วันนี้ที่ร้านอาหารของนางยังคงคึกคักเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาและก็เป็นอีกวันที่ชายชราผู้หนึ่งมานั่งกินอาหารอยู่เพียงลำพังเช่นทุกวัน วันนี้เขาสั่งอาหารเพียงแค่ไม่กี่อย่างแต่กลับนั่งนานเสียจนหยวนจือหลินเองก็อดจะสงสัยเขาอยู่ไม่น้อย
แต่ไม่ทันได้เข้าไปทักทายชายผู้นั้นก็ลุกเดินออกจากร้านไปเสียแล้ว ทั้งยังทิ้งตำลึงเงินเอาไว้เกินราคาอาหารอีกด้วยครั้นนางจะเดินตามไปก็ถูกเรียกโดยลูกค้าคนอื่นเข้าพอดี
ชายผู้นั้นเดินออกไปท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่จับจ้องเขาอยู่อย่างไม่วางตาตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในร้านแล้ว
“จะกลับแล้วหรือขอรับ”
เขาหยุดเดินก่อนจะหันหลังไปมองดูก็พบว่าเป็นซ่งหงอี้ สามีของเจ้าของร้านนั้นนั่นเอง
“เหตุใดถึงกลับไวเช่นนี้ท่านเดินทางมาตั้งไกลอย่าบอกนะขอรับว่ามาเพื่อดูหน้านางเท่านั้น”
“คือว่าข้า”
“ใต้เท้าข้าว่าหากท่านมีสิ่งใดอยากจะสนทนากับนาง ท่านควรที่จะเปิดใจกับนางตรงๆ ไปเลยจะดีกว่านะขอรับ”
“แต่ว่านางจะไม่ไล่ข้าไปอีกหรือ ที่ผ่านมานั้น…”
“นางไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้วท่านลองดูใหม่อีกครั้งสิขอรับ”
ชายผู้นั้นได้แต่ยืนทำหน้าไม่ถูกที่ผ่านมาเขาเองก็พยายามที่จะพูดคุยกับนางมาโดยตลอดแต่ก็ถูกนางไล่ออกไปทุกครั้ง แล้วครั้งนี้เล่าจะไม่เหมือนที่ผ่านมาเช่นนั้นหรือ
“หยวนจือหลินนางยังโกรธข้าอยู่หรือไม่นะ”
“หากท่านไม่ลองพูดคุยกับนางแล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางรู้สึกอย่างไรกับท่าน ไม่แน่นะขอรับว่านางอาจจะลืมเรื่องราวเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว”
“จริงหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า”
“โธ่ ท่านพ่อตาท่านเลิกอิดออดแล้วเข้าไปหานางเสียทีเถอะ ไม่เช่นนั้นข้าจะพานางหนีท่านไปแล้วนะ”
“เจ้านี่อย่างไรนะพูดปลอบใจคนอื่นเขาเป็นหรือไม่เล่า”
“ทำอย่างไรได้ข้าเป็นทหารวาจาอาจไม่คมคายเช่นหนุ่มๆ ในเมืองหลวงที่ท่านพยายามพามาเกี้ยวภรรยาของข้าหรอกขอรับ”
‘เจ้าบ้านี่ เห็นแก่ที่เขาดูแลบุตรสาวของเขามาตลอดห้าปีหรอกนะไม่เช่นนั้นพ่อจะทุบหัวให้’
“เข้าไปเถอะขอรับ”
หลี่หงอี้ดันหลังของพ่อตาของเข้าไปในร้าน
“เจ้าปล่อยข้าสิ ข้าเดินเองได้”
เดินเองได้ก็ไม่เห็นจะออกเดินเสียที อีกนิดเดียวข้าจะอุ้มท่านไปนั่งข้างในแล้วนะขอรับ
“รู้แล้วน่า รู้แล้วๆ”
ชายผู้นั้นหันไปมองคนที่นั่งอยู่ในร้านก่อนจะค่อยๆ ระบายลมหายใจออกมาทีละนิดเพื่อระงับอาการตื่นเต้นลง เขาค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปในร้านแล้วนั่งลงที่เดิมเป็นหย่งฉีที่นำน้ำชามาให้เขา
“น้ำชาขอรับใต้เท้าเผื่อคอท่านจะแห้ง”
“ปากเจ้านี่เหมือนเจ้านายของเจ้าไม่มีผิดเสียจริง”
“ทำอย่างไรได้ขอรับนายท่านสั่งมาเช่นนี้ ตามสบายเลยนะขอรับข้าต้องไปดูแลลูกค้าโต๊ะอื่น”
