เช้าวันต่อมานับได้ว่าเป็นวันที่เจ็ดแล้วสำหรับคู่สามีภรรยาที่ได้เสียแต่งงานกันอย่างไม่คาดฝัน
และวันนี้ก็เป็นวันที่จะต้องพากันเดินทางกลับไปบ้านของฝ่ายภรรยาตามธรรมเนียมที่มี เมื่อคำนวณดูแล้วการเดินทางจนกระทั่งถึงจวนตระกูลหลิงย่อมเข้าวันที่สิบสองพอดิบพอดี...
บนถนนทอดยาวมีบ่าวไพร่และทหารติดตามเต็มขบวน มีรถม้าที่แสนจะกว้างขวางสะดวกสบายคันหนึ่งซึ่งใช้ในการเดินทางจากเมืองหน้าด่านเข้าสู่เมืองหลวงเป้าหมายคือจวนตระกูลหลิง
ภายในรถม้ามีตู้มีชั้นหนังสือและลิ้นชักสำหรับเก็บข้าวของ ภายในชั้นเก็บของเต็มไปด้วยผลไม้ น้ำชา กระโถน แม้กระทั่งคั่งที่ดัดแปลงเอาไว้ใต้ท้องรถม้าแล้วปูทับด้วยฟูกผืนหนา เรียกได้ว่าครบครันมากนัก
หลิงเวยนั่งมาในรถม้าคันนี้ด้วยร่างกายเหนื่อยอ่อนระทดระทวยเหลือประมาณ เนื่องจากผ่านการถูกเคี่ยวกรำจากใครบางคนเกือบทั้งคืน เมื่อนางตื่นลืมตาขึ้นมาก็เจอกับเขาที่นอนตะแคงข้างมองนางอยู่ก่อนหน้า
เมื่อนางมองตอบสบสายตาคมกล้าของเขาแค่เท่านั้น เขาถึงกับพลิกกายกำยำทำนางต่อในยามเช้าก่อนตื่นนอน เขาทรมานนางจนนางหมดแรงหลับใหลไปอีกครา กระทั่งว่าอาบน้ำแต่งตัวก็ยังไม่มีการวางมือ
มิรู้ได้ว่าเขาเคืองโกรธอันใดนางหนักหนาถึงได้เอาแต่ใจกับนางถึงเพียงนั้น
หญิงสาวนั่งอยู่ในรถม้าด้วยสภาพร่างกายที่แสดงออกถึงความเหนื่อยอ่อนแต่ทว่าใบหน้าขาวนวลกลับฉายแสงเปล่งปลั่งดวงตาหวานล้ำเหม่อลอยหยาดเยิ้ม นางกำลังนึกถึงเรื่องราวเมื่อยามค่ำคืนที่ผ่านมา
ยามเมื่อถูกบุรุษตัวหนาทำนาง...ทั้งคืน!
ยามนั้นนางปักผ้าให้เขาจนเสร็จแล้วขออนุญาตทำแผลตามเนื้อตัวให้เขาที่ได้มาจากการฝึกหนักที่ลานฝึกประลอง มิคาดว่านางเอ่ยสิ่งใดผิดหู เขาถึงกับอุ้มนางแล้วไปวางลงบนเตียงตามด้วยขึ้นคร่อมนางโดยไม่ทันให้นางได้ตั้งตัวเตรียมใจ
นางยังมิทันได้ปรับอารมณ์ใดๆ เขาก็กดจูบนาง สอดปลายลิ้นเข้ามาในปากนาง เขาละเลียดชิมนางอยู่เป็นนาน นางจึงได้รู้ว่าเขาต้องการจะทำสิ่งใดและในเมื่อนางยังมิทันได้เตรียมใจนางจึงปฏิเสธเขาโดยการดันปลายลิ้นของเขาให้ออกไป โดยการตวัดปลายลิ้นของนางอย่างดุดัน นางใช้ปลายลิ้นต่อสู้กับเขาอยู่เป็นนานจนลมหายใจของนางเริ่มติดขัดและลมหายใจของเขาก็คล้ายกับเปลวไฟ จนในที่สุดเขาก็ล่าถอยออกไปจากในปากนาง แต่ทว่าเขากลับเปลี่ยนวิธีการ
เขาก้มหน้าลงกดจูบนางไปทั่วทั้งใบหน้าและที่ซอกคอของนาง เขาทั้งเม้มทั้งดูดดัน มิรู้ได้ว่าเห็นลำคอของนางเป็นอะไร ไยต้องขบกัดกัน
นอกจากริมฝีปากดุดันดุร้ายแล้วยังมีฝ่ามือใหญ่หนาของเขาที่ดุร้ายไม่แพ้กัน นอกจากดุร้ายดุดันยังว่องไวเหลือเกิน เขาถอดเสื้อผ้าของนางออกเมื่อไหร่มิทราบได้ เมื่อถอดเสร็จก็ยึดหน้าอกของนางเอาไว้มั่น ตามด้วยริมฝีปากก็เลื่อนลงต่ำมาช่วยกัน เขาคงหิวน่าดู
เมื่อดูดกลืนนางจนหนำใจ เขายังครอบครองนางจนหมดทั้งลำตัว ทั้งส่วนบนและส่วนล่างจนกระทั่งนางต้องร้องร่ำคร่ำครวญปล่อยเสียงครางกระเส่าน่าอายจนนางคอแหบคอแห้งร่างกายขาดน้ำขาดอากาศหายใจ
ถึงแม้ว่าเขาจะให้น้ำนางจนเต็มท้องก็เถอะ!
