“มิได้ เดิมทีอยากได้เพียงหนังจิ้งจอกสำหรับเสื้อคลุมในฤดูหนาว แต่ได้ยินว่าร้านของท่านมีหนังแกะอย่างดี ข้าอยากจะขอดูสักหน่อยได้หรือไม่”
“ข้าจะให้เด็กๆ มาดูแลฮูหยินนะขอรับ”
“ไม่ต้องๆ ข้าขอเดินเลือกดูคนเดียวดีกว่า”
หญิงสาวเอ่ยตอบแล้วเดินเลี่ยงไปดูสิ่งที่ต้องการ เพียงกวาดตามอง นางก็ได้หนังจิ้งจอกที่ต้องการ ทว่านางอยากได้หนังแกะเพื่อเย็บรองเท้าให้สามี นางอยากเย็บรองเท้าขี่ม้าดี ๆ ให้เขาสักคู่ แต่พอนึกถึงที่เขาขอผ้าเช็ดหน้าปักลายยวนยางคู่แล้วนางก็อดขำไม่ได้ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายนกเป็ดน้ำคู่ เพราะตั้งใจทำโดยไม่ให้เขารู้จึงต้องเอาติดตัวอยู่เสมอ นางปักเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้มอบให้เขา เห็นช่วงนี้เขายุ่งเหลือเกิน กว่าจะกลับจวนก็มืดค่ำ และตื่นก่อนนางเสมอ
“ซื่อเอ๋อร์”
เสียงนั้นทำให้หรูซื่อสะดุ้งสุดตัว นางค่อยๆ หันมองต้นเสียง ดวงตากลมจ้องมองชายหนุ่มที่เคยทักนางที่ตลาดครั้งนั้น
ทำไมเขาอยู่ที่นี่
“หรูซื่อ” จางหยินเซ่อยิ้มกว้างแล้วสืบเท้าเข้าไปใกล้ ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอยหลังเตรียมหลบหนีก็ชะงักไป เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนยื่นให้ดู
“เจ้าจำสิ่งนี้ได้หรือไม่ เจ้าเป็นคนมอบให้ข้าเองกับมือ”
“ข้า...ข้าให้ท่านรึ?” นางเก็บซ่อนผ้าเช็ดหน้าของตนแล้วยื่นมือไปรับมาพลิกดู ถึงนางจะจำเรื่องในอดีตไม่ได้ แต่การปักลายผ้าเช่นนี้ นางคุ้นเคยยิ่ง
และดูเหมือนว่าจะเป็นฝีมือการปักผ้าของนางจริง ๆ
“หรูซื่อ เหตุใดเจ้าทำเหมือนไม่รู้จักข้า เป็นเพราะข้าไม่แข็งแกร่งพอ ทำให้ซุนหลวนคุนชิงตัวเจ้ามาได้ใช่ไหม” พูดถึงคนแซ่ซุนทีไร หัวใจของจางหมินเซ่อเหมือนถูกกรีด
“ท่านพูดเรื่องอะไรกัน ซุนหลวนคุนเป็นสามีของข้า เขาจะต้องชิงตัวข้าทำไม”
ความสับสนถาโถมจนนางรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาอีก แต่กระนั้น
นางใคร่อยากรู้ว่าเกิดเรื่องใดกับนางกันแน่ ฝันร้ายที่ทำให้นางละเมอร้องไห้อยู่หลายค่ำคืนนั้นคืออะไร
“เจ้า...เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ? ข้าจางหยินเซ่อคนที่สัญญาว่าจะดูแลเจ้าไปชั่วชีวิต”
คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวตกใจ เผลอยื่นมือไปปิดปากเขาไว้ เมื่อนึกได้ก็รีบชักมือกลับ
“อย่าพูดจาเหลวไหล ข้า...ข้าแต่งงานมีสามีแล้ว”
“คนแซ่ซุนต้องทำอะไรกับเจ้าเป็นแน่ ทำให้เจ้าลืมเลือนข้าได้”
จางหยินเซ่อเผลอสบถอีกหลายคำ จิ่งเถียนมารายงานว่านางออกจากจวนมาที่ตลาดโดยไม่มีแม่ทัพซุนติดตามมาด้วย เขาก็เร่งรีบเดินทางมาเพื่อพบนาง รอจนนางอยู่ตามลำพังจึงปรากฏตัว หากวันนี้ไม่ได้คุยกับนางให้เข้าใจ เกรงว่าจะไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว
“เราหาที่พูดคุยกันเถิด ข้าไม่ทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน ขอเพียงแค่รู้ความจริงว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับเจ้ากันแน่” เขาเห็นนางนิ่งงันไปก็รีบพูดขึ้นอีก “หรือเจ้าไม่อยากรู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นใคร”
“ข้า...”
“เดินออกไปด้านหลังจะมีโรงน้ำชาเล็ก ๆ อยู่ ข้าจะรอเจ้าที่นั้น”
พูดจบเขาก็เดินนำออกไปก่อน หรูซื่อกัดริมฝีปากครุ่นคิด นางอยากรู้ว่าเกิดเรื่องใดกับนาง เหตุใดนางจำสิ่งใดไม่ได้เลย ความอยากรู้เอาชนะความกลัว นางทำทีเป็นสั่งหนังที่ต้องการ ให้เด็กในร้านไปขนหนังแกะและหนังจิ้งจอกออกมาให้นางเลือกอีก หญิงสาวเดินหลบออกมาด้านนอก เร่งฝีเท้าเดินไปตามตรอกจนพบเพิงร้านน้ำชา ในร้านไม่มีผู้อื่นนอกจากชายผู้นั้น นางจึงเดินเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้าม
“ข้ามีเวลาไม่มาก ท่านรีบพูดมาเถิด”
“ข้าแซ่จางชื่อหยินเซ่อ เจ้าไม่คุ้นบ้างเลยหรือ?”
