-เช้าวันถัดไป-
หยวนจือหลินรีบตื่นนอนเพื่อมาจัดเตรียมข้าวของสำหรับทำอาหารในการเปิดร้านวันแรกโดยมีหย่งฉีคอยช่วยเป็นลูกมือในการทำอาหาร ส่วนเต๋อหมิงนั้นก็ไปช่วยจัดโต๊ะเก้าอี้เพื่อเตรียมเปิดร้านกับหลี่หงอี้อีกทาง
ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็จัดหน้าร้านเรียบร้อยส่วนทางฝั่งห้องครัวเองก็ทำอาหารเสร็จแล้วเช่นกัน กลิ่นหอมของอาหารลอยไปตามสายลมเรียกลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ผู้คนเริ่มทยอยมาที่ร้านอาหารกันมากขึ้นเรื่อยๆทุกๆคนที่มาร่วมงานต่างก็เป็นชาวบ้านในละแวกนั้น นอกจากนั้นยังมีท่านนายอำเภอที่ถูกเชื้อเชิญจากหัวหน้าหมู่บ้านมาร่วมงานด้วยเช่นกัน
“ได้เวลาแล้วข้าจุดประทัดเลยนะขอรับ”
“อืม”
หย่งฉีนำประทัดไปจุดบริเวณหน้าร้านทันทีตามฤกษ์ยามที่พวกเขาบอกว่าเหมาะสมที่สุด เสียงประทัดดังก้องกังวาลไปทั่วทั้งท้องถนนต่อเนื่องเป็นเวลานานจนในที่สุดก็สิ้นสุดลง
ร้านอาหารของหยวนจือหลินมีนายอำเภอมาเปิดร้านให้ นางรู้สึกตื่นตันใจมากเพราะในที่สุดนางก็มีร้านอาหารเป็นของตัวเองเสียทีถึงแม้จะอยู่ต่างยุคต่างสมัยก็ตาม
หยวนจือหลินค่อนข้างประหลาดใจไม่น้อยนางไม่คิดว่าจะมีคนใหญ่คนโตมาร่วมงานและเมื่อหันไปมองรอบๆ บริเวณร้านกลับพบว่ามีเหล่าบุรุษมากหน้าหลายตาที่ไม่ค่อยจะพบเห็นในละแวกหมู่บ้านมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
พวกเขาเหล่านั้นต่างก็หลบไปนั่งตามมุมต่างๆ พูดคุยกันเพียงเล็กน้อยและดูๆ ไปแล้วเหมือนมีท่าทางยำเกรงสามีของนางมากพอสมควร
หยวนจือหลินมองการกระทำของพวกเขาด้วยความสงสัยเล็กน้อย จนกระทั่งหลี่หงอี้หันมาสบตาของนางเข้าพอดีเขามีอาการเลิกลั่กเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินเข้ามาและฉีกยิ้มหวานให้นาง
“หลินเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะว่าแต่พวกเขาเป็นสหายของท่านหรือ”
“ทำนองนั้นแหล่ะ”
หยวนจือหลินหันไปมองอีกครั้งก็เห็นว่าพวกเขาต่างก็หยอกล้อกับลูกๆ ของนางอย่างสนุกสนานไม่ได้สนใจนางแล้ว หยวนจือหลินจึงละความสนใจแล้วเดินไปที่หน้าร้านเพื่อต้อนรับลูกค้าที่เดินทางมาอย่างหนาแน่นเรื่อยๆ
เมื่อบรรยากาศการเปิดงานสิ้นสุดลงหยวนจือหลินกำลังจะไปตักอาหารอยู่นั้น หย่งฉีและเต๋อหมิงก็เข้ามาอาสาทำแทนนางวันนี้พวกเขาเองก็ดูจะขยันขันแข็งไม่น้อยเลยทีเดียว
“ขอบใจนะแต่ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ทำจานข้าแตกอีกล่ะ”
“แฮะๆ ข้าจะระวังขอรับฮูหยิน”
