่างของภรรยาของเขาเท่านั้น
แต่พอคิดๆ ดูอยู่หลายครั้งหลายหนกลับคิดว่าควรที่จะไม่บอกเขาเสียดีกว่า ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาก็แล้วกันเพราะถึงอย่างไรหยวนจือหลินคนก่อนก็ไม่กลับมาแล้ว ในเวลานี้ร่างๆ นี้ก็กลายเป็นของนางไปแล้ว นางสัญญากับตนเองว่าจะดูแลทุกคนดูแลทุกอย่างให้ดีที่สุดแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วกระมัง
“ข้ารักท่านนะเจ้าคะ”
“ข้าก็รักเจ้าหลินเอ๋อร์”
หยวนจือหลินโผเข้ากอดผู้เป็นสามีแน่นส่วนหลี่หงอี้เองก็กระชับอ้อมกอดเข้าหานางแน่นเช่นกัน
หลี่หงอี้เองก็ลอบมองผู้เป็นภรรยาที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาโดยไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดออกมาเช่นเคย ทั้งที่ยังคับข้องใจเกี่ยวกับตัวตนของนางอยู่ไม่น้อย
และหากไม่ใช่เพราะคืนนี้วิญญาณของหยวนจือหลินคนก่อนมาหาเขาตัวเขาเองคงไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าเขายังคงรู้สึกรักและหวงแหนนางในฐานะสหายวัยเด็กหรือภรรยาของเขาจริงๆ กันแน่ แต่ในตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าคนที่ยืนอยู่ข้างกายในเวลานี้คือคนที่เขารักจริงๆ
-ย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วยาม[2]ก่อน-“นั่นใคร”
‘ท่านพี่’
กลางดึกในคืนเดียวกันนั้นหลี่หงอี้นอนหลับสนิทอยู่ข้างกายภรรยาของเขาความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นเหมือนได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเขาอยู่ทำให้เขาต้องงัวเงียลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก
เมื่อพลิกตัวเพื่อยันกายลุกขึ้นกลับพบว่ามีใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้าต่างของห้อง แต่ร่างๆ นั้นช่างเลือนรางเหมือนเป็นเพียงหมอกควันจางๆ เท่านั้น
“เจ้าเป็นใคร? เข้ามาในห้องนี้ได้อย่างไร”
‘ท่านพี่ ข้าเองหลินเอ๋อร์ของท่านอย่างไรล่ะ’
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หลินเอ๋อร์นอนอยู่บนตะ…”
หลี่หงอี้รู้สึกตื่นตกใจเป็นอย่างมากเพราะเมื่อมองไปที่เตียงนอนหลังงามหลังนั้นก็พบว่ามีหยวนจือหลินนอนอยู่บนนั้นอยู่แล้ว แต่ตรงหน้าต่างกลับมีหยวนจือหลินอีกคนยืนอยู่นางส่งยิ้มให้เขาบางๆ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
หลี่หงอี้ยังคงรู้สึกสับสน เขาสะบัดศรีษะเพื่อไล่ความรู้สึกมึนงงออกไป
