หลังจากศึกบนเตียงนอนจบลงหลิงเวยก็หลับใหลไปอีกคราอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงในขณะที่ฟงชินหยางผู้ดูดกลืนพลังชีวิตทั้งหมดของนางพาเรือนร่างสูงใหญ่ที่มีรอยเล็บลากยาวทั้งแผงอกและแผ่นหลังลุกขึ้นไปอาบน้ำอย่างสบายอกสบายใจ
ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวด้วยตนเองเหมือนดังเช่นปกติเพราะไม่นิยมให้มีบ่าวไพร่มาวุ่นวายปรนนิบัติ ในยามออกศึกเขาต้องนอนกลางดินกินกลางทรายลำบากมากนักเขาจึงไม่นิยมทำตัวสบายจนเกินไปถึงแม้ว่าฐานะของเขาจะไม่ด้อยอันใด
เหล่าบ่าวไพร่ทั้งหลายในจวนย่อมรู้ดีและไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวายหากว่าเขามิได้เรียกใช้
ฟงชินหยางเลือกผ้าเนื้อหนาสีเข้มออกดำสวมใส่แล้วรวบผมยาวสยายของตนทั้งศีรษะมัดด้วยเส้นผ้าสีดำสนิทอย่างเรียบง่ายก่อนจะพาเรือนร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากห้องแต่งตัว
ทว่าสายตาคมกล้าพลันสบเข้ากับเสื้อผ้าของใครบางคน
เสื้อผ้าของสตรีผู้เป็นภรรยาถูกพับเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมีเครื่องประดับน้อยชิ้นวางเรียงรายแยกกันชัดเจน เขาจำได้ว่ายังมิได้เรียกใช้บ่าวไพร่ให้มาจัดการกับข้าวของเครื่องใช้ของนางให้เข้าตู้เข้าชั้น แต่นางกลับทำด้วยตนเองโดยมิได้เรียกร้อง
แต่ทำไมเสื้อผ้าของนางคล้ายกับถูกเก็บเอาไว้ดีจนเกินไป ไยถูกพับแล้วเรียงกันเอาไว้คล้ายกับพร้อมเดินทาง
แล้วนี้อะไร!? ไยถึงไร้สีสันยิ่งนัก
ฟงชินหยางหรี่ตามองร้องถามตนเองในใจเมื่อมองเห็นเสื้อผ้าของนางผู้เป็นภรรยาเป็นผ้าที่คล้ายกับว่าผ่านการสวมใส่มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ทั้งยังซีดเซียวผิดเพี้ยนจากสีสันแบบเดิมมากนัก
กับบรรดาสตรีที่เป็นคุณหนูตระกูลระดับนี้การสวมใส่เสื้อผ้าซ้ำกันเกินสามครั้งนับว่าเป็นเรื่องใหญ่
น้องเล็กของเขาใส่แค่ครั้งสองครั้งก็นำมาแจกจ่ายให้บ่าวไพร่ได้รื่นเริงกันอย่างถ้วนหน้ากันแล้ว
เรียวคิ้วเข้มหนาบนเรียวตาคู่คมถึงกับขมวดมุ่นอยู่ครู่หนึ่งเมื่อมองเห็นสิ่งของตรงหน้าเขาจึงเดินออกมาจากห้องแต่งตัวแล้วเดินออกมานอกห้องนอนแล้วหายตัวไปจากในห้องทันที
เสียงเปิดประตูห้องตามด้วยเรือนร่างสูงใหญ่ของฟงชิน หยางเดินออกไปจากห้องนอนทำเอาสตรีที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงนอนพลันได้สติงัวเงียตื่นขึ้นมา
นางพาเรือนร่างเปล่าเปลือยของตนค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วมองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ที่หายลับไปทางหลังบานประตูก่อนจะดึงสายตากลับมาที่เรือนร่างเปล่าเปลือยของตนอีกครั้งแล้วถอนหายใจเสียงดัง
นางอาจจะต้องออกจากจวนแห่งนี้ในเร็ววันหากว่าสตรีนางนั้นของเขามาทวงคืน แต่ว่าในยามนี้เขายังไม่มีใครมาทวงคืน นางควรมีที่หลับนอนไปก่อน นอนกับคนตัวโตแบบนี้ก็อบอุ่นดี