รสชาติอาหารที่อร่อยและราคาถูกจึงเป็นที่รู้จักกันปากต่อปาก ทำให้ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามาต่อคิวซื้ออาหารกันอย่างหนาแน่นเรื่อยๆ หนึ่งในนั้นมีใต้เท้าเจิ้งด้วย
“ฮูหยินหยวนข้ามาแสดงความยินดีขอรับ”
หยวนจือหลินที่ยืนหันหลังคอยสั่งการงานในร้านอยู่เมื่อได้ยินเสียงเรียกนางก็หันหลังไปมองทันที ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจไม่น้อยที่เห็นสภาพใบหน้าของใต้เท้าเจิ้ง
ใบหน้าของเขาฟกช้ำไปทั่วโดยเฉพาะรอบดวงตาคล้ายหมีแพนด้าอย่างไรอย่างนั้น
“ตะ ใต้เท้าเหตุใดใบหน้าของท่านถึงเป็นเช่นนั้นกันเล่าเจ้าค่ะ”
“อะ เอ่อ”
ใต้เท้าเจิ้งไม่ได้ตอบนางเพียงแค่ส่งยิ้มให้เท่านั้นและรีบหยิบเอาของขวัญที่เขาเตรียมมาจากมือของบ่าวคนสนิทมายื่นให้แก่นาง
“ของขวัญจากข้ารับไว้สิ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
หยวนจือหลินรับมาไว้ในมือพลางมองใบหน้าของเขาอย่างสงสัย ใต้เท้าเจิ้งหันซ้ายหันขวาก่อนที่สายตาของเขาจะไปสบเข้ากับหลี่หงอี้ที่กำลังเดินตรงมาทางนี้พอดี
ดวงตาของใต้เท้าเจิ้งเบิกกว้างทันทีปากก็ดูจะสั่นระริกก่อนที่หลี่หงอี้จะส่งสัญญาณเป็นเชิงให้เงียบปากเอาไว้
“ใต้เท้าเจิ้งช่างเป็นเกียรติยิ่งนักที่มาร่วมงานเปิดร้านอาหารของภรรยาข้า”
“ขะ ข้า คือไม่มาก็คงไม่ได้ท่านอุตส่าห์ส่งคนไปเชิญข้าด้วยตนเองเช่นนั้น
‘หืม ส่งใครไปนะ’ หยวนจือหลินมีสีหน้างุนงงเล็กน้อยด้วยกลัวว่าความจะแตกหลี่หงอี้จึงรีบพูดทำลายบรรยากาศขึ้นมาเสียก่อน
“เชิญใต้เท้าด้านในดีหรือไม่วันนี้ข้าเลี้ยงท่านเอง”
เมื่อมองเข้าไปข้างในร้านก็พบกับกลุ่มบุรุษผู้มีรูปร่างสันทัดสมส่วนที่กำลังยืนส่งสายตามาที่เขากันเป็นหนึ่งเดียว ใต้เท้าเจิ้งกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ก่อนจะรีบปฎิเสธเขาทันที
“คือข้าต้องไปธุระที่อื่นต่อ ขอบใจท่านมากขอให้กิจการร่ำรวยนะขอรับฮูหยินหยวน”
“ขอบคุณอีกครั้งเจ้าค่ะใต้เท้า”
ใต้เท้าเจิ้งฉีกยิ้มให้นางเล็กน้อยเพราะดูจากรอยฟกช้ำแล้วคงจะยิ้มกว้างไม่ได้มากนัก ก่อนที่บ่าวคนสนิทของเขาจะเข้ามาช่วยประคองแล้วพากันเดินออกไปจากร้านกันอย่างรวดเร็ว
“กลัวอะไรกันแล้วเหตุใดถึงได้แข้งขาอ่อนเช่นนั้นกันเล่า สภาพช่างแตกต่างจากเมื่อวานลิบลับเลยนะเจ้าคะท่านพี่”
“อาจจะถูกฮูหยินของเขาสั่งสอนมาก็เป็นได้ เจ้าบอกเองนี่นาเขามีอนุหลายคน”
“งั้นหรือ ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้กระมัง”
“หลินเอ๋อร์ข้าว่านะเจ้าไปพักก่อนเถอะตื่นมาตั้งแต่เช้าแล้วทางนี้ข้าจัดการเอง ดูใบหน้าของเจ้าสิคงจะเหนื่อยมากแล้วทั้งทำอาหารทั้งต้อนรับลูกค้า”
“ข้าไม่...”