‘ท่านพี่ ข้าเป็นเพียงหยวนจือหลินคนโง่เขลาที่ไม่เคยรักท่านเลย คนที่รักท่านก็คือหยวนจือหลินคนนั้นคนที่นอนอยู่บนเตียงกับท่านอย่างไรเล่าเจ้าคะ’
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
‘ท่านพี่หยวนจือหลินคนเก่าได้ตายไปแล้วท่านลืมข้าไปเถอะนะเจ้าคะ คนที่ท่านควรรักคือหยวนจือหลินคนที่อยู่กับท่านในตอนนี้ ข้าต้องไปแล้วฝากดูแลลูกๆ ของเราด้วยนะเจ้าคะ’
“เดี๋ยวสิ ข้าไม่เข้าใจ”
ไม่ทันได้คำตอบอะไรร่างๆ นั้นก็มลายหายไปตรงหน้าของหลี่หงอี้ทันที
‘ท่านพี่หยวนจือหลินคนเก่าได้ตายไปแล้วท่านลืมข้าไปเถอะนะเจ้าคะ คนที่ท่านควรรักคือหยวนจือหลินคนที่อยู่กับท่านในตอนนี้ ข้าต้องไปแล้วฝากดูแลลูกๆ ของเราด้วยนะเจ้าคะ’
หยวนจือหลินคนเก่าตายไปตั้งแต่ตอนนั้นตอนที่นางหกล้มในห้องนอนที่เมืองลั่วอันแล้วเช่นนั้นหรือนี่ แล้วที่นางจะบอกก็คือคนที่รักข้าจริงๆ คือหยวนจือหลินคนที่อยู่ข้างกายข้าตอนนี้ใช่หรือไม่นะ
เมื่อคิดได้ดังนั้นหลี่หงอี้ก็ขยับร่างกายก่อนจะกระชับอ้อมกอดเข้าหานางแนบแน่น ต่อจากนี้ไปเขาจะดูแลครอบครัวของเขาให้ดีที่สุดเช่นกัน
‘ลาก่อนนะหยวนจือหลิน ขอให้เจ้าไปสู่ภพภูมิที่ดี’
“ท่านพี่เหตุใดถึงเงียบไปเจ้าคะคิดอะไรอยู่หรือ”
“ไม่มีอะไรหรอกข้าแค่รู้สึกว่าชีวิตของโชคดีมากเสียจริงที่มีเจ้าอยู่ข้างกายก็เท่านั้น”
“ข้าก็เหมือนกันชีวิตของข้าหากไม่มีทางคงไม่โชคดีเช่นนี้”
“เจ้าอย่าทิ้งข้าไปเลยนะ อยู่กับข้าที่นี่แหล่ะ”
“เหตุใดถึงได้พูดเช่นนั้นเจ้าคะข้าพูดเมื่อไหร่ว่าจะทิ้งท่านไป”
“ข้าก็เพียงพูดไปเรื่อยน่ะอย่าถือสาเลย ไปนอนกันเถอะยังอีกตั้งหลายชั่วยามกว่าจะเช้าข้านวดให้เจ้าเอง”
“ข้าไม่ได้เมื่อยจะนวดทำไมกัน”
“ก็นวด….ตรงนี้อย่างไรเล่า”
“ท่านพี่!”
หยวนจือหลินรีบเอามือของเขาออกจากหน้าอกของตนเองทันทีแต่มือของหลี่หงอี้นั้นเหนียวอย่างกับปลาหมึกแกะอย่างไรก็แกะไม่ออก
“ไม่มีใครเห็นหรอกน่า”
“ไม่ได้นะเจ้าคะนี่มันนอกห้องหากพวกบ่าวในจวนเดินมาเห็นเข้าก็แย่สิ น่าอายจะตายไป”
“เช่นนั้นในห้องคงไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“มะ…”
ไม่ทันที่หยวนจือหลินจะตอบกลับหลี่หงอี้ก็รีบประกบจูบที่ริมฝีปากเรียวบางของนางทันที แม้อยากจะต่อต้านแต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่านางเองตอนนี้คือภรรยาตัวจริงของเขาแล้วหยวนจือหลินจึงได้แต่ปล่อยไปตามใจปรารถนา ต่อไปนี้ชีวิตของนางคงจะไม่เงียบเหงาอีกต่อไปแล้ว
-จบบริบูรณ์-
- - - - - - - - -[1] ยามจื่อ (23.00 – 01.00 น.)