หย่งฉีพูดจบก็ทิ้งให้เขานั่งอยู่ลำพังโดยมีเต๋อหมิงที่คอยกันท่าไม่ให้บ่าวคนสนิทของใต้เท้าหยวนเข้ามาใกล้เขาในร้าน
หยวนจือหลินที่เดินออกมาตรวจตราร้านค้าเมื่อเห็นว่าชายชราผู้นั้นกลับเข้ามานั่งอยู่เพียงลำพังในร้านอีกแล้วนางจึงรีบเดินเข้ามาหา
“ท่านตาเจ้าคะ อาหารเมื่อครู่ถูกปากท่านหรือไม่หรือท่านอยากกินอะไรสั่งข้าได้เลยนะเจ้าคะข้าจะทำให้เป็นพิเศษเลย อ้ออีกอย่างค่าอาหารเมื่อครู่นี้ท่านจ่ายมาเกินข้าจะไปเอามาคืนให้นะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก”
“หืม”
หยวนจือหลินรู้สึกคุ้นน้ำเสียงของเขามากแต่เพราะไม่เห็นใบหน้าของเขาจึงไม่รู้ว่าคือใครกันแน่ ดูเหมือนเขากำลังจะหลบนางอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อชายผู้นั้นถอดหมวกออกแล้วเงยหน้าขึ้นมามองนางช้าๆ หยวนจือหลินก็ได้เห็นใบหน้าของเขาเต็มสองตา
‘ใบหน้านี้ช่างคุ้นตายิ่งนัก’
“หลินเอ๋อร์เขาคือท่านพ่อของเจ้า”
“ท่านพ่อ? ของข้างั้นหรือ”
“ใช่ ข้าจะไปดูลูกๆ เจ้าก็นั่งคุยกับเขาไปก่อนนะ”
หยวนจือหลินดูจะทำอะไรไม่ถูกไปแล้วนางหันมองไปตามแผ่นหลังของสามี ก่อนจะหันมามองหน้าของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาของเจ้าของร่างนี้
‘ต้องทำอย่างไรต่อล่ะ ให้ตายสิความทรงจำก่อนหน้านี้ไม่มีเลย แล้วเจ้าของร่างนี้มีความสัมพันอย่างไรกับบุคคลตรงหน้านี้กันล่ะ’
“คือว่า”
“หลินเอ๋อร์นั่งก่อนสิ”
“เจ้าค่ะ”
นางค่อยๆ นั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขาก่อนจะสบตาผู้เป็นบิดาตรงๆ
‘ควรที่จะถามอะไรต่อไปล่ะเนี่ย’
“เจ้าสบายดีใช่หรือไม่”
“สบายดีเจ้าค่ะท่านพ่อมาได้อย่างไรหรือเจ้าคะ หากจำไม่ผิดท่านพี่บอกว่าจวนของเราอยู่ที่เมืองหลวงไม่ใช่หรือ”
“ข้าตั้งใจมาเยี่ยมเจ้าที่นี่ เจ้าอย่าเพิ่งไล่พ่อกลับไปเลยนะ”
“แล้วเหตุใดข้าต้องไล่ท่านกลับด้วยเล่าเจ้าคะ”
หยวนจือหลินถามออกไปด้วยความไม่รู้เรื่องก่อนหน้านี้จริงๆ นางนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก อีกทั้งหลี่หงอี้ก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดของครอบครัวนางให้ฟังเสียทีเดียว ที่เล่าๆ มาก็แค่เหตุผลที่นางหนีมาที่นี่ก็เท่านั้น
ชายชราผู้นั้นดูเหมือนจะงุนงงไปพักใหญ่ บุตรสาวคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้นั้นดูจะเปลี่ยนไปจากเดิมเป็นอย่างมาก
‘นี่นางให้อภัยเขาแล้วเช่นนั้นหรือ หรือจะเป็นดังคำของบุตรเขยผู้นั้นพูดกันว่านางอาจจะเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนแล้ว’
“ท่านพ่อไม่ว่าเรื่องราวที่ผ่านมาจะเป็นเช่นใด ท่านลืมมันไปเถอะนะเจ้าคะ”
“อะไรนะ”
“ข้าบอกว่าเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมาลืมไปเสียเถอะเจ้าค่ะ ข้าเองก็ลืมไปแล้วไม่อยากจดจำเรื่องพวกนั้นอีก”
“เจ้าให้อภัยข้าแล้วเช่นนั้นหรือ”
“ก็ขอแค่ท่านไม่จับคู่ข้ากับใครอีกก็คงเพียงพอแล้วกระมัง”
“บ้าน่า เจ้ามีครอบครัวที่อบอุ่นเพียงนี้แล้วข้าจะไปทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนั้นได้อย่างไร”