จางหยินเซ่อถามพลางรินน้ำชาให้นาง เมื่อเห็นนางนิ่งไปเขาจึงเอ่ยต่อ
“ข้าเป็นสหายร่วมเรียนกับบรรดาองค์ชาย จึงมีโอกาสได้รู้จักกับบิดาของเจ้า เจ้าเป็นบุตรสาวคนเดียวของท่านราชครู แต่ต้องแต่งงานกับปีศาจอำมหิตอย่างซุนหลวนคุน ข้าทุกข์ใจยิ่ง ทำได้แต่คอยติดตามช่วยเหลือเจ้าอยู่ห่าง ๆ ก่อเกิดความสัมพันธ์ทางใจ คราวนั้นแม่สามีต้องการรับภรรยารองและอนุในคราวเดียว เจ้าเองก็ถูกกดดันเพราะไร้บุตร ข้า...ข้าจึงชวนเจ้าหนีออกมา โดยอาศัยจังหวะที่เจ้าบอกคนที่บ้านว่าจะเดินทางมาหาแม่ทัพซุน ทว่าพวกเราถูกคนแซ่ซุนจับได้เสียก่อน เขาส่งนักฆ่าไล่ล่าเราทั้งสอง ตัวข้าและบ่าวรับใช้กระเด็นออกจากรถม้าบาดเจ็บหนักกว่าจะรักษาตัวและออกติดตามหาเจ้า เจ้าก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”
“ข้า...ข้าหนีตามท่าน...” นางส่ายหน้าไปมาไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน
‘เป็นไปไม่ได้ นาง...นางไม่ทำเช่นนั้น’
“หรูซื่อ...ข้าไม่รู้ว่าคนแซ่ซุนทำอะไรกับเจ้า เจ้าจึงลืมเลือนข้า แต่ความรักที่ข้ามีให้เจ้ายังมั่นคงเสมอ หาก...หากเจ้ายังต้องการข้า ข้าก็ยินดีพาเจ้าไปจากที่นี่”
หรูซื่อลุกพรวดขึ้นมาทันที อาการปวดศีรษะกำเริบขึ้นอีกระลอก แต่นางอดกลั้นไม่แสดงออก เป็นไปไม่ได้ นางไม่ใช่หญิงแพศยาเช่นนั้น นางถูกเลี้ยงดูอบรมอย่างดี จะทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นได้อย่างไร ที่สำคัญ หากซุนหลวนคุนรู้เรื่องนี้ดี เขาจะใส่ใจทะนุถนอมนางทำไมกัน ถูกหมิ่นเกียรติ ภรรยาลอบคบชู้ ถ้านี่เป็นเรื่องจริงเขาต้องสังหารนาง
ภาพฝันเลือนรางปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง มือของเขาบีบรอบลำคอของนาง
‘ทำไม...’
‘อย่าโกรธข้าเลย ข้าไม่อาจมอบเจ้าให้ใครได้’
“หรูซื่อ”
“ข้าไม่รู้จักท่าน” นางเอ่ยเสียงสั่น “อย่าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้อีก”
“เจ้าไม่เชื่อข้าก็ได้ แต่เจ้า...เจ้าควรเชื่อใจตนเอง”
จางหยินเซ่อเอ่ยเสียงเศร้า หลายปีมานี้เขาเฝ้ารอวันที่จะมีนางเคียงข้าง ไฉนฟ้าดินไม่เมตตาเห็นแก่ความรักมั่นคงของเขา
‘เชื่อใจตนเอง’
นางสูดลมหายใจลึกสะกดอาการปวดศีรษะของตนแล้วรีบเดินกลับทางเก่า แต่ยังฝืนทำเป็นปกติดี นางสั่งหนังแกะและหนังจิ้งจอกเหล่านั้นให้ไปส่งที่จวนแม่ทัพแล้วรีบเดินออกมานอกร้าน หญิงสาวสะดุ้งเมื่อทหารผู้ติดตามเข้ามาประชิด
“มะ...มี...มีเรื่องใด”
“ฮูหยินหายไปนาน พวกเราเป็นห่วงขอรับ”
“ไม่มีอะไร ข้าแค่เลือกของนานไปหน่อย” นางฝืนยิ้มแต่ใบหน้าซีดเซียว “เวลานี้แม่ทัพอยู่ที่ใด”
“ท่านแม่ทัพอยู่ที่ค่ายทหารขอรับ”
“พาข้าไปหาเขา”
“ฮูหยินจะไปค่ายทหารหรือขอรับ”
“ไม่ได้รึ”
“เอ่อ...”
