รถม้าเคลื่อนเข้ามาในตัวเมืองก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงข้างกำแพงว่างเปล่ายาวเป็นทอด ดูแล้วน่าจะเป็นบ้านของเศรษฐีคนใดคนหนึ่งเป็นแน่
“ถึงแล้วขอรับฮูหยิน”
“อืม”
หยวนจือหลินลงจากรถม้าโดยมีหลี่หงอี้ยื่นมือไปรับนางลงมาก่อน ส่วนหย่งฉีก็เข้าไปอุ้มสองแฝดลงมาจากรถม้าพร้อมกันทั้งสองคน
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องลงมาผ่านม่านหมอกบางๆ พ่อค้าแม่ค้ากางแผงขายของใหม่คนเดินทางหาบเร่เร่งรีบซื้ออาหารสด ปลาและผักยังคงมีหยดน้ำเย็นอยู่ตลาดเช้าวันนี้จึงเป็นอีกวันที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของกันถ้วนหน้า
นอกจากนั้นยังมีแผงขายสมุนไพรตั้งเรียงรายรากโสมแห้ง รากบัว และใบชาเรียงกันเป็นชั้น พ่อค้าก็เอาแต่แนะนำสมุนไพรแต่ละชนิดแก่ผู้ที่สนใจ กลิ่นสมุนไพรคลุ้งไปในอากาศอยู่ทั่วทั้งตลาด
“เจ้าอยากได้อะไรหรือหลินเอ๋อร์”
“ท่านดูสิซาลาเปานั่นหอมเสียจริง”
“ข้าจะรีบไปซื้อให้เจ้าเอง”
“เดี๋ยวสิเจ้าคะ ข้าไม่ได้บอกว่าจะกินเสียหน่อย”
โครกคราก….
พูดไม่ทันไรเสียงท้องของเด็กๆ ก็ร้องขึ้นมาดึงความสนใจของหยวนจือหลินไปทันที
“พวกเจ้าหิวแล้วอย่างนั้นหรือ”
“คือว่า”
“เห็นหรือไม่ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่ากินขนมปังรองท้องเสียก่อนท้องน้อยๆ ของพวกเจ้าประท้วงเสียแล้วเห็นหรือไม่”
“ขออภัยขอรับท่านแม่”
“เช่นนั้นท่านช่วยไปซื้อมาให้เด็กๆ ทีนะเจ้าคะ”
หยวนจือหลินที่กำลังจะหยิบเงินออกมาจากถุงเงินเป็นต้องชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่านางควรที่จะซื้อให้ชายหนุ่มสองคนนั้นด้วย
“ข้าว่าซื้อมาคนละลูกเลยดีกว่า”
“สิ้นเปลืองเปล่าๆ น่า”
“ของกินจะสิ้นเปลืองตรงไหนกันเล่า”
นางบ่นออกมาเล็กน้อยก่อนจะหันไปพูดคุยกับพ่อค้าแทน
“พ่อค้าซาลาเปาลูกละเท่าไหร่หรือ”
“ไส้ผักลูกละ 1 อีแปะ ไส้หมูลูกละ 3 อีแปะขอรับแม่นาง”
“เอาไส้หมูสี่ลูก ไส้ผักลูกหนึ่งเจ้าค่ะ”
“ได้เลยขอรับแม่นาง”
พ่อค้ารีบหยิบซาลาเปาทั้งห้าลูกนั้นใส่ในถุงแล้วยื่นให้นางด้วยความรวดเร็ว
“นี่เจ้าค่ะ” นางหยิบเงินออกมาจ่ายให้เขาก่อนจะส่งซาลาเปาให้คนด้านหลังไปคนละลูก
“เหตุใดเจ้าถึงไม่กินไส้หมูเล่า”
“ข้าเบื่อแล้วอยากกินผักบ้าง” นางตอบไปอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะหันไปมองรอบๆ ตลาดอย่างตื่นเต้น
“เจ้าอยากไปที่ไหนก่อนหรือ”
“ข้าอยากไปดูของใช้ในบ้านก่อนน่ะเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นตามข้ามาทางนี้”
