เวรละ แค่ช๊อปหนักไปหน่อยแม่เธอต้องส่งเธอมาอยู่บ้านตายายที่ต่างจังหวัดเลยเหรอ แถมยังสั่งให้เธอหาเงินให้เท่ากับจำนวนที่เธอช๊อปไปอีก งานนี้เธอจะหาเงินตั้งห้าล้านมาคืนได้ยังไงมีหวังได้อยู่ที่นี้ไปจนตายแน่
View Moreตอนที่ 1 จุดจบสายช็อป
บรืนนนน เอี๊ยด ปัง
“ทุกคนมาช่วยวรรณถือของหน่อย มาให้หมดทุกคนเลยนะ แล้วก็ถือระวังๆ ด้วยนะจ๊ะ” ฉันเรียกคนงานในบ้านให้ออกมาช่วยกันถือถุงที่ฉันช็อปปิ้งให้เข้าไปเก็บในบ้าน วันนี้มีสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ฉันเลยต้องไปเหมามาเก็บไว้
“เอะอะเสียงดังอะไรกัน แล้วนั่นถุงอะไรของใครทำไมมันเยอะแยะแบบนี้” แม่ของฉันที่เดินออกมาดูเพราะเสียงเอะอะของฉันถามขึ้น
“ของหนูเองค่ะคุณแม่”
“ของลูกเหรอ แล้วมันคืออะไร ทำไมมันเยอะแยะแบบนั้น” แม่มองคนงานที่ถือถุงช็อปปิ้งเดินผ่านหน้าท่านคนล่ะสามสี่ถุง ด้วยสีหน้างุนงง
“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ก็แค่พวกเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง เครื่องประดับ อะไรพวกนี้นั่นแหละค่ะ”
“เดี๋ยวนะ นี่ลูกซื้ออีกแล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะ” ฉันตอบพร้อมกับส่งยิ้มหวาน
“ทั้งหมดมีกี่ถุงเนี่ย หนึ่ง สอง สาม.....สิบ สิบเอ็ด สิบเอ็ดถุง นี่ลูกซื้อมาทำไมตั้งเยอะแยะของเก่าที่ซื้อมาใช้หมดแล้วเหรอ”
“ยังค่ะ”
“ถ้ายังใช้ไม่หมดแล้วจะซื้อมาเพิ่มทำไม ทำไมไม่ใช้ให้หมดก่อน”
“โธ่ คุณแม่ไม่เข้าใจหรอกค่ะ นี่เป็นคอลเลคชั่นใหม่เลยนะคะ ไม่มีไม่ได้ค่ะ” ระหว่างที่ฉันคุยกับแม่ก็มีรถแท็กซี่สามคันวิ่งเข้ามาในบ้าน ก่อนจะจอดต่อท้ายรถปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า จีทีเอส ของฉันที่จอดอยู่ก่อนแล้ว
บรืนนนน เอี๊ยด
“นั่นอะไรอีก ใครเรียกรถเหรอ” แม่ถาม
“ไม่มีใครเรียกหรอกค่ะ แต่เป็นรถที่หนูจ้างมาเอง”
“ลูกจ้างมาเหรอ จ้างมาทำไมจะออกไปไหนอีกเหรอ”
“เปล่าหรอกค่ะ หนูไม่ได้จะออกไปไหน แต่ที่หนูจ้างรถแท็กซี่มาเพราะรถหนูใส่ของไม่หมด เลยจ้างรถแท็กซี่ให้ช่วยขนมาน่ะค่ะ”
“อะไรนะ นี่ลูกซื้อเยอะขนาดไหนกันถึงต้องจ้างรถให้ช่วยขนมาเนี่ยนะ”
“ก็ไม่เท่าไรหรอกค่ะ แค่เหมาคอลเลคชั่นใหม่ทั้งหมดของทุกแบรนด์เอง” ฉันตอบแล้วส่งยิ้มหวานให้ท่าน แต่แม่ฉันไม่ได้สนใจยิ้มหวานที่ฉันส่งให้เลย แต่ท่านเอาแต่มองถุงช็อปปิ้งของฉันที่คนงานเดินถือขึ้นบ้านคนละสามสี่รอบด้วยสีหน้าที่อึ้งอยู่