ทหารต่างพากันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่แม่ทัพเคยสั่งไว้แล้วว่า ฮูหยินต้องการไปที่ใด ให้คุ้มครองฮูหยินไปที่นั้น
“ได้ขอรับ”
หรูซื่อขึ้นรถม้าเรียบร้อยก็เอนกายซบกับหมอนในรถม้า นางปวดศีรษะเหลือเกิน ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องราวที่หลงลืม นางจะทรมานกับการปวดศีรษะมาก
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม รถม้าที่มีตราจวนแม่ทัพก็มาถึงค่ายทหาร หรูซื่อตั้งสติพยายามไม่คิดเรื่องใด ก้าวลงจากรถม้า บรรดาทหารหลายร้อยคนต่างมองมาที่นางเป็นจุดเดียว ทว่ายังเดินไปไม่ถึงกระโจมท่านแม่ทัพ เสียงคนร้องโหยหวนดังขึ้นทำให้หรูซื่อชะงักเท้าไป
“ฮูหยิน” ทหารที่นำทางเริ่มหายใจลำบาก “กระโจมท่านแม่ทัพอยู่ทางนี้ขอรับ”
“นั้นเสียงอะไร”
หรูซื่ออดถามไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เท้าทั้งสองพานางเดินไปตามเสียงนั้น เมื่อเข้าไปใกล้จึงได้เห็นว่า ที่ลานกว้างมีบุรุษผู้หนึ่งถูกมัดด้วยเชือกล่ามกับม้าจำนวนห้าตัวที่แต่ละตัวพร้อมจะแยกแขนสองขา ขาสองข้างและศีรษะออกจากร่างของชายผู้นั้น
เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทำให้หรูซื่อถึงกับซวนเซ นางรูปร่างเล็กอาศัยมองผ่านช่องว่างของทหารนับสิบที่รายล้อมอยู่ สายตามองไปยังแม่ทัพใหญ่ที่นั่งตำแหน่งประธาน สีหน้าเคร่งขรึมไร้ความเมตตา เสียงร้องนั้นไม่ได้สั่นสะเทือนเขาเลยสักนิด
ดวงตาดุจพญาเหยี่ยวจ้องมองยังร่างของหรูซื่อยืนโงนเงน เขาไม่อาจไปหานางได้ในเวลานี้ จึงส่งสายตาไปทางหวงอี้ หวงอี้เห็นฮูหยินท่านแม่ทัพมาก็รีบกระโจนลงไปด้านข้าง วิ่งเร็วๆ ไปหาทันที“ฮูหยิน เชิญทางนี้ขอรับ” หวงอี้พยายามใช้ร่างกายของตนบดบังภาพน่ากลัวนั้น พลางสงสายตาตำหนิยังไปยังทหารที่นำฮูหยินมาที่นี่ หรูซื่อได้แต่ฝืนใจ ก้าวเท้าไม่มั่นคงนัก แต่ก็เดินไปตามทางที่หวงอี้ไปยังกระโจมของแม่ทัพซุน “ฮูหยินโปรดรอที่นี่สักครู่ ท่านแม่ทัพกำลังสอบสวนสายลับ เสร็จธุระแล้วจะรีบมาหาขอรับ”“ข้ารู้แล้ว เจ้าไปเถิด”“ด้านนอกมีทหารยามคอยเฝ้า หากฮูหยินต้องการสิ่งใด เรียกใช้พวกเขาได้”หรูซื่อได้แต่พยักหน้ารับ เมื่อหวงอี้ออกไปแล้ว นางก็ผ่อนลมหายใจออกมา เพราะอะไรนางจึงพาตัวเองไปเห็นภาพน่ากลัว หรือเพราะเสียงร้องโหยหวนนั้น สะกิดความทรงจำที่พร่าเลือนของนางหญิงสาวรู้สึกลำคอแห้งผากจึงกวาดตามองหากาน้ำชา ทว่าเมื่อเดินเข้ามาด้านในกระโจมจึงพบโต๊ะทรายที่บ่งบอกตำแหน่งต่าง ๆ รวมทั้งหุ่นม้าและหุ่นทหาร หรูซื่อสาวเท้าเข้าไปดูใกล้ๆ เดินวนรอบโต๊ะทราย ราวกับคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี‘เจ้าดูแผนที่ทหารเป็นหรือ?’น้ำเสีย
แม่ทัพหนุ่มคลายมือจากลำคอของนางและทำท่าจะจากไป หรูซื่อลนลานรีบลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ ประสาทสัมผัสเฉียบไวของผู้ฝึกยุทธทำให้ชายหนุ่มรีบหันกลับมาพบเรือนร่างเปลือยเปล่าของหรูซื่อ หญิงสาวตกใจรีบย่อกายลงในอ่างอาบน้ำอีกครั้งและใช้ขอบอ่างบังกายไว้“ท่าน...”เขานิ่งงันรอฟังถ้อยคำของนาง หากเป็นก่อนหน้านี้ แววตาที่เขามองนางคงเต็มไปด้วยเพลิงเสน่หา ทว่าในเวลานี้ แววตาคู่นั้นเย็นชาราวกับมีแผ่นน้ำแข็งฉาบที่ดวงตา“ท่านแม่ทัพจะไม่ถามอะไรข้าหน่อยหรือ?”“มีสิ่งใดที่ข้าควรถาม” น้ำเสียงราบเรียบแตกต่างจากทุกครั้ง หรูซื่อเม้มปากจนกลายเป็นเส้นตรง กลายเป็นนางอับจนถ้อยคำไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมา“อาบน้ำแล้วก็รีบพักผ่อนเถิด”เขาเอ่ยจบก็หมุนตัวเดินออกไป ภายในห้องเงียบงันจนนางได้ยินเสียงหัวใจตนเอง หญิงสาวผ่อนลมหายใจแล้วตั้งสติ ความทรงจำของนางไม่ได้คืนกลับมาครบถ้วน แต่มีบางเรื่องผุดขึ้นมาอย่างไม่ปะติดปะต่อนัก รวมทั้งความรู้สึกของนางที่มีต่อเขา มันคล้ายอยู่ในม่านหมอกไม่แจ่มชัด หญิงสาวพาร่างเปลือยเปล่าขึ้นจากอ่างอาบน้ำ เช็ดผิวกายอย่างรีบร้อนและสวมเสื้อผ้า เมื่อก้าวออกมาหลังฉากกั้นก็ไม่พบร่างของแม่ทัพหนุ่ม หากเป็นเ
