“น่าอายที่ไหนกัน” เขาหัวเราะจนแผ่นอกสะเทือน “มีภรรยากล้าหาญเช่นนี้ ไม่ดีตรงไหน”
เพราะสุรานั้นแท้ๆ ทำให้นางทำเรื่องน่าอายในคืนนั้น ผ่านมาหลายวัน เขายังไม่ชอบเอาเรื่องคืนนั้นมาล้อนางอยู่เรื่อย ไม่เอาแล้ว นางจะไม่ดื่มสุราอีกแล้ว
เสียงหัวเราะหยอกล้อของหนุ่มสาวดังออกมานอกห้อง ทำเอาบรรดาบ่าวไพร่ รวมทั้งป้าหวงฝูต่างพากันแย้มยิ้ม ท่านแม่ทัพกับฮูหยินรักใคร่กันถึงเพียงนี้ อีกไม่นานในจวนคงได้มีเสียงเด็กเล็ก ๆ เป็นแน่ ทุกคนต่างหวังให้มีวันนั้น โดยไม่มีผู้ใดรู้ว่า อีกไม่นาน เมื่อลมเหมันต์มาเยือนพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง
นับตั้งแต่วันที่หรูซื่อตื่นฟื้นมาถึงตอนนี้ก็นับเวลาได้กว่าสองเดือนแล้ว ชีวิตที่ชายแดนไม่ได้ยากลำบากแร้นแค้นอย่างที่หลายคนมักกล่าวถึง โดยเฉพาะสามีของนางที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นแม่ทัพปีศาจ ยามเมื่ออยู่กับนาง เขาไม่ได้โหดเหี้ยมเลยสักนิด ใส่ใจดูแลนางอย่างนี้ แม้กระทั่งวันนี้ที่เขาลงมือนวดแป้งทำเกี้ยวใส่ผักให้นางกินเองกับมือ
แพะน้อยทั้งสองตัวเชื่องไม่ต่างจากสุนัขแสนเชื่อง มันจึงได้รับอนุญาตให้เดินไปเดินมาในจวนได้ รวมถึงเวลานี้ที่มันตั้งหน้าตั้งตากินถั่วฝักยาว ในขณะที่หรูซื่อเอาแต่จ้องมองสามีทำเกี๊ยวน้ำให้นางกิน
“ท่านพี่ดูเชี่ยวชาญเรื่องในครัวมากจริง ๆ ”
หรูซื่ออดชื่นชมไม่ได้ ครั้งก่อนนางเกือบทำไฟไหม้ห้องครัวของเขาแล้ว แต่ครั้งนี้เขาชวนนางเข้าครัว ลงมือทำอาหารให้นางกินเองกับมือ
“ข้าเป็นพี่คนโตต้องคอยดูแลน้อง ๆ จึงทำอาหารเป็น ช่วงที่เป็น
ทหารชั้นผู้น้อยก็ต้องทำอะไรกินง่ายๆ ประทังชีวิต เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเก่งกาจอันใด”
เขาพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วยกชามเกี๊ยวหอมกรุ่นมาวางตรงหน้านาง
“ค่อยๆ กิน ยังร้อนอยู่”
“ข้ารู้แล้ว” นางแยกเขี้ยวใส่ เขามักทำเหมือนนางดูแลตัวเองไม่ได้ แต่เขากลับส่ายหน้าไปมา เป็นฝ่ายตักเกี๊ยวขึ้นเป่าไล่ไอร้อนแล้วป้อนให้ หรูซื่ออ้าปากกินเกี๊ยวคำโต
“ถูกปากหรือไม่”
“อร่อย” นางพยักหน้าแล้วอ้าปากให้เขาป้อนให้อีกคำ ในเมื่อเขาอยากปรนนิบัติก็ตามใจ “ท่านพี่ทำอาหารอร่อยเช่นนี้ ข้าก็ฝากท้องได้สบายเลย”
“ถ้าเจ้าชอบข้าจะทำให้กินบ่อย ๆ ” เขายิ้มให้นาง แต่นางชิงป้อนให้เขาบ้าง สองหนุ่มสาวผลัดกันป้อนเกี๊ยวจนหมดชาม เขาจึงพูดขึ้น
“อีกสองเดือนจะปีใหม่แล้ว ปีนี้ข้ายังต้องประจำการที่นี่คงไม่ได้กลับเมืองหลวง เจ้าอยากเดินทางกลับหรือไม่”
“ท่านพี่อยู่ที่ไหน ข้าก็จะอยู่ที่นั้น” นางยู่ปากใส่ “หรือท่านไม่อยากให้ข้าอยู่ด้วย”
“เป็นข้าที่ต้องดีใจที่เจ้าอยู่ที่นี่” เขาหัวเราะในลำคอ “เช่นนั้นเจ้าเขียนจดหมายถึงบิดาของเจ้าสักฉบับดีไหม ว่าเจ้าสบายดี”
“อื้ม! ดี!” นางพยักหน้ารับแล้วนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “ข้าเห็นหนังสัตว์
ที่นี่สวยงามและราคาไม่แพง เราซื้อส่งกลับไปให้คนที่บ้านได้ไหมเจ้าคะ ข้าคิดว่าที่เมืองหลวงไม่สวยเท่าที่นี่เป็นแน่”
“เราไม่ได้กลับบ้าน ก็ส่งของขวัญกลับไปให้พวกเขาพร้อมจดหมายเลยดีหรือไม่”
“ดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
“แต่ช่วงนี้ข้างานยุ่งมาก เจ้าไปตลาดกับป้าหวงฝูได้หรือไม่ ข้าจะให้ทหารติดตามไปสักสิบคน”
“แค่ไปตลาดต้องใช้คนเยอะขนาดนั้นเชียว” นางหัวเราะเสียงใส เจ้าแพะน้อยเงยหน้าขึ้นมองแล้วหันไปสนใจถั่วฝักยาวต่อ
“จะได้มีคนช่วยเจ้าถือของ” เขายื่นมือไปเกี่ยวไรผมขึ้นทัดใบหูให้นาง “ลำบากฮูหยินจัดการเรื่องเหล่านี้แล้ว”
“ลำบากที่ใดกัน เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว”
