“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”
“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”
“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”
“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”
พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่
“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”
“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”
“เจ้าค่ะแม่นมจาง”
บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่
“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”
“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”
“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ”
แม่นมจางที่ยืนรอรับแม่ทัพหลี่อยู่ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ทั้งยังชี้นิ้วไปที่ขบวนรถม้า
“หนะ นั่น…”
“อะไรของเจ้าอีกเล่า”
พ่อบ้านซือที่ยืนอยู่ข้างกันเอ่ยถามนางเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะพูดสิ่งใดออกมาก็ไม่พูดเสียที
“เด็กที่นั่งอยู่กับใต้เท้าใช่นายน้อยหรือไม่นะ”
“ไหนเล่า”
เหล่าคนรับใช้ต่างก็ชะโงกหน้าขึ้นมามองกันยกใหญ่เมื่อมองเห็นหัวสีดำๆ ตัวเล็กๆ นั่งอยู่บนหลังม้ากับท่านแม่ทัพของพวกเขาต่างก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจน้ำตาไหลกันแทบทุกคน
‘นี่ท่านแม่ทัพของพวกเขามีทายาทแล้วหรือ แต่เอ๊ะ! ทำไมถึงมีเด็กน้อยหน้าตาเหมือนกันมาอีกหนึ่งคนล่ะหรือว่าเป็นฝาแฝด นี่ใต้เท้าของพวกเขามีนายน้อยถึงสองคนเลยเชียวหรือนี่!’
“พ่อบ้านซือนายท่านมีคุณชายกับคุณหนูถึงสองคนเลยนะเจ้าคะ นายท่านของข้าในที่สุดก็มีครอบครัวที่สมบูรณ์เสียที”
“โฮ…ใต้เท้าของพวกเรามีนายน้อยแล้ว ตั้งเมื่อไหร่กันนะไม่เห็นส่งข่าวให้พวกเรารู้กันบ้างเลย ฮือๆ”
“แล้วเจ้าจะร้องไห้ทำไมกันฮะ” แม่นมจางหันมาดุพ่อบ้านซือทันที ‘เล่นใหญ่มากทีเดียวเชียว’
“ก็ข้าดีใจนี่นา”
พ่อบ้านซือที่ก่อนหน้านี้พึ่งจะตวาดเหล่าบ่าวรับใช้ในจวนไปแต่เขาเองก็ไม่ต่างกับคนอื่นเท่าใดนัก น้ำตาเริ่มไหลออกมาทันทีที่เห็นว่าแม่ทัพของพวกเขามีครอบครัวที่สมบูรณ์เฉกเช่นคนอื่นเสียที
เขารีบเช็ดน้ำตาที่หลั่งรินออกมาด้วยความรวดเร็วก่อนจะวิ่งออกไปรับแม่ทัพหลี่ทันทีที่รถม้าเริ่มหยุดนิ่งลงแล้ว
“ใต้เท้าท่านกลับมาแล้วคุณหนูน้อยของข้าน้อยช่างงดงามเหมือนฮูหยินจริงๆ เลยนะขอรับ”
“เจ้านี่อย่างไรกันนะอายุมากถึงเพียงนี้แล้วจะร้องไห้ทำไมกัน ดูสิลูกสาวของข้าจะร้องตามแล้ว”
“ข้าน้อยขออภัยขอรับ ข้าน้อยดีใจมากเกินไป”
ลี่เหมยเดินเข้ามาใกล้ๆ แม่นมจางก่อนจะเอ่ยกับนางด้วยความงุนงงกับภาพตรงหน้าที่เห็น
“เมื่อครู่นี้พ่อบ้านซือพึ่งจะดุพวกเราเองนะเจ้าค่ะ เหตุใดถึงไปร้องไห้ต่อหน้านายท่านเสียเองเล่า”
“ก็นั่นน่ะสิ”
แม่นมจางกับลี่เหมยแอบนินทาพ่อบ้านซือลับหลังเมื่อเห็นว่าเขาวิ่งออกไปรับนายท่านทั้งน้ำตา
“ท่านตาอย่าร้องเลยนะเจ้าคะ โอ๋โอ๋นะอาชิงจะโอ๋ท่านตาเอง”
“โธ่คุณหนูน้อยช่างรู้ความจริงๆ เลยขอรับ มาขอรับข้าน้อยจะอุ้มคุณหนูเอง”