เมื่อนางตื่นลืมตาขึ้นมาบนเตียงนอนกว้างขวางด้วยสภาพเปล่าเปลือยไร้สิ้นเรี่ยวแรงโดยผู้ที่ดูดกลืนนางได้หายตัวไปจากเตียงนอน และเพียงไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับช้อนร่างของนางออกจากเตียงเพื่อพานางไปอาบน้ำแต่งตัวใส่อาภรณ์สวยงามตามด้วยทำผมให้นางด้วยสีหน้าจริงจัง ไร้ซึ่งการเรียกใช้บ่าวไพร่คนใด
นางแต่งกายแบบถูกบังคับโดยสามีของนาง เขาเอาชุดเก่าของนางออกไปแล้วให้บ่าวไพร่เอาชุดใหม่เข้ามาแทนที่พร้อมกับหยิบจับให้นางเสร็จสรรพบัญชาการนางทุกสิ่งอย่างกระทั่งม้วนมวยผมของนาง
เขาควรจะหาคันฉ่องและโต๊ะเครื่องแป้งหรือสั่งบ่าวไพร่ให้มาจัดการกับนาง แต่เขากลับไม่ทำ กระทั่งให้นางจัดการตัวเองเขายังไม่ยอม เขาทำราวกับว่านางเป็นตุ๊กตาของเขากระนั้น
เขาเห็นนางเป็นตุ๊กตาอย่างแน่แท้!
นางเพียงยืนหมุนซ้ายหมุนขวาให้คนตัวใหญ่ได้กระทำการตามอำเภอใจกับเรือนร่างของนางตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งยามอาบน้ำแต่งตัว
และทั้งๆ ที่เขากำลังใส่ผ้าให้นางแต่เขากลับถอดมันออกแล้วทำอย่างอื่นกับนางอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะเริ่มต้นอาบน้ำให้นางใหม่ด้วยลีลาเหนือชั้นอย่างรัญจวนแล้วใส่ผ้าให้นางอีกทีเขาทำการเอาแต่ใจกับนางอยู่หลายหนหลายทีจนเล็บมือของนางแทบหัก นางจิกเล็บบนตัวของเขาจนปวดมือไปหมด ลำคอของนางก็แห้งผากแทบเป็นผุยผง นางครางจนไม่เป็นภาษา ยามที่เขาออกกระบวนท่าแต่ละลีลา เขาทำให้นางคล้ายกับลอยอยู่ในอากาศ เราทั้งสองมิได้เอ่ยปากพูดจาสิ่งใดต่อกันเพราะริมฝีปากของสองเรานั้นประกบกันอยู่ตลอดเวลา ฝ่ามือใหญ่หนาที่ควรใส่ผ้าให้นางกลับดึงผ้าออกแล้วกลายเป็นฝ่ามือไฟบรรลัยกัลป์ มันลากไล้ส่งผ่านความร้อนไปทั่วเนื้อตัวของนาง ตั้งแต่เนินอก โคนขาและบั้นท้าย เขาใช้ฝ่ามือพิฆาตกับนางตลอดเวลาทุกสัดส่วนริมฝีปากของเขาก็คล้ายกับว่าพ่นไฟได้ ลมหายใจก็เช่นกัน เป่ารดนางด้วยความร้อนสูงคล้ายออกมาจากปล่องไฟแต่ถึงกระนั้นนางกลับรู้สึกได้ว่าอบอุ่นดีผ้าห่มผืนใดไม่ต้องทำหน้าที่ของมันอีกต่อไป เมื่อมีใครบางคนแปรสภาพเป็นผ้าห่มผืนหนาแล้วห่อหุ้มตัวนางทั้งคืนกระทั่งเช้าได้อย่างนั้นอากาศหนาวเย็นของฤดูกาลนี้มิได้หนาวเหน็บแต่อย่างใด เมื่อใครคนนั้นแปรสภาพเ