“ปกติงานในจวนข้าไม่ค่อยได้ใส่ใจ พอเจ้ามาก็ช่วยดูแลทุกอย่าง ทำให้รู้ว่าข้าละเลยไม่ได้ใส่ใจคนใต้บังคับบัญชาไปมาก”
“ข้าดีใจที่ช่วยงานท่านได้บ้าง” แววตาของเขาทำให้นางรู้สึกเขินอาย
หรูซื่อเห็นสามีแย้มยิ้มพูดคุยเป็นปกติ นางก็ไม่กล้าเอ่ยถามเรื่องที่รบกวนจิตใจนาง หลายคืนมานี้ นางมักรู้สึกตัวตื่นขึ้นกลางดึกและพบว่าดวงตาของเขาจ้องมองอยู่ราวกับไม่หลับไม่นอน หากนางเอ่ยถามอะไรเขาก็เพียงแค่ลูบหลังเบาๆ ทำให้นางผล็อยหลับไป หรือไม่ บางคืนก็ตื่นมาเพราะถูกเขากอดรัดแนบแน่นจนนางอึดอัดแทบหายใจไม่ออก ต้องทุบแผ่นอกเรียกให้เขาได้สติเขาจึงรู้ตัว เ ขาเพียงขอโทษนางเบาๆ เช้ามาก็ทำเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้น จะว่าไปก็เป็นตัวนางเองที่ไม่กล้าเอ่ยถาม หรืออาจเพราะนางกลัวคำตอบ กลัวว่าต้นเหตุที่ทำให้เขาเป็นนี้คือนาง
ด้วยเหตุนี้นางจึงเก็บงำเรื่องนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว
เช้าวันต่อมา หลังจากนางตรวจบัญชีค่าใช้จ่ายในจวนเรียบร้อยจึงชวนป้าหวงฝูไปตลาด แต่อาการปวดเข่าของนางหวงฝูกำเริบ หรูซื่อจึงไปพร้อมทหารที่สามีสั่งการไว้แล้ว
“มีสิ่งใดที่ท่านต้องการบอกข้าได้เลยนะ ข้าจ่ายเงินให้เอง” นางตบหน้าอกตนเองด้วยท่าทีแข็งขัน “ได้ยินว่าหวงอี้ถูกตาต้องใจหญิงสาวชาวเปียนเจียง หวงอี้ก็เหมือนคนในครอบครัว ข้าจะเป็นฝ่ายเตรียมสินสอดให้เอง”
“ฮูหยินดีกับพวกเราเหลือเกิน”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ป้าหวงฝูก็ดีกับข้ามาก ถ้าไม่ได้ท่านชี้แนะ ข้ากับ...กับท่านพี่คงไม่ได้ใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยาทั่วไป”
ป้าหวงฝูได้แต่ยิ้ม ฮูหยินจิตใจดีอ่อนโยนและใส่ใจคนในจวนราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน หากรู้ว่าใครเจ็บไข้ไม่สบายก็เชิญหมอมาตรวจ ผู้ใดขัดสนเรื่องใด นางก็ยื่นมือเข้าช่วย ความมีเมตตานี้เป็นที่กล่าวถึงไปทั่วเมือง
หรูซื่อเดินออกมาเตรียมขึ้นรถม้า แต่นางเห็นนายทหารราวสิบคนรอติดตามนางไปตลาด หญิงสาวได้แต่หัวเราะออกมา สามีนางช่างทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปได้
“แค่ไปตลาด ต้องมีทหารติดตามไปมากถึงเพียงนี้”
“เป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพขอรับ” ทหารคนหนึ่งเอ่ยตอบพลางยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เขิน หากเลือกได้ ทำงานรับใช้ฮูหยินย่อมดีกว่ารับใช้ท่านแม่ทัพอยู่แล้ว
“ช่างเถอะ พวกเจ้านำทางไปเลยนะ” นางสั่งแล้วเดินขึ้นบันไดเข้าไปนั่งในรถม้า รถเคลื่อนตัวออกไปช้า ๆ นางคลี่กระดาษที่จดไว้ออกอ่านอีกครั้ง เพราะนางจำอะไรไม่ได้จึงไม่รู้ว่าครอบครัวของสามีมีญาติพี่น้องกี่คน รวมทั้งครอบครัวของตนเอง ควรซื้อสิ่งใดเป็นของขวัญ จึงต้องให้สามีอธิบายและนางจดลงในกระดาษอย่างนี้ ดูจากรายการเหล่านี้แล้ว นำทหารไปสิบคนก็ช่วยนางถือข้าวของได้พอดี
ซุนหลวนคุนถูกเรียกขานว่าเป็น ‘แม่ทัพปีศาจ’ ทุกก้าวย่างนำพาความหวาดกลัวไปที่นั้น แต่ชาวเมืองให้ความเคารพชื่นชมอยู่ไม่น้อย เห็นได้จากที่นางมาตลาดในครั้งนี้ แม้มาเพียงลำพัง แต่ชาวเมืองจำได้ว่านางคือฮูหยินแม่ทัพซุนก็ต่างพากันมาทักทาย ฝากข้าวของหรือสมุนไพรบำรุงร่างกายมาให้นาง นางจะปฏิเสธก็ไม่ได้ จึงรับมาเต็มสองมือ โชคดีที่สามีส่งคนติดตามมาหลายคน ทำให้นางไม่ต้องลำบากหอบหิ้วของเหล่านี้ด้วยตนเอง หรือว่า...เขาจะรู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้
หรูซื่อยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะ เขาคงรู้อยู่แล้วจึงส่งทหารติดตามนางมามากขนาดนี้ นางเลือกซื้อข้าวของที่ต้องการได้เกือบครบแล้ว เหลือเพียงเข้าไปดูหนังจิ้งจอกสวยๆ เท่านั้น หญิงสาวหันมาสั่งผู้ติดตามให้รอด้านนอก ยามที่นางเลือกผ้าหรือหนังสำหรับตัดเย็บมักใช้เวลานานกกว่าเลือกซื้อสินค้าอื่น