หญิงสาวคิดได้แค่นั้น นางไม่กล้าคิดอันใดไปมากมายยิ่งกว่านี้ ชีวิตของนางมันเป็นได้แค่นี้ ความฝันอันใดยังไม่กล้ามี แล้วจักคิดเป็นอื่นไปได้อย่างไร
หลิงเวยถอนหายใจของตนออกมาอีกครั้งแล้วค่อยๆ หย่อนร่างระหงของตนลงนอนราบอีกครา นางยังไม่มีเรี่ยวแรงทำอันใด นอนหลับแล้วตายไปเลยยิ่งดี
ในขณะที่หลิงเวยเลือกที่จะหลับตานอนพักผ่อนต่ออย่างไร้เรี่ยวแรงไร้ชีวิตชีวาเสียงประตูห้องพลันถูกเปิดออกตามด้วยบุรุษร่างใหญ่เดินอาดๆ เข้ามา เขาเดินมาที่เตียงนอนแล้วโน้มตัวลงช้อนร่างของนางขึ้น
หญิงสาวถึงกับงุนงงกะพริบตาหลายครั้งหลายที
นางคอแห้งมาก นางไม่มีแรงแม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมา
เขาจะทำอันใดนางอีก!?
คิ้วเรียวสวยบนใบหน้างามพลันขมวดพันกันมุ่นเมื่อเห็นสายตาของบรรดาบ่าวไพร่มองมาทางตนก่อนจะพากันใบหน้าเห่อแดงแล้วจะก้มหน้าลงต่ำหลบนางกันพัลวัน
นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าของหลิงเวยที่แดงเปล่งปลั่งยิ่งแดงก่ำล้ำผลอิงเถาเมื่อกำลังจะก้าวเท้าเดินออกมาจากเรือนนอนของตนพร้อมกับฟงชินหยาง
หญิงสาวถูกชายหนุ่มผู้เป็นสามีอุ้มขึ้นจากเตียงนอนในสภาพเปล่าเปลือยร่างกายอ่อนแรงปวดระบมไปหมดทุกสัดส่วนโดยเฉพาะรอบสะโพกที่ถูกเขากดตรึงทำจังหวะหนักหน่วง
นางถูกเขาอุ้มมาวางไว้ในอ่างอาบน้ำที่มีน้ำอุ่นอยู่เต็มอ่าง ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็สั่งการบ่าวไพร่ให้ลำเลียงเสื้อผ้าสดใหม่ทั้งหลายเข้าห้องมาจนเต็มตู้เต็มชั้นไปหมด นางจำได้ว่าเป็นชุดจากร้านขายผ้าในตลาดเมื่อวาน ในขณะเดียวกันเขาก็เอาชุดเก่าของนางที่นางเก็บพับเอาไว้ในหีบใส่ผ้าให้บ่าวไพร่เอาออกไป ก่อนจะให้บ่าวไพร่เอาชุดใหม่เข้ามาพร้อมกับหยิบจับให้นางเสร็จสรรพบัญชาการนางทุกสิ่งอย่างกระทั่งม้วนมวยผมของนาง
เขายืนกอดอกมองนางอยู่ตลอดเวลา มิรู้ได้ว่าจะมองอันใดกันนักกันหนา ที่สำรวจนางไปแล้วด้วยริมฝีปากแดงๆ และฝ่ามือหนาๆ นั่นยังไม่พอหรือไร ไยเขาไม่ยอมปล่อยนาง
หลิงเวยคิดสงสัยอยู่ในใจพลางแอบชำเลืองมองบุรุษร่างหนาใหญ่ที่กำลังเดินนำหน้าอย่างไม่เข้าใจอันใด เขาเดินอาดๆ ไปข้างหน้า เดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุดอยู่หลายก้าว นางได้แต่เดินตามเขาอย่างงุนงง
ไยเขาไม่เดินดีๆ
ภรรยาตัวน้อยในอาภรณ์ชุดใหม่สีฟ้าอ่อนสวยงามสวมเสื้อคลุมเนื้อหนาสีขาวล้วนทับเอาไว้อย่างอบอุ่นปกป้องร่างระหงจากลมหนาวภายนอกเรือนชานกำลังพาเรือนร่างเล็กบางรูปร่างอ่อนช้อยของตนเองเดินนวยนาดด้วยมาดนุ่มนวลในขณะที่สามีรูปร่างสูงใหญ่เรือนกายบึกบึนคล้ายหินผาเพียงเดินย่ำเท้าก้าวหนักๆ อย่างมั่นคงและต้องหยุดลงเพื่อยืนรอภรรยามาตลอดทาง
เมื่อไหร่จะถึงเรือนกลางแล้วได้กินข้าว เขาหิวจะแย่!