เมื่อคิดได้แล้วจึงเอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านของรถม้าออกก่อนจะเอียงหน้าน้อยๆ มองออกไปด้านนอกอย่างใคร่รู้ เพียงครู่นางจึงตัดสินใจส่งเสียงบอกสาวใช้ที่นั่งอยู่กับทหารผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งบังคับม้า“หยุดรถก่อน...”เมื่อเสียงแว่วหวานเอ่ยสั่งการ รถม้าจึงค่อยๆ หยุดเคลื่อนตัวเพียงอึดใจล้อของรถม้าจึงหยุดหมุนแล้วจอดนิ่งอยู่กับที่“ฮูหยินน้อยต้องการสิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้นามเสี่ยวชุ่ยรีบหันหน้ามายกยิ้มจนตาหยีถามอย่างสงสัย“ข้าขอชมทิวทัศน์รอบนอกตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่” หลิงเวยตัดสินเอ่ยถามด้วยถ้อยคำอ่อนหวานตามวิสัยที่ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไรโดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น แต่ถึงกระนั้นสาวใช้ตรงหน้าก็ยังทำท่ากลัวเกรงเป็นอย่างยิ่งถึงแม้ว่าภรรยาของคุณชายใหญ่จะเป็นสตรีที่งดงามอ่อนหวานถึงเพียงนี้ แต่ทว่าสตรีที่สามารถเอาคุณชายใหญ่อยู่หมัดได้ย่อมไม่ธรรมดา นี่นับว่าเป็นจอมบัญชาของยอดปีศาจเลยทีเดียวสาวใช้คิดในใจอย่างหวาดผวาอยู่ลึกๆ ด้วยสีหน้าปั้นยิ้มเก็บข่มความหวาดกลัวเอาไว้ได้มิดชิดแล้วรีบกระวีกระวาดลงจากรถม้าไปหยิบเอาตั่งรองเท้ามาวางเอาไว้ให้โดยไม่กล้าถามอันใดให้มากความหลิงเวยมองตามสาวใช้อย่างนึกฉงน นางกล
และแล้วการเดินทางของสองสามีภรรยาก็ใกล้เข้าถึงจวนของตระกูลหลิงเต็มทีหลิงเวยนึกตื่นเต้นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หนึ่งคือนางไม่มีน้องชายที่สนิทสนมมากพอที่จะออกมาต้อนรับนางตามพิธีการ สองคือคนในบ้านมองเห็นนางไร้ค่าไร้ตัวตนตลอดมากระทั่งบ่าวรับใช้ยังมองนางไร้ความหมายไม่มีใครภักดี ย้อนกลับไปเมื่อวันแต่งงาน ยามที่นางแต่งออกจากบ้านไปนั้น บิดาได้จัดงานให้นางอย่างเร่งรัดรีบร้อนคล้ายกับกลัวว่าเจ้าบ่าวจะเปลี่ยนใจ นางจึงถูกจับโยนใส่เกี้ยวสีมงคลประหนึ่งเป็นเพียงเศษผ้ากระนั้น แล้ววันนี้จะแตกต่างอะไรกับวันนั้นหรือไม่กัน!หญิงสาวนึกกลัวเกรงขึ้นมาทั้งยังไม่อยากต้องขายหน้าให้ใครบางคนใครคนนั้นจะรู้สึกเช่นไรเมื่อที่บ้านของนางทำกับนางอย่างนี้ เขาจะรู้สึกเช่นไรเมื่อรู้ว่านางเป็นได้แค่นี้หลิงเวยนึกหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นเมื่อนึกถึงฟงชิน หยางขึ้นมาและยิ่งนึกอับอายเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของนางกับเขาในฐานะบุตรแห่งตระกูลเขาเป็นบุตรชายคนโตทั้งยิ่งใหญ่ทั้งเป็นที่รักและน่ายำเกรง แต่นางเป็นแค่บุตรต่ำต้อยด้วยค่าที่ถูกลืมอีกครั้งที่หญิงสาวยิ่งคิดยิ่งหม่นแสงในชีวิตเพียงครู่รถม้าพลันหยุดตัวลงบ่งบอกได้ว่าถึ