“ไม่มีแต่ ไปเถอะทางนี้ข้าจัดการเอง”
“ก็ได้เจ้าค่ะ ขอบคุณนะเจ้าคะท่านพี่”
หยวนจือหลินเมื่อเห็นว่าอาหารที่ร้านใกล้หมดอีกทั้งลูกค้าส่วนใหญ่ก็เริ่มเบาบางลงแล้ว นางจึงยอมหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อพักผ่อนและไม่ลืมที่จะดึงเอาเด็กๆ ทั้งสองคนเข้าไปด้วย ปล่อยให้ผู้เป็นสามีและสหายของเขาช่วยกันเก็บร้านแทน
หลังจากจัดการหน้าร้านเสร็จเรียบร้อยบรรดาบุรุษที่มาช่วยงานต่างก็พากันขอตัวกลับไปพักผ่อนกันหมดแล้ว หลี่หงอี้เดินกลับเข้ามาในบ้านก่อนจะนั่งลงตรงชานบันไดหน้าบ้านเคียงข้างกับหยวนจือหลิน เขานั่งตรงปลายเท้านางแล้วยื่นมือไปยกเอาขาของนางมานวดเบาๆ
“ดีขึ้นหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าปวดขา”
“ข้าเห็นเข้าจับที่ขาอยู่บ่อยครั้งน่ะ”
หยวนจือหลินยิ้มให้เขานางยังนึกอิจฉาหยวนจือหลินคนเก่ามาก
หลี่หงอี้ผู้นี้ท่าทางจะรักหยวนจือหลินมากจริงๆ เพราะไม่ว่านางจะเป็นอะไรหรือจะทำอะไร ก็ไม่เคยรอดพ้นไปจากสายตาของเขาไปได้เลยจริงๆ
“ขอบคุณนะเจ้าคะ ว่าแต่หย่งฉีกับหมิงเต๋อทำงานที่ไหนกันหรือเจ้าคะ”
“งานหรือ? ไม่มีงานแน่นอนหรอกบ้างก็หาของป่าแล้วก็ล่าสัตว์เช่นเดียวกันกับข้านี่แหล่ะ”
“เช่นนั้นชวนพวกเขามาทำงานที่ร้านของเราสิเจ้าคะจะได้มีคนดูแลเด็กๆช่วยพวกเราด้วย”
“เจ้ายินดีให้พวกเขาช่วยงานที่ร้านเช่นนั้นหรือ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะเจ้าคะ มีคนช่วยย่อมดีกว่านั่งหลังขดหลังแข็งทำคนเดียวนี่นา”
“เช่นนั้นข้าจะชวนพวกเขาตามที่เจ้าต้องการ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
วันต่อมาหยวนจือหลินเลือกช่วงเวลาหลังเก็บร้านเสร็จมาสอนหย่งฉีทำอาหารโดยไม่คิดที่จะหวงสูตรอาหารเลยสักนิดและดูท่าทางแล้วเขาเองก็ชื่นชอบในการทำอาหารเช่นกัน
“อร่อยมากเลย ฝีมือเจ้าดีขึ้นเรื่อยๆเลยนะหย่งฉี”
“จริงหรือขอรับ”
“หากข้ามีเงินทุนข้าจะขยายร้านไปเปิดในตัวเมืองด้วยและจะให้เจ้าเป็นพ่อครัวประจำที่นั่นเลย”
“ฮูหยินก็ขอเงินจากใต้เท้าสิขอรับ”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
“หืม”
หย่งฉีที่กำลังชิมน้ำแกงที่เขาปรุงเองกับมืออยู่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปก็ตกใจอย่างยิ่งจนสำลักน้ำแกงไปยกใหญ่
แค่ก แค่ก~
“เจ้าจะตกใจทำไม ข้าก็แค่ถามเองนะ”
แค่ก แค่ก~
“เอานี่น้ำ”
“ขอบคุณขอรับฮูหยิน”
เขารับน้ำมาจากหยวนจือหลินก่อนจะทำทีเป็นเดินออกมาข้าวนอกเพื่อไปล้างหน้าล้างตา แล้วอาศัยจังหวะที่หยวนจือหลินหันหลังให้รีบวิ่งหายไปที่ประตูรั้วหน้าบ้านทันที
หย่งฉีแอบลอบมองไปที่ห้องครัวก็เห็นว่าหยวนจือหลินกำลังยกหม้อน้ำแกงออกจากเตาแล้วตักใส่ชามไว้ ดูแล้วคงไม่ติดใจกับคำพูดของเขาเมื่อครู่แล้วกระมัง
“โอ้ยตาย! เกือบไปแล้วไหมเล่าหากใต้เท้ารู้เข้าคงเอาข้าตายแน่เลย”
“รู้อะไรหรือ?”