“หมดแล้วค่ะคุณหนู” คนงานในบ้านรายงาน
“ขอบใจจ้ะ เดี๋ยวป้าช่วยเอาน้ำส้มไปให้วรรณบนห้องด้วยนะ คุณแม่คะ วรรณขอตัวขึ้นห้องก่อนนะคะ รู้สึกเหนียวตัวอยากจะอาบน้ำหน่อยค่ะ” ฉันบอกป้าแม่บ้าน ก่อนจะหันไปบอกแม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ วันนี้ฉันเดินช็อปปิ้งเข้าออกตั้งหลายร้านถึงจะเดินในห้างที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำแต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าเหงื่อฉันก็ยังออกจนฉันเหนียวตัวอยู่ดี แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะเดินได้ถึงสามก้าวเสียงแม่ฉันก็ดังขึ้นขัดจังหวะก่อน
“จะไปไหนวรัญญา” ฉันรู้สึกขนลุกซู่ทันทีกับการที่ท่านเรียกฉันด้วยชื่อจริง ซึ่งรับรู้ได้เลยว่าฉันกำลังงานเข้า เพราะถ้าเมื่อไรก็ตามที่แม่เรียกฉันหรือใครด้วยชื่อจริงแล้วล่ะก็แสดงว่าท่านกำลังโมโหอยู่ และตอนนี้คนที่ท่านกำลังโมโหก็คือฉันแน่ๆ
“มะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันถามเสียงตะกุกตะกัก
“ตามแม่มา” แม่ฉันพูดจบก็เดินนำหน้าไปโดยไม่หันมามอง ฉันเลยได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากคนงานในบ้านให้ช่วยโทรตามคุณพ่อมาให้หน่อย ก่อนจะเดินตามแม่เข้าไปในบ้าน
ฉันนั่งลงที่โซฟาข้างๆ ส่วนแม่ฉันนั่งหน้านิ่งอยู่ที่โซฟาตัวกลางด้วยมาดนางพญาที่ทำหน้าตาดุเหมือนนางยักษ์
“รู้ไหมว่าแม่เรียกเรามาทำไม”
“ระ รู้ค่ะ น่าจะเรื่องซื้อของ” ทำไมจะไม่รู้ละก็มันมีอยู่เรื่องเดียวไม่ใช่เหรอ
“แม่รู้นะว่าลูกเป็นผู้หญิง จะชอบแต่งเนื้อแต่งตัวก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ลูกทำมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
“แต่ปกติหนูก็ซื้อแบบนี้ตลอด คุณแม่ก็ไม่เห็นเคยว่าอะไรนี่ค่ะ”
“ใช่ แม่ไม่เคยว่า เพราะแม่ไม่เคยว่าไง พักหลังๆ ลูกเลยช็อปหนักขึ้นขนาดนี้ แม่ถามจริงเถอะที่ซื้อมานะใช้หมดหรือเปล่า จะขนซื้ออะไรหนักหนา เสื้อผ้านะมันใส่ซ้ำได้นะรู้ไหม ไม่ใช้ใส่แค่ครั้งเดียวแล้วเก็บ เมื่อสองเดือนก่อนพ่อเขาพึ่งจะทำห้องแต่งตัวใหม่ให้ก็ขนซื้อของมาจนห้องจะเต็มอีกแล้ว แค่เฉพาะห้องแต่งตัวลูกก็ปาเข้าไปสามห้องแล้วนะ ถ้าแม่ไม่ดุแม่ว่าคงได้มีห้องที่สี่ห้องที่ห้าตามมาแน่ๆ” แล้วแม่ฉันก็บ่นต่อไม่หยุด