“หรูซื่อ... คนที่ข้าผิดด้วยมากที่สุดคือเจ้า เวลานี้แล้วเจ้าอาจไม่เชื่อคำพูดของข้าอีก แต่ทุกสิ่งที่ข้าทำล้วนทำด้วยความจริงใจ”“ข้าเชื่อท่านได้หรือไม่”“สิ่งนั้นข้าตอบไม่ได้”นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แววตาคู่นี้หม่นเศร้าเหมือนวิญญาณเร่ร่อน โดดเดี่ยวและอ้างว้าง นางรู้สึกได้ว่าเขาพูดไม่หมด แต่กลับเชื่อถ้อยคำของเขาหมดจิตหมดใจ“ท่านจะทำทุกอย่างที่ข้าขอได้ไหม”“ถ้าทำได้ ข้ายินดี”นางมองริมฝีปากเขาแล้วเอ่ยเสียงแผ่วจนเขาแทบไม่ได้ยิน“ระ..รัก...ขะ..ข้า..”“?”แม้ได้ยินชัดแต่เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเข้าใจถูก“รักข้า” นางเพิ่มน้ำเสียงขึ้นอีกนิดแล้วสบตากับเขา “ท่านรักข้าได้ไหม”. “อย่าให้ข้าต้องพูดอีกครั้ง” เพียงสิ้นประโยคของนาง ริมฝีปากหยักสวยก็ทาบทับลงดูดกลืนกลีบปากสีชาด เขาไม่ได้อ่อนโยนอย่างที่เคย แต่เต็มไปด้วยความปรารถนาอันร้อนแรง แทรกลิ้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของนาง ร่างอ่อนนุ่มถูกรัดเข้ามาแนบชิด สายรัดเอวถูกปลดออกทั้งที่เขายังจุมพิตนางอย่างอุจอาจและแสดงความเป็นเจ้าของ นางไม่รู้ว่าจะวางมือไว้ที่ได้จึงวางไว้บนตำแหน่งหัวใจของเขา เสียงครางในลำคอของเขาทำให้นางสะดุ้งและผง
“เรา? หมายถึงข้ากับท่านนะหรือ?” นางสายหน้าไปมา “ข้าไม่ไปไหนกับท่านทั้งนั้น” “หรูซื่อ ข้ารู้เรื่องที่เจ้าความจำเลอะเลือนหมดแล้ว” จางหยินเซ่อมองหญิงสาวอย่างสงสาร “ความจำเลอะเลือนอันใดกัน” นางขึงตาใส่ นางแค่จำไม่ได้ชั่วคราวต่างหาก “ท่านรู้ได้อย่างไร” “แม่ทัพซุนบอกข้า” “อะไรนะ” นางส่ายหน้าไปมา “เขาจะบอกท่านทำไมกัน” “บอกเพื่อให้ข้าดูแลเจ้า” จางหยินเซ่อพูดแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ยื่นมือไปหมายจะจับมือนางแต่นางกลับกระถดกายหนีจนแผ่นหลังชิดผนังรถม้า ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “เขาต้องการให้เจ้าไปจากที่นี่ เขาต้องการตัดขาดกับเจ้า” “ไม่จริง” นางส่ายหน้าไปมา “เขาบอกว่า ถ้าเจ้าฟื้นแล้วให้อ่านจดหมายที่อยู่ในอกเสื้อของเจ้า” หรูซื่อยกมือขึ้นตบสาบเสื้อของตนเอง มีจดหมายอยู่จริง นางหยิบออกมาดู ในซองจดหมายมีหนังสือหย่าและมีดสั้นอันนั้นที่ได้รับจากชาว เปียนเจียงเท่ากับว่านี่เป็นเรื่องจริง “หรูซื่อ” จางหมินเซ่อเอ่ยเรียก “คนแซ่ซุนต้องการเพียงอำนาจไม่ได้รักใคร่เจ้าอย่างจริงใจ เจ้าเป็นคนฉลา
“มิใช่บุกไปท้าตีท้าต่อยกับพวกเอ้อหยีร์อยู่หรอกเรอะ” ลี่หย่ายกมือขึ้นเท้าเอว “ท้าตีต่อยอะไรของเจ้า แม่ทัพของเราไปทำศึกต่างหาก อุ๊บ!” นายกองผู้หนึ่งหลุดปากพูดออกมา รองแม่ทัพยกมือขึ้นตบศีรษะลูกน้องทันที “อยู่กับพวกเอ้อหยีร์จริง ๆ สินะ” นางเค้นเสียงพูดรอดไรฟัน “แม่ทัพเดินทางไปตั้งแต่เมื่อใด” “สะ...สองวันแล้วขอรับฮูหยิน” “นำกำลังคนไปเท่าไหร่” นางถามแล้วก้าวผ่านรองแม่ทัพไปที่โต๊ะทราย กวาดตามองตำแหน่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว “ห้า...” “ห้าหมื่น?” นางถาม แต่ไม่ได้ยินคำตอบรับจึงเงยหน้าขึ้น “ห้าพัน?” “ห้าสิบนายขอรับ” นางโมโหจนตัวสั่น แต่ลี่หย่าเข้าใจไปว่าหรูซื่อสั่นเพราะความกลัวจึงเข้าไปลูบไหล่ แต่หรูซื่อตวาดออกมาเสียก่อน “ทหารห้าสิบนาย! ต่อให้เป็นแม่ทัพปีศาจจริงจะต่อสู้กับพวกกระหายเลือดอย่างเอ้อหยีร์ได้เรอะ!” แม้เป็นทหารร่างใหญ่กำยำ แต่ถูกหญิงสาวตัวเล็กตวาดก็เล่นเอาทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว “ใจเย็นก่อนหรูซื่อ แม่ทัพซุนคงมีแผนการในใจที่เราไม่รู้”