ฟงชินหยางเห็นประตูจวนหนาหนักถูกบ่าวชายหลายคนมาเปิดออกจนกว้างดีแล้วจึงเหยียดกายของตนลงจากหลังม้าด้วยมาดงามสง่าแต่แผ่กลิ่นอายมืดครึ้มกดดันรุนแรงตลอดเวลา สายตามองกราดนับหัวผู้คนที่ทำงานชักช้าไม่ทันใจเขาเดินไปรอรับร่างบางของนางผู้เป็นภรรยาให้ลงจากรถม้าแล้วพากันเดินเข้าประตูใหญ่ไปด้วยกันโดยไม่สนใจพิธีรีตองอันใด ไม่มีน้องชายมารอรับแล้วอย่างไร ใครสนใจกัน!ชายหนุ่มเดินนำหน้าหญิงสาวเข้าประตูจวนมาด้วยมาดเข้มข้นไม่สนใจผู้ใดเมื่อเดินมาจนถึงตัวของพ่อบ้านประจำจวนจึงเอื้อมฝ่ามือใหญ่หนาตะปบบ่าของอีกฝ่ายแล้วบีบหนักๆ ไปหนึ่งทีพลางหรี่ตาคมดำจ้องมองเป็นเชิงเตือนว่าอย่าชักช้ารีบไปบอกนายของเจ้าเสียพ่อบ้านสูงวัยที่บ่าแทบหักคาฝ่ามือเหล็กของใครบางคนลำตัวคล้ายกับหดเล็กลงยิ่งกว่าเดิม เขามีหรือจะไม่เข้าใจ เขารีบก้าวเท้าถอยห่างแล้วเดินออกจากตัวอันตรายตรงหน้าในทันทีหลิงเวยได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามแผ่นหลังของคนตัวใหญ่ไปอย่างเงียบงัน นางไม่อยากมีเรื่องกับใครทั้งนั้น นางเพียงต้องการยกน้ำชาให้แล้วๆ เสร็จๆ กันไปเพียงครู่พ่อบ้านคนเดิมก็เดินยิ้มออกมาพร้อมกับบ่าวรับใช้คนสนิทของผู้นำตระกูลหลิง ทั้งสองยกยิ้มต้อนรับสอ
เมื่อฟงชินหยางและหลิงเวยเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าทุกคนเป็นที่เรียบร้อยพิธียกน้ำชาจึงเกิดขึ้นและดำเนินไปจนเสร็จสิ้นภายใต้สีหน้าหล่อเหลายกยิ้มเจ้าเล่ห์ตลอดเวลาของหลิงอี้ถังและใบหน้ามืดครึ้มคล้ายดังเมฆทึบบดบังของฟงชินหยาง หลิงเวยได้แต่มองทั้งสองตรงหน้าที่มีฐานะเป็นพ่อตากับลูกเขยอย่างนึกหวาดๆ กลัวเขาจะสาดอารมณ์ใส่กันจนเสียฤกษ์“เวยเอ๋อร์แต่งออกไปแล้วย่อมนับว่าดี” เสียงอ่อนหวานเสแสร้งของฮูหยินใหญ่คนปัจจุบันแห่งจวนเสนาบดีเอ่ยกับหลิงเวยด้วยกิริยางดงามตามแบบฉบับสตรีสูงส่งแห่งตระกูล นางต้องการให้คู่แข่งคนสำคัญของบุตรสาวตนได้กระเด็นออกไป บุตรีของสามีผู้นี้ทั้งงดงามเกินหน้าเกินตาทั้งมีความสามารถหลากหลาย นางจึงพยายามกดมันเอาไว้ตลอดมาเพื่อมิให้มันโดดเด่นเกินหน้าเกินตาของบุตรสาวนาง แต่งออกไปปานสายฟ้าฟาดเยี่ยงนั้นทั้งยังน่าอายเยี่ยงนี้ นับว่าดียิ่ง! “ย่อมเป็นเช่นนั้น” ฟงชินหยางรีบตอบกลับฮูหยินใหญ่ทันควัน “นางแต่งให้ข้าแล้วนับว่าเป็นคนของข้าอย่างเต็มตัวหาใช่คนของที่นี่ไม่” เขาควรชัดเจนในการเกี่ยวดองที่ไม่เต็มใจนี่ เขาไม่ยินยอมให้หลิงอี้ถังขยายอำนาจตระกูลโดยใช้เขาเป็นตัวเสริมฐานอำนาจอันใดหลิงเวยได้แ