ฟงชินหยางพาเรือนร่างกำยำของตนเดินนำหน้าหลิงเวยที่เดินนุ่มนิ่มเหลือเกินไปตามทางเดิน เขาเริ่มหงุดหงิดแต่ยังคงเดินอย่างใจเย็นในแบบที่ไม่เคยเป็น เขายังคงต้องออกมาทานอาหารเช้าร่วมกับทุกคนในครอบครัวเหมือนดังเช่นปกติตามกฎระเบียบของบ้าน ถึงแม้ว่าจะทำงานจนดึกดื่นหรือดื่มเหล้าจนเมามายกระทั่งตื่นสายปานใดยังคงต้องมาร่วมโต๊ะอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาไม่มีละเว้นแต่ทว่าการมีเมียแล้วทำกิจกรรมก่อนตื่นนอนมันทำให้เวลากินข้าวเช้าคลาดเคลื่อนไปมากนัก ป่านนี้ทุกคนคงหิ้วท้องรอแย่แล้วเป็นแน่ เมื่อชายหนุ่มคิดการได้อย่างนั้นจึงหันหลังขวับกลับไปหาหญิงสาวทางด้านหลังในทันที หลิงเวยถึงกับตกอกตกใจชะงักเท้านิ่งงันลำตัวแข็งเกร็งเมื่อฟงชินหยางจู่ๆ ก็หยุดเดินแล้วหันหน้ามาหานางเสี้ยวเวลาอึดใจภาพรอบกายพลันหมุนกลับเรือนร่างพลันหมุนเคว้งใบหน้านุ่มนิ่มของนางชนเข้าช่วงไหล่ของเขา หน้าอกกลมกลึงของนางชนกับแผงอกหนั่นแน่นของเขาหญิงสาวยิ่งตกใจหนักมากขึ้นเมื่อถูกจับยกช้อนร่างขึ้นแนบอกแล้วพาเดินก้าวเท้ายาวๆ ไปตามทางเดินนี่เขาอุ้มนางทำไม!?เหล่าบ่าวไพร่ที่ใบหน้าแดงก่ำอยู่แล้วยิ่งแดงก่ำเข้าไปอีกเมื่อมองเห็นคุณชายใหญ่ผู้ดุดันแส
หลังมื้ออาหารเช้าที่ได้ทานกันยามสายมากแล้วภายในศาลาริมสระบัวอันเป็นสถานที่ที่สามพี่น้องตระกูลฟงชื่นชอบยิ่งนัก พวกเขามักจะใช้เวลารวมตัวกันคุยกันตามประสาพี่น้องอยู่ตรงศาลาแห่งนี้เป็นประจำหลิงเวยนั่งอยู่ในกลุ่มสนทนาของพี่น้องตระกูลฟงและยังคงอยู่ในสายตาคมดำของชายร่างกำยำผู้เป็นสามีทุกย่างก้าว เขายังคงมองนางอย่างจับผิดอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เมื่อวานหลังจากที่นางได้บรรเลงเพลงพิณ เขาก็สั่งห้ามนางไม่ให้ห่างกายของเขาไปทางใด แต่เมื่อเขาเจอกับสตรีนางหนึ่งเขาก็เดินผละไปทิ้งให้นางเดินกลับเรือนหอเพียงคนเดียว นางจึงเข้าไปเก็บเสื้อผ้าเตรียมตัวถูกเขี่ยทิ้ง แต่ทว่าเขากลับเอาเสื้อผ้าของนางไปทิ้งแล้วให้ผ้าใหม่แก่นางทั้งหมดที่บอกว่าทั้งหมดนั่นเพราะลี่หลินเป็นคนบอกแก่นางว่า อาภรณ์ทั้งหลายจากร้านขายผ้าเมื่อวานนั้นชินหยางไม่ให้ลี่หลินสักชุดเดียว เขาเอาชุดผ้าใหม่ทั้งหมดให้นาง และเอาชุดเก่าของนางที่พับเก็บเอาไว้เตรียมตีจากออกไปทิ้งทั้งหมดมิรู้ได้ว่าประชดนางหรือไร! ไยทำอย่างนั้น?“คุณชายใหญ่ คุณชายรอง นายท่านให้มาตามไปที่ลานฝึกขอรับ” เสียงของพ่อบ้านจินดังมาจากทางด้านนอกของศาลาที่พี่น้องตระกูลฟงกำลังนั่งจ