[2] สองชั่วยาม = 4 ชั่วโมงยามเหม่า[1]“ท่านพี่เหตุใดท่านแม่ถึงได้นอนนิ่งไปเช่นนั้นกันเล่าเจ้าคะนางจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่”“ก็ต้องตื่นอยู่แล้วสิ เจ้าอย่าได้พูดเช่นนั้นอีกนะหากท่านแม่ได้ยินเจ้าจะแย่เอาได้”“ข้าแค่เป็นห่วงท่านแม่ก็เท่านั้นเอง”เด็กน้อยสองคนกำลังยืนสนทนากันอยู่ด้านข้างผู้เป็นมารดาของพวกเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของร่างนั้นได้สิ้นใจไปนานแล้วขณะที่ผู้เป็นพี่ชายพยายามกอดปลอบน้องสาวของเขาอยู่นั้นก็เป็นต้องตกใจจนสะดุ้งโหยงเมื่อผู้เป็นมารดาอยู่ๆ ก็ตะโกนร้องออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัวกันทั้งคู่“ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย…”เด็กน้อยทั้งสองกอดกันแน่นแต่เมื่อได้ยินคำพูดที่พวกเขาทั้งคู่ฟังแล้วไม่คุ้นหูถึงกลับต้องหันมองหน้ากันไปมาด้วยความสงสัยในสิ่งที่ผู้เป็นมารดาเอ่ยออกมา“ท่านแม่พูดว่าอะไรนะ”“ไม่รู้สิ”อาการหนักอึ้งที่ขมับข้างศรีษะทำให้หยวนจือหลินลืมตาตื่นขึ้นอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาทีละนิดจนภาพตรงหน้าที่พร่าเลือนปรากฏให้เห็นเป็นเด็กชายหญิงสองคนอายุราวๆ สี่ห้าขวบกำลังยืนจ้องมองเธออยู่‘นั่นใครกันล่ะเนี่ย นี่ฉันยังไม่ตายงั้นหรือ’หยวนจือหลินหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นแต่
'ทำอย่างไรดี ไม่เอาแบบนี้สิข้าอยากกลับบ้าน!'“ตื่นมาก็นานมากแล้วเหตุใดความทรงจำของร่างนี้ถึงไม่มาด้วยกันเล่า แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้ข้าเป็นใครมาทำอะไรที่นี่ เฮ้อออ…”หยวนจือหลินเอนหลังนอนลงบนเตียงอีกครั้งก่อนจะเอามือก่ายหน้าผากตนเองแล้วหลับตาลง นางพยายามที่จะคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นของเจ้าของร่างนี้อยู่นานสองนานแต่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาในหัวของนางเลยสักเพียงนิด“โว๊ย! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สวรรค์จะส่งฉันมาอยู่ที่นี่ทำไมกันฉันอยากกลับบ้าน!”หยวนจือหลินทึ้งผมตนเองอย่างแรงก่อนที่ในหัวของนางจะมีภาพๆ หนึ่งฉายชัดขึ้นมาและเริ่มไหลเวียนเข้ามาไม่หยุดหย่อนปรากฎให้เห็นเป็นภาพของสตรีนางหนึ่งที่เอาแต่ทุบตีลูกน้อยทั้งสองของนางอยู่ไม่เว้นวัน พวกเขาทั้งคู่ต่างก็นั่งร้องไห้น้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสาย‘ท่านแม่อย่าตีน้องเลยนะขอรับ ท่านตีข้าเพียงคนเดียวเถอะ’‘ฮือฮือ’เด็กน้อยสองคนนั่งกอดกันแน่นร้องไห้อยู่บนพื้นนอกบ้านท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บลมพายุที่พัดผ่านมายิ่งทำให้พวกเขาสั่นสะท้านมากขึ้น เด็กชายคนนั้นเอาแต่ร้องขอให้มารดาของเขาหยุดทุบตีผู้เป็นน้องสาวและอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในบ้านผ
