ยามเหม่า[1]
“ท่านพี่เหตุใดท่านแม่ถึงได้นอนนิ่งไปเช่นนั้นกันเล่าเจ้าคะนางจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่”
“ก็ต้องตื่นอยู่แล้วสิ เจ้าอย่าได้พูดเช่นนั้นอีกนะหากท่านแม่ได้ยินเจ้าจะแย่เอาได้”
“ข้าแค่เป็นห่วงท่านแม่ก็เท่านั้นเอง”
เด็กน้อยสองคนกำลังยืนสนทนากันอยู่ด้านข้างผู้เป็นมารดาของพวกเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของร่างนั้นได้สิ้นใจไปนานแล้ว
ขณะที่ผู้เป็นพี่ชายพยายามกอดปลอบน้องสาวของเขาอยู่นั้นก็เป็นต้องตกใจจนสะดุ้งโหยงเมื่อผู้เป็นมารดาอยู่ๆ ก็ตะโกนร้องออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัวกันทั้งคู่
“ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย…”
เด็กน้อยทั้งสองกอดกันแน่นแต่เมื่อได้ยินคำพูดที่พวกเขาทั้งคู่ฟังแล้วไม่คุ้นหูถึงกลับต้องหันมองหน้ากันไปมาด้วยความสงสัยในสิ่งที่ผู้เป็นมารดาเอ่ยออกมา
“ท่านแม่พูดว่าอะไรนะ”
“ไม่รู้สิ”
อาการหนักอึ้งที่ขมับข้างศรีษะทำให้หยวนจือหลินลืมตาตื่นขึ้นอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาทีละนิดจนภาพตรงหน้าที่พร่าเลือนปรากฏให้เห็นเป็นเด็กชายหญิงสองคนอายุราวๆ สี่ห้าขวบกำลังยืนจ้องมองเธออยู่
‘นั่นใครกันล่ะเนี่ย นี่ฉันยังไม่ตายงั้นหรือ’
หยวนจือหลินหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นแต่ก็ยังคงมองเห็นเด็กทั้งสองคนยังยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าของพวกเขาเองก็ดูจะงุนงงไม่ต่างจากเธอเลยสักเพียงนิด
ทันใดนั้นหยวนจือหลินก็คิดขึ้นมาได้ว่าที่เธอเห็นอยู่นี้ไม่น่าจะใช่ความฝันจึงรีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอนทันทีและเพราะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วนั้นส่งผลให้เธอหน้ามืดและรู้สึกปวดที่ขมับข้างศรีษะอย่างรุนแรงอีกครั้ง
“โอ๊ย! ทำไมปวดหัวแบบนี้กันล่ะเนี่ย!”
“ท่านแม่เป็นอะไรไปเจ็บตรงไหนเจ้าคะ”
“ท่านแม่งั้นหรือ”
หยวนจือหลินที่กำลังกอบกุมศรีษะอยู่นั้นก็ฝืนลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้นางมองข้ามเด็กน้อยทั้งสองคนไปยังบริเวณรอบๆ ห้องนอนกลับต้องงุนงงยิ่งกว่าเดิมเมื่อพบว่าภาพที่ปรากฏตรงหน้านั้นไม่ใช่ห้องพักของเธอ!
‘ที่นี่มันที่ไหนกันล่ะเนี่ย แล้วเด็กสองคนนี้เป็นใครกัน?’
ดูจากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่รวมไปถึงเสื้อผ้าของนางเองเป็นชุดของคนโบราณนี่นา
'นี่เธอหลุดมาอยู่ในนิยายอย่างที่เขาว่าทะลุมิติมาจริงๆ งั้นหรือ?'
‘ให้ตายสิ เคยเห็นแค่ในนิยายไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ หรือว่าฝัน? ฝันอยู่ใช่มั้ยนะ?’