อาชิงน้อยโผเข้ากอดคอพ่อบ้านซืออย่างรู้ความจนแม่ทัพหลี่ถึงกับส่ายหัวให้กับความรู้จักออดอ้อนของลูกสาวตัวน้อยไม่ได้
“ใต้เท้าพวกข้าดีใจเหลือเกินเจ้าค่ะที่ท่านกลับมากันได้เสียที หลายปีมานี้ที่จวนของเราเงียบเหงามากเลยนะเจ้าคะ”
หยวนจือหลินที่เพิ่งลงจากรถม้าเพราะมัวแต่มองไปทั่วทั้งจวนแม่ทัพแห่งนี้จึงไม่ทันได้สนใจกับบรรดาเหล่าคนรับใช้ในจวน เมื่อหันมามองยังต้นเสียงที่อาลัยอาวรณ์เหล่านั้นนางก็เห็นทุกคนในจวนต่างก็ร้องไห้ด้วยความดีใจที่แม่ทัพของพวกเขากลับมาที่จวนได้เสียที
‘นี่ข้าทำให้พวกเขาเสียใจมากใช่หรือไม่นะที่พรากแม่ทัพหลี่ไปจากอกเช่นนี้’
“ฮือๆ ฮูหยินในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
นางควรจะยิ้มทักทายหรือปลอบใจพวกนางก่อนดีนะ หยวนจือหลินรีบหันไปมองหลี่หงอี้ทันทีอยากจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก
“พอแล้วน่า ฮูหยินเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ พวกเจ้าไปเตรียมน้ำให้นางอาบเถอะเตรียมอาหารอร่อยๆ ไว้ให้เด็กๆ ด้วยเล่า”
“เจ้าค่ะใต้เท้า”
หลี่หงอี้เดินจูงมือหยวนจือหลินเข้าไปยังด้านในจวนปล่อยให้บ่าวในจวนจูงมือเด็กๆ เดินตามมาด้านหลัง
“เจ้าเหนื่อยหรือไม่”
“ไม่เลยเจ้าค่ะข้าก็แค่นั่งบนรถม้าเท่านั้นจะไปเหนื่อยอะไรกัน”
“ฮ่าๆๆ นั่นสินะ”
“ท่านพี่ข้าเคยอยู่ที่นี่หรือไม่”
“ช่วงแรกที่พวกเราแต่งงานกันเจ้ามาอยู่ที่จวนของข้าเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นข้าก็ต้องพาเจ้าไปอยู่ที่เมืองลั่วอันแล้ว”
“มิน่าเล่าข้าถึงได้ดูคุ้นตายิ่งนัก”
“เจ้าจำได้แล้วหรือ”
“ก็แค่บางส่วนเองเจ้าค่ะความทรงจำดีๆ ข้าไม่ได้ลืมไปหมดเสียหน่อย”
“ฮูหยิน น้ำสำหรับอาบพวกข้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม”
“ท่านพี่ท่านไปอาบน้ำกับข้าดีหรือไม่”
หยวนจือหลินกระซิบถามหลี่หงอี้เบาๆ เขารีบหันมามองก็เห็นว่านางยิ้มกรุ่มกริ่มอยู่
‘นี่ภรรยาของเขาร้ายกาจแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ’
“พ่อบ้านซือ แม่นมจางข้าฝากก้อนแป้งทั้งสองของข้าด้วยนะเจ้าคะ”
“ได้เลยขอรับฮูหยิน”
“เจ้าค่ะฮูหยินข้าจะดูแลนายน้อยกับคุณหนูเองเจ้าค่ะ”
“ขอบใจนะ ไปอาบน้ำกันเถอะเจ้าค่ะท่านพี่ข้าเหนียวตัวจะแย่อยู่แล้ว”
“อืม”
“เอ๋...”
ลี่เหมยกับแม่นมจางต่างก็อ้าปากค้างทันทีที่ได้ยินบทสนทนาของฮูหยินกับท่านแม่ทัพของพวกนาง
“แม่นมข้าหูฝาดไปใช่หรือไม่”
“ไม่หรอกเพราะข้าก็ได้ยิน”
“ฮูหยินชวนท่านแม่ทัพไปอาบน้ำเลยนะเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ฮูหยินดูจะเป็นคนที่เอียงอายมากไม่ใช่หรืออย่างไรกันนะ”
เพี๊ยะ!~
“โอ๊ย! ท่านจะตีข้าทำไมกันเล่า”
“เรื่องของเจ้านายอย่าได้ไปอยากรู้ให้มาก อีกอย่างฮูหยินกับนายท่านก็อยู่ด้วยกันมาตั้งกี่ปีแล้วพวกเขาจะรักใคร่กันแปลกตรงไหน ไปได้แล้ว”
“เจ้าค่ะๆ”
ลี่เหมยที่กำลังจะเดินออกไปนอกเรือนก็ต้องหยุดชะงักไปเมื่อหันหลังกลับไปก็เห็นแม่นมจางกำลังเอาหูแนบหน้าประตูห้องของท่านแม่ทัพอยู่ นางจึงรีบเดินเข้าไปดึงแม่นมจางออกมาทันที
“แม่นมไปได้แล้วเจ้าค่ะ”
ลี่เหมยรีบลากแม่นมออกไปจากหน้าประตูห้องทันที
“เดี๋ยวสิเจ้าจะรีบลากข้าไปไหน!”