“พวกเจ้านั่งพักดื่มชากันก่อนเถิด ไม่ต้องตามเข้าไป ข้าเลือกดูของนาน เสร็จแล้วจะเรียก”
“ขอรับ”
ทันทีหญิงสาวเข้ามาในร้าน เถ้าแก่รีบออกต้อนรับด้วยตนเอง
“ฮูหยินแม่ทัพนซุนมาร้านเล็กๆ ของเรา นับเป็นเกียรติยิ่งนัก”
“มิได้ เดิมทีอยากได้เพียงหนังจิ้งจอกสำหรับเสื้อคลุมในฤดูหนาว แต่ได้ยินว่าร้านของท่านมีหนังแกะอย่างดี ข้าอยากจะขอดูสักหน่อยได้หรือไม่” “ข้าจะให้เด็กๆ มาดูแลฮูหยินนะขอรับ” “ไม่ต้องๆ ข้าขอเดินเลือกดูคนเดียวดีกว่า” หญิงสาวเอ่ยตอบแล้วเดินเลี่ยงไปดูสิ่งที่ต้องการ เพียงกวาดตามอง นางก็ได้หนังจิ้งจอกที่ต้องการ ทว่านางอยากได้หนังแกะเพื่อเย็บรองเท้าให้สามี นางอยากเย็บรองเท้าขี่ม้าดี ๆ ให้เขาสักคู่ แต่พอนึกถึงที่เขาขอผ้าเช็ดหน้าปักลายยวนยางคู่แล้วนางก็อดขำไม่ได้ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายนกเป็ดน้ำคู่ เพราะตั้งใจทำโดยไม่ให้เขารู้จึงต้องเอาติดตัวอยู่เสมอ นางปักเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้มอบให้เขา เห็นช่วงนี้เขายุ่งเหลือเกิน กว่าจะกลับจวนก็มืดค่ำ และตื่นก่อนนางเสมอ “ซื่อเอ๋อร์”เสียงนั้นทำให้หรูซื่อสะดุ้งสุดตัว นางค่อยๆ หันมองต้นเสียง ดวงตากลมจ้องมองชายหนุ่มที่เคยทักนางที่ตลาดครั้งนั้นทำไมเขาอยู่ที่นี่“หรูซื่อ” จางหยินเซ่อยิ้มกว้างแล้วสืบเท้าเข้าไปใกล้ ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอยหลังเตรียมหลบหนีก็ชะงักไป เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนยื่นให้ดู“เจ้าจำสิ่งนี้ได้หรือไม่ เจ้าเป็นคนมอบ
ดวงตาดุจพญาเหยี่ยวจ้องมองยังร่างของหรูซื่อยืนโงนเงน เขาไม่อาจไปหานางได้ในเวลานี้ จึงส่งสายตาไปทางหวงอี้ หวงอี้เห็นฮูหยินท่านแม่ทัพมาก็รีบกระโจนลงไปด้านข้าง วิ่งเร็วๆ ไปหาทันที“ฮูหยิน เชิญทางนี้ขอรับ” หวงอี้พยายามใช้ร่างกายของตนบดบังภาพน่ากลัวนั้น พลางสงสายตาตำหนิยังไปยังทหารที่นำฮูหยินมาที่นี่ หรูซื่อได้แต่ฝืนใจ ก้าวเท้าไม่มั่นคงนัก แต่ก็เดินไปตามทางที่หวงอี้ไปยังกระโจมของแม่ทัพซุน “ฮูหยินโปรดรอที่นี่สักครู่ ท่านแม่ทัพกำลังสอบสวนสายลับ เสร็จธุระแล้วจะรีบมาหาขอรับ”“ข้ารู้แล้ว เจ้าไปเถิด”“ด้านนอกมีทหารยามคอยเฝ้า หากฮูหยินต้องการสิ่งใด เรียกใช้พวกเขาได้”หรูซื่อได้แต่พยักหน้ารับ เมื่อหวงอี้ออกไปแล้ว นางก็ผ่อนลมหายใจออกมา เพราะอะไรนางจึงพาตัวเองไปเห็นภาพน่ากลัว หรือเพราะเสียงร้องโหยหวนนั้น สะกิดความทรงจำที่พร่าเลือนของนางหญิงสาวรู้สึกลำคอแห้งผากจึงกวาดตามองหากาน้ำชา ทว่าเมื่อเดินเข้ามาด้านในกระโจมจึงพบโต๊ะทรายที่บ่งบอกตำแหน่งต่าง ๆ รวมทั้งหุ่นม้าและหุ่นทหาร หรูซื่อสาวเท้าเข้าไปดูใกล้ๆ เดินวนรอบโต๊ะทราย ราวกับคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี‘เจ้าดูแผนที่ทหารเป็นหรือ?’น้ำเสีย
แม่ทัพหนุ่มคลายมือจากลำคอของนางและทำท่าจะจากไป หรูซื่อลนลานรีบลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ ประสาทสัมผัสเฉียบไวของผู้ฝึกยุทธทำให้ชายหนุ่มรีบหันกลับมาพบเรือนร่างเปลือยเปล่าของหรูซื่อ หญิงสาวตกใจรีบย่อกายลงในอ่างอาบน้ำอีกครั้งและใช้ขอบอ่างบังกายไว้“ท่าน...”เขานิ่งงันรอฟังถ้อยคำของนาง หากเป็นก่อนหน้านี้ แววตาที่เขามองนางคงเต็มไปด้วยเพลิงเสน่หา ทว่าในเวลานี้ แววตาคู่นั้นเย็นชาราวกับมีแผ่นน้ำแข็งฉาบที่ดวงตา“ท่านแม่ทัพจะไม่ถามอะไรข้าหน่อยหรือ?”“มีสิ่งใดที่ข้าควรถาม” น้ำเสียงราบเรียบแตกต่างจากทุกครั้ง หรูซื่อเม้มปากจนกลายเป็นเส้นตรง กลายเป็นนางอับจนถ้อยคำไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมา“อาบน้ำแล้วก็รีบพักผ่อนเถิด”เขาเอ่ยจบก็หมุนตัวเดินออกไป ภายในห้องเงียบงันจนนางได้ยินเสียงหัวใจตนเอง หญิงสาวผ่อนลมหายใจแล้วตั้งสติ ความทรงจำของนางไม่ได้คืนกลับมาครบถ้วน แต่มีบางเรื่องผุดขึ้นมาอย่างไม่ปะติดปะต่อนัก รวมทั้งความรู้สึกของนางที่มีต่อเขา มันคล้ายอยู่ในม่านหมอกไม่แจ่มชัด หญิงสาวพาร่างเปลือยเปล่าขึ้นจากอ่างอาบน้ำ เช็ดผิวกายอย่างรีบร้อนและสวมเสื้อผ้า เมื่อก้าวออกมาหลังฉากกั้นก็ไม่พบร่างของแม่ทัพหนุ่ม หากเป็นเ