หยวนจือหลินตบไปที่ใบหน้าอย่างแรงประหนึ่งอยากให้ตนเองรีบตื่นจากความฝันบ้าๆ นี่เสียทีแต่ความเจ็บแสบบนใบหน้าก็ทำให้เธอถึงกับส่งเสียงร้องออกมาดังๆ ทันที
“โอ๊ย! เจ็บจริงนี่นานี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ยฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“ท่านแม่เป็นอะไรไปขอรับท่านตีตัวเองทำไม”
หยวนจือหลินหันกลับมาสำรวจเด็กน้อยทั้งสองอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากถามในสิ่งที่ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยแทบจะเบะปากร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
“ฮึก…ท่านพี่ท่านแม่ลืมข้าไปแล้ว”
“โอ๋ๆ ไม่ใช่หรอกน่าตอนที่ท่านแม่ลื่นล้มหัวของท่านแม่ฟาดลงบนพื้นห้องอาจจะเลอะเลือนไปบ้างเจ้าอย่าเพิ่งเสียใจไปเลยนะ”
“ท่านแม่ขอรับ จำข้าได้หรือไม่ขอรับ” เด็กชายที่กำลังยืนปลอบใจผู้เป็นน้องสาวอยู่นั้น อยู่ๆ ก็หันมาถามนางต่อ
หยวนจือหลินเอียงศรีษะมองคนตรงหน้าก่อนจะพยายามทบทวนความทรงจำที่พอจะนึกขึ้นได้อีกครั้ง เธอจำได้ว่าตนเองไปเที่ยวสวนสัตว์ในเมืองใกล้ๆ ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงปักกิ่งที่เธออาศัยอยู่แต่ระหว่างนั้นก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นบรรดาสัตว์น้อยใหญ่เกิดคลุ้มคลั่งแล้วหลุดออกจากกรงขังตรงเข้าทำร้ายนักท่องเที่ยวกันไปทั่ว
หยวนจือหลินเองก็รีบวิ่งเพื่อจะออกจากสวนสัตว์ให้เร็วที่สุดแต่ระหว่างทางนั้นเธอกลับถูกใครบางคนผลักจนตกลงไปในแม่น้ำ ช่วงชลมุนที่ทุกคนต่างต้องเอาชีวิตรอดจึงไม่มีใครสนใจเธอที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือและเวลาไม่นานในที่สุดเธอก็จมลงไปยังก้นแม่น้ำและมาโผล่ในที่แห่งนี้
'มิติโบร่ำโบราณเช่นนี้เนี่ยนะ!'
'เธอตายไปแล้วจริงๆ น่ะหรือตายแล้ววิญญาณก็มาอยู่ในร่างของคนอื่นในอีกมิติเนี่ยนะ? ให้ตายสิเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!’
หยวนจือหลินรีบลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะข้างเตียงนอนที่มีกระจกเงาทองเหลืองใบใหญ่ตั้งเอาไว้หนึ่งบาน
‘อืม ใบหน้าและรูปร่างนี้ช่างเหมือนกับฉันไม่มีผิดเพี้ยนเลยเสียจริง’
เธอถอยหลังนั่งลงบนเตียงดังเดิมคิดทบทวนเรื่องราวต่อไปอีกสักพักแต่กลับไม่มีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนี้เข้ามาเลยสักเพียงนิด
“อะไรกันเนี่ย! ฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“ท่านแม่ท่านไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วหรือเจ้าคะท่านแม่จะทิ้งอาชิงไปหรือ”
“มะ ไม่ใช่อย่างนั้น ฉัน…ไม่ใช่สิคือข้าหมายถึง…”
“โธ่เอ้ย! พวกเจ้าสองคนออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะให้ข้าคิดอะไรคนเดียวก่อนได้หรือไม่”
“ก็ได้ขอรับ หากท่านแม่อยากได้อะไรเรียกข้าได้เลยข้าจะรออยู่ด้านนอก”
“อืม”
“ไปกันเถอะอาชิง”
“เจ้าค่ะ”
อาชิงหันหลังออกไปนอกห้องตามคำสั่งของผู้เป็นพี่ชายแต่ก็ยังดูจะเป็นห่วงผู้เป็นมารดาอยู่ไม่น้อย ถึงกับต้องหันหลังกลับมามองนางอยู่บ่อยครั้ง คล้อยหลังเด็กทั้งสองออกไปจากห้องแล้วหยวนจือหลินก็ได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่เพียงลำพัง
'ทำอย่างไรดี ไม่เอาแบบนี้สิข้าอยากกลับบ้าน!'
- - - - - - - - - - - - -
[1] ยามเหม่า = 05.00-06.59 น.