“อย่ายุ่งเรื่องของเจ้านายสิเจ้าคะแม่นม เดี๋ยวท่านแม่ทัพได้สั่งลงโทษท่านไปอยู่ห้องเก็บฟืนหรอก”
“เจ้านี่นะชอบขัดใจข้าจริงๆ เลย”
“ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
“รู้แล้วน่า”
แม่นมจางที่ตอบตกลงแต่ปาก แต่ตาและหูดูเหมือนจะแนบกลับไปที่บานประตูอีกแล้ว
ลี่เหมยจึงลงมือลากนางออกไปอีกครั้งอีกมือก็ปิดปากของแม่นมไว้ด้วยกลัวว่าท่านแม่ทัพจะได้ยินเสียงของพวกนางเข้า
“อ่อยยยอ้าาาาาา!”
-สามเดือนผ่านไป-
“อุแหว๊ะ.....”
“ฮูหยินเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
“เอาออกไปทีข้าเหม็น”
“จะเหม็นได้อย่างไรกันเจ้าคะนี่อาหารโปรดของท่านเลยนะ”
“เอาออกไปเถอะน่า”
“ก็ได้เจ้าค่ะ”
เมื่ออาหารถูกยกออกไปจากห้องแล้วหยวนจือหลินถึงได้คลายอาการอยากอาเจียนลงไปบ้างเล็กน้อย
“ฮูหยินท่านหมอมาแล้วขอรับ”
“อะไรกันพ่อบ้านซือ ข้าแค่ไม่สบายนิดหน่อยไม่เห็นต้องเรียกหมอเลยนี่นา”
“ไม่ได้หรอกขอรับ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยมากน้อยเพียงใดก็ต้องให้ท่านหมอตรวจดูก่อน”
หยวนจือหลินอยากจะคัดค้านแต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าของพ่อบ้านซือและแม่นมจางที่มีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด นางจึงไม่พูดอะไรออกไปอีกได้แต่กลืนคำพูดตัวเองไว้เท่านั้น
“ท่านหมอฮูหยินของข้าเป็นอะไรหรือ”
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี่ยวข้าจะจัดยาให้ฮูหยินไว้นะขอรับ”
ท่านหมอกล่าวแค่นั้นก็หันหลังไปเขียนใบสั่งยาโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำให้หยวนจือหลินที่ยังรู้สึกแคลงใจกับอาการของตัวเองถึงกลับต้องเอ่ยปากถามท่านหมอออกไปอีกครั้ง
“สรุปแล้วข้าเป็นอะไรหรือท่านหมอ”
“คือว่า….”
ไม่ทันที่ท่านหมอจะตอบคำถามของนางก็แม่ทัพหลี่ก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยมีเด็กทั้งสองคนวิ่งตามผู้เป็นบิดาเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจไม่ต่างกัน
“หลินเอ๋อร์! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ท่านแม่! เจ็บตรงไหนหรือเจ้าคะ”
“ใช่ขอรับท่านแม่เจ็บตรงไหนรีบบอกอาเฟยเร็วเข้าขอรับ”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อย ไหนท่านบอกจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทไม่ใช่หรือเหตุใดถึงได้กลับมาเร็วนักเล่า”
“ไปได้เพียงครึ่งทางก็ได้ยินว่าเจ้าไม่สบายข้าจึงรีบกลับมา”
“ข้าแค่ไม่สบายไม่ได้จะตายเสียหน่อย เหตุใด…”
“เจ้าอย่าพูดจาไม่เป็นมงคลเช่นนั้นสิ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะฮูหยิน อย่าพูดจาไม่เป็นมงคลเช่นนั้นสิเจ้าคะ”
“ก็ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่หรือไม่ท่านหมอ”
“ใช่แล้วขอรับท่านแม่ทัพ ฮูหยินไม่ได้เป็นอะไรมากเพียงแค่ตั้งครรภ์อยู่เท่านั้นเอง”
“นั่นอย่างไรเล่าข้าก็แค่ตั้งครรภ์….ท่านว่าอะไรนะ?”