“หรูซื่อ... คนที่ข้าผิดด้วยมากที่สุดคือเจ้า เวลานี้แล้วเจ้าอาจไม่เชื่อคำพูดของข้าอีก แต่ทุกสิ่งที่ข้าทำล้วนทำด้วยความจริงใจ”“ข้าเชื่อท่านได้หรือไม่”“สิ่งนั้นข้าตอบไม่ได้”นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แววตาคู่นี้หม่นเศร้าเหมือนวิญญาณเร่ร่อน โดดเดี่ยวและอ้างว้าง นางรู้สึกได้ว่าเขาพูดไม่หมด แต่กลับเชื่อถ้อยคำของเขาหมดจิตหมดใจ“ท่านจะทำทุกอย่างที่ข้าขอได้ไหม”“ถ้าทำได้ ข้ายินดี”นางมองริมฝีปากเขาแล้วเอ่ยเสียงแผ่วจนเขาแทบไม่ได้ยิน“ระ..รัก...ขะ..ข้า..”“?”แม้ได้ยินชัดแต่เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเข้าใจถูก“รักข้า” นางเพิ่มน้ำเสียงขึ้นอีกนิดแล้วสบตากับเขา “ท่านรักข้าได้ไหม”. “อย่าให้ข้าต้องพูดอีกครั้ง” เพียงสิ้นประโยคของนาง ริมฝีปากหยักสวยก็ทาบทับลงดูดกลืนกลีบปากสีชาด เขาไม่ได้อ่อนโยนอย่างที่เคย แต่เต็มไปด้วยความปรารถนาอันร้อนแรง แทรกลิ้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของนาง ร่างอ่อนนุ่มถูกรัดเข้ามาแนบชิด สายรัดเอวถูกปลดออกทั้งที่เขายังจุมพิตนางอย่างอุจอาจและแสดงความเป็นเจ้าของ นางไม่รู้ว่าจะวางมือไว้ที่ได้จึงวางไว้บนตำแหน่งหัวใจของเขา เสียงครางในลำคอของเขาทำให้นางสะดุ้งและผง
“เรา? หมายถึงข้ากับท่านนะหรือ?” นางสายหน้าไปมา “ข้าไม่ไปไหนกับท่านทั้งนั้น” “หรูซื่อ ข้ารู้เรื่องที่เจ้าความจำเลอะเลือนหมดแล้ว” จางหยินเซ่อมองหญิงสาวอย่างสงสาร “ความจำเลอะเลือนอันใดกัน” นางขึงตาใส่ นางแค่จำไม่ได้ชั่วคราวต่างหาก “ท่านรู้ได้อย่างไร” “แม่ทัพซุนบอกข้า” “อะไรนะ” นางส่ายหน้าไปมา “เขาจะบอกท่านทำไมกัน” “บอกเพื่อให้ข้าดูแลเจ้า” จางหยินเซ่อพูดแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ยื่นมือไปหมายจะจับมือนางแต่นางกลับกระถดกายหนีจนแผ่นหลังชิดผนังรถม้า ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “เขาต้องการให้เจ้าไปจากที่นี่ เขาต้องการตัดขาดกับเจ้า” “ไม่จริง” นางส่ายหน้าไปมา “เขาบอกว่า ถ้าเจ้าฟื้นแล้วให้อ่านจดหมายที่อยู่ในอกเสื้อของเจ้า” หรูซื่อยกมือขึ้นตบสาบเสื้อของตนเอง มีจดหมายอยู่จริง นางหยิบออกมาดู ในซองจดหมายมีหนังสือหย่าและมีดสั้นอันนั้นที่ได้รับจากชาว เปียนเจียงเท่ากับว่านี่เป็นเรื่องจริง “หรูซื่อ” จางหมินเซ่อเอ่ยเรียก “คนแซ่ซุนต้องการเพียงอำนาจไม่ได้รักใคร่เจ้าอย่างจริงใจ เจ้าเป็นคนฉลา
“มิใช่บุกไปท้าตีท้าต่อยกับพวกเอ้อหยีร์อยู่หรอกเรอะ” ลี่หย่ายกมือขึ้นเท้าเอว “ท้าตีต่อยอะไรของเจ้า แม่ทัพของเราไปทำศึกต่างหาก อุ๊บ!” นายกองผู้หนึ่งหลุดปากพูดออกมา รองแม่ทัพยกมือขึ้นตบศีรษะลูกน้องทันที “อยู่กับพวกเอ้อหยีร์จริง ๆ สินะ” นางเค้นเสียงพูดรอดไรฟัน “แม่ทัพเดินทางไปตั้งแต่เมื่อใด” “สะ...สองวันแล้วขอรับฮูหยิน” “นำกำลังคนไปเท่าไหร่” นางถามแล้วก้าวผ่านรองแม่ทัพไปที่โต๊ะทราย กวาดตามองตำแหน่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว “ห้า...” “ห้าหมื่น?” นางถาม แต่ไม่ได้ยินคำตอบรับจึงเงยหน้าขึ้น “ห้าพัน?” “ห้าสิบนายขอรับ” นางโมโหจนตัวสั่น แต่ลี่หย่าเข้าใจไปว่าหรูซื่อสั่นเพราะความกลัวจึงเข้าไปลูบไหล่ แต่หรูซื่อตวาดออกมาเสียก่อน “ทหารห้าสิบนาย! ต่อให้เป็นแม่ทัพปีศาจจริงจะต่อสู้กับพวกกระหายเลือดอย่างเอ้อหยีร์ได้เรอะ!” แม้เป็นทหารร่างใหญ่กำยำ แต่ถูกหญิงสาวตัวเล็กตวาดก็เล่นเอาทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว “ใจเย็นก่อนหรูซื่อ แม่ทัพซุนคงมีแผนการในใจที่เราไม่รู้”