“เจ้าค่ะ”
หลี่หงอี้อุ้มอาชิงขึ้นนั่งบนไหล่กว้างของเขา อาชิงน้อยเมื่อได้ขึ้นไปนั่งชมวิวด้านบนแล้วก็ร้องออกมาอย่างดีใจจนพี่ชายฝาแฝดของนางต้องส่ายหัวให้นางทันที
“อยากนั่งแบบน้องสาวของเจ้าหรือไม่”
“ไม่ขอรับข้าโตแล้วไม่นั่งแล้วขอรับ”
“โตอย่างไรกันเล่าคุณชายน้อยเองก็อายุไม่ได้ห่างจากชิงชิงมากเสียหน่อย เดี๋ยวข้าอุ้มเองมาเถอะ”
“ก็...หากว่าท่านอาไม่ว่าข้าก็ไม่ปฎิเสธขอรับ”
คำตอบของอาเฟยทำเอาบรรดาผู้ใหญ่หัวเราะร่วนกันเลยทีเดียว หย่งฉีรีบอุ้มอาเฟยขึ้นมานั่งบนไหล่กว้างของเขาทันที
“ว้าว”
“ท่าทางจะดีใจกว่าน้องสาวของเขาอีกนะเจ้าค่ะ”
หลี่หงอี้ยิ้มรับคำบอกกล่าวของผู้เป็นภรรยาก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าก่อนใคร
“เอาล่ะๆ รีบไปกันเถอะ”
“ขอรับ”
เมื่อเดินมาถึงร้านขายของเครื่องใช้ประจำบ้านแล้วนางก็รีบเดินเข้าไปดูของในร้านทันที ข้างในนั้นมีข้าวของเครื่องใช้ในบ้านไม่ว่าจะเป็นตะเกียงน้ำมัน กาน้ำชาและเครื่องครัวต่างๆ หลากหลายชนิดวางเรียงรายกันเต็มไปหมด
“อยากได้อะไรหรือ ที่บ้านของเราของใช้ไม่พองั้นหรือ”
“ข้าอยากได้หม้อเพิ่มเอาไว้ทำแกงขายอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“แม่นาง ข้าได้ยินว่าท่านอยากได้หม้องั้นหรือ เชิญทางนี้เลยขอรับ”
“เจ้าค่ะ”
หยวนจือหลินเดินตามพ่อค้าไปยังมุมที่เอาไว้วางหม้อที่มีหลากหลายขนาด นางเลือกหม้อที่มีขนาดใหญ่สองใบและขนาดกลางลงมาอีกหนึ่งใบ ถาดสำหรับบรรจุอาหารอีกห้าใบก่อนจะจ่ายเงินแล้วส่งให้หย่งฉีเป็นคนนำไปไว้ที่รถม้าก่อน
“พวกข้าจะเดินรอเจ้าอยู่แถวนี้รีบไปรีบมาเล่าเดี๋ยวจะพลัดหลงกันไปเสียก่อน”
“ขอรับฮูหยิน”
หยวนจือหลินเดินสำรวจร้านค้าต่างๆ ไปทีละนิดเพื่อรอหย่งฉีที่กำลังนำข้าวของไปเก็บที่รถม้าอยู่นั่นเอง
นางเดินไปจนถึงแผงขายหนังสือเก่า พ่อค้าที่นั่งอยู่หลังแผงหนังสือเก่าๆ ที่วางซ้อนกันอยู่นั้นก็ชะโงกหน้ามามองที่นางทันที
“แม่นางอยากได้เล่มไหนเลือกได้เลยนะขอรับ”
นางส่งยิ้มให้เขาก่อนจะหยิบเอาตำราสมุนไพรและตำราอาหารมาอย่างละเล่มไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือสำหรับเด็ก วรรณกรรมท้องถิ่นเพื่อให้เด็กน้อยทั้งสองคนนั้นได้ฝึกอ่านก่อนจะส่งเข้าโรงเรียนอีกด้วย
หลี่หงอี้ยืนมองท่าทีของนางอยู่ด้านหลัง เขารู้สึกว่าพักนี้ภรรยาของเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปคนละคนอย่างที่บุตรชายของตนเองกล่าวเอาไว้ไม่มีผิดเปลี่ยนไปมากเลยทีเดียว เหมือนไม่ใช่คนๆ เดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
“นายท่าน ฮูหยินข้ามาแล้วขอรับ”
“ไวเสียจริงเช่นนั้นก็เดินไปดูของสำหรับทำอาหารกันเถอะเจ้าค่ะ”
“อืม”
ทั้งห้าคนเดินต่อไปอีกไม่ไกลก็ได้ยินเสียงของพ่อค้าแม่ค้าตะโกนขายสินค้าดังไปทั่วตลาด ผู้คนเดินเบียดเสียดกันในตรอกแคบๆ พยายามต่อรองราคาดูแล้วช่างคึกคักยิ่งนัก
เดินมาอีกหน่อยก็ถึงตลาดที่ขายอาหารทะเลบริเวณนี้อยู่ห่างจากด้านหน้าพอสมควร ในตลาดนี้กลิ่นของอาหารทะเลสดหอมฟรุ้งไปทั่ว ปลาตัวโต กุ้งและหอยถูกเรียงบนกระบะไม้แข็งแรง ผู้คนต่อรองราคากันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“อาหารทะเลพวกนี้สดยิ่งนักนะเจ้าคะท่านพี่”
หยวนจือหลินที่ยืนอยู่หน้าแผงขายอาหารทะเลนั้นกำลังบอกกล่าวกับผู้เป็นสามีเบาๆ แต่แม่ค้านั้นช่างหูตาไวเสียเหลือเกิน
“ใช่แล้วเจ้าค่ะแม่นางเรือประมงเพิ่งจะนำมาส่งเมื่อครู่นี้เอง ท่านอยากได้อะไรเลือกได้เลยนะเจ้าคะ”
“ข้าอยากได้ปลาหมึก กุ้งตัวโตๆ แล้วก็ปูด้วยนะเจ้าคะ”
“ได้เลยเจ้าค่ะ”
แม่ค้ารีบจัดของที่นางอยากได้วางลงในตระกร้าที่หยวนจือหลินส่งให้อย่างเร่งรีบก่อนจะคิดเงินแล้วยื่นตระกร้าคืนให้นาง
“ทั้งหมดสองตำลึงเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้าค่ะ”
“ขอบคุณแม่นางมากนะเจ้าคะ”
หลี่หงอี้และหย่งฉีเปลี่ยนมาถือของแล้วส่งเด็กๆ ให้หยวนจือหลินเป็นฝ่ายจูงมือเดินไปแทนก่อนจะเดินออกจากตัวตลาดก็ผ่านร้านขายขนมจีน ขนมถั่วแปป ขนมเปี๊ยะและขนมทอดกรอบ รสชาติที่คุ้นเคยชวนให้นางนึกถึงความทรงจำในอดีตที่เคยไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ เมื่อครั้งยังอยู่ยุคที่นางจากมานั่นเอง
“ท่านพี่ตรงนั้นมีผลไม้เชื่อมด้วยน่ากินจังเลยนะเจ้าคะ”
เสียงน้อยๆ ของอาชิงบอกกล่าวผู้เป็นพี่ชายเบาๆ ด้วยกลัวว่ามารดาจะได้ยินเข้า
“เดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะ”
“ไปไหนหรือ”
หยวนจือหลินจับมือเด็กๆ เอาไว้แน่นก่อนจะพากันวิ่งไปซื้อผลไม้เชื่อมมาห้าไม้ สีของมันน่ากินจนนางเองยังน้ำลายแทบจะไหลออกมา
“ท่านแม่จะซื้อหรือขอรับ”
“นานๆ จะมาที่ตลาดทีหนึ่งซื้อกินหน่อยจะเป็นไรไปเล่า”
“แล้วรสชาติมันเป็นอย่างไรหรือขอรับท่านแม่”
“ข้าก็ไม่รู้ลองดูคนละไม้แล้วกันนะ”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
หยวนจือหลินยื่นเงินให้พ่อค้าก่อนจะส่งผลไม้เชื่อมให้เด็กๆ คนละไม้ละของตนเองหนึ่งไม้
“นี่ของเจ้าหย่งฉี”
“ขอบคุณขอรับฮูหยิน”
ส่วนหลี่หงอี้เนื่องจากมือไม้ของเขาหิ้วของพะลุงพะลังเต็มไปหมดนางจึงต้องป้อนเขาแทน