ฉันนั่งฟังแม่บ่นเรื่องช็อปของฉันได้เกือบชั่วโมงในที่สุดผู้ช่วยชีวิตของฉันก็มาถึงแล้ว
“ทำอะไรกันอยู่เหรอที่รัก เอ้าลูกก็อยู่ด้วยเหรอ” พ่อฉันที่เดินเข้ามาในบ้านทักทายแม่ก่อนจะทำท่าตกใจที่เห็นฉันนั่งอยู่
“แสดงไม่เนียนเลยพ่อ ผมว่าพ่อต้องไปฝึกใหม่นะ” เสียงของพี่วีที่เดินตามพ่อมาพูดขึ้น
“ตาวี นี่เราก็กลับมาด้วยเหรอ” พ่อหันไปถามพี่วี นี่ไม่ได้กลับมาด้วยกันหรอกเหรอ
“มาสิ น้องสาวที่น่ารักของผมกำลังถูกคุณแม่ดุผมก็ต้องมาช่วยสิ”
“นี่เราก็จะมาช่วยพูดกับแม่ให้น้องด้วยใช่มั้ย” พ่อถาม พี่วีมองมาทางฉันนิดนึงก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างๆ แม่ แล้วกอดเอวท่าน
“เปล่า จะมาช่วยคุณแม่จัดการต่างหาก” ฉันว่าแล้ว พี่ชายตัวดีของฉันนะเหรอจะช่วยฉันรอให้โลกแตกก่อนเถอะ
“อ้าว ตาวี”
“พอเลยๆ คุณเองก็ไม่ต้องมาช่วยเลยนะ ครั้งนี้ฉันเอาจริงคุณไม่เห็นตอนที่คนงานในบ้านถือถุงช็อปปิ้งของลูกสาวคุณขึ้นไปบนห้องนะสิว่าเยอะขนาดไหน”
“เยอะขนาดไหนเหรอ”
“ก็เยอะขนาดรถของตัวเองขนไม่หมด ต้องจ้างรถแท็กซี่ขนมาอีกตั้งสามคันเลยนะสิ” พอแม่พูดจบทุกคนก็หันมามองฉันเป็นตาเดียว
“รถลูกขนของมาไม่หมดเหรอ ให้พ่อซื้อรถใหม่ให้ไหมจ้างคนอื่นขนมาแบบนี้มันอันตรายนะ ถ้าเกิดแท็กซี่พวกนั้นเชิดของลูกไปขึ้นมาจะทำยังไง” พ่อถามฉันด้วยความหวังดี แต่ดูเหมือนความหวังดีของท่านจะไปยั่วโมโหแม่ฉันให้โมโหยิ่งกว่าเดิม
“เก็บความหวังดีของคุณไปเลยนะ ฉันกำลังดุลูกเรื่องซื้อของเยอะ แต่คุณกลับจะมาสนับสนุนเหรออยากมีเรื่องกับฉันหรือไง”
“เปล่าจ๊ะที่รัก ใครจะอยากมีเรื่องกับคุณกัน แต่ผมว่าเรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย ลูกแค่ซื้อของนิดหน่อยเอง”
“ใช่ค่ะ ทีพ่อกับพี่วีซื้อนาฬิกากับรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ไม่เห็นคุณแม่ว่าอะไรบ้างเลย”
“อะไรนะ ใครซื้ออะไรใหม่”
“พ่อนาฬิกา พี่วีก็มอเตอร์ไซค์”
“ยัยวรรณ” ทั้งพ่อทั้งพี่วีเรียกฉันเสียงดังพร้อมกัน งานนี้ฉันจะไม่ยอมถูกดุคนเดียวแน่ๆ ขอโทษนะคะพ่อ ส่วนพี่วีสมน้ำหน้า
“นี่ทั้งสองคนซื้ออีกแล้วเหรอ ให้ตายเถอะแต่ละคน ทำไมถึงได้ใช้เงินกันเก่งขนาดนี้”
“คุณอย่าเครียดไปเลยน่า แค่นี้เองบ้านเราไม่ได้จนนะคุณ ต่อให้ยัยวรรณจะซื้อทั้งห้างหรือตาวีจะซื้อรถให้หมดทั้งโชว์รูมก็ไม่ส่งผลอะไรกับบ้านเราหรอกน่า เพราะงั้นปล่อยๆ ลูกไปเถอะนะ”