‘ไม่เอา ข้าไม่ชอบ’ท่าทางแสนงอนของนางในวัยเยาว์เรียกเสียงหัวเราะขบขันจากบรรดาพี่ชายทั้งสามรวมทั้งบิดาของนางด้วย มารดาเดินเข้ามาพร้อมขนมของว่าง นางวางถาดขนมลงแล้วกวักมือเรียกลูกสาวตัวน้อยมานั่งตัก‘เจ้ารู้หรือไม่ งานเย็บปักนี่ก็เหมือนกลศึกที่เจ้าชอบศึกษา’‘เหมือนกันได้อย่างไรเจ้าคะท่านแม่’‘เจ้าดูแขนเสื้อของพี่ชายเจ้า มันขาดเป็นรูเช่นนั้น เจ้าจะปกปิดอย่างไรไม่ให้ผู้อื่นรู้ การทำศึกมีช่องโหว่เจ้าก็ต้องหาทางปิดจุดบอดนั้นเช่นกัน’‘จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ’‘เจ้าเชื่อฟังคำพูดของแม่เจ้าเถิด’‘แล้วทำไมพวกพี่ๆ ไม่เห็นต้องฝึกงานเย็บปักเลยนี่’‘ซื่อเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนใจร้อน เจ้าต้องฝึกใจเย็น มีสมาธิกว่านี้ เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าปักผ้ารูปไก่ได้ แม่จะยอมให้เจ้าฝึกขี่ม้า เจ้าอยากขี่ม้าใช่ไหม?’‘ได้! ข้าจะฝึกเย็บปักกับท่านแม่’มุมปากของหญิงสาวยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ภาพวันวานหวนคืนกลับมาที่ละเล็กละน้อย นางเคยฝึกขี่ม้ากับพวกพี่ๆ นี่เอง และที่คราวนั้นซุนหลวนคุนบอกว่านางขี่ม้าไม่เป็น คงเพราะกลัวนางจะขี่ม้าหนีไปเที่ยวเล่นคนเดียวเป็นแน่คนแซ่ซุนบังอาจเขียนหนังสือหย่าให้ข้า กลับมาจะจัดการให้ร้องเรียกมารดาเลย ค่อยดูสิ
‘อ่า...นี่คงเพราะซุนหลวนคุนบอกจางหยินเซ่อว่าความจำเสื่อมสินิ คนแซ่จางเลยแต่งเรื่องว่านางมอบผ้าเช็ดหน้าให้ และสามีของนางก็อยากได้บ้าง อันที่จริงนั้นเป็นผ้าปักฝีมือนางก็จริง แต่ที่มอบให้เพราะเขาสัญญาว่าจะพานางไปพบซุนหลวนคุนต่างหาก’หรูซื่อหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาแล้วคลุมร่างของตน วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงแขนของเขา กลิ่นอายที่คุ้นเคยดั่งวงแขนโอบกอดนางแนบแน่น ภาพความทรงจำต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาดุจสายฝนสาดซัดจนกายหนาวสั่น แม้ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ปะติปะต่อกันนัก แต่สิ่งนี้ยืนยันได้ว่า นางไม่เคยคิดปันใจไปจากเขา แม้เขาจะละเลยไม่ใส่ใจนางเท่าที่ควร นางต้องได้ยินเขาสารภาพความจริงจากปากของเขาเอง. เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว อากาศในหุบเขาเย็นเยียบ กระนั้นทหารกลับมีเหงื่อไหลโทรมกาย แต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้ ต้องรีบถอยกลับไปถึงเขตแดนของตน “หวงอี้ เจ้านำทหารที่เหลือล่วงหน้าไปก่อน” “ไม่ได้นะขอรับ ท่านแม่ทัพนำหน้าไปก่อน พวกข้าจะอยู่รั้งท้ายเอง” “พวกเจ้านั้นแหละเป็นตัวถ่วงข้า จึงรีบรุดหน้าไปให้เร็วที่สุด”
“เข้ามาคุยด้านในเถิด” เขาปล่อยมือจากไหล่ของนางแล้วเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน ทว่าสายตาของนางถูกตำรามากมายดึงดูดไว้จนหลงลืมว่ามี ‘สามี’ อยู่ใกล้ๆ “ข้าไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะชอบสะสมหนังสือมากขนาดนี้” ‘ท่านแม่ทัพ’ ภรรยาหมาดๆ สนใจแต่หนังสือมากมายเหล่านั้น จึงไม่ได้เห็นแววตาไม่พอใจของสามีหมาดๆ อย่างเขา ซุนหลวนคุน ลอบถอนหายใจ นางเพิ่งย่างเท้าเข้าบ้านมาเป็นคนสกุลซุน คงไม่คุ้นชินกับการเรียกขานนัก “อีกห้าวันข้าต้องออกเดินทางแล้ว” “เดินทาง? ท่านแม่ทัพจะไปไหนรึ” หลิวหรูซื่อหันมามองหน้า ‘สามี’ นางทำหน้างุนงงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องขบกรามเน้นเช่นนั้น“ได้ ข้าจะเตรียมตัว” “เจ้าไม่ต้องไป” น้ำเสียงของเขากระด้างขึ้นเล็กน้อย บอกตนเองว่าต้องให้ ‘เวลา’ นางมากกว่านี้ เขาจะโมโหนางไม่ได้เด็ดขาด “เหตุใดไม่ให้ข้าไป” นางเอียงคอถาม ท่าทางไร้เดียงสา “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนมารดาข้าเถิด” เขากดน้ำเสียงไม่ให้หงุดหงิดจนเกินไป “นับจากนี้เจ้าเป็นนายหญิงของจวน ต้องรับภาระดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านร่วมกับมารดาข้าแล