“ท่านพี่ลองชิมดูสิเจ้าคะ”
หลี่หงอี้รีบอ้าปากรับเอาของหวานที่ภรรยารักป้อนให้ทันทีเหตุใดพักนี้นางถึงได้ดีกับเขาและลูกๆนักนะ เดินกันไปได้สักพักก็ได้ผักผลไม้สดมาอีกเต็มสองมือเมื่อดูจากสีหน้าของทั้งคู่แล้วหยวนจือหลินจึงคิดจะหยุดการจับจ่ายลงเพียงเท่านี้ก่อน
“ฮูหยินหยวน ไม่พบกันนานเลยนะขอรับ”
“?”
“ฮูหยินหยวน ไม่พบกันนานเลยนะขอรับ”“?”
-เช้าวันถัดไป-หยวนจือหลินรีบตื่นนอนเพื่อมาจัดเตรียมข้าวของสำหรับทำอาหารในการเปิดร้านวันแรกโดยมีหย่งฉีคอยช่วยเป็นลูกมือในการทำอาหาร ส่วนเต๋อหมิงนั้นก็ไปช่วยจัดโต๊ะเก้าอี้เพื่อเตรียมเปิดร้านกับหลี่หงอี้อีกทาง
-เช้าวันถัดไป-หยวนจือหลินกำลังนั่งทำบัญชีร้านโดยมีอาชิงเป็นคนป้อนขนนมนางอยู่ด้านข้างส่วนอาเฟยก็คอยนวดต้นขาของนางอย่างเอาอกเอาใจ นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัยในท่าทีของเด็กน้อยทั้งคู่คิดภายในใจว่าเด็กสองคนนี้มีสิ่งที่ต้องการจากนางอย่างแน่นอนเพราะดูเหมือนจะมาประจบประแจงเพื่อขออะไรบางอย่างจากนาง“อาเฟยเจ้ามีสิ่งใดที่อยากได้งั้นหรือ ถึงได้มาลงทุนมาดูแลข้าแต่เช้าเช่นนี้”“โธ่ท่านแม่ พูดอะไรเช่นนั้นกันขอรับข้าแค่อยากดูแลท่านแม่เองนะขอรับ”“จริงหรือ”น้ำเสียงของนางที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อบุตรชายเท่าใดนัก“คือว่าจริงๆ แล้วข้าแค่อยากได้อะไรบางอย่างน่ะขอรับ”“ว่าแล้วเชียวพวกเจ้าทำดีกับข้าคงไม่ใช่เพราะอยากช่วยจริงๆ”“ใครบอกเจ้าคะ อาชิงไม่มีสิ่งที่อยากได้เสียหน่อยก็แค่มาดูแลท่านแม่เพระกลัวท่านหิวต่างหากเล่า”เสียงน้อยๆ ของนางพูดแย้งหยวนจือหลินขึ้นมาและปากน้อยๆ ก็เอาแต่จิ้มผลไม้เข้าปากอย่างไม่หยุดหย่อน&ldquo
ร้านอาหารของหยวนจือหลินเปิดกิจการมาได้เกือบครึ่งเดือนแล้วนางรู้สึกยินดีมากที่อาหารขายหมดแทบทุกวัน บางวันลูกค้าแทบจะร้องโอดโอยเพราะมาซื้อไม่ทันแม้ว่านางจะเตรียมวัตถุดิบเผื่อเอาไว้มากพอสมควรก็ตาม เป้าหมายต่อไปคือการเปิดร้านขายอาหารในเมืองเพิ่มอีกสักร้าน นางจะเก็บเงินเอาไว้ให้มากๆ เพื่อความมั่นคงของครอบครัว เด็กๆ และสามีของนางจะได้ไม่ต้องลำบากอีกวันนี้เป็นวันหยุดของร้านเมื่อทำงานบ้านทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยวนจือหลินจึงนอนพักผ่อนที่หน้าระเบียงบ้านโดยมีมือน้อยๆ ของอาเฟยและอาชิงคอยนวดบริเวณขาและแขนของนางให้ลมเย็นๆ ทำให้นางแทบจะหลับไปอยู่แล้ว“เก่งมากเลยอาเฟยอาชิงนวดเก่งขึ้นกันแล้วนี่นา”“อาชิงฝึกนวดตั้งนานเลยนะเจ้าคะ”“จริงหรือ?”