“เพราะว่าคุณเอาแต่สอนลูกแบบนี้ไง แต่ละคนถึงได้ใช้เงินกันเก่งขนาดนี้ ไม่ล่ะครั้งนี้ฉันไม่ยอมฉันต้องจัดการกับลูกๆ ให้เด็ดขาด โดยเฉพาะเรายัยวรรณ” ดูเหมือนความซวยจะมาเยือนฉันแล้ว
ตอนพิเศษ 2ชื่อของเธอคือหนึ่ง ชื่อของนายคือดินเหนียว“คุณแม่ขา ทำไมเราต้องไปบ้านคุณตาคุณยายด้วยคะ เราให้คุณตาคุณยายมาหาเหมือนทุกที ไม่ได้เหรอ” เด็กหญิงวรัญญาในวัยเก้าขวบถามขึ้น ตอนนี้เธอกำลังไปที่บ้านเกิดของแม่เธอซึ่งก็คือบ้านที่ตายายของเธออยู่ตอนนี้“เพราะแม่จะไปทำธุระที่ที่ดินด้วยไง อีกอย่างลูกๆ ก็ปิดเทอมแม่ก็เลยพามาเล่นบ้านตายายไม่ดีเหรอ”“ดีครับผมอยากไปเล่นบ้านตายาย” พี่วี พี่ชายเธอพูดด้วยความตื่นเต้น“ไม่ดี วรรณไม่อยากไป”“ดี”“ไม่ดี พี่วีว่าดีก็ไปคนเดียวสิ วรรณไม่ได้อยากไปสักหน่อย”“ทำไมเราถึงไม่อยากไปบ้านตายายเหรอ” แม่ถาม“ก็คุณตาเล่าให้ฟังว่าที่บ้านคุณตามีควายตัวใหญ่มาก แล้วยังมีเป็ดมีไก่ แล้วคุณตาก็ยังเคยบอกว่าตอนคุณตาไปเก็บไข่ไก่คุณตาเคยถูกไก่ตีด้วย คุณแม่ว่าไม่น่ากลัวเหรอคะ”“ไม่น่ากลัวหรอก ถ้าเราไม่ไปยุ่งกับเขา เขาก็ไม่ยุ่งกับเราหรอก แล้วพวกนั้นก็ไม่ได้อยู่ใกล้บ้านเราสักหน่อย ต้องไปที่สวนต่างหากถึงจะเจอ” แม่เธออธิบาย“อ้าว ไม่ได้อยู่ในบ้านคุณตาหรอกเหรอคะ”“ไม่ได้อยู่จ้ะ ที่บ้านคุณตามีแค่แมวตัวเดียวที่ลูกไม่อยากไปเพราะเรื่องนี้เหรอ”“ค่ะ ก็คุณตาบอกว่าที่บ้านมี วรรณเลยคิดว่า
ตอนพิเศษ 1สองขีด- ดิน –“ไอ้ชัด มึงห่อให้ดีๆ หน่อย นั่นของชำร่วยงานแต่งกูนะเว้ย ตั้งใจทำหน่อยดิวะ”“กูก็ตั้งใจทำอยู่เนี่ย มึงไม่แหกตาดูวะ แต่กูมีปัญญาทำได้แค่นี้คนอุตส่าห์มาช่วยแม่งยังบ่นอีก เดี๋ยวก็ปล่อยให้ทำคนเดียวหรอก”“เออๆ ไม่บ่นแล้วทำให้ดีหน่อยก็แล้วกัน”“จะมีเมียทั้งทีลำบากเพื่อนจริงนะมึง” ชัดยังบ่นไม่เลิก ตอนนี้พวกเรามารวมตัวที่บ้านของผมเพื่อมาเตรียมของชำร่วยสำกหรับงานแต่งของผมกับหนึ่งที่จะถึงในอาทิตย์หน้า นี้ก็ผ่านมาตั้งสามเดือนแล้วจากวันที่ผมขอหนึ่งแต่งงาน ในที่สุดเราก็จะเป็นสามีภรรยากันสักที“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด” เสียงกรี๊ดของหนึ่งดังมาจากในห้องน้ำ ผมรีบทิ้งงานทั้งหมดแล้วตรงไปทางห้องน้ำทันที“หนึ่งเป็นอะไร เปิดประตู” ผมถามเสียงดังด้วยความตกใจพร้อมกับทุบประตูห้องน้ำด้วยความร้อนใจ “หนึ่งเปิดประตู”“จะเรียกทำไมเสียงดัง แล้วอยากได้ประตูห้องน้ำใหม่หรือไงถึงได้ทุบแรงขนาดนั้น” หนึ่งที่เปิดประตูออกมาบ่นผมทันที“ก็ฉันได้ยินเสียงเธอกรี๊ด เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”“เปล่า” หนึ่งตอบพร้อมกับยื่นของบางอย่างให้ผม “ที่ฉันกรี๊ดเพราะอันนี้มันขึ้นสองขีดนะ”“สองขีด” ผมมองเจ้าสิ่งนั้นที่หนึ่งยื่นให้
บทส่งท้าย หนึ่งเดียวของดิน“นายพาฉันมาบ้านนายทำไม” หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จดินก็บอกว่าให้ฉันช่วยไปกับเขาหน่อย เขามีอะไรจะให้ฉันดูฉันก็นึกว่าเขาจะพาฉันไปไหนที่แท้ก็พามาบ้านของเขาที่อยู่ที่อู่รถนั่นเอง“เข้ามาข้างในก่อนสิ” ฉันเดินเข้ามาในบ้านตามที่เขาบอกก่อนที่จะรู้สึกแปลกๆ“นายจัดบ้านใหม่เหรอ” ที่ฉันรู้สึกแปลกๆ เพราะเขาจัดบ้านใหม่นี่เอง “นี่เหรอที่นายบอกว่าอยากให้ฉันดู แค่นายจัดบ้านใหม่เนี่ยนะ”“ไม่ใช่ตรงนี้ ที่ฉันอยากให้เธอดูคือข้างบนต่างหาก” เขาชี้ไปที่ชั้นสอง ฉันเลยมองเขาด้วยความระแวงหมอนี่ไม่ได้คิดจะหลอกให้ฉันขึ้นไปข้างบนแล้วทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหม “ไม่ต้องมองฉันระแวงแบบนั้นหรอกน่า ฉันสัญญากับพ่อกับพี่ชายเธอไว้แล้วว่าจะไม่ทำอะไรเธอเด็ดขาด”“นายจะรักษาสัญญาใช่ไหม” ฉันถามย้ำเพื่อความมั่นใจถึงจะรู้ว่าเขาเป็นคนรักษาสัญญามากแค่ไหนก็ตาม นี่แหละมั้งพ่อกับพี่ฉันเลยวางใจให้ฉันคบกับเขา“อืม ถ้าเธอไม่ทำให้ฉันตบะแตก” พอเขาพูดจบฉันก็หันหลังเดินลงบันไดทันทีจนเขาต้องรีบขว้าไว้ “เดี๋ยวสิหนึ่งใจเย็นๆ ฉันพูดเล่น ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก”“นายแน่ใจนะ”“แน่ใจสิ” ฉันมองตาเขาก่อนจะยอมเดินตามเขาขึ้นชั้นสองไป ดิน
ตอนที่ 29 กลับมาอีกครั้ง“ถ้าลูกไม่มีความสุขต้องรีบบอกพ่อนะ พ่อจะไปรับลูกกลับมาทันที”“นี่คุณลูกแค่กลับไปอยู่บ้านตายายจะไม่มีความสุขอะไร ไม่ได้ไปลำบากอะไรสักหน่อย”“ไม่ต้องไปฟังแม่นะลูก ถ้าลูกอยากกลับมาบอกพ่อได้เสมอเลยพ่อจะรีบไปรับ”“เอะ นี่คุณกล้าพูดแบบนี้กับฉันเหรอ ทีตอนเราเป็นแฟนกันคุณก็ยังอยากให้ฉันไปอยู่ใกล้ๆ ไม่ใช่เหรอ ขนาดพ่อฉันเอาปืนไล่ยิงคุณยังไม่กลัวเลย จะพาฉันมาอยู่ด้วยให้ได้ ทีตอนนี้ทำเป็นร้องไห้ฟูมฟาย” ฉันพึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย คุณตาฉันก็แสบใช่เล่นเหมือนกันนะเนี่ยก็อย่างว่าแหละแม่ฉันออกจะสวย“โธ่คุณ อย่าพูดเรื่องอดีตสิมันไม่เหมือนกันสักหน่อย”“ไม่เหมือนยังไง ทีนี้เข้าใจหรือยังว่าตอนนั้นพ่อฉันรู้สึกยังไง”“รู้สึกแล้วค้าบ” พ่อฉันตอบเสียงอ่อย“รู้แล้วก็ดี แล้วก็รู้ใช่ไหมว่าทำแบบนี้ลูกจะลำบากใจ” แม่ฉันถามเสียงดุ“รู้”“ถ้ารู้แล้วจะทำทำไม จะเลิกทำให้ลูกลำบากใจไหม”“เลิกแล้ว” แล้วพ่อฉันก็ต้องยอมแม่อีกตามเคย แม่ฉันนี่สุดยอดไปเลย“ดี” แม่ฉันบอกกับพ่อก่อนจะหันมาพูดกับดิน “ดินเราจำได้ใช่ไหมว่าสัญญาอะไรกับป้าไว้”“จำได้ครับ”“ดี งั้นก็ไปเถอะเดี๋ยวตากับยายจะรอ”
ตอนที่ 28 ถูกเท“เรียบร้อยแล้วค่ะ” พี่ปุ้มปุ้ยช่างประจำตัวฉันบอกก่อนจะก็บเครื่องสำอางใส่กระเป๋า ฉันมองสำรวจตัวเองก่อนจะขอบคุณ“ขอบคุณมากค่ะ พี่ปุ้มปุ้ย แล้วพี่วีเสร็จหรือยังคะ” ฉันถามถึงพี่ชาย ที่จะไปร่วมงานกับฉันคืนนี้“คุณวีไปด้วยเหรอคะ คุณวีไม่ได้บอกพี่ พี่เลยไม่ได้เตรียมช่างมาให้ นี่พี่มาคนเดียวนะคะ” หมายความว่ายังไง ไหนวันนั้นตกลงกันแล้วว่าพี่จะไปเป็นเพื่อนฉัน อย่าบอกนะว่าจะเทฉันนะฉันโกรธจริงๆ ด้วยนะ“พี่วี พี่วีอยู่ไหน” ฉันส่งเสียงเรียกพี่วีเสียงดังลงมาจากชั้นสองของบ้าน ดังขนาดที่ต่อให้พี่ชายฉันไปแอบในท่อระบายน้ำก็ต้องได้ยิน ถึงพี่ชายฉันจะไม่ไปแอบที่นั่นก็ตาม“เสียงดังอะไรตัวเล็ก พี่อยู่นี้” พี่ชายฉันเดินออกมาจากทางห้องรับแขก แล้วจากชุดที่ใส่ก็เป็นชุดอยู่บ้านจริงๆ“ไหนพี่บอกว่าจะไปกับฉัน แล้วทำไมยังไม่แต่งตัว อย่าบอกนะว่าพี่จะเทฉัน ฉันโกรธจริงๆ นะ” ฉันเดินโวยวายลงบันไดมา“เดินช้าๆ สิเดี๋ยวก็ตกบันไดหรอก” พี่วีรีบเดินมารับฉันที่บันได “พี่ก็อยากไปกับเรานะ แต่มีคนมาขออาสาไปเป็นเพื่อนเราแทนพี่นะสิ ตอนแรกพี่ก็ไม่ยอมหรอก แต่แม่นะสิอนุญาตแล้ว พี่เลยทำอะไรไม่ได้เลยต้องยอมถอย”“ใคร”“ไปดู
ตอนที่ 27 เด็กฝึกงาน“เมื่อกี้เราพูดว่าอะไรนะตัวเล็ก”“ฉันบอกว่า ฉันจะไปช่วยงานพี่ที่บริษัท” ฉันพูดย้ำอีกครั้งชัดๆ ช้าๆ“พี่หูฝาดไป หรือว่าเราไม่สบายกันแน่” พี่วีเอามือแคะหูก่อนจะเอาอีกมือมาแตะที่หน้าฝากฉัน “ตัวก็ไม่ได้ร้อนหูพี่ก็ยังปกติดี หรือว่าตอนที่อยู่ที่นู้นหัวเราไปกระแทกอะไรมาหรือเปล่า”“นี่ ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย พี่อย่าเวอร์ฉันแค่เบื่อที่จะอยู่บ้านนี่ก็อยู่เฉยๆ มาตั้งหลายวันแล้ว” ฉันเดินเข้าไปเกาะแขนพี่วีแล้วเอนหัวไปซบที่แขน พี่ชายใครเนี่ยทำไมแขนแน่นแบบนี้ “อีกอย่างที่ผ่านมาพี่กับพ่อก็อยากให้ฉันไปลองฝึกงานที่บริษัทไม่ใช่เหรอ ก็ถือโอกาสตอนนี้ให้ฉันไปฝึกเลยไม่ดีเหรอ”“เอาจริงเหรอ” พี่วีถามอีกครั้ง“จริง” ฉันตอบเสียงหนักแน่นและแล้วเช้าวันที่ฉันต้องไปทำงานที่บริษัทก็มาถึง ฉันแต่งตัวเสร็จก็เดินฮัมเพลงลงมาข้างล่างด้วยความอารมณ์ดี“อารมณ์ดีขนาดนั้นเลยเหรอที่จะได้ไปทำงานน่ะ” แม่ถาม“ใช่ค่ะ” ฉันตอบก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะทานข้าวที่พ่อกับแม่ แล้วก็พี่วีนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นี่ฉันว่าฉันรีบแล้วนะแต่ก็ยังช้ากว่าทั้งสามคนอยู่ดี“ถ้าลูกไม่อยากไปไม่ต้องฝืนใจไปทำก็ได้นะ ลูกสาวคนเดียวพ่อเลี้ยงได้
ตอนที่ 26 เปลี่ยนไป“ป้าแจ่มหยิบไขควงเบอร์หกให้ผมหน่อย ที่อยู่ในกล่องเครื่องมือ”“มันอันไหนวะ อันนี้ไหม” ป้าแจ่มโชว์ไขควงให้น้อยคนขับรถของที่บ้านฉันดู“ไม่ใช่ป้าอีกอัน อันที่มันใหญ่กว่านี้อันนั้นนะที่อยู่ข้างๆ” น้อยพยายามชี้ให้ป้าแจ่มดู“อันนี้เหรอ” แต่ป้าแจ่มก็ยังหยิบผิดอันอยู่ดี“ไม่ใช่ป้า อีกอัน”“อันนี้ค่ะป้า” ฉันที่ยืนมองอยู่สักพักแล้วรู้สึกทนไม่ไหวเลยเดินเข้าไปหยิบไขควงเบอร์ที่น้อยต้องการส่งให้ป้าแจ่ม“ขอบคุณค่ะ คุณหนู” ป้าแจ่มขอบคุณฉันก่อนจะหันไปถามน้อย “อันนี้ใช่ไหม”“ใช่ป้า ใช่อันนั้นแหละ” น้อยรับไขควงไปก่อนจะหันไปสนใจงานตรงหน้าต่อ“คุณหนูต้องการอะไรหรือเปล่าคะ เดี๋ยวป้าจัดการให้” ป้าแจ่มหันมาถามฉัน เพราะปกติฉันไม่ค่อยเข้ามาบริเวณห้องครัว เพราะกลัวกลิ่นอาหารจะติดเสื้อผ้า“วรรณจะมาถามนะคะว่ามีใครเห็นคุณแม่บ้างไหม วรรณเดินหาจนทั่วบ้านแล้วแต่ก็หาไม่เจอ”“อ่อ คุณผู้หญิงไปบ้านคุณดวงค่ะ พอดีคุณลูกหนูเธอกลับมาบ้านแล้วก็ยังพาลูกๆ ของเธอมาด้วยคุณผู้หญิงเลยไปเล่นกับเด็กๆ นะคะ”“พี่ลูกหนูคลอดลูกคนที่สองแล้วเหรอคะ”พี่ลูกหนูที่ฉันพูดถึงคือลูกสาวคนเล็กของบ้านหฤทัยรัตน์ที่แต่งงานกับพี่ธันแ