“แต่งงาน! น้องเล็กอายุแค่สิบเอ็ดจะให้แต่งงานแล้วหรือ?” “อีกสองเดือนน้องเล็กคนนี้ก็สิบสองแล้วเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าของร่างเล็กเดินเร็วๆ ยื่นมือมาหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาที่วางบนโต๊ะเข้าปากกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าแอบฟังพ่อกับพี่ๆ คุยกันอีกแล้วนะ”ราชครูหลิวถอนหายใจเบาๆ แต่กลับยิ้มเอ็นดูลูกสาวคนเดียวของสกุลหลิวไม่ได้ แม้นางเป็นหญิงแต่เฉลียวฉลาดแต่เด็ก หากไม่นับเรื่องวรยุทธแล้ว นางก็ไม่ด้อยกว่าบุรุษเลย “ซื่อเอ๋อร์ไม่ได้แอบฟังเสียหน่อย แต่เสียงพี่ๆกับท่านพ่อดังไปนอกห้องเอง” เด็กหญิงตัวน้อยไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้ยิน “แล้วเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” บิดาเอ่ยถามพลางรินน้ำให้ลูกสาวอย่างเอาใจ “คนแซ่ซุนอยากแต่งข้าเป็นภรรยา ก็แต่งสิ ไม่เห็นต้องกังวลเลย” นางรับน้ำมาดื่มเล็กน้อยแล้วกินขนมต่อ มุมปากเลอะคราบขนมทำให้พี่ใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้นาง “คนแซ่ซุนไม่มีอะไรเหมาะสมกับเจ้าเลยสักนิด” พี่ชายคนรองเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แค่ทหารปลายแถวที่ถีบตนเองขึ้นมาจากดินโคลน” “ข้าเชื่อว่าคนแซ่ซุน
ความรู้สึกเจ็บปวดนี่มันคืออะไรกัน เป็นอีกเช้าที่ซุนหลวนคุนลืมตาตื่นแล้วพบว่า ดวงตาของตนมีน้ำตาเอ่อคลอ น่าอายเหลือเกิน เขาอายุสิบแปดแล้ว แต่ยังนอนละเมอร้องไห้อยู่อีก ที่สำคัญ เขาไม่เคยจำได้เลยว่าฝันถึงเรื่องใด ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นจะเหลือเพียงความเจ็บปวดบีบรัดหัวใจ ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่งบนเตียง เขาตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องฝึกเพลงยุทธ เขาเป็นทหารมาหลายปีไต่เต้าด้วยความสามารถ มือสองข้างเปื้อนเลือดคล้ายตัวเขามีกลิ่นอายของความตายโอบกอดอยู่ เขาถอนหายใจ จะทำอย่างไรได้ เขาเลือกเส้นทางนี้เอง แต่ก่อนนั้นครอบครัวของเขาเป็นเพียงชาวนายากจน เขาเป็นพี่ชายคนโตที่หนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นทหาร เขาฝึกหนักกว่าผู้อื่น ทำในสิ่งที่หลายคนไม่คิดว่าเขากล้าทำ เมื่อฐานะของตนเองมั่นคงจึงได้เชิญบิดามารดารวมทั้งน้อง ๆ มาอยู่ด้วยกัน แต่บิดาอ่อนแอเจ็บป่วยเรื้อรังมานาน ย้ายมาอยู่กับเขาได้ไม่ปีเศษก็ตายจาก เขาไม่ได้สนใจลาภยศใด เขาเพียงหวังให้ครอบครัวของเขาหลุดพ้นความยากจน ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อหรือไม่มีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่ในยามหนาวเหน็บ แต่กระนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้