‘ไม่เอา ข้าไม่ชอบ’ท่าทางแสนงอนของนางในวัยเยาว์เรียกเสียงหัวเราะขบขันจากบรรดาพี่ชายทั้งสามรวมทั้งบิดาของนางด้วย มารดาเดินเข้ามาพร้อมขนมของว่าง นางวางถาดขนมลงแล้วกวักมือเรียกลูกสาวตัวน้อยมานั่งตัก‘เจ้ารู้หรือไม่ งานเย็บปักนี่ก็เหมือนกลศึกที่เจ้าชอบศึกษา’‘เหมือนกันได้อย่างไรเจ้าคะท่านแม่’‘เจ้าดูแขนเสื้อของพี่ชายเจ้า มันขาดเป็นรูเช่นนั้น เจ้าจะปกปิดอย่างไรไม่ให้ผู้อื่นรู้ การทำศึกมีช่องโหว่เจ้าก็ต้องหาทางปิดจุดบอดนั้นเช่นกัน’‘จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ’‘เจ้าเชื่อฟังคำพูดของแม่เจ้าเถิด’‘แล้วทำไมพวกพี่ๆ ไม่เห็นต้องฝึกงานเย็บปักเลยนี่’‘ซื่อเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนใจร้อน เจ้าต้องฝึกใจเย็น มีสมาธิกว่านี้ เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าปักผ้ารูปไก่ได้ แม่จะยอมให้เจ้าฝึกขี่ม้า เจ้าอยากขี่ม้าใช่ไหม?’‘ได้! ข้าจะฝึกเย็บปักกับท่านแม่’มุมปากของหญิงสาวยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ภาพวันวานหวนคืนกลับมาที่ละเล็กละน้อย นางเคยฝึกขี่ม้ากับพวกพี่ๆ นี่เอง และที่คราวนั้นซุนหลวนคุนบอกว่านางขี่ม้าไม่เป็น คงเพราะกลัวนางจะขี่ม้าหนีไปเที่ยวเล่นคนเดียวเป็นแน่คนแซ่ซุนบังอาจเขียนหนังสือหย่าให้ข้า กลับมาจะจัดการให้ร้องเรียกมารดาเลย ค่อยดูสิ
‘อ่า...นี่คงเพราะซุนหลวนคุนบอกจางหยินเซ่อว่าความจำเสื่อมสินิ คนแซ่จางเลยแต่งเรื่องว่านางมอบผ้าเช็ดหน้าให้ และสามีของนางก็อยากได้บ้าง อันที่จริงนั้นเป็นผ้าปักฝีมือนางก็จริง แต่ที่มอบให้เพราะเขาสัญญาว่าจะพานางไปพบซุนหลวนคุนต่างหาก’หรูซื่อหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาแล้วคลุมร่างของตน วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงแขนของเขา กลิ่นอายที่คุ้นเคยดั่งวงแขนโอบกอดนางแนบแน่น ภาพความทรงจำต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาดุจสายฝนสาดซัดจนกายหนาวสั่น แม้ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ปะติปะต่อกันนัก แต่สิ่งนี้ยืนยันได้ว่า นางไม่เคยคิดปันใจไปจากเขา แม้เขาจะละเลยไม่ใส่ใจนางเท่าที่ควร นางต้องได้ยินเขาสารภาพความจริงจากปากของเขาเอง. เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว อากาศในหุบเขาเย็นเยียบ กระนั้นทหารกลับมีเหงื่อไหลโทรมกาย แต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้ ต้องรีบถอยกลับไปถึงเขตแดนของตน “หวงอี้ เจ้านำทหารที่เหลือล่วงหน้าไปก่อน” “ไม่ได้นะขอรับ ท่านแม่ทัพนำหน้าไปก่อน พวกข้าจะอยู่รั้งท้ายเอง” “พวกเจ้านั้นแหละเป็นตัวถ่วงข้า จึงรีบรุดหน้าไปให้เร็วที่สุด”
ม้าพุ่งทะยานฝ่าสายลมอันหนาวเหน็บพ้นเขตเอ้อหยีร์ ม้าของแม่ทัพหนุ่มรั้งท้าย แม้มีหยาดเลือดไหลเปื้อนใบหน้า ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งราวกับปาดเหงื่อ แต่หัวใจเขาพุ่งกลับไปที่ถึงค่ายทหารก่อนแล้วด้วยการเตรียมการของหรูซื่อ นางสั่งการผ่านรองแม่ทัพ เมื่อทหารห้าสิบนายกลับมาถึงค่ายทหารให้ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องใด การะจายคนทั้งห้าสิบพักตามกระโจมต่าง ๆ แม้จะตื่นเต้นยินดี แต่ต้องเก็บอาการไว้แต่กระนั้น หรูซื่อที่ห่อตัวเองด้วยเสื้อคลุมของสามียืนรอเขากลับมาที่หน้ากระโจมหลักเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวล สายตาของนางนับคนที่กลับมา แม้พวกเขาจะบาดเจ็บแต่ยังรักษาชีวิตมาได้ นางหวงฝูเห็นบุตรชายกลับมาปลอดภัยก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางรีบเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที ม้าสองตัวควบขนาบคู่กันมา ดวงตาของหญิงสาวเพ่งมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหัวใจไม่ให้เต้นเร็วเกินไปนัก แต่ก็บังคับได้ยากเย็น เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่เฝ้ารอเข้ามาใกล้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็เอ่อคลอ ทว่าสองเท้ากลับเหมือนถูกตอกตรึงไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ยืนมองเขาลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาทางนาง “หรูซื่อ...” มีคำถามมากหมาย