'ทำอย่างไรดี ไม่เอาแบบนี้สิข้าอยากกลับบ้าน!'“ตื่นมาก็นานมากแล้วเหตุใดความทรงจำของร่างนี้ถึงไม่มาด้วยกันเล่า แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้ข้าเป็นใครมาทำอะไรที่นี่ เฮ้อออ…”หยวนจือหลินเอนหลังนอนลงบนเตียงอีกครั้งก่อนจะเอามือก่ายหน้าผากตนเองแล้วหลับตาลง นางพยายามที่จะคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นของเจ้าของร่างนี้อยู่นานสองนานแต่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาในหัวของนางเลยสักเพียงนิด“โว๊ย! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สวรรค์จะส่งฉันมาอยู่ที่นี่ทำไมกันฉันอยากกลับบ้าน!”หยวนจือหลินทึ้งผมตนเองอย่างแรงก่อนที่ในหัวของนางจะมีภาพๆ หนึ่งฉายชัดขึ้นมาและเริ่มไหลเวียนเข้ามาไม่หยุดหย่อนปรากฎให้เห็นเป็นภาพของสตรีนางหนึ่งที่เอาแต่ทุบตีลูกน้อยทั้งสองของนางอยู่ไม่เว้นวัน พวกเขาทั้งคู่ต่างก็นั่งร้องไห้น้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสาย‘ท่านแม่อย่าตีน้องเลยนะขอรับ ท่านตีข้าเพียงคนเดียวเถอะ’‘ฮือฮือ’เด็กน้อยสองคนนั่งกอดกันแน่นร้องไห้อยู่บนพื้นนอกบ้านท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บลมพายุที่พัดผ่านมายิ่งทำให้พวกเขาสั่นสะท้านมากขึ้น เด็กชายคนนั้นเอาแต่ร้องขอให้มารดาของเขาหยุดทุบตีผู้เป็นน้องสาวและอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในบ้านผ
หยวนจือหลินปิดประตูห้องนอนลงก่อนจะหันมองไปรอบๆ บ้าน นางเดินสำรวจบ้านหลังนี้แทบจะทุกซอกทุกมุมโดยมีเด็กน้อยทั้งสองเดินตามหลังไปติดๆ จนไปสุดที่ห้องสุดท้ายดูแล้วน่าจะเป็นห้องครัวตั้งอยู่บริเวณหลังบ้านเลยก็ว่าได้ภายในห้องครัวนั้นมีเตาถ่านตั้งเรียงรายอยู่สองสามอันเครื่องครัวที่ทำจากทองเหลืองเก่าๆ ถูกวางเอาไว้อย่างไม่เป็นระเบียบนัก ผนังห้องครัวมีชั้นวางที่เต็มไปด้วยขวดเครื่องเทศต่างๆ นับไม่ถ้วนที่ถูกวางอย่างระเกะระกะบางขวดก็ถูกเปิดออกแต่ไม่ยอมปิดฝาไว้ดังเดิมจนเครื่องเทศที่บรรจุไว้ภายในนั้นเริ่มเน่าและส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้องหยวนจือหลินปิดจมูกเอาไว้แน่นก่อนจะเข้าไปยืนอยู่ตรงกลางแล้วสำรวจทั่วทั้งห้องอีกครั้งกลับพบว่าแทบจะไม่มีวัตถุดิบอะไรหลงเหลืออยู่เลย หยวนจือหลินรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมากนางเดินไปหยิบเอาขวดเหล่านั้นทิ้งลงในตระกร้าก่อนจะเอาออกไปวางไว้นอกห้องครัว แล้วจึงเก็บเอาท่อนฟืนที่ถูกตัดวางเรียงรายอยู่ข้างๆ กันนำไปก่อกองไฟเพื่อปรุงอาหารง่ายๆ ประทังชีวิตของทั้งสามคนสำหรับเช้านี้ไปก่อน“ท่านแม่”หยวนจือหลินไม่ได้หันไปมองยังต้นเสียงเล็กๆ ที่เรียกนางอยู่ นางกำลังหันหลังจัดระเบีย
“ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ”เสียงน้อยๆ ของอาชิงกำลังร้องเรียกหานางอยู่ หยวนจือหลินหันซ้ายหันขวากำลังจะหาที่หลบแต่เมื่อสังเกตดูกลับพบว่าอาชิงมองไม่เห็นว่านางยืนอยู่ข้างในนี้“เป็นไปได้อย่างไรกัน”“อาชิง อาชิงได้ยินข้าหรือไม่”หยวนจือหลินชั่งใจลองตะโกนเรียกนางแต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะไม่ได้ยินที่นางร้องเรียกสักเพียงนิด เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยมองไม่เห็นผู้เป็นมารดาจึงหันหลังวิ่งออกไปจากห้องครัวทันที“เฮ้อ โล่งอกไปทีนึกว่าจะมีคนเห็นข้าเสียแล้วไหนดูสิที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่”สถานที่ที่นางหลุดเข้ามาเหมือนเป็นห้องเก็บวัตถุดิบทั้งของสดของแห้ง ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักที่พบว่าของพวกนี้ยังคงใช้งานได้และมีทุกสิ่งที่นางต้องการนางหยิบเอาถุงเครื่องปรุงรสต่างๆ และเมล็ดพันธุ์ผักอีกหลายชนิดติดมือออกมาด้วย‘ดีล่ะใช้เครื่องปรุงพวกนี้ทำอาหารไปก่อนแล้วกัน’หยวนจือหลินเดินออกมาจากมิติวิเศษนั้นแล้วนำของที่หยิบติดมือมาด้วยวางไว้ในตะกร้าเก็บของ ก่อนจะหยิบผงปรุงรสมาโรยใส่ในหม้อข้าวต้ม“ท่านแม่!”“ว๊ายตาเถร!”“เอ๋? เมื่อครู่ท่านแม่พูดว่าอะไรนะเจ้าคะ”“ไม่มีอะไรหรอกอย่าสนใจไปเลย ว่าแต่เจ้าเข้ามาทำไมไม่ให้ซุ่มให้เสียงกันข้
“หลินเอ๋อร์” “จริงสิข้าก็ลืมถามไปเลยท่านเพิ่งกลับมาจากล่าสัตว์เหนื่อยมากหรือไม่เจ้าคะ”“อะไรนะ” หลี่หงอี้ได้ยินที่นางถามถึงกับงุนงงไปทันที เขาเองก็ยังนึกสงสัยอยู่ว่าสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาผู้นี้คือหยวนจือหลินภรรยาตัวจริงของเขาหรือไม่ เหตุใดถึงได้ดูเปลี่ยนไปจากเดิมได้ถึงเพียงนี้“ท่านพี่ ท่านพี่!”“หืม? อะไรหรือ”“เป็นอะไรไปเจ้าคะเมื่อครู่ข้าถามท่านว่าเหนื่อยมากหรือไม่”“มะ ไม่เป็นอะไรข้าไม่เหนื่อยหรอกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป จะว่าไปข้าได้หมูป่ามาตัวหนึ่งด้วยนะแต่ว่าตอนที่เดินมาถึงประตูรั้วได้ยินเสียงเจ้าร้องขึ้นมาพอดีจึงโยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้น ข้าจะรีบไปเอามาเดี๋ยวนี้”“อะไรนะ! นี่ท่านกล้าทิ้งหมูป่าเอาไว้หน้าประตูได้อย่างไรกัน”“ข้าขอโทษ ก็ข้าตกใจนึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้านี่นา”“ท่านรีบไปเอาเข้ามาในบ้านเลยนะรู้หรือไม่ว่าหมูป่าไม่ใช่ของที่ใครจะล่ามาได้ง่ายๆ เกิดมีคนขโมยไปไม่เสียดายแย่หรือ”“รู้แล้วๆ ไปเดี๋ยวล่ะ”เขาพูดจบก็รีบเดินไปที่หน้าประตูรั้วด้วยความรวดเร็ว หยวนจือหลินเองก็รีบเดินตามหลังเขาไปติดๆ โดยมีเด็กๆ ทั้งสองเดินตามนางมาด้วยหมูป่าที่หลี่หงอี้ล่ามาได้นั้นตัวใหญ่มากจริงๆ
หลี่หงอี้ที่เพิ่งจะถอดเสื้อออกก็หันมายังต้นเสียงที่แลดูตื่นตกใจนั้น เขาอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านางกำลังใช้มือเรียวบางคู่นั้นปิดที่ดวงตาของตัวเอง“เจ้าจะปิดตาไปทำไมกัน มากกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้วนะ”“ท่านว่าอะไรนะ”หยวนจือหลินค่อยๆ เปิดตาออกมาทีละนิดจนเห็นว่าเขาหันหน้ามามองที่นางแล้ว แผ่นอกเปลือยเปล่ากับผิวสีน้ำผึ้งที่มีมัดกล้ามแน่นๆดูเป็นลอนสวย หยวนจือหลินกลืนน้ำลายเล็กน้อยน่าเสียดายที่เขาถอดเพียงช่วงบนน่าจะถอดช่วงล่างไปด้วยเสียเลย ฮิๆ“ยิ้มอะไรหรือ”“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะคือว่าข้า..ความจริงข้าตั้งใจจะมาเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน แต่ในเมื่อท่านจัดการเองแล้วเช่นนั้นข้าขอตัวล่ะ”“เดี๋ยวสิ!”หลี่หงอี้คว้าเอวของนางมากอดเอาไว้แน่น“เจ้าไม่โกรธข้าแล้วหรือ”“ข้าโกรธอะไรท่านเรื่องอะไรงั้นหรือ”“ก็เรื่องที่ข้าต่อว่าใต้เท้าเจิ้งอย่างไรเล่าเจ้าไม่โกรธข้าแล้วใช่หรือไม่”“เหตุใดข้าต้องโกรธด้วยล่ะ แล้วใต้เท้าอะไรนั่นก็เป็นคนนอกครอบครัวนะเจ้าคะท่านเลิกพูดถึงเขาเสียทีสิ”“ก็ได้ๆ”ขณะที่ทั้งคู่จ้องตากันอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงของบุตรชายตะโกนร้องเรียกอยู่หน้าห้อง“ท่านพ่อ ท่านแม่ ทำอะไรอยู่หรือขอรับ” อาเฟยอาชิงที่
ยามซวี[1] เมื่อหยวนจือหลินส่งเด็กๆ ทั้งสองเข้านอนเรียบร้อยแล้วก็ออกมานั่งรับลมเล่นที่ระเบียงหน้าบ้าน บนท้องฟ้ายามมืดมิดในเวลานี้มีแสงจากดวงดาวท่ามกลางดวงจันทร์ที่เปล่งประกายงดงามท่ามกลางความเงียบเหงาความรู้สึกหลายหลายอย่างก็ประเดประดังเข้ามาไม่รู้จบสิ้นใจหนึ่งของนางก็คิดถึงบ้านที่จากมาแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าการอยู่ที่นี่นั้นก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียวหยวนจือหลินเองก็ไม่ได้อยากจะสร้างความรู้สึกผูกพันธ์กับคนที่นี่นักเพราะหากเจ้าของร่างเดิมนี้กลับมาได้จริงๆ ตัวของนางคงจะทำใจลำบากอย่างแน่นอนแต่ในเมื่อได้มาอยู่ที่นี่แล้วนางก็จะตั้งใจช่วยปรับปรุงบ้านหลังนี้และสร้างชีวิตดีๆ ให้กับเด็กๆ และสามีป้ายแดงของนางก่อนที่นางจะได้กลับบ้านไปจริงๆ“หลินเอ๋อร์เป็นอะไรไปคิดอะไรอยู่หรือ”“ท่านพี่เองหรอกหรือเจ้าคะ""แล้วคิดว่าใครกันเล่า ว่าอย่างไรข้าเห็นเจ้าเอาแต่นั่งเหม่อเป็นอะไรไปงั้นหรือ""ไม่มีอะไรเจ้าค่ะข้าก็เพียงแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ก็เท่านั้น ท่านพี่บ้านของเราเวลานี้มีเงินหรือไม่เจ้าคะ”“ก็พอมีอยู่บ้างไม่ได้ลำบากมากถึงกับไม่มีอะไรจะกิน เจ้าถามทำไมหรือ”'ไม่ลำบากมากอย่างงั้นหรือ? แต่เท่าที่