ตอนที่ 25 เหตุผล“โอ๊ย เมื่อไรจะถึงเนี่ย ทำไมรถถึงได้ติดแบบนี้นะ” ฉันบ่นเรื่องรถติดเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้ ก็จะไม่ให้ฉันบ่นได้ยังไงก็รถมันติดชนิดที่ช้ายิ่งกว่าเต่าเดินอีก“บ่นไปก็ไม่ได้อะไรหรอกน่า เลิกบ่นเถอะทีเมื่อก่อนนะพี่ไม่เห็นเราจะเคยบ่นเรื่องรถติด”“นั่นมันเมื่อก่อนนี้ ตอนนี้ฉันเริ่มแปลกใจตัวเองแล้วสิเมื่อก่อนฉันทนรถติดแบบนี้ได้ยังไง มันน่าเบื่อมากเลยนะเสียเวลาสุดๆ เลยด้วย” ฉันยังคงบ่นไม่เลิก“ลูกกลัวเสียเวลาด้วยเหรอ ไหนเมื่อก่อนลูกบอกว่าลูกมีเวลาว่างเยอะแยะเรื่องแค่นี้ไม่ส่งผลอะไรกับลูกหรอก” ฉันเคยพูดแบบที่แม่บอกด้วยเหรอ“ใช่ แม่พูดถูกเวลาพ่อบ่นเรื่องรถติดแล้วทำให้เสียเวลา ลูกยังบอกพ่ออยู่เลยเสียเวลานิดหน่อยจะเป็นอะไรแค่นี้เอง” พ่อเองก็กับเขาด้วยเหรอ“นี่สรุปหนูผิดเหรอ ก็ที่บ้านตาไม่มีรถติดแบบนี้นี่ ไปไหนมาไหนก็แป๊บเดียวขนาดที่ไกลๆ ยังแป๊บเดียวเลย แต่นี้อะไรอีกแค่แปดโลก็ถึงบ้านเราแต่เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่ถึงเลย” คิดดูก็แล้วกันกับอีแค่แปดโลแต่นี่เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังแปดโลเหมือนเดิมจะไม่ให้ฉันบ่นได้ยังไง อีกชั่วโมงจะถึงบ้านหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย เผลอๆ เดินไปอาจจ
ตอนที่ 24 หายหัว“มานั่งทำอะไรตรงนี้มืดๆ คนเดียว ไฟก็ไม่เปิด ยุงไม่กัดเหรอ” ฉันนั่งเล่นมือถืออยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน แม่คงเห็นว่าฉันนั่งอยู่นานแล้วมั้งตั้งแต่เย็นๆ จนตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินแล้วก็ยังไม่ยอมเข้าบ้านสักทีแถมยังไม่ยอมเปิดไฟอีก ดีที่ยังมีพัดลมที่ตาเอามาเปิดให้ไม่งั้นมีหวังได้ถูกยุงกัดทั้งตัวแบบที่แม่บอกแน่ๆ“พ่อกับพี่ล่ะ” ฉันไม่ตอบแต่ถามแม่กลับ ทั้งที่ก็รู้แหละว่าสองคนนั้นอยู่ไหน แค่อยากเปลี่ยนเรื่อง“คุยอยู่กับตายายอยู่ข้างในไง แล้วจะบอกแม่ได้ยังว่ามานั่งทำไมคนเดียวตรงนี้”“เปล่าค่ะ แค่มานั่งเล่นเฉยๆ”“จริงเหรอ ไม่ใช่ว่ารอใครอยู่เหรอ”“หนูจะรอใคร ไม่มีสักหน่อยแค่มานั่งเล่นเฉยๆ ไม่ได้เหรอ”“จ้า จ้า นั่งเล่นก็นั่งเล่น แล้วไม่ร้อนเหรอ ปกติเราขี้ร้อนจะตายไม่ใช่เหรอ” ใช่ ปกติฉันเป็นพวกความอดทนต่อความร้อนต่ำมาก แต่ตอนนี้กลับนั่งอยู่หน้าบ้านโดยมีแต่พัดลมตัวเดียวถึงที่นี่จะเป็นต่างจังหวัดที่อากาศดีกว่ากรุงเทพ แต่ก็เป็นต่างจังหวัดในช่วงกลางเดือนเมษาของประเทศไทยไม่มีที่ไหนที่จะไม่ร้อนจ้า ถึงจะเป็นเวลาค่ำแล้วก็ตาม“สงสัยชินแล้วมั้ง”“สงสัยการที่แม่ส่งเรามาอยู่ที่นี่จะได้ผลจริงๆ อย่างน้อ
Comments