“จริงสิขอรับท่านอาเต๋อหมิงชมนางอยู่เรื่อยว่าฝีมือของนางนั้นดียิ่งกว่าสตรีในหอโคมแดงอีก”“อะไรนะ!”“หืม อะไรหรือขอรับ? ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ”“อะ เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”‘เจ้าพวกนั้นกล้าพูดเรื่องในหอนางโลมให้ลูกๆ ของนางฟังได้อย่างไร เดี๋ยวเถอะพรุ่งนี้เจอกันข้าจะจัดการให้หนักเลย’บ่นในใจได้ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นสามีตะโกนเรียกนางจากหลังเรือน“หลินเอ๋อร์เจ้าอ
“ฮู ฮูหยิน”“…”“ฮูหยินอะไรของเจ้ากัน ฮูหยินของใต้เท้าก็อยู่ที่บ้านสิจะมาอยู่ทำไมตรงนี้”“ก็อยู่ไปแล้วหรือไม่เล่า”หลี่หงอี้เมื่อได้ยินที่หย่งฉีพูดออกมาก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างทิ่มแทงมาจากด้านหลังของเขา‘ให้ตายสิเป็นแม่ทัพอยู่ในสนามรบมาร่วมสิบปีแค่ออกมาจัดการงานนอกสนามรบเพียงไม่กี่ปี เหตุใดความรู้สึกของข้าถึงช้าลงได้เช่นนี้กันนะ ไม่รู้ได้อย่างไรว่านางมาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’หลี่หงอี้ค่อยๆ หันไปทางด้านหลังก็พบกับภรรยารักของเขายืนกอดอกขมวดคิ้วจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ความลับที่ตั้งใจช่วยกันปกปิดมานานนั้นไม่น่าจะเหลือแล้วกระมัง“ท่านทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”เสียงของนางในเวลานี้ช่างเยือกเย็นเสียจริง“หลินเอ๋อร์คือว่าข้าอธิบายได้นะ”“เช่นนั้นก็พูดมาสิ”“คือว่า”“ว่า”“คือความจริงแล้วข้า”“พูดไม่ออกหรือเจ้าคะเหตุใดคนพวกนั้นถึงเรียกท่านว่า ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ได้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาหรอกหรือแล้วตัวตนของท่านคือใครกัน แล้วข้าล่ะข้าเป็นอะไรกับท่านกันแน่”“ก็ต้องเป็นภรรยาของข้าสิ หลินเอ๋อร์คือว่าข้า”“ท่านเลิกเรียกชื่อข้าแล้วตอบข้ามาเดี๋ยวนี้”“ข้า”ห
วันนี้ที่ร้านอาหารของนางยังคงคึกคักเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาและก็เป็นอีกวันที่ชายชราผู้หนึ่งมานั่งกินอาหารอยู่เพียงลำพังเช่นทุกวัน วันนี้เขาสั่งอาหารเพียงแค่ไม่กี่อย่างแต่กลับนั่งนานเสียจนหยวนจือหลินเองก็อดจะสงสัยเขาอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ทันได้เข้าไปทักทายชายผู้นั้นก็ลุกเดินออกจากร้านไปเสียแล้ว ทั้งยังทิ้งตำลึงเงินเอาไว้เกินราคาอาหารอีกด้วยครั้นนางจะเดินตามไปก็ถูกเรียกโดยลูกค้าคนอื่นเข้าพอดีชายผู้นั้นเดินออกไปท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่จับจ้องเขาอยู่อย่างไม่วางตาตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในร้านแล้ว“จะกลับแล้วหรือขอรับ”เขาหยุดเดินก่อนจะหันหลังไปมองดูก็พบว่าเป็นซ่งหงอี้ สามีของเจ้าของร้านนั้นนั่นเอง“เหตุใดถึงกลับไวเช่นนี้ท่านเดินทางมาตั้งไกลอย่าบอกนะขอรับว่ามาเพื่อดูหน้านางเท่านั้น”“คือว่าข้า”“ใต้เท้าข้าว่าหากท่านมีสิ่งใดอยากจะสนทนากับนาง ท่านควรที่จะเปิดใจกับนางตรงๆ ไปเลยจะดีกว่านะขอรับ”“แต่ว่านางจะไม่ไล่ข้าไปอีกหรือ ที่ผ่านมานั้น…”“นางไม่ใช่คนเดิมอีกต
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”“เจ้าค่ะแม่นมจาง”บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ
การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนักหยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก“อะ เอ่อ”หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันทีหย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับเล่าเจ้าคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ”
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r
วันนี้ที่ร้านอาหารของนางยังคงคึกคักเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาและก็เป็นอีกวันที่ชายชราผู้หนึ่งมานั่งกินอาหารอยู่เพียงลำพังเช่นทุกวัน วันนี้เขาสั่งอาหารเพียงแค่ไม่กี่อย่างแต่กลับนั่งนานเสียจนหยวนจือหลินเองก็อดจะสงสัยเขาอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ทันได้เข้าไปทักทายชายผู้นั้นก็ลุกเดินออกจากร้านไปเสียแล้ว ทั้งยังทิ้งตำลึงเงินเอาไว้เกินราคาอาหารอีกด้วยครั้นนางจะเดินตามไปก็ถูกเรียกโดยลูกค้าคนอื่นเข้าพอดีชายผู้นั้นเดินออกไปท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่จับจ้องเขาอยู่อย่างไม่วางตาตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในร้านแล้ว“จะกลับแล้วหรือขอรับ”เขาหยุดเดินก่อนจะหันหลังไปมองดูก็พบว่าเป็นซ่งหงอี้ สามีของเจ้าของร้านนั้นนั่นเอง“เหตุใดถึงกลับไวเช่นนี้ท่านเดินทางมาตั้งไกลอย่าบอกนะขอรับว่ามาเพื่อดูหน้านางเท่านั้น”“คือว่าข้า”“ใต้เท้าข้าว่าหากท่านมีสิ่งใดอยากจะสนทนากับนาง ท่านควรที่จะเปิดใจกับนางตรงๆ ไปเลยจะดีกว่านะขอรับ”“แต่ว่านางจะไม่ไล่ข้าไปอีกหรือ ที่ผ่านมานั้น…”“นางไม่ใช่คนเดิมอีกต
“ฮู ฮูหยิน”“…”“ฮูหยินอะไรของเจ้ากัน ฮูหยินของใต้เท้าก็อยู่ที่บ้านสิจะมาอยู่ทำไมตรงนี้”“ก็อยู่ไปแล้วหรือไม่เล่า”หลี่หงอี้เมื่อได้ยินที่หย่งฉีพูดออกมาก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างทิ่มแทงมาจากด้านหลังของเขา‘ให้ตายสิเป็นแม่ทัพอยู่ในสนามรบมาร่วมสิบปีแค่ออกมาจัดการงานนอกสนามรบเพียงไม่กี่ปี เหตุใดความรู้สึกของข้าถึงช้าลงได้เช่นนี้กันนะ ไม่รู้ได้อย่างไรว่านางมาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’หลี่หงอี้ค่อยๆ หันไปทางด้านหลังก็พบกับภรรยารักของเขายืนกอดอกขมวดคิ้วจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ความลับที่ตั้งใจช่วยกันปกปิดมานานนั้นไม่น่าจะเหลือแล้วกระมัง“ท่านทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”เสียงของนางในเวลานี้ช่างเยือกเย็นเสียจริง“หลินเอ๋อร์คือว่าข้าอธิบายได้นะ”“เช่นนั้นก็พูดมาสิ”“คือว่า”“ว่า”“คือความจริงแล้วข้า”“พูดไม่ออกหรือเจ้าคะเหตุใดคนพวกนั้นถึงเรียกท่านว่า ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ได้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาหรอกหรือแล้วตัวตนของท่านคือใครกัน แล้วข้าล่ะข้าเป็นอะไรกับท่านกันแน่”“ก็ต้องเป็นภรรยาของข้าสิ หลินเอ๋อร์คือว่าข้า”“ท่านเลิกเรียกชื่อข้าแล้วตอบข้ามาเดี๋ยวนี้”“ข้า”ห
ร้านอาหารของหยวนจือหลินเปิดกิจการมาได้เกือบครึ่งเดือนแล้วนางรู้สึกยินดีมากที่อาหารขายหมดแทบทุกวัน บางวันลูกค้าแทบจะร้องโอดโอยเพราะมาซื้อไม่ทันแม้ว่านางจะเตรียมวัตถุดิบเผื่อเอาไว้มากพอสมควรก็ตาม เป้าหมายต่อไปคือการเปิดร้านขายอาหารในเมืองเพิ่มอีกสักร้าน นางจะเก็บเงินเอาไว้ให้มากๆ เพื่อความมั่นคงของครอบครัว เด็กๆ และสามีของนางจะได้ไม่ต้องลำบากอีกวันนี้เป็นวันหยุดของร้านเมื่อทำงานบ้านทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยวนจือหลินจึงนอนพักผ่อนที่หน้าระเบียงบ้านโดยมีมือน้อยๆ ของอาเฟยและอาชิงคอยนวดบริเวณขาและแขนของนางให้ลมเย็นๆ ทำให้นางแทบจะหลับไปอยู่แล้ว“เก่งมากเลยอาเฟยอาชิงนวดเก่งขึ้นกันแล้วนี่นา”“อาชิงฝึกนวดตั้งนานเลยนะเจ้าคะ”“จริงหรือ?”“จริงสิขอรับท่านอาเต๋อหมิงชมนางอยู่เรื่อยว่าฝีมือของนางนั้นดียิ่งกว่าสตรีในหอโคมแดงอีก”“อะไรนะ!”“หืม อะไรหรือขอรับ? ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ”“อะ เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”‘เจ้าพวกนั้นกล้าพูดเรื่องในหอนางโลมให้ลูกๆ ของนางฟังได้อย่างไร เดี๋ยวเถอะพรุ่งนี้เจอกันข้าจะจัดการให้หนักเลย’บ่นในใจได้ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นสามีตะโกนเรียกนางจากหลังเรือน“หลินเอ๋อร์เจ้าอ