“ก็แปลว่าหากข้ายังไม่มีลูกล่ะก็ท่านก็จะแยกข้าจากสามีผู้นั้นสินะ”
“ไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อย หากทำเช่นนั้นเจ้าบ้านั่นได้บั่นคอข้าน่ะสิ”
นางส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าตอนนี้ทั้งคู่จะสนทนากันได้อย่างสนิทใจแล้ว
“เรื่องราวบาดหมางที่ผ่านมาข้าก็ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาแล้ว ท่านพ่อหากว่าท่านรักข้าจริง ท่านก็ปลดปล่อยตัวท่านเองเสียทีเถอะเจ้าค่ะ อย่าคิดมากไปอีกเลย”
“ข้ารู้แล้ว”
“แล้วเวลานี้ท่านกังวลใจอันใดอยู่งั้นหรือ คิ้วของท่านทั้งสองข้างแทบจะชนกันได้อยู่แล้วนะ”
“ก็….”
เขาไม่ยอมตอบนางเสียที หยวนจือหลินพยายามที่จะสังเกตอาการของเขาก็เห็นว่าเขามองไปที่เด็กๆ ทั้งสองอยู่บ่อยครั้ง
‘ที่แท้ก็ไม่ได้ตั้งใจมาหานางแต่อยากมาหาหลานตัวน้อยนี่เอง’
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับเล่าเจ้าคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ”
การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนักหยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก“อะ เอ่อ”หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันทีหย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่
“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”“เจ้าค่ะแม่นมจาง”บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
ยามเหม่า[1]“ท่านพี่เหตุใดท่านแม่ถึงได้นอนนิ่งไปเช่นนั้นกันเล่าเจ้าคะนางจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่”“ก็ต้องตื่นอยู่แล้วสิ เจ้าอย่าได้พูดเช่นนั้นอีกนะหากท่านแม่ได้ยินเจ้าจะแย่เอาได้”“ข้าแค่เป็นห่วงท่านแม่ก็เท่านั้นเอง”เด็กน้อยสองคนกำลังยืนสนทนากันอยู่ด้านข้างผู้เป็นมารดาของพวกเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของร่างนั้นได้สิ้นใจไปนานแล้วขณะที่ผู้เป็นพี่ชายพยายามกอดปลอบน้องสาวของเขาอยู่นั้นก็เป็นต้องตกใจจนสะดุ้งโหยงเมื่อผู้เป็นมารดาอยู่ๆ ก็ตะโกนร้องออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัวกันทั้งคู่“ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย…”เด็กน้อยทั้งสองกอดกันแน่นแต่เมื่อได้ยินคำพูดที่พวกเขาทั้งคู่ฟังแล้วไม่คุ้นหูถึงกลับต้องหันมองหน้ากันไปมาด้วยความสงสัยในสิ่งที่ผู้เป็นมารดาเอ่ยออกมา“ท่านแม่พูดว่าอะไรนะ”“ไม่รู้สิ”อาการหนักอึ้งที่ขมับข้างศรีษะทำให้หยวนจือหลินลืมตาตื่นขึ้นอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาทีละนิดจนภาพตรงหน้าที่พร่าเลือนปรากฏให้เห็นเป็นเด็กชายหญิงสองคนอายุราวๆ สี่ห้าขวบกำลังยืนจ้องมองเธออยู่‘นั่นใครกันล่ะเนี่ย นี่ฉันยังไม่ตายงั้นหรือ’หยวนจือหลินหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นแต่
'ทำอย่างไรดี ไม่เอาแบบนี้สิข้าอยากกลับบ้าน!'“ตื่นมาก็นานมากแล้วเหตุใดความทรงจำของร่างนี้ถึงไม่มาด้วยกันเล่า แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้ข้าเป็นใครมาทำอะไรที่นี่ เฮ้อออ…”หยวนจือหลินเอนหลังนอนลงบนเตียงอีกครั้งก่อนจะเอามือก่ายหน้าผากตนเองแล้วหลับตาลง นางพยายามที่จะคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นของเจ้าของร่างนี้อยู่นานสองนานแต่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาในหัวของนางเลยสักเพียงนิด“โว๊ย! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สวรรค์จะส่งฉันมาอยู่ที่นี่ทำไมกันฉันอยากกลับบ้าน!”หยวนจือหลินทึ้งผมตนเองอย่างแรงก่อนที่ในหัวของนางจะมีภาพๆ หนึ่งฉายชัดขึ้นมาและเริ่มไหลเวียนเข้ามาไม่หยุดหย่อนปรากฎให้เห็นเป็นภาพของสตรีนางหนึ่งที่เอาแต่ทุบตีลูกน้อยทั้งสองของนางอยู่ไม่เว้นวัน พวกเขาทั้งคู่ต่างก็นั่งร้องไห้น้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสาย‘ท่านแม่อย่าตีน้องเลยนะขอรับ ท่านตีข้าเพียงคนเดียวเถอะ’‘ฮือฮือ’เด็กน้อยสองคนนั่งกอดกันแน่นร้องไห้อยู่บนพื้นนอกบ้านท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บลมพายุที่พัดผ่านมายิ่งทำให้พวกเขาสั่นสะท้านมากขึ้น เด็กชายคนนั้นเอาแต่ร้องขอให้มารดาของเขาหยุดทุบตีผู้เป็นน้องสาวและอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในบ้านผ
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”“เจ้าค่ะแม่นมจาง”บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ
การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนักหยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก“อะ เอ่อ”หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันทีหย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับเล่าเจ้าคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ”
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r
วันนี้ที่ร้านอาหารของนางยังคงคึกคักเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาและก็เป็นอีกวันที่ชายชราผู้หนึ่งมานั่งกินอาหารอยู่เพียงลำพังเช่นทุกวัน วันนี้เขาสั่งอาหารเพียงแค่ไม่กี่อย่างแต่กลับนั่งนานเสียจนหยวนจือหลินเองก็อดจะสงสัยเขาอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ทันได้เข้าไปทักทายชายผู้นั้นก็ลุกเดินออกจากร้านไปเสียแล้ว ทั้งยังทิ้งตำลึงเงินเอาไว้เกินราคาอาหารอีกด้วยครั้นนางจะเดินตามไปก็ถูกเรียกโดยลูกค้าคนอื่นเข้าพอดีชายผู้นั้นเดินออกไปท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่จับจ้องเขาอยู่อย่างไม่วางตาตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในร้านแล้ว“จะกลับแล้วหรือขอรับ”เขาหยุดเดินก่อนจะหันหลังไปมองดูก็พบว่าเป็นซ่งหงอี้ สามีของเจ้าของร้านนั้นนั่นเอง“เหตุใดถึงกลับไวเช่นนี้ท่านเดินทางมาตั้งไกลอย่าบอกนะขอรับว่ามาเพื่อดูหน้านางเท่านั้น”“คือว่าข้า”“ใต้เท้าข้าว่าหากท่านมีสิ่งใดอยากจะสนทนากับนาง ท่านควรที่จะเปิดใจกับนางตรงๆ ไปเลยจะดีกว่านะขอรับ”“แต่ว่านางจะไม่ไล่ข้าไปอีกหรือ ที่ผ่านมานั้น…”“นางไม่ใช่คนเดิมอีกต