หยวนจือหลินปิดประตูห้องนอนลงก่อนจะหันมองไปรอบๆ บ้าน นางเดินสำรวจบ้านหลังนี้แทบจะทุกซอกทุกมุมโดยมีเด็กน้อยทั้งสองเดินตามหลังไปติดๆ จนไปสุดที่ห้องสุดท้ายดูแล้วน่าจะเป็นห้องครัวตั้งอยู่บริเวณหลังบ้านเลยก็ว่าได้ภายในห้องครัวนั้นมีเตาถ่านตั้งเรียงรายอยู่สองสามอันเครื่องครัวที่ทำจากทองเหลืองเก่าๆ ถูกวางเอาไว้อย่างไม่เป็นระเบียบนัก ผนังห้องครัวมีชั้นวางที่เต็มไปด้วยขวดเครื่องเทศต่างๆ นับไม่ถ้วนที่ถูกวางอย่างระเกะระกะบางขวดก็ถูกเปิดออกแต่ไม่ยอมปิดฝาไว้ดังเดิมจนเครื่องเทศที่บรรจุไว้ภายในนั้นเริ่มเน่าและส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้องหยวนจือหลินปิดจมูกเอาไว้แน่นก่อนจะเข้าไปยืนอยู่ตรงกลางแล้วสำรวจทั่วทั้งห้องอีกครั้งกลับพบว่าแทบจะไม่มีวัตถุดิบอะไรหลงเหลืออยู่เลย หยวนจือหลินรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมากนางเดินไปหยิบเอาขวดเหล่านั้นทิ้งลงในตระกร้าก่อนจะเอาออกไปวางไว้นอกห้องครัว แล้วจึงเก็บเอาท่อนฟืนที่ถูกตัดวางเรียงรายอยู่ข้างๆ กันนำไปก่อกองไฟเพื่อปรุงอาหารง่ายๆ ประทังชีวิตของทั้งสามคนสำหรับเช้านี้ไปก่อน“ท่านแม่”หยวนจือหลินไม่ได้หันไปมองยังต้นเสียงเล็กๆ ที่เรียกนางอยู่ นางกำลังหันหลังจัดระเบีย
“ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ”เสียงน้อยๆ ของอาชิงกำลังร้องเรียกหานางอยู่ หยวนจือหลินหันซ้ายหันขวากำลังจะหาที่หลบแต่เมื่อสังเกตดูกลับพบว่าอาชิงมองไม่เห็นว่านางยืนอยู่ข้างในนี้“เป็นไปได้อย่างไรกัน”“อาชิง อาชิงได้ยินข้าหรือไม่”หยวนจือหลินชั่งใจลองตะโกนเรียกนางแต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะไม่ได้ยินที่นางร้องเรียกสักเพียงนิด เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยมองไม่เห็นผู้เป็นมารดาจึงหันหลังวิ่งออกไปจากห้องครัวทันที“เฮ้อ โล่งอกไปทีนึกว่าจะมีคนเห็นข้าเสียแล้วไหนดูสิที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่”สถานที่ที่นางหลุดเข้ามาเหมือนเป็นห้องเก็บวัตถุดิบทั้งของสดของแห้ง ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักที่พบว่าของพวกนี้ยังคงใช้งานได้และมีทุกสิ่งที่นางต้องการนางหยิบเอาถุงเครื่องปรุงรสต่างๆ และเมล็ดพันธุ์ผักอีกหลายชนิดติดมือออกมาด้วย‘ดีล่ะใช้เครื่องปรุงพวกนี้ทำอาหารไปก่อนแล้วกัน’หยวนจือหลินเดินออกมาจากมิติวิเศษนั้นแล้วนำของที่หยิบติดมือมาด้วยวางไว้ในตะกร้าเก็บของ ก่อนจะหยิบผงปรุงรสมาโรยใส่ในหม้อข้าวต้ม“ท่านแม่!”“ว๊ายตาเถร!”“เอ๋? เมื่อครู่ท่านแม่พูดว่าอะไรนะเจ้าคะ”“ไม่มีอะไรหรอกอย่าสนใจไปเลย ว่าแต่เจ้าเข้ามาทำไมไม่ให้ซุ่มให้เสียงกันข้
“หลินเอ๋อร์” “จริงสิข้าก็ลืมถามไปเลยท่านเพิ่งกลับมาจากล่าสัตว์เหนื่อยมากหรือไม่เจ้าคะ”“อะไรนะ” หลี่หงอี้ได้ยินที่นางถามถึงกับงุนงงไปทันที เขาเองก็ยังนึกสงสัยอยู่ว่าสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาผู้นี้คือหยวนจือหลินภรรยาตัวจริงของเขาหรือไม่ เหตุใดถึงได้ดูเปลี่ยนไปจากเดิมได้ถึงเพียงนี้“ท่านพี่ ท่านพี่!”