“ขอแสดงความยินดีกับท่านแม่ทัพด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้ว”
หยวนจือหลินเมื่อได้ยินว่าตัวเองตั้งครรภ์นางเองก็รู้สึกตกใจไม่น้อยแต่เมื่อหันไปมองใบหน้าของผู้เป็นสามีแล้วนั้น
“ท่านพี่ท่านร้องไห้ทำไมกันเจ้าคะ”
“ตั้งครรภ์ เจ้าตั้งครรภ์แล้ว”
“แล้วมันแปลกตรงไหนกันข้าก็มีอาเฟยกับอาชิงมาก่อนแล้วนี่นา ท่านจะตื่นเต้นไปทำไมกัน”
“นั่นนะสิพวกเราก็มีลูกมาก่อนแล้วข้าจะตื่นเต้นไปทำไมกันนะ”
หลี่หงอี้เอ่ยออกมาทั้งน้ำตาทันทีหยวนจือหลินจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าของนางซับน้ำตาให้เขาเบาๆ
“ดูท่านสิ ลูกๆ จะร้องตามแล้วนะเจ้าคะ”
“ก็ข้าดีใจนี่นา” หยวนจือหลินยิ้มก่อนจะส่ายหน้าให้เขา
“อาเฟยอาชิงมานี่สิเจ้าจะมีน้องแล้วนะ”
“เย่ๆ ชิงชิงจะมีน้องแล้ว”
เด็กๆ ทั้งสองดีใจกระโดดโลดเต้นกันยกใหญ่ สร้างความปลื้มปิติยินดีแก่คนทั้งจวนเป็นอย่างมาก
วันนั้นหลี่หงอี้รีบเข้าวังไปแจ้งข่าวกับฮ่องเต้เรื่องการตั้งครรภ์ของหยวนจือหลิน เมื่อฝ่าบาทรับรู้พระองค์ก็ทรงประทานของขวัญต่างๆมาให้นางมากมาย
ฮ่องเต้เองก็ทรงรู้สึกยินดีกับนางเป็นอย่างยิ่งแม้จะเสียดายที่ต้องปล่อยมือจากสตรีผู้เป็นที่รักไป แต่นางเองก็ได้อยู่เคียงข้างกับบุรุษที่เขาไว้ใจมากที่สุดเห็นนางมีความสุขเท่านี้เขาก็พึงพอใจแล้ว
‘ข้าเองก็อยากมีชีวิตที่สงบสุขไม่ต่างจากเจ้าเช่นกัน หยวนจือหลิน’
ระเบียงยาวที่ยื่นออกมาจากหอสูงมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองหลวงอย่างชัดเจนในยามเย็นแสงสีทองของดวงอาทิตย์ที่ตกกระทบกับยอดหลังคาทองคำทำให้เกิดภาพที่งดงามยิ่งนัก ลมที่พัดเย็นสบายตลอดทั้งวันจึงเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้ชอบแอบออกมานักพักที่นี่เป็นประจำ
“ฝ่าบาทเพคะ”
“กุ้ยเฟยเจ้าตั้งครรภ์อยู่จะออกมารับลมทำไมกันเดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก แล้วนี่ดูสิต้องขึ้นมาสูงเพียงนี้ไม่ห่วงตนเองเอาเสียเลย”
“หม่อมฉันแค่ออกมาเดินเล่นอยู่เพียงแค่ในตำหนักเบื่อมากเลยเพคะ แล้วพระองค์ทรงคิดอะไรอยู่งั้นหรือ”
“ข้าหรือ? ข้าก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะไม่มีอะไรสำคัญหรอก”
“แม่นางหยวนผู้นั้น….”
“นางมีชีวิตมีครอบครัวที่ดีแล้วอย่าได้เอ่ยถึงนางอีกเลย พวกเราเองก็ทำหน้าที่ของเราต่อไปเถอะ”
“เพคะฝ่าบาท”
กุ้ยเฟยมองแผ่นหลังของฮ่องเต้ด้วยความรู้สึกหลากหลายถึงนางจะเป็นสนมเอกกุ้ยเฟย แต่นางเองก็ยังรู้สึกอิจฉาหยวนจือหลินอยู่ไม่น้อยที่ได้รับความรักจากฮ่องเต้และแม่ทัพผู้เก่งกาจอย่างหลี่หงอี้ผู้นั้น
หากนางเลือกได้ก็คงเลือกที่จะเป็นคนธรรมดาเฉกเช่นหยวนจือหลินดีกว่าที่จะเป็นพระสนมผู้สูงศักดิ์แต่ไร้ซึ่งวาสนาในเรื่องความรักเช่นนาง
ทั้งคู่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาอีกเลยต่างก็เฝ้ามองบรรยากาศโดยรอบด้วยความรู้สึกภายในใจที่แตกต่างกัน
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