เฮือก!
“ตะ ใต้เท้า”
“ข้าบอกว่าให้เรียกข้าว่าอย่างไร”
“นายท่าน ไม่มีอะไรขอรับข้าแค่….”
“อะไร”
เมื่อเห็นสีหน้าและอาการของเขาแล้วหลี่หงอี้ก็รู้สึกระแวงเป็นอย่างมาก
‘เจ้าคนนี้แม้จะทำงานตามคำสั่งได้ความอยู่บ้างแต่เป็นคนที่พูดอะไรไม่ค่อยคิดสักเท่าใดนัก’
“หรือว่าเจ้าไปพูดอะไรให้นางระแคะระคายอีก”
“ไม่ได้พูดอะไรเลยขอรับ ข้าว่าข้าลืมซักผ้าข้าขอตัวกลับบ้านก่อนนะขอรับ”
“เดี๋ยวสิ! เจ้าจะรีบไหน”
หย่งฉีไม่รอตอบคำถามเขารีบวิ่งหน้าตั้งกลับไปยังบ้านพักของตนเองทันที
“มีอะไรหรือเจ้าคะท่านพี่”
“มะ ไม่มีอะไรหรอก”
“แล้วหย่งฉีไปไหนแล้วล่ะเจ้าคะ”
“เห็นบอกลืมซักผ้า”
“ก็ไหนเมื่อเช้าบอกว่าตากผ้าแล้วถึงได้มาช่วยงานที่ร้านอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“ข้าก็ไม่รู้ไปกินข้าวกันเถอะข้าหิวแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
หยวนจือหลินหันไปมองยังเส้นทางที่หย่งฉีวิ่งไปเมื่อครู่ นางเองก็ยังคงรู้สึกสงสัยอยู่ไม่น้อยเหตุใดหย่งฉีถึงได้ดูร้อนรนแปลกๆ พิกล ไหนจะเรื่องที่เกี่ยวกับสามีของนางอีกเหมือนทุกคนเป็นใจที่จะปิดบังเรื่องบางอย่างกับนางอย่างไรอย่างนั้น
“หลินเอ๋อร์เข้าไปข้างในได้แล้ว”
“ไปแล้วเจ้าค่ะ”
หยวนจือหลินจำใจต้องเดินตามเขาเข้าไปในเรือนแม้จะยังแคลงใจเรื่องของพวกเขาอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามเขาออกไปอีกเลย
-เช้าวันถัดไป-หยวนจือหลินกำลังนั่งทำบัญชีร้านโดยมีอาชิงเป็นคนป้อนขนนมนางอยู่ด้านข้างส่วนอาเฟยก็คอยนวดต้นขาของนางอย่างเอาอกเอาใจ นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัยในท่าทีของเด็กน้อยทั้งคู่คิดภายในใจว่าเด็กสองคนนี้มีสิ่งที่ต้องการจากนางอย่างแน่นอนเพราะดูเหมือนจะมาประจบประแจงเพื่อขออะไรบางอย่างจากนาง“อาเฟยเจ้ามีสิ่งใดที่อยากได้งั้นหรือ ถึงได้มาลงทุนมาดูแลข้าแต่เช้าเช่นนี้”“โธ่ท่านแม่ พูดอะไรเช่นนั้นกันขอรับข้าแค่อยากดูแลท่านแม่เองนะขอรับ”“จริงหรือ”น้ำเสียงของนางที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อบุตรชายเท่าใดนัก“คือว่าจริงๆ แล้วข้าแค่อยากได้อะไรบางอย่างน่ะขอรับ”“ว่าแล้วเชียวพวกเจ้าทำดีกับข้าคงไม่ใช่เพราะอยากช่วยจริงๆ”“ใครบอกเจ้าคะ อาชิงไม่มีสิ่งที่อยากได้เสียหน่อยก็แค่มาดูแลท่านแม่เพระกลัวท่านหิวต่างหากเล่า”เสียงน้อยๆ ของนางพูดแย้งหยวนจือหลินขึ้นมาและปากน้อยๆ ก็เอาแต่จิ้มผลไม้เข้าปากอย่างไม่หยุดหย่อน&ldquo