“หืม? อะไรหรือ”“เป็นอะไรไปเจ้าคะเมื่อครู่ข้าถามท่านว่าเหนื่อยมากหรือไม่”“มะ ไม่เป็นอะไรข้าไม่เหนื่อยหรอกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป จะว่าไปข้าได้หมูป่ามาตัวหนึ่งด้วยนะแต่ว่าตอนที่เดินมาถึงประตูรั้วได้ยินเสียงเจ้าร้องขึ้นมาพอดีจึงโยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้น ข้าจะรีบไปเอามาเดี๋ยวนี้”“อะไรนะ! นี่ท่านกล้าทิ้งหมูป่าเอาไว้หน้าประตูได้อย่างไรกัน”“ข้าขอโทษ ก็ข้าตกใจนึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้านี่นา”“ท่านรีบไปเอาเข้ามาในบ้านเลยนะรู้หรือไม่ว่าหมูป่าไม่ใช่ของที่ใครจะล่ามาได้ง่ายๆ เกิดมีคนขโมยไปไม่เสียดายแย่หรือ”“รู้แล้วๆ ไปเดี๋ยวล่ะ”เขาพูดจบก็รีบเดินไปที่หน้าประตูรั้วด้วยความรวดเร็ว หยวนจือหลินเองก็รีบเดินตามหลังเขาไปติดๆ โดยมีเด็กๆ ทั้งสองเดินตามนางมาด้วยหมูป่าที่หลี่หงอี้ล่ามาได้นั้นตัวใหญ่มากจริงๆ
หลี่หงอี้ที่เพิ่งจะถอดเสื้อออกก็หันมายังต้นเสียงที่แลดูตื่นตกใจนั้น เขาอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านางกำลังใช้มือเรียวบางคู่นั้นปิดที่ดวงตาของตัวเอง“เจ้าจะปิดตาไปทำไมกัน มากกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้วนะ”“ท่านว่าอะไรนะ”หยวนจือหลินค่อยๆ เปิดตาออกมาทีละนิดจนเห็นว่าเขาหันหน้ามามองที่นางแล้ว แผ่นอกเปลือยเปล่ากับผิวสีน้ำผึ้งที่มีมัดกล้ามแน่นๆดูเป็นลอนสวย หยวนจือหลินกลืนน้ำลายเล็กน้อยน่าเสียดายที่เขาถอดเพียงช่วงบนน่าจะถอดช่วงล่างไปด้วยเสียเลย ฮิๆ“ยิ้มอะไรหรือ”“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะคือว่าข้า..ความจริงข้าตั้งใจจะมาเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน แต่ในเมื่อท่านจัดการเองแล้วเช่นนั้นข้าขอตัวล่ะ”“เดี๋ยวสิ!”หลี่หงอี้คว้าเอวของนางมากอดเอาไว้แน่น“เจ้าไม่โกรธข้าแล้วหรือ”“ข้าโกรธอะไรท่านเรื่องอะไรงั้นหรือ”“ก็เรื่องที่ข้าต่อว่าใต้เท้าเจิ้งอย่างไรเล่าเจ้าไม่โกรธข้าแล้วใช่หรือไม่”“เหตุใดข้าต้องโกรธด้วยล่ะ แล้วใต้เท้าอะไรนั่นก็เป็นคนนอกครอบครัวนะเจ้าคะท่านเลิกพูดถึงเขาเสียทีสิ”“ก็ได้ๆ”ขณะที่ทั้งคู่จ้องตากันอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงของบุตรชายตะโกนร้องเรียกอยู่หน้าห้อง“ท่านพ่อ ท่านแม่ ทำอะไรอยู่หรือขอรับ” อาเฟยอาชิงที่
ยามซวี[1] เมื่อหยวนจือหลินส่งเด็กๆ ทั้งสองเข้านอนเรียบร้อยแล้วก็ออกมานั่งรับลมเล่นที่ระเบียงหน้าบ้าน บนท้องฟ้ายามมืดมิดในเวลานี้มีแสงจากดวงดาวท่ามกลางดวงจันทร์ที่เปล่งประกายงดงามท่ามกลางความเงียบเหงาความรู้สึกหลายหลายอย่างก็ประเดประดังเข้ามาไม่รู้จบสิ้นใจหนึ่งของนางก็คิดถึงบ้านที่จากมาแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าการอยู่ที่นี่นั้นก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียวหยวนจือหลินเองก็ไม่ได้อยากจะสร้างความรู้สึกผูกพันธ์กับคนที่นี่นักเพราะหากเจ้าของร่างเดิมนี้กลับมาได้จริงๆ ตัวของนางคงจะทำใจลำบากอย่างแน่นอนแต่ในเมื่อได้มาอยู่ที่นี่แล้วนางก็จะตั้งใจช่วยปรับปรุงบ้านหลังนี้และสร้างชีวิตดีๆ ให้กับเด็กๆ และสามีป้ายแดงของนางก่อนที่นางจะได้กลับบ้านไปจริงๆ“หลินเอ๋อร์เป็นอะไรไปคิดอะไรอยู่หรือ”“ท่านพี่เองหรอกหรือเจ้าคะ""แล้วคิดว่าใครกันเล่า ว่าอย่างไรข้าเห็นเจ้าเอาแต่นั่งเหม่อเป็นอะไรไปงั้นหรือ""ไม่มีอะไรเจ้าค่ะข้าก็เพียงแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ก็เท่านั้น ท่านพี่บ้านของเราเวลานี้มีเงินหรือไม่เจ้าคะ”“ก็พอมีอยู่บ้างไม่ได้ลำบากมากถึงกับไม่มีอะไรจะกิน เจ้าถามทำไมหรือ”'ไม่ลำบากมากอย่างงั้นหรือ? แต่เท่าที่
ยามเหม่า[1]"ท่านพี่ตื่นเถอะเจ้าคะ ท่านพี่”“อืม หลินเอ๋อร์เช้าแล้วหรือ” “ใกล้ถึงยามเหม่าแล้วนะเจ้าคะวันนี้ข้าจะเข้าเมืองท่านลืมไปแล้วหรือ”“ไม่ได้ลืมข้าแค่เหนื่อยนิดหน่อยเลยตื่นสาย”“เช่นนั้นข้าไปเองก็ได้ท่านพี่ดูแลลูกๆ แทนข้านะเจ้าคะ”“ไม่ได้ เจ้าจะไปคนเดียวได้อย่างไรรอข้าก่อนไม่นานนักหรอก”“ก็ได้เจ้าค่ะ”หลี่หงอี้ที่ยังงัวเงียเหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่มนั้นรีบลุกขึ้นจากเตียงนอนด้วยความเร่งรีบไม่มีอิดออดเลยสักนิด เพราะไม่ว่าภรรยาของเขาจะร้องขอสิ่งใดเขาล้วนทำให้นางได้ทุกอย่างอยู่แล้ว“ท่านแม่ ท่านพ่อ พวกข้าพร้อมแล้วขอรับ”เสียงเล็กๆ ที่ดูมีชีวิตชีวาของลูกชายลูกสาวฝาแฝดของนางดังขึ้นด้านหลังพวกเขา“อาเฟยอาชิงพวกเจ้าตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”“ตื่นพร้อมๆ กันกับท่านแม่เลยเจ้าค่ะ ข้าเห็นท่านแม่ลุกขึ้นจากที่นอนข้าก็ปลุกท่านพี่แล้วก็ลุกตามไปล้างหน้าอาชิงแปรงฟันแล้วด้วยนะเจ้าคะ”พูดจบก็ส่งยิ้มแฉ่งอวดฟันเล่มเล็กๆ ที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามให้นางดูทันที“เก่งมากจ๊ะอาชิง อาเฟยล้างหน้าแปรงฟันใช่หรือไม่”“เรียบร้อยแล้วขอรับ”“เช่นนั้นพวกข้าจะไปรอข้างนอกนะเจ้าคะ”“อืม ไปเถอะ”หยวนจือหลินหันไปส่งยิ้มให้ผู
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”“เจ้าค่ะแม่นมจาง”บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ
การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนักหยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก“อะ เอ่อ”หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันทีหย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับเล่าเจ้าคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ”
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r
วันนี้ที่ร้านอาหารของนางยังคงคึกคักเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาและก็เป็นอีกวันที่ชายชราผู้หนึ่งมานั่งกินอาหารอยู่เพียงลำพังเช่นทุกวัน วันนี้เขาสั่งอาหารเพียงแค่ไม่กี่อย่างแต่กลับนั่งนานเสียจนหยวนจือหลินเองก็อดจะสงสัยเขาอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ทันได้เข้าไปทักทายชายผู้นั้นก็ลุกเดินออกจากร้านไปเสียแล้ว ทั้งยังทิ้งตำลึงเงินเอาไว้เกินราคาอาหารอีกด้วยครั้นนางจะเดินตามไปก็ถูกเรียกโดยลูกค้าคนอื่นเข้าพอดีชายผู้นั้นเดินออกไปท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่จับจ้องเขาอยู่อย่างไม่วางตาตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในร้านแล้ว“จะกลับแล้วหรือขอรับ”เขาหยุดเดินก่อนจะหันหลังไปมองดูก็พบว่าเป็นซ่งหงอี้ สามีของเจ้าของร้านนั้นนั่นเอง“เหตุใดถึงกลับไวเช่นนี้ท่านเดินทางมาตั้งไกลอย่าบอกนะขอรับว่ามาเพื่อดูหน้านางเท่านั้น”“คือว่าข้า”“ใต้เท้าข้าว่าหากท่านมีสิ่งใดอยากจะสนทนากับนาง ท่านควรที่จะเปิดใจกับนางตรงๆ ไปเลยจะดีกว่านะขอรับ”“แต่ว่านางจะไม่ไล่ข้าไปอีกหรือ ที่ผ่านมานั้น…”“นางไม่ใช่คนเดิมอีกต
“ฮู ฮูหยิน”“…”“ฮูหยินอะไรของเจ้ากัน ฮูหยินของใต้เท้าก็อยู่ที่บ้านสิจะมาอยู่ทำไมตรงนี้”“ก็อยู่ไปแล้วหรือไม่เล่า”หลี่หงอี้เมื่อได้ยินที่หย่งฉีพูดออกมาก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างทิ่มแทงมาจากด้านหลังของเขา‘ให้ตายสิเป็นแม่ทัพอยู่ในสนามรบมาร่วมสิบปีแค่ออกมาจัดการงานนอกสนามรบเพียงไม่กี่ปี เหตุใดความรู้สึกของข้าถึงช้าลงได้เช่นนี้กันนะ ไม่รู้ได้อย่างไรว่านางมาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’หลี่หงอี้ค่อยๆ หันไปทางด้านหลังก็พบกับภรรยารักของเขายืนกอดอกขมวดคิ้วจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ความลับที่ตั้งใจช่วยกันปกปิดมานานนั้นไม่น่าจะเหลือแล้วกระมัง“ท่านทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”เสียงของนางในเวลานี้ช่างเยือกเย็นเสียจริง“หลินเอ๋อร์คือว่าข้าอธิบายได้นะ”“เช่นนั้นก็พูดมาสิ”“คือว่า”“ว่า”“คือความจริงแล้วข้า”“พูดไม่ออกหรือเจ้าคะเหตุใดคนพวกนั้นถึงเรียกท่านว่า ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ได้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาหรอกหรือแล้วตัวตนของท่านคือใครกัน แล้วข้าล่ะข้าเป็นอะไรกับท่านกันแน่”“ก็ต้องเป็นภรรยาของข้าสิ หลินเอ๋อร์คือว่าข้า”“ท่านเลิกเรียกชื่อข้าแล้วตอบข้ามาเดี๋ยวนี้”“ข้า”ห
ร้านอาหารของหยวนจือหลินเปิดกิจการมาได้เกือบครึ่งเดือนแล้วนางรู้สึกยินดีมากที่อาหารขายหมดแทบทุกวัน บางวันลูกค้าแทบจะร้องโอดโอยเพราะมาซื้อไม่ทันแม้ว่านางจะเตรียมวัตถุดิบเผื่อเอาไว้มากพอสมควรก็ตาม เป้าหมายต่อไปคือการเปิดร้านขายอาหารในเมืองเพิ่มอีกสักร้าน นางจะเก็บเงินเอาไว้ให้มากๆ เพื่อความมั่นคงของครอบครัว เด็กๆ และสามีของนางจะได้ไม่ต้องลำบากอีกวันนี้เป็นวันหยุดของร้านเมื่อทำงานบ้านทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยวนจือหลินจึงนอนพักผ่อนที่หน้าระเบียงบ้านโดยมีมือน้อยๆ ของอาเฟยและอาชิงคอยนวดบริเวณขาและแขนของนางให้ลมเย็นๆ ทำให้นางแทบจะหลับไปอยู่แล้ว“เก่งมากเลยอาเฟยอาชิงนวดเก่งขึ้นกันแล้วนี่นา”“อาชิงฝึกนวดตั้งนานเลยนะเจ้าคะ”“จริงหรือ?”“จริงสิขอรับท่านอาเต๋อหมิงชมนางอยู่เรื่อยว่าฝีมือของนางนั้นดียิ่งกว่าสตรีในหอโคมแดงอีก”“อะไรนะ!”“หืม อะไรหรือขอรับ? ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ”“อะ เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”‘เจ้าพวกนั้นกล้าพูดเรื่องในหอนางโลมให้ลูกๆ ของนางฟังได้อย่างไร เดี๋ยวเถอะพรุ่งนี้เจอกันข้าจะจัดการให้หนักเลย’บ่นในใจได้ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นสามีตะโกนเรียกนางจากหลังเรือน“หลินเอ๋อร์เจ้าอ