ยามเหม่า[1]“ท่านพี่เหตุใดท่านแม่ถึงได้นอนนิ่งไปเช่นนั้นกันเล่าเจ้าคะนางจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่”“ก็ต้องตื่นอยู่แล้วสิ เจ้าอย่าได้พูดเช่นนั้นอีกนะหากท่านแม่ได้ยินเจ้าจะแย่เอาได้”“ข้าแค่เป็นห่วงท่านแม่ก็เท่านั้นเอง”เด็กน้อยสองคนกำลังยืนสนทนากันอยู่ด้านข้างผู้เป็นมารดาของพวกเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของร่างนั้นได้สิ้นใจไปนานแล้วขณะที่ผู้เป็นพี่ชายพยายามกอดปลอบน้องสาวของเขาอยู่นั้นก็เป็นต้องตกใจจนสะดุ้งโหยงเมื่อผู้เป็นมารดาอยู่ๆ ก็ตะโกนร้องออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัวกันทั้งคู่“ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย…”เด็กน้อยทั้งสองกอดกันแน่นแต่เมื่อได้ยินคำพูดที่พวกเขาทั้งคู่ฟังแล้วไม่คุ้นหูถึงกลับต้องหันมองหน้ากันไปมาด้วยความสงสัยในสิ่งที่ผู้เป็นมารดาเอ่ยออกมา“ท่านแม่พูดว่าอะไรนะ”“ไม่รู้สิ”อาการหนักอึ้งที่ขมับข้างศรีษะทำให้หยวนจือหลินลืมตาตื่นขึ้นอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาทีละนิดจนภาพตรงหน้าที่พร่าเลือนปรากฏให้เห็นเป็นเด็กชายหญิงสองคนอายุราวๆ สี่ห้าขวบกำลังยืนจ้องมองเธออยู่‘นั่นใครกันล่ะเนี่ย นี่ฉันยังไม่ตายงั้นหรือ’หยวนจือหลินหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นแต่
'ทำอย่างไรดี ไม่เอาแบบนี้สิข้าอยากกลับบ้าน!'“ตื่นมาก็นานมากแล้วเหตุใดความทรงจำของร่างนี้ถึงไม่มาด้วยกันเล่า แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้ข้าเป็นใครมาทำอะไรที่นี่ เฮ้อออ…”หยวนจือหลินเอนหลังนอนลงบนเตียงอีกครั้งก่อนจะเอามือก่ายหน้าผากตนเองแล้วหลับตาลง นางพยายามที่จะคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นของเจ้าของร่างนี้อยู่นานสองนานแต่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาในหัวของนางเลยสักเพียงนิด“โว๊ย! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สวรรค์จะส่งฉันมาอยู่ที่นี่ทำไมกันฉันอยากกลับบ้าน!”หยวนจือหลินทึ้งผมตนเองอย่างแรงก่อนที่ในหัวของนางจะมีภาพๆ หนึ่งฉายชัดขึ้นมาและเริ่มไหลเวียนเข้ามาไม่หยุดหย่อนปรากฎให้เห็นเป็นภาพของสตรีนางหนึ่งที่เอาแต่ทุบตีลูกน้อยทั้งสองของนางอยู่ไม่เว้นวัน พวกเขาทั้งคู่ต่างก็นั่งร้องไห้น้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสาย‘ท่านแม่อย่าตีน้องเลยนะขอรับ ท่านตีข้าเพียงคนเดียวเถอะ’‘ฮือฮือ’เด็กน้อยสองคนนั่งกอดกันแน่นร้องไห้อยู่บนพื้นนอกบ้านท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บลมพายุที่พัดผ่านมายิ่งทำให้พวกเขาสั่นสะท้านมากขึ้น เด็กชายคนนั้นเอาแต่ร้องขอให้มารดาของเขาหยุดทุบตีผู้เป็นน้องสาวและอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในบ้านผ
หยวนจือหลินปิดประตูห้องนอนลงก่อนจะหันมองไปรอบๆ บ้าน นางเดินสำรวจบ้านหลังนี้แทบจะทุกซอกทุกมุมโดยมีเด็กน้อยทั้งสองเดินตามหลังไปติดๆ จนไปสุดที่ห้องสุดท้ายดูแล้วน่าจะเป็นห้องครัวตั้งอยู่บริเวณหลังบ้านเลยก็ว่าได้ภายในห้องครัวนั้นมีเตาถ่านตั้งเรียงรายอยู่สองสามอันเครื่องครัวที่ทำจากทองเหลืองเก่าๆ ถูกวางเอาไว้อย่างไม่เป็นระเบียบนัก ผนังห้องครัวมีชั้นวางที่เต็มไปด้วยขวดเครื่องเทศต่างๆ นับไม่ถ้วนที่ถูกวางอย่างระเกะระกะบางขวดก็ถูกเปิดออกแต่ไม่ยอมปิดฝาไว้ดังเดิมจนเครื่องเทศที่บรรจุไว้ภายในนั้นเริ่มเน่าและส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้องหยวนจือหลินปิดจมูกเอาไว้แน่นก่อนจะเข้าไปยืนอยู่ตรงกลางแล้วสำรวจทั่วทั้งห้องอีกครั้งกลับพบว่าแทบจะไม่มีวัตถุดิบอะไรหลงเหลืออยู่เลย หยวนจือหลินรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมากนางเดินไปหยิบเอาขวดเหล่านั้นทิ้งลงในตระกร้าก่อนจะเอาออกไปวางไว้นอกห้องครัว แล้วจึงเก็บเอาท่อนฟืนที่ถูกตัดวางเรียงรายอยู่ข้างๆ กันนำไปก่อกองไฟเพื่อปรุงอาหารง่ายๆ ประทังชีวิตของทั้งสามคนสำหรับเช้านี้ไปก่อน“ท่านแม่”หยวนจือหลินไม่ได้หันไปมองยังต้นเสียงเล็กๆ ที่เรียกนางอยู่ นางกำลังหันหลังจัดระเบีย
“ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ”เสียงน้อยๆ ของอาชิงกำลังร้องเรียกหานางอยู่ หยวนจือหลินหันซ้ายหันขวากำลังจะหาที่หลบแต่เมื่อสังเกตดูกลับพบว่าอาชิงมองไม่เห็นว่านางยืนอยู่ข้างในนี้“เป็นไปได้อย่างไรกัน”“อาชิง อาชิงได้ยินข้าหรือไม่”หยวนจือหลินชั่งใจลองตะโกนเรียกนางแต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะไม่ได้ยินที่นางร้องเรียกสักเพียงนิด เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยมองไม่เห็นผู้เป็นมารดาจึงหันหลังวิ่งออกไปจากห้องครัวทันที“เฮ้อ โล่งอกไปทีนึกว่าจะมีคนเห็นข้าเสียแล้วไหนดูสิที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่”สถานที่ที่นางหลุดเข้ามาเหมือนเป็นห้องเก็บวัตถุดิบทั้งของสดของแห้ง ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักที่พบว่าของพวกนี้ยังคงใช้งานได้และมีทุกสิ่งที่นางต้องการนางหยิบเอาถุงเครื่องปรุงรสต่างๆ และเมล็ดพันธุ์ผักอีกหลายชนิดติดมือออกมาด้วย‘ดีล่ะใช้เครื่องปรุงพวกนี้ทำอาหารไปก่อนแล้วกัน’หยวนจือหลินเดินออกมาจากมิติวิเศษนั้นแล้วนำของที่หยิบติดมือมาด้วยวางไว้ในตะกร้าเก็บของ ก่อนจะหยิบผงปรุงรสมาโรยใส่ในหม้อข้าวต้ม“ท่านแม่!”“ว๊ายตาเถร!”“เอ๋? เมื่อครู่ท่านแม่พูดว่าอะไรนะเจ้าคะ”“ไม่มีอะไรหรอกอย่าสนใจไปเลย ว่าแต่เจ้าเข้ามาทำไมไม่ให้ซุ่มให้เสียงกันข้
“หลินเอ๋อร์” “จริงสิข้าก็ลืมถามไปเลยท่านเพิ่งกลับมาจากล่าสัตว์เหนื่อยมากหรือไม่เจ้าคะ”“อะไรนะ” หลี่หงอี้ได้ยินที่นางถามถึงกับงุนงงไปทันที เขาเองก็ยังนึกสงสัยอยู่ว่าสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาผู้นี้คือหยวนจือหลินภรรยาตัวจริงของเขาหรือไม่ เหตุใดถึงได้ดูเปลี่ยนไปจากเดิมได้ถึงเพียงนี้“ท่านพี่ ท่านพี่!”“หืม? อะไรหรือ”“เป็นอะไรไปเจ้าคะเมื่อครู่ข้าถามท่านว่าเหนื่อยมากหรือไม่”“มะ ไม่เป็นอะไรข้าไม่เหนื่อยหรอกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป จะว่าไปข้าได้หมูป่ามาตัวหนึ่งด้วยนะแต่ว่าตอนที่เดินมาถึงประตูรั้วได้ยินเสียงเจ้าร้องขึ้นมาพอดีจึงโยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้น ข้าจะรีบไปเอามาเดี๋ยวนี้”“อะไรนะ! นี่ท่านกล้าทิ้งหมูป่าเอาไว้หน้าประตูได้อย่างไรกัน”“ข้าขอโทษ ก็ข้าตกใจนึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้านี่นา”“ท่านรีบไปเอาเข้ามาในบ้านเลยนะรู้หรือไม่ว่าหมูป่าไม่ใช่ของที่ใครจะล่ามาได้ง่ายๆ เกิดมีคนขโมยไปไม่เสียดายแย่หรือ”“รู้แล้วๆ ไปเดี๋ยวล่ะ”เขาพูดจบก็รีบเดินไปที่หน้าประตูรั้วด้วยความรวดเร็ว หยวนจือหลินเองก็รีบเดินตามหลังเขาไปติดๆ โดยมีเด็กๆ ทั้งสองเดินตามนางมาด้วยหมูป่าที่หลี่หงอี้ล่ามาได้นั้นตัวใหญ่มากจริงๆ
หลี่หงอี้ที่เพิ่งจะถอดเสื้อออกก็หันมายังต้นเสียงที่แลดูตื่นตกใจนั้น เขาอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านางกำลังใช้มือเรียวบางคู่นั้นปิดที่ดวงตาของตัวเอง“เจ้าจะปิดตาไปทำไมกัน มากกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้วนะ”“ท่านว่าอะไรนะ”หยวนจือหลินค่อยๆ เปิดตาออกมาทีละนิดจนเห็นว่าเขาหันหน้ามามองที่นางแล้ว แผ่นอกเปลือยเปล่ากับผิวสีน้ำผึ้งที่มีมัดกล้ามแน่นๆดูเป็นลอนสวย หยวนจือหลินกลืนน้ำลายเล็กน้อยน่าเสียดายที่เขาถอดเพียงช่วงบนน่าจะถอดช่วงล่างไปด้วยเสียเลย ฮิๆ“ยิ้มอะไรหรือ”“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะคือว่าข้า..ความจริงข้าตั้งใจจะมาเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน แต่ในเมื่อท่านจัดการเองแล้วเช่นนั้นข้าขอตัวล่ะ”“เดี๋ยวสิ!”หลี่หงอี้คว้าเอวของนางมากอดเอาไว้แน่น“เจ้าไม่โกรธข้าแล้วหรือ”“ข้าโกรธอะไรท่านเรื่องอะไรงั้นหรือ”“ก็เรื่องที่ข้าต่อว่าใต้เท้าเจิ้งอย่างไรเล่าเจ้าไม่โกรธข้าแล้วใช่หรือไม่”“เหตุใดข้าต้องโกรธด้วยล่ะ แล้วใต้เท้าอะไรนั่นก็เป็นคนนอกครอบครัวนะเจ้าคะท่านเลิกพูดถึงเขาเสียทีสิ”“ก็ได้ๆ”ขณะที่ทั้งคู่จ้องตากันอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงของบุตรชายตะโกนร้องเรียกอยู่หน้าห้อง“ท่านพ่อ ท่านแม่ ทำอะไรอยู่หรือขอรับ” อาเฟยอาชิงที่
ยามซวี[1] เมื่อหยวนจือหลินส่งเด็กๆ ทั้งสองเข้านอนเรียบร้อยแล้วก็ออกมานั่งรับลมเล่นที่ระเบียงหน้าบ้าน บนท้องฟ้ายามมืดมิดในเวลานี้มีแสงจากดวงดาวท่ามกลางดวงจันทร์ที่เปล่งประกายงดงามท่ามกลางความเงียบเหงาความรู้สึกหลายหลายอย่างก็ประเดประดังเข้ามาไม่รู้จบสิ้นใจหนึ่งของนางก็คิดถึงบ้านที่จากมาแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าการอยู่ที่นี่นั้นก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียวหยวนจือหลินเองก็ไม่ได้อยากจะสร้างความรู้สึกผูกพันธ์กับคนที่นี่นักเพราะหากเจ้าของร่างเดิมนี้กลับมาได้จริงๆ ตัวของนางคงจะทำใจลำบากอย่างแน่นอนแต่ในเมื่อได้มาอยู่ที่นี่แล้วนางก็จะตั้งใจช่วยปรับปรุงบ้านหลังนี้และสร้างชีวิตดีๆ ให้กับเด็กๆ และสามีป้ายแดงของนางก่อนที่นางจะได้กลับบ้านไปจริงๆ“หลินเอ๋อร์เป็นอะไรไปคิดอะไรอยู่หรือ”“ท่านพี่เองหรอกหรือเจ้าคะ""แล้วคิดว่าใครกันเล่า ว่าอย่างไรข้าเห็นเจ้าเอาแต่นั่งเหม่อเป็นอะไรไปงั้นหรือ""ไม่มีอะไรเจ้าค่ะข้าก็เพียงแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ก็เท่านั้น ท่านพี่บ้านของเราเวลานี้มีเงินหรือไม่เจ้าคะ”“ก็พอมีอยู่บ้างไม่ได้ลำบากมากถึงกับไม่มีอะไรจะกิน เจ้าถามทำไมหรือ”'ไม่ลำบากมากอย่างงั้นหรือ? แต่เท่าที่
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”“เจ้าค่ะแม่นมจาง”บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ
การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนักหยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก“อะ เอ่อ”หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันทีหย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับเล่าเจ้าคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ”
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r