เสียงการฟาดฟันกระทบกันของดาบหอกทวนกระบี่ดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างอย่างต่อเนื่องจากกลางลานฝึกอันกว้างใหญ่กินพื้นที่หลายลี้หลังจวนตระกูลฟงบุรุษผู้องอาจทั้งสามประจำจวนตระกูลฟงใช้เป็นที่ปะทะประลองฝีมือกันระหว่างพวกเขากับพวกองครักษ์และเหล่าทหารยามประจำจวนกระทั่งบรรดาบ่าวชาย เสียงหลากหลายมากมายเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำและยิ่งดังกระหึ่มอย่างบ้าระห่ำเมื่อครั้งนี้มีคุณชายใหญ่ฟงชินหยางได้เข้าร่วมฟาดฟันด้วยกันหลังจากที่เขาได้นำกองกำลังสามเหล่าทัพออกศึกต่อกรกับแม่ทัพใหญ่ต่างแคว้นและไล่ล่าปราบกบฏทรราชอยู่ตามชายแดนทั้งยังคอยกำราบชนเผ่าผู้รุกล้ำดินแดนเสียนานหลายปี บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่สุดในกลุ่มออกกระบวนท่าแค่เพียงท่าเดียวก็สามารถล้มเหล่าทหารที่รุมล้อมให้แตกพ่ายได้โดยง่ายทั้งๆ ที่ก่อนจะลงสนามฟาดฟัน เหล่าทหารพวกนั้นได้วางแผนวางกลยุทธ์การศึกกันอยู่เป็นนานแต่เหมือนกับว่าฟงชินหยางจะสามารถคาดการและล่วงรู้ได้ทั้งหมด ทั้งๆ ที่เขามิได้อยู่ร่วมฝึกมาถึงสามปี ร่างกายกำยำสูงใหญ่ของฟงชินหยางมิได้มีผลอันใดต่อความรวดเร็วว่องไวที่มีเหนือชั้นของเหล่าบรรดาทหารประจำจวนเลยแม้แต่น้อยด้วยเพราะความเร็วและแม่น
ยามค่ำคืนภายใต้แสงสีนวลของดวงจันทราแหวกว่ายอากาศลงมาจนสาดส่องยังภายในเรือนนอนอันใหญ่โตโอ่อ่าที่มิเคยมีเครื่องเรือนงดงามหรือเครื่องประดับประดาอันใดมากมายภายในห้องนอนของเรือนฟงหู่มีเครื่องเรือนเพียงตู้โต๊ะตั่งเตียงและฉากกั้นที่ทุกสิ่งอย่างล้วนไร้สีสันทั้งยังมืดทะมึนดำด้านไร้สิ่งอื่นใดที่งดงามจับตากระทั่งแจกันดอกไม้ยังไม่มีฟงชินหยางกำลังยืนมองที่ตรงกำแพงห้องโล่งกว้างสีทึบที่ไร้ซึ่งภาพใดๆ ก่อนหน้าที่บัดนี้กลับมีภาพวาดภาพหนึ่งที่เขาสั่งบ่าวไพร่ให้หาแผ่นไม้มาจับขึงตรึงแน่นแล้วแขวนเอาไว้เป็นอย่างดีภายในห้องนอนแห่งนี้ของเขาเขายังคงยืนจ้องมองภาพนั้นด้วยสายตาคมปลาบแต่ประกายวาบชื่นชมภาพวาดติดผนังตรงหน้าของฟงชินหยางนั้นเป็นภาพวาดของบุรุษรูปร่างกำยำในอาภรณ์สีเข้มดำ บุรุษในภาพใบหน้าดุดันดวงตาเหี้ยมเกรียมกำลังวาดเพลงดาบฟาดฟันกับเหล่าทหารอย่างโหดเหี้ยมจนทหารเหล่านั้นล้มลงระเนระนาดท่าทางน่าเกลียดจนเต็มพื้นดินภาพวาดนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพที่มองดูแล้วให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่นสั่นสะพรึงมากนัก แต่นั่นล่ะ! เขายิ่งชอบ...มิรู้ได้ว่าคนวาดใส่ความรู้สึกอันใดลงไป ไยสมจริงยิ่ง!เมื่อนึกถึงคนวาดภาพขึ้นมาชายหนุ
หลิงเวยยังคงมีกิริยาตามแบบฉบับโดยธรรมชาติของตนที่ตรงกันข้ามกับใครบางคนทุกประการ นางเอียงตัวไปเล็กน้อยเพื่อหยิบเอากล่องบางอย่างออกมาวางเอาไว้ด้านหน้าตรงโต๊ะแล้วขยับเข้าใกล้คนตัวโตตรงหน้าอีกนิดแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม“ข้าขอดูบาดแผลของท่านได้หรือไม่” นางขออนุญาตคนตรงหน้าอย่างเกรงอกเกรงใจแต่ว่านางเห็นเขาได้รับบาดแผลจากการฝึกในลานวันนี้ไม่น้อยเลยเสียงแผ่วใสแว่วหวานของหลิงเวยทำฟงชินหยางถึงกับหลุดออกจากภวังค์แห่งความนุ่มนวล เขาจึงเอ่ย “ย่อมได้” เส้นเสียงทุ้มต่ำของบุรุษปานหินผาเอ่ยออกมาพลางนั่งนิ่งๆ จ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาคมกริบซ่อนแววบางอย่างยามที่นางกำลังเอื้อมมือน้อยๆ มาถอดเสื้อให้เขาเขาย่อมใจดีให้นางในเรื่องนี้ หากนางอยากอ่านหนังสือบนตัวของเขาอีกยิ่งดีไปใหญ่ เขาจะนอนลงให้นางเดี๋ยวนี้เลยทีเดียวหลิงเวยค่อยๆ เอื้อมมือนุ่มนิ่มบรรจงปลดสายคาดเอวของคนตรงหน้าออกอย่างนุ่มนวลเพื่อเปิดสาบเสื้อออกจากร่างกำยำของเขาเพื่อให้ได้มองเห็นบาดแผลของเขาที่เกิดขึ้นในวันนี้ในขณะที่ฟงชินหยางยังคงก้มหน้ามองนางนิ่งงัน ใบหน้าหวานๆ ฝ่ามือนุ่มๆ ของนางที่กำลังขยับเนิบนาบเฉียดไปเฉียดมาอย่างนั้นทำเขาเริ่มปวดเกร็งอ
เช้าวันต่อมานับได้ว่าเป็นวันที่เจ็ดแล้วสำหรับคู่สามีภรรยาที่ได้เสียแต่งงานกันอย่างไม่คาดฝันและวันนี้ก็เป็นวันที่จะต้องพากันเดินทางกลับไปบ้านของฝ่ายภรรยาตามธรรมเนียมที่มี เมื่อคำนวณดูแล้วการเดินทางจนกระทั่งถึงจวนตระกูลหลิงย่อมเข้าวันที่สิบสองพอดิบพอดี...บนถนนทอดยาวมีบ่าวไพร่และทหารติดตามเต็มขบวน มีรถม้าที่แสนจะกว้างขวางสะดวกสบายคันหนึ่งซึ่งใช้ในการเดินทางจากเมืองหน้าด่านเข้าสู่เมืองหลวงเป้าหมายคือจวนตระกูลหลิงภายในรถม้ามีตู้มีชั้นหนังสือและลิ้นชักสำหรับเก็บข้าวของ ภายในชั้นเก็บของเต็มไปด้วยผลไม้ น้ำชา กระโถน แม้กระทั่งคั่งที่ดัดแปลงเอาไว้ใต้ท้องรถม้าแล้วปูทับด้วยฟูกผืนหนา เรียกได้ว่าครบครันมากนักหลิงเวยนั่งมาในรถม้าคันนี้ด้วยร่างกายเหนื่อยอ่อนระทดระทวยเหลือประมาณ เนื่องจากผ่านการถูกเคี่ยวกรำจากใครบางคนเกือบทั้งคืน เมื่อนางตื่นลืมตาขึ้นมาก็เจอกับเขาที่นอนตะแคงข้างมองนางอยู่ก่อนหน้าเมื่อนางมองตอบสบสายตาคมกล้าของเขาแค่เท่านั้น เขาถึงกับพลิกกายกำยำทำนางต่อในยามเช้าก่อนตื่นนอน เขาทรมานนางจนนางหมดแรงหลับใหลไปอีกครา กระทั่งว่าอาบน้ำแต่งตัวก็ยังไม่มีการวางมือมิรู้ได้ว่าเขาเคืองโกรธอันใดน
และทั้งๆ ที่เขากำลังใส่ผ้าให้นางแต่เขากลับถอดมันออกแล้วทำอย่างอื่นกับนางอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะเริ่มต้นอาบน้ำให้นางใหม่ด้วยลีลาเหนือชั้นอย่างรัญจวนแล้วใส่ผ้าให้นางอีกทีเขาทำการเอาแต่ใจกับนางอยู่หลายหนหลายทีจนเล็บมือของนางแทบหัก นางจิกเล็บบนตัวของเขาจนปวดมือไปหมด ลำคอของนางก็แห้งผากแทบเป็นผุยผง นางครางจนไม่เป็นภาษา ยามที่เขาออกกระบวนท่าแต่ละลีลา เขาทำให้นางคล้ายกับลอยอยู่ในอากาศ เราทั้งสองมิได้เอ่ยปากพูดจาสิ่งใดต่อกันเพราะริมฝีปากของสองเรานั้นประกบกันอยู่ตลอดเวลา ฝ่ามือใหญ่หนาที่ควรใส่ผ้าให้นางกลับดึงผ้าออกแล้วกลายเป็นฝ่ามือไฟบรรลัยกัลป์ มันลากไล้ส่งผ่านความร้อนไปทั่วเนื้อตัวของนาง ตั้งแต่เนินอก โคนขาและบั้นท้าย เขาใช้ฝ่ามือพิฆาตกับนางตลอดเวลาทุกสัดส่วนริมฝีปากของเขาก็คล้ายกับว่าพ่นไฟได้ ลมหายใจก็เช่นกัน เป่ารดนางด้วยความร้อนสูงคล้ายออกมาจากปล่องไฟแต่ถึงกระนั้นนางกลับรู้สึกได้ว่าอบอุ่นดีผ้าห่มผืนใดไม่ต้องทำหน้าที่ของมันอีกต่อไป เมื่อมีใครบางคนแปรสภาพเป็นผ้าห่มผืนหนาแล้วห่อหุ้มตัวนางทั้งคืนกระทั่งเช้าได้อย่างนั้นอากาศหนาวเย็นของฤดูกาลนี้มิได้หนาวเหน็บแต่อย่างใด เมื่อใครคนนั้นแปรสภาพเ
เมื่อคิดได้แล้วจึงเอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านของรถม้าออกก่อนจะเอียงหน้าน้อยๆ มองออกไปด้านนอกอย่างใคร่รู้ เพียงครู่นางจึงตัดสินใจส่งเสียงบอกสาวใช้ที่นั่งอยู่กับทหารผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งบังคับม้า“หยุดรถก่อน...”