ฝ่ามือน้อยๆ ทั้งนุ่มทั้งนิ่มได้แต่อ่อนแรงลงแนบลำตัวระหงในขณะที่เจ้าของฝ่ามือได้แต่ยืนหน้าแดงเนื่องจากออกแรงมากเกินกำลังหลิงเวยได้แต่ยืนเงยหน้ามองคนตัวใหญ่ที่ดื้อรั้นหมายกระทำการอุกอาจไม่สนใจสายตาของใครๆไยเขาไม่แอบทำ!หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งเม้มริมฝีปากแน่นจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าเงียบงันคล้ายแง่งอนฟงชินหยางเพียงยืนนิ่งไม่ไหวติงเช่นเดียวกัน เขาปรายสายตาคมดำมองหลิงเวยด้วยใบหน้ามืดครึ้มไร้ซึ่งการง้องอนใดๆสองสามีภรรยาได้แต่ยืนจ้องหน้ากันและกันนิ่งงันไม่มีใครยอมใครท่ามกลางสายตาหลากหลายของผู้คนในจวนตระกูล หลิงได้แต่ยืนมองคนทั้งคู่แล้วคิดกันไปต่างๆ นานาและหลายสายตาเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่าฝ่ายสตรีตัวน้อยนี้ช่างน่าสมเพชที่มีสามีตัวใหญ่น่ากลัวทั้งยังเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ หากสามีสะบัดฝ่ามือแค่เพียงเล็กน้อยภรรยาคงกระเด็นไปไกลน่าขันยิ่ง!เพียงครู่เสียงแว่วหวานของหลิงเวยพลันเอ่ย “เรากลับกันเถิด ข้าจะไปแจ้งท่านพ่อว่าไม่ต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับอันใด”นางเข้าใจสายตาหลากหลายนั่นดีนางไม่อยากอยู่ที่นี่นานเสียแล้ว“ข้ายังไม่อยากกลับ ข้าต้องการให้พ่อเจ้าจัดงานเลี้ยงต้อนรับ เอาให้จำไปจนตาย” เส้นเสียงทุ้มต
ฟงชินหยางยังคงนอนเหยียดตัวบนเตียงนอนยามเอ่ยสั่งการอย่างเอาแต่ใจ “เจ้าแค่ไปเรียกบ่าวไพร่ของเจ้ามาทำความสะอาดก็พอ”หลิงเวยจึงเงียบไป นางจะเรียกใช้งานใครได้ ในเมื่อยามก่อนเป็นถึงคุณหนูของจวนยังเอ่ยสั่งการยากเย็น ยามนี้แต่งออกไปแล้วนับเป็นคนนอกจะเอ่ยสั่งใครได้กัน อีกครั้งที่หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจอยู่ในอกพลางก้มหน้าลงต่ำแล้วเดินคอตกออกนอกห้องไปหลิงเวยเดินออกมาด้านหน้าของเรือนเห็นทหารติดตามของฟงชินหยางยืนกระจายตัวด้วยสีหน้าถมึงทึงท่าทางน่ากลัวอยู่เต็มหน้าเรือนและสาวใช้หนึ่งนางที่เดินทางมาด้วยกันจากจวนตระกูลฟง เหล่าทหารพวกนี้นางเห็นได้ชัดว่ามิใช่เพียงเหล่าทหารชั้นประทวนธรรมดา วันก่อนจะเดินทางมานั้นเหล่าทหารชั้นผู้น้อยหลายรายต่างทำความเคารพพวกเขาอย่างพินอบพิเทาก่อนออกเดินทาง อีกทั้งเครื่องแต่งกายของพวกเขายังบ่งบอกตำแหน่งแตกต่างจากทหารชั้นผู้น้อยที่นางเคยเจอ เช่นนั้นแล้วกลุ่มคนพวกนี้จึงนับได้ว่าเป็นแขกของนาง นางจึงเอ่ย “พวกเจ้าพักผ่อนตามสบายนะ ข้าจะไปสั่งโรงครัวทำอาหารมาให้”“ขอรับ/เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อย” ทุกคนประสานเสียงตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียงแสดงความเคารพยำเกรงไม่สร่างซาหลิงเวยเห็นอย่างน