“แต่ท่านก็ยังส่งข้าไป ท่านเขียนหนังสือหย่าข้า” นางยื่นมือไปโอบกอดร่างแกร่งที่ยามนี้เต็มไปด้วยผ้าพันแผล แม้เลือดจะหยุดแล้วแต่บนผ้าพันแผลยังมีรอยเลือดให้เห็นอยู่ “เพราะข้ารักเจ้า” เขากอดนาง กดปลายจมูกกับเรือนผมอ่อนนุ่ม สูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคย “ข้าก็รักท่าน” นางเอ่ยที่ออกมา “แม้ข้าจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนที่จะทำร้ายข้า ท่านพยายามปิดบังบางอย่างเพื่อปกป้องข้า ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาท่านเตรียมแผนการสำหรับครั้งนี้ไว้หมดแล้ว ท่านไม่ได้ไปเอ้อหยีร์ในนามของแม่ทัพพิทักษ์ประจิม ท่านไม่ต้องให้ผู้อื่นติดร่างแหไปด้วย ท่านเตรียมตัวไปตาย แต่ท่านลืมไปว่า ข้าคือหลิวหรูซื่อ คนที่ทำอาหารไม่เป็น แต่คัดลอกตำราพิชัยยุทธส่งให้ท่าน คนที่ตระเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน และเป็นสตรีใจแคบที่ไม่ยอมให้ท่านรับอนุ ซ้ำยังเอาแต่ใจตัวเอง แต่ข้าสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องรับผิดใด ๆ และยังสามารถกลับเมืองหลวงไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวได้” “เจ้ามีแผนใด” แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับมา จึงทุ่มเทสุดเรี่ยวแรงเพื่อให้ครั้งนี้ทำสำเร็จ “
ม้าพุ่งทะยานฝ่าสายลมอันหนาวเหน็บพ้นเขตเอ้อหยีร์ ม้าของแม่ทัพหนุ่มรั้งท้าย แม้มีหยาดเลือดไหลเปื้อนใบหน้า ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งราวกับปาดเหงื่อ แต่หัวใจเขาพุ่งกลับไปที่ถึงค่ายทหารก่อนแล้วด้วยการเตรียมการของหรูซื่อ นางสั่งการผ่านรองแม่ทัพ เมื่อทหารห้าสิบนายกลับมาถึงค่ายทหารให้ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องใด การะจายคนทั้งห้าสิบพักตามกระโจมต่าง ๆ แม้จะตื่นเต้นยินดี แต่ต้องเก็บอาการไว้แต่กระนั้น หรูซื่อที่ห่อตัวเองด้วยเสื้อคลุมของสามียืนรอเขากลับมาที่หน้ากระโจมหลักเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวล สายตาของนางนับคนที่กลับมา แม้พวกเขาจะบาดเจ็บแต่ยังรักษาชีวิตมาได้ นางหวงฝูเห็นบุตรชายกลับมาปลอดภัยก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางรีบเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที ม้าสองตัวควบขนาบคู่กันมา ดวงตาของหญิงสาวเพ่งมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหัวใจไม่ให้เต้นเร็วเกินไปนัก แต่ก็บังคับได้ยากเย็น เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่เฝ้ารอเข้ามาใกล้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็เอ่อคลอ ทว่าสองเท้ากลับเหมือนถูกตอกตรึงไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ยืนมองเขาลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาทางนาง “หรูซื่อ...” มีคำถามมากหมาย
‘อ่า...นี่คงเพราะซุนหลวนคุนบอกจางหยินเซ่อว่าความจำเสื่อมสินิ คนแซ่จางเลยแต่งเรื่องว่านางมอบผ้าเช็ดหน้าให้ และสามีของนางก็อยากได้บ้าง อันที่จริงนั้นเป็นผ้าปักฝีมือนางก็จริง แต่ที่มอบให้เพราะเขาสัญญาว่าจะพานางไปพบซุนหลวนคุนต่างหาก’หรูซื่อหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาแล้วคลุมร่างของตน วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงแขนของเขา กลิ่นอายที่คุ้นเคยดั่งวงแขนโอบกอดนางแนบแน่น ภาพความทรงจำต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาดุจสายฝนสาดซัดจนกายหนาวสั่น แม้ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ปะติปะต่อกันนัก แต่สิ่งนี้ยืนยันได้ว่า นางไม่เคยคิดปันใจไปจากเขา แม้เขาจะละเลยไม่ใส่ใจนางเท่าที่ควร นางต้องได้ยินเขาสารภาพความจริงจากปากของเขาเอง. เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว อากาศในหุบเขาเย็นเยียบ กระนั้นทหารกลับมีเหงื่อไหลโทรมกาย แต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้ ต้องรีบถอยกลับไปถึงเขตแดนของตน “หวงอี้ เจ้านำทหารที่เหลือล่วงหน้าไปก่อน” “ไม่ได้นะขอรับ ท่านแม่ทัพนำหน้าไปก่อน พวกข้าจะอยู่รั้งท้ายเอง” “พวกเจ้านั้นแหละเป็นตัวถ่วงข้า จึงรีบรุดหน้าไปให้เร็วที่สุด”