“เข้ามาคุยด้านในเถิด” เขาปล่อยมือจากไหล่ของนางแล้วเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน ทว่าสายตาของนางถูกตำรามากมายดึงดูดไว้จนหลงลืมว่ามี ‘สามี’ อยู่ใกล้ๆ “ข้าไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะชอบสะสมหนังสือมากขนาดนี้” ‘ท่านแม่ทัพ’ ภรรยาหมาดๆ สนใจแต่หนังสือมากมายเหล่านั้น จึงไม่ได้เห็นแววตาไม่พอใจของสามีหมาดๆ อย่างเขา ซุนหลวนคุน ลอบถอนหายใจ นางเพิ่งย่างเท้าเข้าบ้านมาเป็นคนสกุลซุน คงไม่คุ้นชินกับการเรียกขานนัก “อีกห้าวันข้าต้องออกเดินทางแล้ว” “เดินทาง? ท่านแม่ทัพจะไปไหนรึ” หลิวหรูซื่อหันมามองหน้า ‘สามี’ นางทำหน้างุนงงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องขบกรามเน้นเช่นนั้น“ได้ ข้าจะเตรียมตัว” “เจ้าไม่ต้องไป” น้ำเสียงของเขากระด้างขึ้นเล็กน้อย บอกตนเองว่าต้องให้ ‘เวลา’ นางมากกว่านี้ เขาจะโมโหนางไม่ได้เด็ดขาด “เหตุใดไม่ให้ข้าไป” นางเอียงคอถาม ท่าทางไร้เดียงสา “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนมารดาข้าเถิด” เขากดน้ำเสียงไม่ให้หงุดหงิดจนเกินไป “นับจากนี้เจ้าเป็นนายหญิงของจวน ต้องรับภาระดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านร่วมกับมารดาข้าแล
“แต่งงาน! น้องเล็กอายุแค่สิบเอ็ดจะให้แต่งงานแล้วหรือ?” “อีกสองเดือนน้องเล็กคนนี้ก็สิบสองแล้วเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าของร่างเล็กเดินเร็วๆ ยื่นมือมาหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาที่วางบนโต๊ะเข้าปากกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าแอบฟังพ่อกับพี่ๆ คุยกันอีกแล้วนะ”ราชครูหลิวถอนหายใจเบาๆ แต่กลับยิ้มเอ็นดูลูกสาวคนเดียวของสกุลหลิวไม่ได้ แม้นางเป็นหญิงแต่เฉลียวฉลาดแต่เด็ก หากไม่นับเรื่องวรยุทธแล้ว นางก็ไม่ด้อยกว่าบุรุษเลย “ซื่อเอ๋อร์ไม่ได้แอบฟังเสียหน่อย แต่เสียงพี่ๆกับท่านพ่อดังไปนอกห้องเอง” เด็กหญิงตัวน้อยไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้ยิน “แล้วเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” บิดาเอ่ยถามพลางรินน้ำให้ลูกสาวอย่างเอาใจ “คนแซ่ซุนอยากแต่งข้าเป็นภรรยา ก็แต่งสิ ไม่เห็นต้องกังวลเลย” นางรับน้ำมาดื่มเล็กน้อยแล้วกินขนมต่อ มุมปากเลอะคราบขนมทำให้พี่ใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้นาง “คนแซ่ซุนไม่มีอะไรเหมาะสมกับเจ้าเลยสักนิด” พี่ชายคนรองเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แค่ทหารปลายแถวที่ถีบตนเองขึ้นมาจากดินโคลน” “ข้าเชื่อว่าคนแซ่ซุน
ความรู้สึกเจ็บปวดนี่มันคืออะไรกัน เป็นอีกเช้าที่ซุนหลวนคุนลืมตาตื่นแล้วพบว่า ดวงตาของตนมีน้ำตาเอ่อคลอ น่าอายเหลือเกิน เขาอายุสิบแปดแล้ว แต่ยังนอนละเมอร้องไห้อยู่อีก ที่สำคัญ เขาไม่เคยจำได้เลยว่าฝันถึงเรื่องใด ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นจะเหลือเพียงความเจ็บปวดบีบรัดหัวใจ ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่งบนเตียง เขาตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องฝึกเพลงยุทธ เขาเป็นทหารมาหลายปีไต่เต้าด้วยความสามารถ มือสองข้างเปื้อนเลือดคล้ายตัวเขามีกลิ่นอายของความตายโอบกอดอยู่ เขาถอนหายใจ จะทำอย่างไรได้ เขาเลือกเส้นทางนี้เอง แต่ก่อนนั้นครอบครัวของเขาเป็นเพียงชาวนายากจน เขาเป็นพี่ชายคนโตที่หนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นทหาร เขาฝึกหนักกว่าผู้อื่น ทำในสิ่งที่หลายคนไม่คิดว่าเขากล้าทำ เมื่อฐานะของตนเองมั่นคงจึงได้เชิญบิดามารดารวมทั้งน้อง ๆ มาอยู่ด้วยกัน แต่บิดาอ่อนแอเจ็บป่วยเรื้อรังมานาน ย้ายมาอยู่กับเขาได้ไม่ปีเศษก็ตายจาก เขาไม่ได้สนใจลาภยศใด เขาเพียงหวังให้ครอบครัวของเขาหลุดพ้นความยากจน ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อหรือไม่มีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่ในยามหนาวเหน็บ แต่กระนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้