ภายในเรือนหลังเล็กท้ายจวนหลิงเวยกลับเข้ามาในเรือนทันทีก่อนจะรีบค้นหากระดาษออกมาจากชั้นของตู้ที่อยู่ในห้องนอนแล้วลงมือร่ายกลอนอย่างรวดเร็ว หญิงสาวใช้เวลาแค่เพียงไม่นานไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำสำหรับการเขียนกลอน ซึ่งหากเป็นคนอื่นคงใช้เวลาถึงครึ่งวันทันใดนั้นแผ่นกระดาษที่มีคำกลอนร่ายยาวพลันถูกกระชากออกจากโต๊ะตรงหน้าของหลิงเวยทำให้น้ำหมึกเปื้อนกระดาษทับตัวอักษรจนเป็นทางสีดำลากยาวเสียหายทั้งหมด“ท่าน!” นางร้องออกมาแค่นั้นเมื่อมองเห็นว่าเป็นใครฟงชินหยางคลี่กระดาษที่ดึงกระชากมาจากโต๊ะตรงหน้าของหลิงเวยเมื่อครู่ออกดูอยู่อึดใจแล้วฉีกมันออกเสียงดังแคว่กแล้วโปรยทิ้งไปอย่างไม่ใยดีแผ่นกระดาษเปื้อนน้ำหมึกจึงกระจัดกระจายปลิวว่อนอยู่กลางอากาศจนเต็มพื้นที่โดยมีบุรุษร่างหนายืนมองด้วยสายตามืดดำหลิงเวยถึงกับตาโตตกใจ “ท่านฉีกทำไม”“เหตุใดเจ้าต้องยอม” ชายหนุ่มถามเสียงเย็นสีหน้าไม่พอใจชัดเจน เขาแอบเดินตามนางไปได้เห็นทั้งหมด ทั้งพี่น้องทั้งแม่เลี้ยง หลิงเวยยืนอยู่ตรงนั้น นางยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางอสรพิษน่ารังเกียจพวกนั้น พวกมันน่าเชือดคอยิ่ง!ฟงชินหยางเอ่ยเสียงกดต่ำสีหน้าเย็นชา “เจ้าไม่ควรทำตัวเยี่ยงนี้”
กับบุตรชายทั้งสองเขาเองก็แทบจะไม่ผูกพันเนื่องจากเขาต้องเดินทางเคลื่อนพลไปในขณะที่บุตรชายคนโตอายุเพียงสี่เดือนและบุตรชายคนเล็กยังอยู่ในครรภ์ของนางนี่มิใช่ว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเราช่างเปราะบางหรอกหรือก่อนเจอกันและแต่งงานกันยังไม่เคยทำความรู้จักสร้างความผูกพันกันด้วยซ้ำ จนเมื่อตั้งครรภ์ก็ยังใช้เวลาแค่เพียงไม่นานอยู่ร่วมเรือนชาน ทั้งยังต้องอยู่ห่างไกลกันนานถึงห้าปีสายสัมพันธ์บางเบามิจืดจางลงแล้วหรือไร…มิใช่ว่าเขามีสตรีข้างกายที่สานสัมพันธ์กันอย่างยาวนานอยู่เคียงข้างหรอกหรือนั่น!กับตัวของฟงชินหยางอาจจะหนักแน่นไม่สนใจใคร หากแต่มีสตรีมากมายที่สนใจเขาการศึกอันดุเดือดยาวนานหากเขาได้รับบาดเจ็บแล้วคนที่ทำแผลให้เขาเป็นสตรีนางหนึ่งที่ปักใจกับเขาและถ้าหากว่ามีสตรีงดงามคิดวางยาเขาจนเขาจักต้องรับผิดชอบและสร้างสายสัมพันธ์เส้นใหม่กับเขาอยู่ทางนั้นเล่า อา...หลิงเวยยิ่งคิดยิ่งดำดิ่งลึกล้ำเกิดหลุมทมิฬขนาดใหญ่ภายในจิตใจยากเกินบรรยายจู่ๆ หญิงสาวพลันนึกถึงพระชายาฮุ่ยจินขึ้นมา พระชายาฮุ่ยจินนั้นเป็นสตรีผู้ครองวังหลังทั้งยังครองใจของอ๋องเฉินเพียงหนึ่งเดียว หากแต่อ๋องเฉินมีนิสัยเจ้าชู้เจ้าสำราญปานใด