เมื่อเสียงแว่วหวานเอ่ยสั่งการ รถม้าจึงค่อยๆ หยุดเคลื่อนตัวเพียงอึดใจล้อของรถม้าจึงหยุดหมุนแล้วจอดนิ่งอยู่กับที่“ฮูหยินน้อยต้องการสิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้นามเสี่ยวชุ่ยรีบหันหน้ามายกยิ้มจนตาหยีถามอย่างสงสัย“ข้าขอชมทิวทัศน์รอบนอกตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่” หลิงเวยตัดสินเอ่ยถามด้วยถ้อยคำอ่อนหวานตามวิสัยที่ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไรโดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น แต่ถึงกระนั้นสาวใช้ตรงหน้าก็ยังทำท่ากลัวเกรงเป็นอย่างยิ่งถึงแม้ว่าภรรยาของคุณชายใหญ่จะเป็นสตรีที่งดงามอ่อนหวานถึงเพียงนี้ แต่ทว่าสตรีที่สามารถเอาคุณชายใหญ่อยู่หมัดได้ย่อมไม่ธรรมดา นี่นับว่าเป็นจอมบัญชาของยอดปีศาจเลยทีเดียวสาวใช้คิดในใจอย่างหวาดผวาอยู่ลึกๆ ด้วยสีหน้าปั้นยิ้มเก็บข่มความหวาดกลัวเอาไว้ได้มิดชิดแล้วรีบกระวีกระวาดลงจากรถม้าไปหยิบเอาตั่งรองเท้ามาวางเอาไว้ให้โดยไม่กล้าถามอันใดให้มากความหลิงเวยมองตามสาวใช้อย่างนึกฉงน นางกล
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้
ภายใต้ท้องฟ้าที่แสงตะวันเจิดจ้ากำลังสาดส่องเกิดเป็นแสงสีทองสวยอร่ามงามตากำลังมีสตรีนางหนึ่งอยู่ในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนปักลายสีขาวนวลเกล้าผมเรียบร้อยเผยใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ยามเมื่อสายลมพัดโชยพาอาภรณ์ปลิดปลิวโบกสะบัดไปตามแรงลมเกิดเป็นภาพสตรีร่างระหงงดงามจับตา นางเพียงยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้สายลมไล้อยู่ตามยอดหญ้ากระทั่งไล้มาถึงลำตัวของนางนางกำลังยืนอยู่อย่างนั้นคล้ายกับกำลังไว้อาลัยกับภาพเบื้องหน้า ภาพของผืนป่าโอบล้อมสายน้ำที่อยู่ไกลลับตาเหล่าทหารยามที่เดินไปเดินมาพากันเดินสะดุดหยุดเท้าฉับพลันเมื่อมองมาแล้วเห็นสตรีงดงามนางหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างสวยงามภายใต้ท้องฟ้าท่ามกลางต้นหญ้าท้าลมท้าแดดเกิดเป็นภาพงดงามเหนือชั้นได้อย่างนั้นหากจำไม่ผิด สตรีนางนี้คือภรรยาของท่านแม่ทัพนามว่าฟงชินหยาง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารอย่างนั้นจะมีภรรยาเป็นนางฟ้าได้อย่างนี้...อึดใจเหล่าทหารพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อจู่ๆ มีทั้งกระต่ายป่าและนกตัวใหญ่จำนวนหลายสิบตัวถูกโยนลงมาบนพื้นเสียงดังตุ้บแรงๆ ตามด้วยเส้นเสียงทุ้มใหญ่เอื้อนเอ่ยคำราม“เอาไปนับ!”“…!!!”เหล่าทหารรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของสัตว์ป่าและเสียงห้าวใหญ่น่ากลัว พวกเ