ร้านอาหารของหยวนจือหลินเปิดกิจการมาได้เกือบครึ่งเดือนแล้วนางรู้สึกยินดีมากที่อาหารขายหมดแทบทุกวัน บางวันลูกค้าแทบจะร้องโอดโอยเพราะมาซื้อไม่ทันแม้ว่านางจะเตรียมวัตถุดิบเผื่อเอาไว้มากพอสมควรก็ตาม เป้าหมายต่อไปคือการเปิดร้านขายอาหารในเมืองเพิ่มอีกสักร้าน นางจะเก็บเงินเอาไว้ให้มากๆ เพื่อความมั่นคงของครอบครัว เด็กๆ และสามีของนางจะได้ไม่ต้องลำบากอีกวันนี้เป็นวันหยุดของร้านเมื่อทำงานบ้านทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยวนจือหลินจึงนอนพักผ่อนที่หน้าระเบียงบ้านโดยมีมือน้อยๆ ของอาเฟยและอาชิงคอยนวดบริเวณขาและแขนของนางให้ลมเย็นๆ ทำให้นางแทบจะหลับไปอยู่แล้ว“เก่งมากเลยอาเฟยอาชิงนวดเก่งขึ้นกันแล้วนี่นา”“อาชิงฝึกนวดตั้งนานเลยนะเจ้าคะ”“จริงหรือ?”“จริงสิขอรับท่านอาเต๋อหมิงชมนางอยู่เรื่อยว่าฝีมือของนางนั้นดียิ่งกว่าสตรีในหอโคมแดงอีก”“อะไรนะ!”“หืม อะไรหรือขอรับ? ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ”“อะ เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”‘เจ้าพวกนั้นกล้าพูดเรื่องในหอนางโลมให้ลูกๆ ของนางฟังได้อย่างไร เดี๋ยวเถอะพรุ่งนี้เจอกันข้าจะจัดการให้หนักเลย’บ่นในใจได้ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นสามีตะโกนเรียกนางจากหลังเรือน“หลินเอ๋อร์เจ้าอ
“ฮู ฮูหยิน”“…”“ฮูหยินอะไรของเจ้ากัน ฮูหยินของใต้เท้าก็อยู่ที่บ้านสิจะมาอยู่ทำไมตรงนี้”“ก็อยู่ไปแล้วหรือไม่เล่า”หลี่หงอี้เมื่อได้ยินที่หย่งฉีพูดออกมาก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างทิ่มแทงมาจากด้านหลังของเขา‘ให้ตายสิเป็นแม่ทัพอยู่ในสนามรบมาร่วมสิบปีแค่ออกมาจัดการงานนอกสนามรบเพียงไม่กี่ปี เหตุใดความรู้สึกของข้าถึงช้าลงได้เช่นนี้กันนะ ไม่รู้ได้อย่างไรว่านางมาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’หลี่หงอี้ค่อยๆ หันไปทางด้านหลังก็พบกับภรรยารักของเขายืนกอดอกขมวดคิ้วจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ความลับที่ตั้งใจช่วยกันปกปิดมานานนั้นไม่น่าจะเหลือแล้วกระมัง“ท่านทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”เสียงของนางในเวลานี้ช่างเยือกเย็นเสียจริง“หลินเอ๋อร์คือว่าข้าอธิบายได้นะ”“เช่นนั้นก็พูดมาสิ”“คือว่า”“ว่า”“คือความจริงแล้วข้า”“พูดไม่ออกหรือเจ้าคะเหตุใดคนพวกนั้นถึงเรียกท่านว่า ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ได้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาหรอกหรือแล้วตัวตนของท่านคือใครกัน แล้วข้าล่ะข้าเป็นอะไรกับท่านกันแน่”“ก็ต้องเป็นภรรยาของข้าสิ หลินเอ๋อร์คือว่าข้า”“ท่านเลิกเรียกชื่อข้าแล้วตอบข้ามาเดี๋ยวนี้”“ข้า”ห
วันนี้ที่ร้านอาหารของนางยังคงคึกคักเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาและก็เป็นอีกวันที่ชายชราผู้หนึ่งมานั่งกินอาหารอยู่เพียงลำพังเช่นทุกวัน วันนี้เขาสั่งอาหารเพียงแค่ไม่กี่อย่างแต่กลับนั่งนานเสียจนหยวนจือหลินเองก็อดจะสงสัยเขาอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ทันได้เข้าไปทักทายชายผู้นั้นก็ลุกเดินออกจากร้านไปเสียแล้ว