การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนัก
หยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก
“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”
“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”
“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”
อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก
“อะ เอ่อ”
หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันที
หย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่าม้าจะตื่นตกใจ แต่เกินจากที่เขาคาดเอาไว้มากทีเดียว มันออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างสบายไม่เร่งรีบนักเหมือนจะบอกให้รู้ว่าไม่ได้รู้สึกรำคานเด็กน้อยผู้นี้เลยสักนิด
“นายน้อยท่านเก่งเหลือเกินขอรับ น่าจะครั้งแรกใช่หรือไม่ขอรับที่ท่านได้ขี่ม้า”
“ใช่แล้ววันข้างหน้าข้าต้องเก่งเหมือนท่านพ่อให้ได้”
“ดีเลยขอรับข้าน้อยจะคอยสอนท่านเอง”
อาการที่ชอบโอ้อวดนี่ช่างเหมือนบิดาของเขาจริงๆ หยวนจือหลินได้เพียงแค่หลุดขำออกมาเท่านั้น นางมองไปทางด้านหน้าก็เริ่มมองเห็นบ้านเรือนที่แออัดกัน ในใจกลางเมืองหลวงมีราชวังที่ดูใหญ่โตโอ่อ่าตั้งอยู่ตรงนั้นแต่เพราะเหตุใดกันนางถึงได้รู้สึกว่ามันช่างเงียบเหงาเสียจริง
‘ช่างใหญ่โตสวยงามแต่ดูอ้างว้างเหลือเกิน’
“หลินเอ๋อร์ข้าจะล่วงหน้าไปที่วังหลวงก่อนส่วนเจ้ากับลูกๆ ข้าจะให้ทหารพากลับไปที่จวนเพื่อพักผ่อนเอาไว้วันหลังค่อยไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกันนะ”
หยวนจือหลินที่มองไปยังลูกๆ ของนางที่ยังคงมีท่าทีกระตือรือร้นอยู่นั้นจึงได้เอ่ยกับเขาไปว่า
“ได้อย่างไรกันเจ้าคะไหนๆ ก็กลับมาพร้อมกันแล้วข้าก็จะเข้าวังไปพร้อมกับท่านนั่นล่ะ”
“แต่ว่า”
“ทำไมท่านกลัวอะไรหรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้นข้ากลัวว่าเจ้าจะเหนื่อยนะ”
“ข้าไม่เหนื่อยเลยเจ้าคะ ลูกๆ ของเราก็คงจะยังไม่เหนื่อยเช่นกัน มาถึงแล้วก็ควรต้องไปเข้าเฝ้าพระองค์ถึงจะถูกจะผลัดวันไปทำไมกัน”
“ก็ได้ๆ ตามใจเจ้าเถอะ”
เมื่อได้คำตอบเป็นที่พอใจแล้วหยวนจือหลินจึงส่งยิ้มให้เขาก่อนจะเดินลงจากรถม้าเพื่อไปหาผู้เป็นบิดาของนาง
“ท่านพ่อ”
“อะไรหรือ เจ้าลงมาทำไมน่าจะยังไม่ถึงจวนแม่ทัพเลยนะ”
“ข้าจะเข้าวังเจ้าค่ะ”
“ตอนนี้เลยหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านจะไปด้วยกันกับข้าหรือไม่”
เขาครุ่นคิดอยู่ไม่นานก่อนจะบอกนางไปว่า
“ไม่ล่ะข้าจะไปรอเจ้าที่จวนไว้เจ้าว่างเมื่อไหร่พาหลานๆ มาเยี่ยมข้าด้วยนะหลินเอ๋อร์”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
หยวนจือหลินยิ้มให้เขาก่อนจะสั่งให้สารถีขับรถม้าไปส่งใต้เท้าหยวนที่จวนต่อไป หลี่หงอี้มองตามนางทุกย่างก้าวเขาถอนหายใจออกมาเบาๆ
เดิมทีแค่กลัวว่านางจะเหนื่อยเกินไปและที่สำคัญคือเขากลัวว่านางจะเป็นเหมือนเมื่อก่อนนี้ กลัวว่าที่เมืองหลวงแห่งนี้จะทำให้นางเกิดจำอดีตที่เลวร้ายนั้นได้และทำร้ายตัวเองอีกก็เท่านั้นเอง เมื่อหยวนจือหลินขึ้นรถม้ากับเด็กๆ เรียบร้อยแล้วเขาก็หันไปสั่งทหารต่อทันที
“เคลื่อนขบวนไปที่วังหลวง”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
-วังหลวง-