วันนี้ที่ร้านอาหารของนางยังคงคึกคักเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาและก็เป็นอีกวันที่ชายชราผู้หนึ่งมานั่งกินอาหารอยู่เพียงลำพังเช่นทุกวัน วันนี้เขาสั่งอาหารเพียงแค่ไม่กี่อย่างแต่กลับนั่งนานเสียจนหยวนจือหลินเองก็อดจะสงสัยเขาอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ทันได้เข้าไปทักทายชายผู้นั้นก็ลุกเดินออกจากร้านไปเสียแล้ว ทั้งยังทิ้งตำลึงเงินเอาไว้เกินราคาอาหารอีกด้วยครั้นนางจะเดินตามไปก็ถูกเรียกโดยลูกค้าคนอื่นเข้าพอดีชายผู้นั้นเดินออกไปท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่จับจ้องเขาอยู่อย่างไม่วางตาตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในร้านแล้ว“จะกลับแล้วหรือขอรับ”เขาหยุดเดินก่อนจะหันหลังไปมองดูก็พบว่าเป็นซ่งหงอี้ สามีของเจ้าของร้านนั้นนั่นเอง“เหตุใดถึงกลับไวเช่นนี้ท่านเดินทางมาตั้งไกลอย่าบอกนะขอรับว่ามาเพื่อดูหน้านางเท่านั้น”“คือว่าข้า”“ใต้เท้าข้าว่าหากท่านมีสิ่งใดอยากจะสนทนากับนาง ท่านควรที่จะเปิดใจกับนางตรงๆ ไปเลยจะดีกว่านะขอรับ”“แต่ว่านางจะไม่ไล่ข้าไปอีกหรือ ที่ผ่านมานั้น…”“นางไม่ใช่คนเดิมอีกต
“ฮู ฮูหยิน”“…”“ฮูหยินอะไรของเจ้ากัน ฮูหยินของใต้เท้าก็อยู่ที่บ้านสิจะมาอยู่ทำไมตรงนี้”“ก็อยู่ไปแล้วหรือไม่เล่า”หลี่หงอี้เมื่อได้ยินที่หย่งฉีพูดออกมาก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างทิ่มแทงมาจากด้านหลังของเขา‘ให้ตายสิเป็นแม่ทัพอยู่ในสนามรบมาร่วมสิบปีแค่ออกมาจัดการงานนอกสนามรบเพียงไม่กี่ปี เหตุใดความรู้สึกของข้าถึงช้าลงได้เช่นนี้กันนะ ไม่รู้ได้อย่างไรว่านางมาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’หลี่หงอี้ค่อยๆ หันไปทางด้านหลังก็พบกับภรรยารักของเขายืนกอดอกขมวดคิ้วจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ความลับที่ตั้งใจช่วยกันปกปิดมานานนั้นไม่น่าจะเหลือแล้วกระมัง“ท่านทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”เสียงของนางในเวลานี้ช่างเยือกเย็นเสียจริง“หลินเอ๋อร์คือว่าข้าอธิบายได้นะ”“เช่นนั้นก็พูดมาสิ”“คือว่า”“ว่า”“คือความจริงแล้วข้า”“พูดไม่ออกหรือเจ้าคะเหตุใดคนพวกนั้นถึงเรียกท่านว่า ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ได้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาหรอกหรือแล้วตัวตนของท่านคือใครกัน แล้วข้าล่ะข้าเป็นอะไรกับท่านกันแน่”“ก็ต้องเป็นภรรยาของข้าสิ หลินเอ๋อร์คือว่าข้า”“ท่านเลิกเรียกชื่อข้าแล้วตอบข้ามาเดี๋ยวนี้”“ข้า”ห
ร้านอาหารของหยวนจือหลินเปิดกิจการมาได้เกือบครึ่งเดือนแล้วนางรู้สึกยินดีมากที่อาหารขายหมดแทบทุกวัน บางวันลูกค้าแทบจะร้องโอดโอยเพราะมาซื้อไม่ทันแม้ว่านางจะเตรียมวัตถุดิบเผื่อเอาไว้มากพอสมควรก็ตาม เป้าหมายต่อไปคือการเปิดร้านขายอาหารในเมืองเพิ่มอีกสักร้าน นางจะเก็บเงินเอาไว้ให้มากๆ เพื่อความมั่นคงของครอบครัว เด็กๆ และสามีของนางจะได้ไม่ต้องลำบากอีกวันนี้เป็นวันหยุดของร้านเมื่อทำงานบ้านทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยวนจือหลินจึงนอนพักผ่อนที่หน้าระเบียงบ้านโดยมีมือน้อยๆ ของอาเฟยและอาชิงคอยนวดบริเวณขาและแขนของนางให้ลมเย็นๆ ทำให้นางแทบจะหลับไปอยู่แล้ว“เก่งมากเลยอาเฟยอาชิงนวดเก่งขึ้นกันแล้วนี่นา”“อาชิงฝึกนวดตั้งนานเลยนะเจ้าคะ”“จริงหรือ?”“จริงสิขอรับท่านอาเต๋อหมิงชมนางอยู่เรื่อยว่าฝีมือของนางนั้นดียิ่งกว่าสตรีในหอโคมแดงอีก”“อะไรนะ!”“หืม อะไรหรือขอรับ? ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ”“อะ เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”‘เจ้าพวกนั้นกล้าพูดเรื่องในหอนางโลมให้ลูกๆ ของนางฟังได้อย่างไร เดี๋ยวเถอะพรุ่งนี้เจอกันข้าจะจัดการให้หนักเลย’บ่นในใจได้ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นสามีตะโกนเรียกนางจากหลังเรือน“หลินเอ๋อร์เจ้าอ