ทั้งยังทิ้งตำลึงเงินเอาไว้เกินราคาอาหารอีกด้วยครั้นนางจะเดินตามไปก็ถูกเรียกโดยลูกค้าคนอื่นเข้าพอดีชายผู้นั้นเดินออกไปท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่จับจ้องเขาอยู่อย่างไม่วางตาตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในร้านแล้ว“จะกลับแล้วหรือขอรับ”เขาหยุดเดินก่อนจะหันหลังไปมองดูก็พบว่าเป็นซ่งหงอี้ สามีของเจ้าของร้านนั้นนั่นเอง“เหตุใดถึงกลับไวเช่นนี้ท่านเดินทางมาตั้งไกลอย่าบอกนะขอรับว่ามาเพื่อดูหน้านางเท่านั้น”“คือว่าข้า”“ใต้เท้าข้าว่าหากท่านมีสิ่งใดอยากจะสนทนากับนาง ท่านควรที่จะเปิดใจกับนางตรงๆ ไปเลยจะดีกว่านะขอรับ”“แต่ว่านางจะไม่ไล่ข้าไปอีกหรือ ที่ผ่านมานั้น…”“นางไม่ใช่คนเดิมอีกต
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับเล่าเจ้าคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ”
การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนักหยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก“อะ เอ่อ”หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันทีหย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”“เจ้าค่ะแม่นมจาง”บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ
การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนักหยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก“อะ เอ่อ”หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันทีหย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับเล่าเจ้าคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ”
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r
วันนี้ที่ร้านอาหารของนางยังคงคึกคักเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาและก็เป็นอีกวันที่ชายชราผู้หนึ่งมานั่งกินอาหารอยู่เพียงลำพังเช่นทุกวัน วันนี้เขาสั่งอาหารเพียงแค่ไม่กี่อย่างแต่กลับนั่งนานเสียจนหยวนจือหลินเองก็อดจะสงสัยเขาอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ทันได้เข้าไปทักทายชายผู้นั้นก็ลุกเดินออกจากร้านไปเสียแล้ว ทั้งยังทิ้งตำลึงเงินเอาไว้เกินราคาอาหารอีกด้วยครั้นนางจะเดินตามไปก็ถูกเรียกโดยลูกค้าคนอื่นเข้าพอดีชายผู้นั้นเดินออกไปท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่จับจ้องเขาอยู่อย่างไม่วางตาตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในร้านแล้ว“จะกลับแล้วหรือขอรับ”เขาหยุดเดินก่อนจะหันหลังไปมองดูก็พบว่าเป็นซ่งหงอี้ สามีของเจ้าของร้านนั้นนั่นเอง“เหตุใดถึงกลับไวเช่นนี้ท่านเดินทางมาตั้งไกลอย่าบอกนะขอรับว่ามาเพื่อดูหน้านางเท่านั้น”“คือว่าข้า”“ใต้เท้าข้าว่าหากท่านมีสิ่งใดอยากจะสนทนากับนาง ท่านควรที่จะเปิดใจกับนางตรงๆ ไปเลยจะดีกว่านะขอรับ”“แต่ว่านางจะไม่ไล่ข้าไปอีกหรือ ที่ผ่านมานั้น…”“นางไม่ใช่คนเดิมอีกต