‘ไม่เอา ข้าไม่ชอบ’ท่าทางแสนงอนของนางในวัยเยาว์เรียกเสียงหัวเราะขบขันจากบรรดาพี่ชายทั้งสามรวมทั้งบิดาของนางด้วย มารดาเดินเข้ามาพร้อมขนมของว่าง นางวางถาดขนมลงแล้วกวักมือเรียกลูกสาวตัวน้อยมานั่งตัก‘เจ้ารู้หรือไม่ งานเย็บปักนี่ก็เหมือนกลศึกที่เจ้าชอบศึกษา’‘เหมือนกันได้อย่างไรเจ้าคะท่านแม่’‘เจ้าดูแขนเสื้อของพี่ชายเจ้า มันขาดเป็นรูเช่นนั้น เจ้าจะปกปิดอย่างไรไม่ให้ผู้อื่นรู้ การทำศึกมีช่องโหว่เจ้าก็ต้องหาทางปิดจุดบอดนั้นเช่นกัน’‘จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ’‘เจ้าเชื่อฟังคำพูดของแม่เจ้าเถิด’‘แล้วทำไมพวกพี่ๆ ไม่เห็นต้องฝึกงานเย็บปักเลยนี่’‘ซื่อเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนใจร้อน เจ้าต้องฝึกใจเย็น มีสมาธิกว่านี้ เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าปักผ้ารูปไก่ได้ แม่จะยอมให้เจ้าฝึกขี่ม้า เจ้าอยากขี่ม้าใช่ไหม?’‘ได้! ข้าจะฝึกเย็บปักกับท่านแม่’มุมปากของหญิงสาวยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ภาพวันวานหวนคืนกลับมาที่ละเล็กละน้อย นางเคยฝึกขี่ม้ากับพวกพี่ๆ นี่เอง และที่คราวนั้นซุนหลวนคุนบอกว่านางขี่ม้าไม่เป็น คงเพราะกลัวนางจะขี่ม้าหนีไปเที่ยวเล่นคนเดียวเป็นแน่คนแซ่ซุนบังอาจเขียนหนังสือหย่าให้ข้า กลับมาจะจัดการให้ร้องเรียกมารดาเลย ค่อยดูสิ
“มิใช่บุกไปท้าตีท้าต่อยกับพวกเอ้อหยีร์อยู่หรอกเรอะ” ลี่หย่ายกมือขึ้นเท้าเอว “ท้าตีต่อยอะไรของเจ้า แม่ทัพของเราไปทำศึกต่างหาก อุ๊บ!” นายกองผู้หนึ่งหลุดปากพูดออกมา รองแม่ทัพยกมือขึ้นตบศีรษะลูกน้องทันที “อยู่กับพวกเอ้อหยีร์จริง ๆ สินะ” นางเค้นเสียงพูดรอดไรฟัน “แม่ทัพเดินทางไปตั้งแต่เมื่อใด” “สะ...สองวันแล้วขอรับฮูหยิน” “นำกำลังคนไปเท่าไหร่” นางถามแล้วก้าวผ่านรองแม่ทัพไปที่โต๊ะทราย กวาดตามองตำแหน่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว “ห้า...” “ห้าหมื่น?” นางถาม แต่ไม่ได้ยินคำตอบรับจึงเงยหน้าขึ้น “ห้าพัน?” “ห้าสิบนายขอรับ” นางโมโหจนตัวสั่น แต่ลี่หย่าเข้าใจไปว่าหรูซื่อสั่นเพราะความกลัวจึงเข้าไปลูบไหล่ แต่หรูซื่อตวาดออกมาเสียก่อน “ทหารห้าสิบนาย! ต่อให้เป็นแม่ทัพปีศาจจริงจะต่อสู้กับพวกกระหายเลือดอย่างเอ้อหยีร์ได้เรอะ!” แม้เป็นทหารร่างใหญ่กำยำ แต่ถูกหญิงสาวตัวเล็กตวาดก็เล่นเอาทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว “ใจเย็นก่อนหรูซื่อ แม่ทัพซุนคงมีแผนการในใจที่เราไม่รู้”
“เรา? หมายถึงข้ากับท่านนะหรือ?” นางสายหน้าไปมา “ข้าไม่ไปไหนกับท่านทั้งนั้น” “หรูซื่อ ข้ารู้เรื่องที่เจ้าความจำเลอะเลือนหมดแล้ว” จางหยินเซ่อมองหญิงสาวอย่างสงสาร “ความจำเลอะเลือนอันใดกัน” นางขึงตาใส่ นางแค่จำไม่ได้ชั่วคราวต่างหาก “ท่านรู้ได้อย่างไร” “แม่ทัพซุนบอกข้า” “อะไรนะ” นางส่ายหน้าไปมา “เขาจะบอกท่านทำไมกัน” “บอกเพื่อให้ข้าดูแลเจ้า” จางหยินเซ่อพูดแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ยื่นมือไปหมายจะจับมือนางแต่นางกลับกระถดกายหนีจนแผ่นหลังชิดผนังรถม้า ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “เขาต้องการให้เจ้าไปจากที่นี่ เขาต้องการตัดขาดกับเจ้า” “ไม่จริง” นางส่ายหน้าไปมา “เขาบอกว่า ถ้าเจ้าฟื้นแล้วให้อ่านจดหมายที่อยู่ในอกเสื้อของเจ้า” หรูซื่อยกมือขึ้นตบสาบเสื้อของตนเอง มีจดหมายอยู่จริง นางหยิบออกมาดู ในซองจดหมายมีหนังสือหย่าและมีดสั้นอันนั้นที่ได้รับจากชาว เปียนเจียงเท่ากับว่านี่เป็นเรื่องจริง “หรูซื่อ” จางหมินเซ่อเอ่ยเรียก “คนแซ่ซุนต้องการเพียงอำนาจไม่ได้รักใคร่เจ้าอย่างจริงใจ เจ้าเป็นคนฉลา