“ฮู ฮูหยิน”“…”“ฮูหยินอะไรของเจ้ากัน ฮูหยินของใต้เท้าก็อยู่ที่บ้านสิจะมาอยู่ทำไมตรงนี้”“ก็อยู่ไปแล้วหรือไม่เล่า”หลี่หงอี้เมื่อได้ยินที่หย่งฉีพูดออกมาก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างทิ่มแทงมาจากด้านหลังของเขา‘ให้ตายสิเป็นแม่ทัพอยู่ในสนามรบมาร่วมสิบปีแค่ออกมาจัดการงานนอกสนามรบเพียงไม่กี่ปี เหตุใดความรู้สึกของข้าถึงช้าลงได้เช่นนี้กันนะ ไม่รู้ได้อย่างไรว่านางมาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’หลี่หงอี้ค่อยๆ หันไปทางด้านหลังก็พบกับภรรยารักของเขายืนกอดอกขมวดคิ้วจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ความลับที่ตั้งใจช่วยกันปกปิดมานานนั้นไม่น่าจะเหลือแล้วกระมัง“ท่านทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”เสียงของนางในเวลานี้ช่างเยือกเย็นเสียจริง“หลินเอ๋อร์คือว่าข้าอธิบายได้นะ”“เช่นนั้นก็พูดมาสิ”“คือว่า”“ว่า”“คือความจริงแล้วข้า”“พูดไม่ออกหรือเจ้าคะเหตุใดคนพวกนั้นถึงเรียกท่านว่า ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ได้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาหรอกหรือแล้วตัวตนของท่านคือใครกัน แล้วข้าล่ะข้าเป็นอะไรกับท่านกันแน่”“ก็ต้องเป็นภรรยาของข้าสิ หลินเอ๋อร์คือว่าข้า”“ท่านเลิกเรียกชื่อข้าแล้วตอบข้ามาเดี๋ยวนี้”“ข้า”ห
ร้านอาหารของหยวนจือหลินเปิดกิจการมาได้เกือบครึ่งเดือนแล้วนางรู้สึกยินดีมากที่อาหารขายหมดแทบทุกวัน บางวันลูกค้าแทบจะร้องโอดโอยเพราะมาซื้อไม่ทันแม้ว่านางจะเตรียมวัตถุดิบเผื่อเอาไว้มากพอสมควรก็ตาม เป้าหมายต่อไปคือการเปิดร้านขายอาหารในเมืองเพิ่มอีกสักร้าน นางจะเก็บเงินเอาไว้ให้มากๆ เพื่อความมั่นคงของครอบครัว เด็กๆ และสามีของนางจะได้ไม่ต้องลำบากอีกวันนี้เป็นวันหยุดของร้านเมื่อทำงานบ้านทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยวนจือหลินจึงนอนพักผ่อนที่หน้าระเบียงบ้านโดยมีมือน้อยๆ ของอาเฟยและอาชิงคอยนวดบริเวณขาและแขนของนางให้ลมเย็นๆ ทำให้นางแทบจะหลับไปอยู่แล้ว“เก่งมากเลยอาเฟยอาชิงนวดเก่งขึ้นกันแล้วนี่นา”“อาชิงฝึกนวดตั้งนานเลยนะเจ้าคะ”“จริงหรือ?”“จริงสิขอรับท่านอาเต๋อหมิงชมนางอยู่เรื่อยว่าฝีมือของนางนั้นดียิ่งกว่าสตรีในหอโคมแดงอีก”“อะไรนะ!”“หืม อะไรหรือขอรับ? ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ”“อะ เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”‘เจ้าพวกนั้นกล้าพูดเรื่องในหอนางโลมให้ลูกๆ ของนางฟังได้อย่างไร เดี๋ยวเถอะพรุ่งนี้เจอกันข้าจะจัดการให้หนักเลย’บ่นในใจได้ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นสามีตะโกนเรียกนางจากหลังเรือน“หลินเอ๋อร์เจ้าอ