“ฮู ฮูหยิน”“…”“ฮูหยินอะไรของเจ้ากัน ฮูหยินของใต้เท้าก็อยู่ที่บ้านสิจะมาอยู่ทำไมตรงนี้”“ก็อยู่ไปแล้วหรือไม่เล่า”หลี่หงอี้เมื่อได้ยินที่หย่งฉีพูดออกมาก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างทิ่มแทงมาจากด้านหลังของเขา‘ให้ตายสิเป็นแม่ทัพอยู่ในสนามรบมาร่วมสิบปีแค่ออกมาจัดการงานนอกสนามรบเพียงไม่กี่ปี เหตุใดความรู้สึกของข้าถึงช้าลงได้เช่นนี้กันนะ ไม่รู้ได้อย่างไรว่านางมาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’หลี่หงอี้ค่อยๆ หันไปทางด้านหลังก็พบกับภรรยารักของเขายืนกอดอกขมวดคิ้วจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ความลับที่ตั้งใจช่วยกันปกปิดมานานนั้นไม่น่าจะเหลือแล้วกระมัง“ท่านทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”เสียงของนางในเวลานี้ช่างเยือกเย็นเสียจริง“หลินเอ๋อร์คือว่าข้าอธิบายได้นะ”“เช่นนั้นก็พูดมาสิ”“คือว่า”“ว่า”“คือความจริงแล้วข้า”“พูดไม่ออกหรือเจ้าคะเหตุใดคนพวกนั้นถึงเรียกท่านว่า ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ได้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาหรอกหรือแล้วตัวตนของท่านคือใครกัน แล้วข้าล่ะข้าเป็นอะไรกับท่านกันแน่”“ก็ต้องเป็นภรรยาของข้าสิ หลินเอ๋อร์คือว่าข้า”“ท่านเลิกเรียกชื่อข้าแล้วตอบข้ามาเดี๋ยวนี้”“ข้า”ห
ร้านอาหารของหยวนจือหลินเปิดกิจการมาได้เกือบครึ่งเดือนแล้วนางรู้สึกยินดีมากที่อาหารขายหมดแทบทุกวัน บางวันลูกค้าแทบจะร้องโอดโอยเพราะมาซื้อไม่ทันแม้ว่านางจะเตรียมวัตถุดิบเผื่อเอาไว้มากพอสมควรก็ตาม เป้าหมายต่อไปคือการเปิดร้านขายอาหารในเมืองเพิ่มอีกสักร้าน นางจะเก็บเงินเอาไว้ให้มากๆ เพื่อความมั่นคงของครอบครัว เด็กๆ และสามีของนางจะได้ไม่ต้องลำบากอีกวันนี้เป็นวันหยุดของร้านเมื่อทำงานบ้านทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยวนจือหลินจึงนอนพักผ่อนที่หน้าระเบียงบ้านโดยมีมือน้อยๆ ของอาเฟยและอาชิงคอยนวดบริเวณขาและแขนของนางให้ลมเย็นๆ ทำให้นางแทบจะหลับไปอยู่แล้ว“เก่งมากเลยอาเฟยอาชิงนวดเก่งขึ้นกันแล้วนี่นา”“อาชิงฝึกนวดตั้งนานเลยนะเจ้าคะ”“จริงหรือ?”“จริงสิขอรับท่านอาเต๋อหมิงชมนางอยู่เรื่อยว่าฝีมือของนางนั้นดียิ่งกว่าสตรีในหอโคมแดงอีก”“อะไรนะ!”“หืม อะไรหรือขอรับ? ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ”“อะ เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”‘เจ้าพวกนั้นกล้าพูดเรื่องในหอนางโลมให้ลูกๆ ของนางฟังได้อย่างไร เดี๋ยวเถอะพรุ่งนี้เจอกันข้าจะจัดการให้หนักเลย’บ่นในใจได้ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นสามีตะโกนเรียกนางจากหลังเรือน“หลินเอ๋อร์เจ้าอ