“แต่ท่านก็ยังส่งข้าไป ท่านเขียนหนังสือหย่าข้า” นางยื่นมือไปโอบกอดร่างแกร่งที่ยามนี้เต็มไปด้วยผ้าพันแผล แม้เลือดจะหยุดแล้วแต่บนผ้าพันแผลยังมีรอยเลือดให้เห็นอยู่ “เพราะข้ารักเจ้า” เขากอดนาง กดปลายจมูกกับเรือนผมอ่อนนุ่ม สูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคย “ข้าก็รักท่าน” นางเอ่ยที่ออกมา “แม้ข้าจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนที่จะทำร้ายข้า ท่านพยายามปิดบังบางอย่างเพื่อปกป้องข้า ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาท่านเตรียมแผนการสำหรับครั้งนี้ไว้หมดแล้ว ท่านไม่ได้ไปเอ้อหยีร์ในนามของแม่ทัพพิทักษ์ประจิม ท่านไม่ต้องให้ผู้อื่นติดร่างแหไปด้วย ท่านเตรียมตัวไปตาย แต่ท่านลืมไปว่า ข้าคือหลิวหรูซื่อ คนที่ทำอาหารไม่เป็น แต่คัดลอกตำราพิชัยยุทธส่งให้ท่าน คนที่ตระเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน และเป็นสตรีใจแคบที่ไม่ยอมให้ท่านรับอนุ ซ้ำยังเอาแต่ใจตัวเอง แต่ข้าสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องรับผิดใด ๆ และยังสามารถกลับเมืองหลวงไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวได้” “เจ้ามีแผนใด” แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับมา จึงทุ่มเทสุดเรี่ยวแรงเพื่อให้ครั้งนี้ทำสำเร็จ “
ม้าพุ่งทะยานฝ่าสายลมอันหนาวเหน็บพ้นเขตเอ้อหยีร์ ม้าของแม่ทัพหนุ่มรั้งท้าย แม้มีหยาดเลือดไหลเปื้อนใบหน้า ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งราวกับปาดเหงื่อ แต่หัวใจเขาพุ่งกลับไปที่ถึงค่ายทหารก่อนแล้วด้วยการเตรียมการของหรูซื่อ นางสั่งการผ่านรองแม่ทัพ เมื่อทหารห้าสิบนายกลับมาถึงค่ายทหารให้ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องใด การะจายคนทั้งห้าสิบพักตามกระโจมต่าง ๆ แม้จะตื่นเต้นยินดี แต่ต้องเก็บอาการไว้แต่กระนั้น หรูซื่อที่ห่อตัวเองด้วยเสื้อคลุมของสามียืนรอเขากลับมาที่หน้ากระโจมหลักเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวล สายตาของนางนับคนที่กลับมา แม้พวกเขาจะบาดเจ็บแต่ยังรักษาชีวิตมาได้ นางหวงฝูเห็นบุตรชายกลับมาปลอดภัยก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางรีบเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที ม้าสองตัวควบขนาบคู่กันมา ดวงตาของหญิงสาวเพ่งมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหัวใจไม่ให้เต้นเร็วเกินไปนัก แต่ก็บังคับได้ยากเย็น เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่เฝ้ารอเข้ามาใกล้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็เอ่อคลอ ทว่าสองเท้ากลับเหมือนถูกตอกตรึงไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ยืนมองเขาลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาทางนาง “หรูซื่อ...” มีคำถามมากหมาย
‘อ่า...นี่คงเพราะซุนหลวนคุนบอกจางหยินเซ่อว่าความจำเสื่อมสินิ คนแซ่จางเลยแต่งเรื่องว่านางมอบผ้าเช็ดหน้าให้ และสามีของนางก็อยากได้บ้าง อันที่จริงนั้นเป็นผ้าปักฝีมือนางก็จริง แต่ที่มอบให้เพราะเขาสัญญาว่าจะพานางไปพบซุนหลวนคุนต่างหาก’หรูซื่อหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาแล้วคลุมร่างของตน วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงแขนของเขา กลิ่นอายที่คุ้นเคยดั่งวงแขนโอบกอดนางแนบแน่น ภาพความทรงจำต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาดุจสายฝนสาดซัดจนกายหนาวสั่น แม้ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ปะติปะต่อกันนัก แต่สิ่งนี้ยืนยันได้ว่า นางไม่เคยคิดปันใจไปจากเขา แม้เขาจะละเลยไม่ใส่ใจนางเท่าที่ควร นางต้องได้ยินเขาสารภาพความจริงจากปากของเขาเอง. เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว อากาศในหุบเขาเย็นเยียบ กระนั้นทหารกลับมีเหงื่อไหลโทรมกาย แต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้ ต้องรีบถอยกลับไปถึงเขตแดนของตน “หวงอี้ เจ้านำทหารที่เหลือล่วงหน้าไปก่อน” “ไม่ได้นะขอรับ ท่านแม่ทัพนำหน้าไปก่อน พวกข้าจะอยู่รั้งท้ายเอง” “พวกเจ้านั้นแหละเป็นตัวถ่วงข้า จึงรีบรุดหน้าไปให้เร็วที่สุด”