ยามเหม่า[1]"ท่านพี่ตื่นเถอะเจ้าคะ ท่านพี่”“อืม หลินเอ๋อร์เช้าแล้วหรือ” “ใกล้ถึงยามเหม่าแล้วนะเจ้าคะวันนี้ข้าจะเข้าเมืองท่านลืมไปแล้วหรือ”“ไม่ได้ลืมข้าแค่เหนื่อยนิดหน่อยเลยตื่นสาย”“เช่นนั้นข้าไปเองก็ได้ท่านพี่ดูแลลูกๆ แทนข้านะเจ้าคะ”“ไม่ได้ เจ้าจะไปคนเดียวได้อย่างไรรอข้าก่อนไม่นานนักหรอก”“ก็ได้เจ้าค่ะ”หลี่หงอี้ที่ยังงัวเงียเหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่มนั้นรีบลุกขึ้นจากเตียงนอนด้วยความเร่งรีบไม่มีอิดออดเลยสักนิด เพราะไม่ว่าภรรยาของเขาจะร้องขอสิ่งใดเขาล้วนทำให้นางได้ทุกอย่างอยู่แล้ว“ท่านแม่ ท่านพ่อ พวกข้าพร้อมแล้วขอรับ”เสียงเล็กๆ ที่ดูมีชีวิตชีวาของลูกชายลูกสาวฝาแฝดของนางดังขึ้นด้านหลังพวกเขา“อาเฟยอาชิงพวกเจ้าตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”“ตื่นพร้อมๆ กันกับท่านแม่เลยเจ้าค่ะ ข้าเห็นท่านแม่ลุกขึ้นจากที่นอนข้าก็ปลุกท่านพี่แล้วก็ลุกตามไปล้างหน้าอาชิงแปรงฟันแล้วด้วยนะเจ้าคะ”พูดจบก็ส่งยิ้มแฉ่งอวดฟันเล่มเล็กๆ ที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามให้นางดูทันที“เก่งมากจ๊ะอาชิง อาเฟยล้างหน้าแปรงฟันใช่หรือไม่”“เรียบร้อยแล้วขอรับ”“เช่นนั้นพวกข้าจะไปรอข้างนอกนะเจ้าคะ”“อืม ไปเถอะ”หยวนจือหลินหันไปส่งยิ้มให้ผู
รถม้าเคลื่อนเข้ามาในตัวเมืองก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงข้างกำแพงว่างเปล่ายาวเป็นทอด ดูแล้วน่าจะเป็นบ้านของเศรษฐีคนใดคนหนึ่งเป็นแน่“ถึงแล้วขอรับฮูหยิน”“อืม”
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”“เจ้าค่ะแม่นมจาง”บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ
การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนักหยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก“อะ เอ่อ”หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันทีหย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับเล่าเจ้าคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ”
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r
วันนี้ที่ร้านอาหารของนางยังคงคึกคักเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาและก็เป็นอีกวันที่ชายชราผู้หนึ่งมานั่งกินอาหารอยู่เพียงลำพังเช่นทุกวัน วันนี้เขาสั่งอาหารเพียงแค่ไม่กี่อย่างแต่กลับนั่งนานเสียจนหยวนจือหลินเองก็อดจะสงสัยเขาอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ทันได้เข้าไปทักทายชายผู้นั้นก็ลุกเดินออกจากร้านไปเสียแล้ว ทั้งยังทิ้งตำลึงเงินเอาไว้เกินราคาอาหารอีกด้วยครั้นนางจะเดินตามไปก็ถูกเรียกโดยลูกค้าคนอื่นเข้าพอดีชายผู้นั้นเดินออกไปท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่จับจ้องเขาอยู่อย่างไม่วางตาตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในร้านแล้ว“จะกลับแล้วหรือขอรับ”เขาหยุดเดินก่อนจะหันหลังไปมองดูก็พบว่าเป็นซ่งหงอี้ สามีของเจ้าของร้านนั้นนั่นเอง“เหตุใดถึงกลับไวเช่นนี้ท่านเดินทางมาตั้งไกลอย่าบอกนะขอรับว่ามาเพื่อดูหน้านางเท่านั้น”“คือว่าข้า”“ใต้เท้าข้าว่าหากท่านมีสิ่งใดอยากจะสนทนากับนาง ท่านควรที่จะเปิดใจกับนางตรงๆ ไปเลยจะดีกว่านะขอรับ”“แต่ว่านางจะไม่ไล่ข้าไปอีกหรือ ที่ผ่านมานั้น…”“นางไม่ใช่คนเดิมอีกต
“ฮู ฮูหยิน”“…”“ฮูหยินอะไรของเจ้ากัน ฮูหยินของใต้เท้าก็อยู่ที่บ้านสิจะมาอยู่ทำไมตรงนี้”“ก็อยู่ไปแล้วหรือไม่เล่า”หลี่หงอี้เมื่อได้ยินที่หย่งฉีพูดออกมาก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างทิ่มแทงมาจากด้านหลังของเขา‘ให้ตายสิเป็นแม่ทัพอยู่ในสนามรบมาร่วมสิบปีแค่ออกมาจัดการงานนอกสนามรบเพียงไม่กี่ปี เหตุใดความรู้สึกของข้าถึงช้าลงได้เช่นนี้กันนะ ไม่รู้ได้อย่างไรว่านางมาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’หลี่หงอี้ค่อยๆ หันไปทางด้านหลังก็พบกับภรรยารักของเขายืนกอดอกขมวดคิ้วจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ความลับที่ตั้งใจช่วยกันปกปิดมานานนั้นไม่น่าจะเหลือแล้วกระมัง“ท่านทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”เสียงของนางในเวลานี้ช่างเยือกเย็นเสียจริง“หลินเอ๋อร์คือว่าข้าอธิบายได้นะ”“เช่นนั้นก็พูดมาสิ”“คือว่า”“ว่า”“คือความจริงแล้วข้า”“พูดไม่ออกหรือเจ้าคะเหตุใดคนพวกนั้นถึงเรียกท่านว่า ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ได้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาหรอกหรือแล้วตัวตนของท่านคือใครกัน แล้วข้าล่ะข้าเป็นอะไรกับท่านกันแน่”“ก็ต้องเป็นภรรยาของข้าสิ หลินเอ๋อร์คือว่าข้า”“ท่านเลิกเรียกชื่อข้าแล้วตอบข้ามาเดี๋ยวนี้”“ข้า”ห
ร้านอาหารของหยวนจือหลินเปิดกิจการมาได้เกือบครึ่งเดือนแล้วนางรู้สึกยินดีมากที่อาหารขายหมดแทบทุกวัน บางวันลูกค้าแทบจะร้องโอดโอยเพราะมาซื้อไม่ทันแม้ว่านางจะเตรียมวัตถุดิบเผื่อเอาไว้มากพอสมควรก็ตาม เป้าหมายต่อไปคือการเปิดร้านขายอาหารในเมืองเพิ่มอีกสักร้าน นางจะเก็บเงินเอาไว้ให้มากๆ เพื่อความมั่นคงของครอบครัว เด็กๆ และสามีของนางจะได้ไม่ต้องลำบากอีกวันนี้เป็นวันหยุดของร้านเมื่อทำงานบ้านทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยวนจือหลินจึงนอนพักผ่อนที่หน้าระเบียงบ้านโดยมีมือน้อยๆ ของอาเฟยและอาชิงคอยนวดบริเวณขาและแขนของนางให้ลมเย็นๆ ทำให้นางแทบจะหลับไปอยู่แล้ว“เก่งมากเลยอาเฟยอาชิงนวดเก่งขึ้นกันแล้วนี่นา”“อาชิงฝึกนวดตั้งนานเลยนะเจ้าคะ”“จริงหรือ?”“จริงสิขอรับท่านอาเต๋อหมิงชมนางอยู่เรื่อยว่าฝีมือของนางนั้นดียิ่งกว่าสตรีในหอโคมแดงอีก”“อะไรนะ!”“หืม อะไรหรือขอรับ? ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ”“อะ เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”‘เจ้าพวกนั้นกล้าพูดเรื่องในหอนางโลมให้ลูกๆ ของนางฟังได้อย่างไร เดี๋ยวเถอะพรุ่งนี้เจอกันข้าจะจัดการให้หนักเลย’บ่นในใจได้ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นสามีตะโกนเรียกนางจากหลังเรือน“หลินเอ๋อร์เจ้าอ