ห้องกว้างใหญ่ปกคลุมด้วยพรมแดงตกแต่งด้วยเสาแกะสลักลายมังกรสีทอง ผ้าม่านไหมสีแดงเข้มถูกดึงขึ้นเผยให้เห็นแสงจากด้านนอกสะท้อนกับบัลลังก์ทองคำที่อยู่สูงขึ้นไปบนแท่น มีมังกรทองสองตัวขนาบข้างบรรยากาศช่างสง่างามและเข้มขลังยิ่งนัก
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองหลังนั้นกำลังจ้องมองบุรุษหนุ่มที่ดูจะไม่ทุกข์ร้อนใดๆ กับใบหน้าที่ดูจะทะมึนตึงของเขา
‘หายไปตั้งห้าปีไม่คิดจะส่งข่าวหรือกลับมาหาข้าบ้างเลย แล้วดูทำหน้าเข้าสิอะไรจะเบิกบานถึงเพียงนั้น’
“ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“มีเรื่องน่ายินดีอะไรงั้นหรือหน้าเจ้าถึงได้บานเพียงนั้น แล้วเหตุใดเพิ่งจะกลับมาข้าเรียกเจ้าตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ”
“พระองค์ก็น่าจะรู้นี่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกำลังปฎิบัติภารกิจสำคัญอยู่”
“เฮ้อ..ช่างเถอะแล้วนางเป็นอย่างไรบ้าง”
“นางสบายดีพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้…”
“อะไร”
“นางเองก็เดินทางมากับกระหม่อมด้วย น่าจะยังอยู่ที่นอกท้องพระโรงพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ! นางกลับมาด้วยเช่นนั้นหรือ แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ส่งข่าวให้ข้ารู้ก่อนเลยเล่า”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อม..”
ไม่ทันที่แม่ทัพหลี่จะได้กล่าวสิ่งใดออกไปฮ่องเต้ก็ลุกจากบัลลังก์แล้วเดินแกมวิ่งออกไปนอกท้องพระโรงด้วยความรวดเร็ว ทำเอาเหล่าองค์รักษ์และขันทีประจำกายวิ่งตามแทบไม่ทัน
ฮ่องเต้วิ่งออกไปโดยไม่สนใจผู้ใดสักคนเดียว เขายืนชะเง้อพระศอมองหาหยวนจือหลินไปทั่วทั้งหน้าท้องพระโรง
“ไหนเจ้าบอกว่านางอยู่นอกท้องพระโรงแล้วเหตุใดถึงไม่มีแม้แต่เงาของนางเลยเล่า”
“ฝ่าบาท ฮูหยินหยวนอยู่ที่สวนหยกเขียวพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินขันทีหน้าท้องพระโรงรายงานมา ฮ่องเต้ก็รีบวิ่งไปที่อุทยานทันทีทำเอาแม่ทัพหลี่วิ่งตามแทบไม่ทัน
“ท่านแม่ทัพนี่ฝ่าบาทยังไม่ลืมฮูหยินหยวนจริงๆ หรือ”
“ข้าไม่รู้”
หลี่หงอี้ยอมรับว่าตอนนี้เขาเองก็รู้สึกใจหายเป็นอย่างมาก หากว่านางเลือกที่จะกลับไปอยู่เคียงข้างฝ่าบาทอีกครั้งแล้วเขาจะทำอย่างไร
แม้ว่านางจะเป็นฮูหยินของเขาไปแล้ว แต่ฝ่าบาทเองก็ใช่ว่าจะรังเกียจนางมีแต่จะยกย่องนางขึ้นเป็นฮองเฮาเสียด้วยซ้ำ
ฮ่องเต้วิ่งมาถึงสวนหยกเขียวที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพรรณตรงกลางมีสระน้ำที่ใสเหมือนกระจกพื้นสระถูกปูด้วยหินหยกสีเขียว มีสะพานโค้งไม้เก่าแก่ที่เชื่อมไปยังศาลาเล็กๆ กลิ่นดอกบัวและกล้วยไม้หอมอบอวลลอยปะปนอยู่ในอากาศ
เขามองเห็นนางแล้วสตรีที่นั่งอยู่บนขอบไม้ของสะพาน นางกำลังก้มมองฝูงปลาในสระน้ำที่กำลังแหวกว่ายไปมา
ฮ่องเต้รู้สึกโล่งใจยิ่งนักที่เห็นว่านางยังอยู่ดีมีความสุขทั้งยังได้ลูกน้อยมาอีกสองคนความรู้สึกผิดเศร้าเสียใจและความรู้สึกอึดอัดใจที่เคยทำให้นางสูญเสียตัวตนก็เริ่มจางหายไปทีละนิด
“หลินเอ๋อร์”
หยวนจือหลินหันไปมองยังต้นเสียงที่เรียกขานนางอยู่นั้นก็พบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งในชุดปักลายมังกรเหลืองทองอร่าม
‘คงจะเป็นฮ่องเต้สินะ หล่อเหลาไม่น้อยไปกว่าสามีของข้าเสียจริง’
‘แต่เจ้ามีสามีแล้วนะอย่าลืมสิ!’
ความคิดฝั่งดีกับความคิดฝั่งชั่วร้ายเริ่มตบตีกันในสมองของนาง หยวนจือหลินสะบัดศรีษะไล่ความคิดบ้าๆ ทั้งสองที่ขัดแย้งกันอยู่นั้นออกไปทันที
แต่เมื่อทั้งฝ่าบาทและหลี่หงอี้เห็นดังนั้นก็คิดว่านางอาจจะมีอาการคลุ้มคลั่งเหมือนเมื่อก่อนทั้งคู่จึงรีบวิ่งเข้าไปหานางทันที
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
หยวนจือหลินได้แต่กระพริบตามองทั้งสองคนด้วยความงุนงง นางก็แค่ไล่ความคิดบ้าๆ ของนางเท่านั้นเองเหตุใดทั้งสองคนนี้ถึงได้ดูตื่นตกใจกันนักล่ะ
“ข้าไม่เป็นอะไร....เพคะ”
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
หยวนจือหลินกำลังจะคุกเข่าลงฮ่องเต้เห็นดังนั้นจึงรีบคว้าแขนของนางเอาไว้ เขาโบกมือไล่บรรดาขันทีและนางในให้ออกไปจากอุทยานเหลือเพียงแค่พวกเขาสามคนและเด็กน้อยอีกสอง
“เจ้าไม่ต้องมากพิธีกับข้านักหรอก”
“ได้อย่างไรกันเพคะ พระองค์เป็นถึงฮ่องเต้ไม่ให้หม่อมฉันถวายการเคารพเฉกเช่นคนอื่นได้อย่างไร”
“ก็เป็นสหายของข้าจะมากพิธีไปทำไม”
“สหายก็ต้องรักษากิริยามารยาทนะเพคะ อีกอย่างเด็กๆ ก็อยู่เดี๋ยวจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีได้นะเพคะ”
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็หันไปมองพวกเขาก็เห็นว่าเด็กน้อยทั้งสองนั้นกำลังยืนอ้าปากค้างจ้องเขาอยู่อย่างไม่วางตา
“ลูกๆ ของพวกเจ้าช่างน่ารักน่าชังเสียจริง”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“อาเฟยอาชิงไปเล่นทางนั้นก่อนนะ”
“เจ้าค่ะท่านแม่/ขอรับท่านแม่”
เด็กๆทั้งสองวิ่งไปหาหย่งฉีทหารคนสนิทของผู้เป็นบิดาก่อนจะพากันวิ่งเล่นไปทั่วทั้งอุทยาน เสียงหัวเราะของเด็กๆ สร้างความสดใสให้แก่วังหลวงแห่งนี้ขึ้นมาทันที
“หลินเอ๋อร์ที่ผ่านมาเจ้ายกโทษให้ข้าได้หรือไม่”
“ยกโทษหรือเพคะ”
หยวนจือหลินเอียงศรีษะพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเจ้าของร่างเดิมนี้
“อ๋อ เรื่องที่ท่านรับน้องสาวของข้าเป็นสนมน่ะหรือ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงเรื่องที่ข้าไม่สามารถรับเจ้าเป็นฮองเฮาของข้าได้”
หยวนจือหลินอมยิ้มมองฮ่องเต้ก่อนจะหันมองไปยังผู้เป็นสามีที่ยืนนิ่งด้วยใบหน้าคล้ายกับอมทุกข์อยู่ด้านหลังพวกนาง
‘ดูทำหน้าเข้า ทำเหมือนข้าจะทอดทิ้งเขาอย่างไรอย่างนั้น’
“ทำไมหรือเพคะ พระองค์ทรงถามเช่นนี้จะรับหม่อมฉันมาเป็นสนมอีกคนหรือ”
“ไม่ใช่เช่นนี้นะ! หากจะรับเจ้าเข้าวังต้องตำแหน่งฮองเฮาเท่านั้น”
“ฝ่าบาทหม่อมฉันดีใจที่พระองค์ให้เกียรติหม่อมฉันถึงเพียงนี้ เพียงแต่หม่อมมีสามีแล้วนะเพคะเป็นแม่ทัพที่ดูแลบ้านเมืองเคียงคู่กับพระองค์ ตำแหน่งฮองเฮาหรือสนมที่สูงศักดิ์เหล่านั้นไม่เหมาะสมกับหม่อมฉันหรอกเพคะ”
“เจ้ารังเกียจข้าเช่นนั้นหรือ”
“หม่อมฉันไม่ได้เกลียดชังอะไรพระองค์แล้วทรงลืมเรื่องราวในอดีตไปเถอะเพคะ อดีตก็คืออดีตทิ้งมันไปได้แล้วเชื่อหม่อมฉันเถอะเพคะ”
“เจ้าลืมได้แล้วเช่นนั้นหรือ”
“แน่นอนเพคะหม่อมฉันโตขึ้นเยอะแล้วนะไม่ใช่สาวน้อยเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”
หยวนจือหลินยิ้มหวานให้ฮ่องเต้แม้เขาจะรู้สึกเสียดายที่ต้องสูญเสียสตรีอันเป็นที่รักไป แต่นางก็ไปอยู่กับบุรุษที่เป็นเหมือนน้องชายและสหายในคนๆ เดียวกันของเขา เขาเองก็ควรที่จะวางใจและควรปล่อยนางไปได้แล้วกระมัง
“เช่นนั้นข้าก็ขออวยพรให้เจ้าทั้งคู่สุขสมหวังอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าอย่าได้พลัดพลากกันอีกเลยนะหลินเอ๋อร์ แม่ทัพหลี่”
“ฝ่าบาทก็เช่นกันทรงลืมเรื่องราวที่เลวร้ายไปให้หมดแล้วเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะเพคะ”
“อืม”
ทั้งสามคนยิ้มให้แก่กันวันเวลาห้าปีที่ขมขื่นได้จางหายไปแล้วเหลือไว้เพียงช่วงเวลาดีๆ นับต่อจากนี้เป็นต้นไป
“ท่านแม่ข้าชอบที่นี่มากเลยเจ้าค่ะ”
“ชอบงั้นหรือ? เช่นนั้นอยากมาเป็นองค์หญิงน้อยหรือไม่เล่า”
“ฝ่าบาท...”
หยวนจือหลินเรียกเขาเสียงแข็งขึ้นมาทันที ฮ่องเต้จึงได้แต่อมยิ้มเท่านั้น
“ข้าล้อเล่นน่า เจ้านี่ช่างเหมือนท่านแม่ของเจ้าเสียจริงนะ”
อาชิงยิ้มหวานให้ฮ่องเต้ไปทีหนึ่งก่อนจะหันไปวิ่งเล่นกับผู้เป็นพี่ชายอีกครั้งท่ามกลางสายตาที่เอ็นดูจากบรรดาคนที่อยู่บริเวณอุทยาน
‘ชีวิตครอบครัวของนางช่างน่าอิจฉาเสียจริง’
ฮ่องเต้ได้เพียงแค่คิดในพระทัยของเขาเท่านั้น เห็นนางมีความสุขถึงเพียงนี้แม้จะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้เขาก็พอใจแล้ว
“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”“เจ้าค่ะแม่นมจาง”บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
ยามเหม่า[1]“ท่านพี่เหตุใดท่านแม่ถึงได้นอนนิ่งไปเช่นนั้นกันเล่าเจ้าคะนางจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่”“ก็ต้องตื่นอยู่แล้วสิ เจ้าอย่าได้พูดเช่นนั้นอีกนะหากท่านแม่ได้ยินเจ้าจะแย่เอาได้”“ข้าแค่เป็นห่วงท่านแม่ก็เท่านั้นเอง”เด็กน้อยสองคนกำลังยืนสนทนากันอยู่ด้านข้างผู้เป็นมารดาของพวกเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของร่างนั้นได้สิ้นใจไปนานแล้วขณะที่ผู้เป็นพี่ชายพยายามกอดปลอบน้องสาวของเขาอยู่นั้นก็เป็นต้องตกใจจนสะดุ้งโหยงเมื่อผู้เป็นมารดาอยู่ๆ ก็ตะโกนร้องออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัวกันทั้งคู่“ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย…”เด็กน้อยทั้งสองกอดกันแน่นแต่เมื่อได้ยินคำพูดที่พวกเขาทั้งคู่ฟังแล้วไม่คุ้นหูถึงกลับต้องหันมองหน้ากันไปมาด้วยความสงสัยในสิ่งที่ผู้เป็นมารดาเอ่ยออกมา“ท่านแม่พูดว่าอะไรนะ”“ไม่รู้สิ”อาการหนักอึ้งที่ขมับข้างศรีษะทำให้หยวนจือหลินลืมตาตื่นขึ้นอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาทีละนิดจนภาพตรงหน้าที่พร่าเลือนปรากฏให้เห็นเป็นเด็กชายหญิงสองคนอายุราวๆ สี่ห้าขวบกำลังยืนจ้องมองเธออยู่‘นั่นใครกันล่ะเนี่ย นี่ฉันยังไม่ตายงั้นหรือ’หยวนจือหลินหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นแต่
'ทำอย่างไรดี ไม่เอาแบบนี้สิข้าอยากกลับบ้าน!'“ตื่นมาก็นานมากแล้วเหตุใดความทรงจำของร่างนี้ถึงไม่มาด้วยกันเล่า แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้ข้าเป็นใครมาทำอะไรที่นี่ เฮ้อออ…”หยวนจือหลินเอนหลังนอนลงบนเตียงอีกครั้งก่อนจะเอามือก่ายหน้าผากตนเองแล้วหลับตาลง นางพยายามที่จะคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นของเจ้าของร่างนี้อยู่นานสองนานแต่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาในหัวของนางเลยสักเพียงนิด“โว๊ย! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สวรรค์จะส่งฉันมาอยู่ที่นี่ทำไมกันฉันอยากกลับบ้าน!”หยวนจือหลินทึ้งผมตนเองอย่างแรงก่อนที่ในหัวของนางจะมีภาพๆ หนึ่งฉายชัดขึ้นมาและเริ่มไหลเวียนเข้ามาไม่หยุดหย่อนปรากฎให้เห็นเป็นภาพของสตรีนางหนึ่งที่เอาแต่ทุบตีลูกน้อยทั้งสองของนางอยู่ไม่เว้นวัน พวกเขาทั้งคู่ต่างก็นั่งร้องไห้น้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสาย‘ท่านแม่อย่าตีน้องเลยนะขอรับ ท่านตีข้าเพียงคนเดียวเถอะ’‘ฮือฮือ’เด็กน้อยสองคนนั่งกอดกันแน่นร้องไห้อยู่บนพื้นนอกบ้านท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บลมพายุที่พัดผ่านมายิ่งทำให้พวกเขาสั่นสะท้านมากขึ้น เด็กชายคนนั้นเอาแต่ร้องขอให้มารดาของเขาหยุดทุบตีผู้เป็นน้องสาวและอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในบ้านผ
หยวนจือหลินปิดประตูห้องนอนลงก่อนจะหันมองไปรอบๆ บ้าน นางเดินสำรวจบ้านหลังนี้แทบจะทุกซอกทุกมุมโดยมีเด็กน้อยทั้งสองเดินตามหลังไปติดๆ จนไปสุดที่ห้องสุดท้ายดูแล้วน่าจะเป็นห้องครัวตั้งอยู่บริเวณหลังบ้านเลยก็ว่าได้ภายในห้องครัวนั้นมีเตาถ่านตั้งเรียงรายอยู่สองสามอันเครื่องครัวที่ทำจากทองเหลืองเก่าๆ ถูกวางเอาไว้อย่างไม่เป็นระเบียบนัก ผนังห้องครัวมีชั้นวางที่เต็มไปด้วยขวดเครื่องเทศต่างๆ นับไม่ถ้วนที่ถูกวางอย่างระเกะระกะบางขวดก็ถูกเปิดออกแต่ไม่ยอมปิดฝาไว้ดังเดิมจนเครื่องเทศที่บรรจุไว้ภายในนั้นเริ่มเน่าและส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้องหยวนจือหลินปิดจมูกเอาไว้แน่นก่อนจะเข้าไปยืนอยู่ตรงกลางแล้วสำรวจทั่วทั้งห้องอีกครั้งกลับพบว่าแทบจะไม่มีวัตถุดิบอะไรหลงเหลืออยู่เลย หยวนจือหลินรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมากนางเดินไปหยิบเอาขวดเหล่านั้นทิ้งลงในตระกร้าก่อนจะเอาออกไปวางไว้นอกห้องครัว แล้วจึงเก็บเอาท่อนฟืนที่ถูกตัดวางเรียงรายอยู่ข้างๆ กันนำไปก่อกองไฟเพื่อปรุงอาหารง่ายๆ ประทังชีวิตของทั้งสามคนสำหรับเช้านี้ไปก่อน“ท่านแม่”หยวนจือหลินไม่ได้หันไปมองยังต้นเสียงเล็กๆ ที่เรียกนางอยู่ นางกำลังหันหลังจัดระเบีย
“ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ”เสียงน้อยๆ ของอาชิงกำลังร้องเรียกหานางอยู่ หยวนจือหลินหันซ้ายหันขวากำลังจะหาที่หลบแต่เมื่อสังเกตดูกลับพบว่าอาชิงมองไม่เห็นว่านางยืนอยู่ข้างในนี้“เป็นไปได้อย่างไรกัน”“อาชิง อาชิงได้ยินข้าหรือไม่”หยวนจือหลินชั่งใจลองตะโกนเรียกนางแต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะไม่ได้ยินที่นางร้องเรียกสักเพียงนิด เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยมองไม่เห็นผู้เป็นมารดาจึงหันหลังวิ่งออกไปจากห้องครัวทันที“เฮ้อ โล่งอกไปทีนึกว่าจะมีคนเห็นข้าเสียแล้วไหนดูสิที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่”สถานที่ที่นางหลุดเข้ามาเหมือนเป็นห้องเก็บวัตถุดิบทั้งของสดของแห้ง ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักที่พบว่าของพวกนี้ยังคงใช้งานได้และมีทุกสิ่งที่นางต้องการนางหยิบเอาถุงเครื่องปรุงรสต่างๆ และเมล็ดพันธุ์ผักอีกหลายชนิดติดมือออกมาด้วย‘ดีล่ะใช้เครื่องปรุงพวกนี้ทำอาหารไปก่อนแล้วกัน’หยวนจือหลินเดินออกมาจากมิติวิเศษนั้นแล้วนำของที่หยิบติดมือมาด้วยวางไว้ในตะกร้าเก็บของ ก่อนจะหยิบผงปรุงรสมาโรยใส่ในหม้อข้าวต้ม“ท่านแม่!”“ว๊ายตาเถร!”“เอ๋? เมื่อครู่ท่านแม่พูดว่าอะไรนะเจ้าคะ”“ไม่มีอะไรหรอกอย่าสนใจไปเลย ว่าแต่เจ้าเข้ามาทำไมไม่ให้ซุ่มให้เสียงกันข้
“หลินเอ๋อร์” “จริงสิข้าก็ลืมถามไปเลยท่านเพิ่งกลับมาจากล่าสัตว์เหนื่อยมากหรือไม่เจ้าคะ”“อะไรนะ” หลี่หงอี้ได้ยินที่นางถามถึงกับงุนงงไปทันที เขาเองก็ยังนึกสงสัยอยู่ว่าสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาผู้นี้คือหยวนจือหลินภรรยาตัวจริงของเขาหรือไม่ เหตุใดถึงได้ดูเปลี่ยนไปจากเดิมได้ถึงเพียงนี้“ท่านพี่ ท่านพี่!”“หืม? อะไรหรือ”“เป็นอะไรไปเจ้าคะเมื่อครู่ข้าถามท่านว่าเหนื่อยมากหรือไม่”“มะ ไม่เป็นอะไรข้าไม่เหนื่อยหรอกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป จะว่าไปข้าได้หมูป่ามาตัวหนึ่งด้วยนะแต่ว่าตอนที่เดินมาถึงประตูรั้วได้ยินเสียงเจ้าร้องขึ้นมาพอดีจึงโยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้น ข้าจะรีบไปเอามาเดี๋ยวนี้”“อะไรนะ! นี่ท่านกล้าทิ้งหมูป่าเอาไว้หน้าประตูได้อย่างไรกัน”“ข้าขอโทษ ก็ข้าตกใจนึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้านี่นา”“ท่านรีบไปเอาเข้ามาในบ้านเลยนะรู้หรือไม่ว่าหมูป่าไม่ใช่ของที่ใครจะล่ามาได้ง่ายๆ เกิดมีคนขโมยไปไม่เสียดายแย่หรือ”“รู้แล้วๆ ไปเดี๋ยวล่ะ”เขาพูดจบก็รีบเดินไปที่หน้าประตูรั้วด้วยความรวดเร็ว หยวนจือหลินเองก็รีบเดินตามหลังเขาไปติดๆ โดยมีเด็กๆ ทั้งสองเดินตามนางมาด้วยหมูป่าที่หลี่หงอี้ล่ามาได้นั้นตัวใหญ่มากจริงๆ
หลี่หงอี้ที่เพิ่งจะถอดเสื้อออกก็หันมายังต้นเสียงที่แลดูตื่นตกใจนั้น เขาอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านางกำลังใช้มือเรียวบางคู่นั้นปิดที่ดวงตาของตัวเอง“เจ้าจะปิดตาไปทำไมกัน มากกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้วนะ”“ท่านว่าอะไรนะ”หยวนจือหลินค่อยๆ เปิดตาออกมาทีละนิดจนเห็นว่าเขาหันหน้ามามองที่นางแล้ว แผ่นอกเปลือยเปล่ากับผิวสีน้ำผึ้งที่มีมัดกล้ามแน่นๆดูเป็นลอนสวย หยวนจือหลินกลืนน้ำลายเล็กน้อยน่าเสียดายที่เขาถอดเพียงช่วงบนน่าจะถอดช่วงล่างไปด้วยเสียเลย ฮิๆ“ยิ้มอะไรหรือ”“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะคือว่าข้า..ความจริงข้าตั้งใจจะมาเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน แต่ในเมื่อท่านจัดการเองแล้วเช่นนั้นข้าขอตัวล่ะ”“เดี๋ยวสิ!”หลี่หงอี้คว้าเอวของนางมากอดเอาไว้แน่น“เจ้าไม่โกรธข้าแล้วหรือ”“ข้าโกรธอะไรท่านเรื่องอะไรงั้นหรือ”“ก็เรื่องที่ข้าต่อว่าใต้เท้าเจิ้งอย่างไรเล่าเจ้าไม่โกรธข้าแล้วใช่หรือไม่”“เหตุใดข้าต้องโกรธด้วยล่ะ แล้วใต้เท้าอะไรนั่นก็เป็นคนนอกครอบครัวนะเจ้าคะท่านเลิกพูดถึงเขาเสียทีสิ”“ก็ได้ๆ”ขณะที่ทั้งคู่จ้องตากันอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงของบุตรชายตะโกนร้องเรียกอยู่หน้าห้อง“ท่านพ่อ ท่านแม่ ทำอะไรอยู่หรือขอรับ” อาเฟยอาชิงที่
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”“เจ้าค่ะแม่นมจาง”บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ
การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนักหยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก“อะ เอ่อ”หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันทีหย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับเล่าเจ้าคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ”
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r
วันนี้ที่ร้านอาหารของนางยังคงคึกคักเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาและก็เป็นอีกวันที่ชายชราผู้หนึ่งมานั่งกินอาหารอยู่เพียงลำพังเช่นทุกวัน วันนี้เขาสั่งอาหารเพียงแค่ไม่กี่อย่างแต่กลับนั่งนานเสียจนหยวนจือหลินเองก็อดจะสงสัยเขาอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ทันได้เข้าไปทักทายชายผู้นั้นก็ลุกเดินออกจากร้านไปเสียแล้ว ทั้งยังทิ้งตำลึงเงินเอาไว้เกินราคาอาหารอีกด้วยครั้นนางจะเดินตามไปก็ถูกเรียกโดยลูกค้าคนอื่นเข้าพอดีชายผู้นั้นเดินออกไปท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่จับจ้องเขาอยู่อย่างไม่วางตาตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในร้านแล้ว“จะกลับแล้วหรือขอรับ”เขาหยุดเดินก่อนจะหันหลังไปมองดูก็พบว่าเป็นซ่งหงอี้ สามีของเจ้าของร้านนั้นนั่นเอง“เหตุใดถึงกลับไวเช่นนี้ท่านเดินทางมาตั้งไกลอย่าบอกนะขอรับว่ามาเพื่อดูหน้านางเท่านั้น”“คือว่าข้า”“ใต้เท้าข้าว่าหากท่านมีสิ่งใดอยากจะสนทนากับนาง ท่านควรที่จะเปิดใจกับนางตรงๆ ไปเลยจะดีกว่านะขอรับ”“แต่ว่านางจะไม่ไล่ข้าไปอีกหรือ ที่ผ่านมานั้น…”“นางไม่ใช่คนเดิมอีกต
“ฮู ฮูหยิน”“…”“ฮูหยินอะไรของเจ้ากัน ฮูหยินของใต้เท้าก็อยู่ที่บ้านสิจะมาอยู่ทำไมตรงนี้”“ก็อยู่ไปแล้วหรือไม่เล่า”หลี่หงอี้เมื่อได้ยินที่หย่งฉีพูดออกมาก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างทิ่มแทงมาจากด้านหลังของเขา‘ให้ตายสิเป็นแม่ทัพอยู่ในสนามรบมาร่วมสิบปีแค่ออกมาจัดการงานนอกสนามรบเพียงไม่กี่ปี เหตุใดความรู้สึกของข้าถึงช้าลงได้เช่นนี้กันนะ ไม่รู้ได้อย่างไรว่านางมาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’หลี่หงอี้ค่อยๆ หันไปทางด้านหลังก็พบกับภรรยารักของเขายืนกอดอกขมวดคิ้วจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ความลับที่ตั้งใจช่วยกันปกปิดมานานนั้นไม่น่าจะเหลือแล้วกระมัง“ท่านทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”เสียงของนางในเวลานี้ช่างเยือกเย็นเสียจริง“หลินเอ๋อร์คือว่าข้าอธิบายได้นะ”“เช่นนั้นก็พูดมาสิ”“คือว่า”“ว่า”“คือความจริงแล้วข้า”“พูดไม่ออกหรือเจ้าคะเหตุใดคนพวกนั้นถึงเรียกท่านว่า ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ได้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาหรอกหรือแล้วตัวตนของท่านคือใครกัน แล้วข้าล่ะข้าเป็นอะไรกับท่านกันแน่”“ก็ต้องเป็นภรรยาของข้าสิ หลินเอ๋อร์คือว่าข้า”“ท่านเลิกเรียกชื่อข้าแล้วตอบข้ามาเดี๋ยวนี้”“ข้า”ห
ร้านอาหารของหยวนจือหลินเปิดกิจการมาได้เกือบครึ่งเดือนแล้วนางรู้สึกยินดีมากที่อาหารขายหมดแทบทุกวัน บางวันลูกค้าแทบจะร้องโอดโอยเพราะมาซื้อไม่ทันแม้ว่านางจะเตรียมวัตถุดิบเผื่อเอาไว้มากพอสมควรก็ตาม เป้าหมายต่อไปคือการเปิดร้านขายอาหารในเมืองเพิ่มอีกสักร้าน นางจะเก็บเงินเอาไว้ให้มากๆ เพื่อความมั่นคงของครอบครัว เด็กๆ และสามีของนางจะได้ไม่ต้องลำบากอีกวันนี้เป็นวันหยุดของร้านเมื่อทำงานบ้านทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยวนจือหลินจึงนอนพักผ่อนที่หน้าระเบียงบ้านโดยมีมือน้อยๆ ของอาเฟยและอาชิงคอยนวดบริเวณขาและแขนของนางให้ลมเย็นๆ ทำให้นางแทบจะหลับไปอยู่แล้ว“เก่งมากเลยอาเฟยอาชิงนวดเก่งขึ้นกันแล้วนี่นา”“อาชิงฝึกนวดตั้งนานเลยนะเจ้าคะ”“จริงหรือ?”“จริงสิขอรับท่านอาเต๋อหมิงชมนางอยู่เรื่อยว่าฝีมือของนางนั้นดียิ่งกว่าสตรีในหอโคมแดงอีก”“อะไรนะ!”“หืม อะไรหรือขอรับ? ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ”“อะ เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”‘เจ้าพวกนั้นกล้าพูดเรื่องในหอนางโลมให้ลูกๆ ของนางฟังได้อย่างไร เดี๋ยวเถอะพรุ่งนี้เจอกันข้าจะจัดการให้หนักเลย’บ่นในใจได้ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นสามีตะโกนเรียกนางจากหลังเรือน“หลินเอ๋อร์เจ้าอ