‘ไม่เอา ข้าไม่ชอบ’ท่าทางแสนงอนของนางในวัยเยาว์เรียกเสียงหัวเราะขบขันจากบรรดาพี่ชายทั้งสามรวมทั้งบิดาของนางด้วย มารดาเดินเข้ามาพร้อมขนมของว่าง นางวางถาดขนมลงแล้วกวักมือเรียกลูกสาวตัวน้อยมานั่งตัก‘เจ้ารู้หรือไม่ งานเย็บปักนี่ก็เหมือนกลศึกที่เจ้าชอบศึกษา’‘เหมือนกันได้อย่างไรเจ้าคะท่านแม่’‘เจ้าดูแขนเสื้อของพี่ชายเจ้า มันขาดเป็นรูเช่นนั้น เจ้าจะปกปิดอย่างไรไม่ให้ผู้อื่นรู้ การทำศึกมีช่องโหว่เจ้าก็ต้องหาทางปิดจุดบอดนั้นเช่นกัน’‘จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ’‘เจ้าเชื่อฟังคำพูดของแม่เจ้าเถิด’‘แล้วทำไมพวกพี่ๆ ไม่เห็นต้องฝึกงานเย็บปักเลยนี่’‘ซื่อเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนใจร้อน เจ้าต้องฝึกใจเย็น มีสมาธิกว่านี้ เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าปักผ้ารูปไก่ได้ แม่จะยอมให้เจ้าฝึกขี่ม้า เจ้าอยากขี่ม้าใช่ไหม?’‘ได้! ข้าจะฝึกเย็บปักกับท่านแม่’มุมปากของหญิงสาวยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ภาพวันวานหวนคืนกลับมาที่ละเล็กละน้อย นางเคยฝึกขี่ม้ากับพวกพี่ๆ นี่เอง และที่คราวนั้นซุนหลวนคุนบอกว่านางขี่ม้าไม่เป็น คงเพราะกลัวนางจะขี่ม้าหนีไปเที่ยวเล่นคนเดียวเป็นแน่คนแซ่ซุนบังอาจเขียนหนังสือหย่าให้ข้า กลับมาจะจัดการให้ร้องเรียกมารดาเลย ค่อยดูสิ
“มิใช่บุกไปท้าตีท้าต่อยกับพวกเอ้อหยีร์อยู่หรอกเรอะ” ลี่หย่ายกมือขึ้นเท้าเอว “ท้าตีต่อยอะไรของเจ้า แม่ทัพของเราไปทำศึกต่างหาก อุ๊บ!” นายกองผู้หนึ่งหลุดปากพูดออกมา รองแม่ทัพยกมือขึ้นตบศีรษะลูกน้องทันที “อยู่กับพวกเอ้อหยีร์จริง ๆ สินะ” นางเค้นเสียงพูดรอดไรฟัน “แม่ทัพเดินทางไปตั้งแต่เมื่อใด” “สะ...สองวันแล้วขอรับฮูหยิน” “นำกำลังคนไปเท่าไหร่” นางถามแล้วก้าวผ่านรองแม่ทัพไปที่โต๊ะทราย กวาดตามองตำแหน่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว “ห้า...” “ห้าหมื่น?” นางถาม แต่ไม่ได้ยินคำตอบรับจึงเงยหน้าขึ้น “ห้าพัน?” “ห้าสิบนายขอรับ” นางโมโหจนตัวสั่น แต่ลี่หย่าเข้าใจไปว่าหรูซื่อสั่นเพราะความกลัวจึงเข้าไปลูบไหล่ แต่หรูซื่อตวาดออกมาเสียก่อน “ทหารห้าสิบนาย! ต่อให้เป็นแม่ทัพปีศาจจริงจะต่อสู้กับพวกกระหายเลือดอย่างเอ้อหยีร์ได้เรอะ!” แม้เป็นทหารร่างใหญ่กำยำ แต่ถูกหญิงสาวตัวเล็กตวาดก็เล่นเอาทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว “ใจเย็นก่อนหรูซื่อ แม่ทัพซุนคงมีแผนการในใจที่เราไม่รู้”
“เรา? หมายถึงข้ากับท่านนะหรือ?” นางสายหน้าไปมา “ข้าไม่ไปไหนกับท่านทั้งนั้น” “หรูซื่อ ข้ารู้เรื่องที่เจ้าความจำเลอะเลือนหมดแล้ว” จางหยินเซ่อมองหญิงสาวอย่างสงสาร “ความจำเลอะเลือนอันใดกัน” นางขึงตาใส่ นางแค่จำไม่ได้ชั่วคราวต่างหาก “ท่านรู้ได้อย่างไร” “แม่ทัพซุนบอกข้า” “อะไรนะ” นางส่ายหน้าไปมา “เขาจะบอกท่านทำไมกัน” “บอกเพื่อให้ข้าดูแลเจ้า” จางหยินเซ่อพูดแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ยื่นมือไปหมายจะจับมือนางแต่นางกลับกระถดกายหนีจนแผ่นหลังชิดผนังรถม้า ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “เขาต้องการให้เจ้าไปจากที่นี่ เขาต้องการตัดขาดกับเจ้า” “ไม่จริง” นางส่ายหน้าไปมา “เขาบอกว่า ถ้าเจ้าฟื้นแล้วให้อ่านจดหมายที่อยู่ในอกเสื้อของเจ้า” หรูซื่อยกมือขึ้นตบสาบเสื้อของตนเอง มีจดหมายอยู่จริง นางหยิบออกมาดู ในซองจดหมายมีหนังสือหย่าและมีดสั้นอันนั้นที่ได้รับจากชาว เปียนเจียงเท่ากับว่านี่เป็นเรื่องจริง “หรูซื่อ” จางหมินเซ่อเอ่ยเรียก “คนแซ่ซุนต้องการเพียงอำนาจไม่ได้รักใคร่เจ้าอย่างจริงใจ เจ้าเป็นคนฉลา