ครานี้ไม่เหมือนคราแรก ฮูหยินท่านนี้มีบุตรแล้วและสามีเดินทางไกลนานหลายเดือนเสียงของฮูหยินอีกท่านหนึ่งพลันเอ่ยต่อไม่ยินยอมให้เกิดความเงียบนาน “ส่วนข้านะ สามีเป็นทหารไปประจำการยังชายแดนนานร่วมปี”และแล้วเสียงอื้ออึงของเหล่าฮูหยินพลันดังขึ้นมาอีกครั้งทว่าครานี้มีเสียงของหลิงเวยรวมอยู่ด้วย นางร้องครางเลยทีเดียวการเจอะเจอกันของเหล่าฮูหยินทั้งหลายเป็นการปลดเปลื้องความอัดอั้นตันใจอย่างแท้จริง สตรีหัวอกเดียวกันทั้งนั้นฮูหยินผู้เป็นภรรยาของนายทหารเริ่มเอ่ยต่อ “สามีของข้านั้นเขาเป็นทหารประจำชายแดนที่ห่างเหินอิสตรีนานเป็นปีๆ เมื่อกลับบ้านมาก็มักจะรักข้าหนักหนาไม่หลับไม่นอน แต่ทว่าครั้งนี้ช่างแตกต่าง เขาไปประจำการยังชายแดนห่างไกลนานสามปี ข้าจึงให้ญาติของข้าทางนั้นแอบสืบข่าวของเขา และแล้วข้าจึงได้รับรู้ว่าเขาอดใจไม่ได้จนต้องไปเที่ยวหอนางโลม” ฮูหยินท่านหนึ่งพลันเอ่ยแทรก “นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆ นะเจ้าคะ ฮูหยินหาน...”ฮูหยินหานเจ้าของเรื่องราวรอบนี้ส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยต่อทันที “มันเป็นเรื่องธรรมดาของบุรุษ สามีของข้าก็เช่นเดียวกัน หากแต่กับสตรีในหอโคมเขียวนางนั้นกลับไม่ธรรมดา”“อา...นึ
ฮูหยินท่านนั้นรีบตอบความ “ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด แต่ประเด็นเริ่มเปลี่ยนไป มันมิใช่ประเด็นการสร้างทายาทอีกแล้ว”“อย่างไรหรือ?” ฮูหยินอีกท่านรีบต่อความ “สามีของข้าร่วมรักกับภรรยาใหม่ของเขานางนั้นในทุกๆ คืน พวกเขาร่วมรักกันทั้งยังร้องร่ำคร่ำครวญอย่างรัญจวนจนข้านอนไม่หลับเลยสักคืนเยี่ยงนั้นอยู่เป็นนานหลายเดือนก็ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด สตรีนางนั้นยังคงไม่ตั้งครรภ์เสียที แม่สามีจึงหาสตรีงดงามให้แต่งเข้าบ้านมาอีกนางหนึ่ง ครานี้เสียงครวญครางและเสียงเตียงยังคงดังโครมครามจนรุ่งสางในทุกค่ำคืน แต่สตรีนางนั้นก็ยังไม่ตั้งครรภ์ จนกระทั่งแต่งภรรยาใหม่เข้ามาอีกนาง เสียงครวญครางยังคงดังระงมในทุกค่ำคืนหากแต่ข่าวดีก็ยังไม่มีเฉกเช่นดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือจิตใจของสามีที่บอกว่ารักข้าเพียงหนึ่งเดียว เขาเริ่มเปลี่ยนไป... ในยามนี้เขาไม่ใคร่ใส่ใจกับการมีบุตรเสียแล้ว เขาช่างรื่นเริงบันเทิงอย่างที่สุดในทุกค่ำคืน” “อา...” เสียงคราฮือฮาพลันดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงเห็นได้ชัดว่าจิตใจของบุรุษช่างไม่แน่นอนเมื่อเจอสตรีงดงามและได้ร่วมรักหลากหลายหลิงเวยได้แต่เงียบฟังด้วยใจตั้งมั่นเม้มปากแน่นแน่นอนว่าฟงชิ
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน