ภายในเรือนหลังเล็กท้ายจวน
หลิงเวยกลับเข้ามาในเรือนทันทีก่อนจะรีบค้นหากระดาษออกมาจากชั้นของตู้ที่อยู่ในห้องนอนแล้วลงมือร่ายกลอนอย่างรวดเร็ว หญิงสาวใช้เวลาแค่เพียงไม่นานไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำสำหรับการเขียนกลอน ซึ่งหากเป็นคนอื่นคงใช้เวลาถึงครึ่งวัน
ทันใดนั้นแผ่นกระดาษที่มีคำกลอนร่ายยาวพลันถูกกระชากออกจากโต๊ะตรงหน้าของหลิงเวยทำให้น้ำหมึกเปื้อนกระดาษทับตัวอักษรจนเป็นทางสีดำลากยาวเสียหายทั้งหมด
“ท่าน!” นางร้องออกมาแค่นั้นเมื่อมองเห็นว่าเป็นใคร
ฟงชินหยางคลี่กระดาษที่ดึงกระชากมาจากโต๊ะตรงหน้าของหลิงเวยเมื่อครู่ออกดูอยู่อึดใจแล้วฉีกมันออกเสียงดังแคว่กแล้วโปรยทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
แผ่นกระดาษเปื้อนน้ำหมึกจึงกระจัดกระจายปลิวว่อนอยู่กลางอากาศจนเต็มพื้นที่โดยมีบุรุษร่างหนายืนมองด้วยสายตามืดดำ
หลิงเวยถึงกับตาโตตกใจ “ท่านฉีกทำไม”
“เหตุใดเจ้าต้องยอม” ชายหนุ่มถามเสียงเย็นสีหน้าไม่พอใจชัดเจน เขาแอบเดินตามนางไปได้เห็นทั้งหมด ทั้งพี่น้องทั้งแม่เลี้ยง หลิงเวยยืนอยู่ตรงนั้น นางยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางอสรพิษน่ารังเกียจพวกนั้น
พวกมันน่าเชือดคอยิ่ง!
ฟงชินหยางเอ่ยเสียงกดต่ำสีหน้าเย็นชา “เจ้าไม่ควรทำตัวเยี่ยงนี้”
หญิงสาวได้ยินพลันชะงักนิ่ง
“ไยทำตัวไร้ค่า!”
ประโยคถัดมาของฟงชินหยางทำหลิงเวยยิ่งอึ้ง
หญิงสาวทำได้แค่เพียงก้มศีรษะหลบสายตาคมของคนตรงหน้าอย่างนึกอับอาย นางเป็นแบบนั้นจริงๆ
นางเกิดและโตมาโดยไร้ใครสนใจใยดีมาโดยตลอดกระทั่งมารดายังสนใจแค่บิดา นางได้แต่ยืนมองอย่างเดียวดายตั้งแต่จำความได้
เมื่อมารดาตายไปทุกอย่างยิ่งเลวร้าย นางยิ่งไร้ตัวตนเป็นคนไร้ค่า แม้นมีผู้คนอยู่รอบเรือนกาย แต่เหมือนมองไม่เห็นใคร นางอยู่มาแบบนั้น นางอยู่กับกระดาษพู่กันและพิณแค่เท่านั้น
หลิงเวยได้แต่ก้มหน้าน้ำตาเอ่อคลออยู่เต็มสองดวงตาคู่หวาน ใบหน้างามแดงก่ำ ริมฝีปากอิ่มนุ่มขบเม้มกันแน่น
นางไร้ซึ่งคำใดเอ่ยแก้ตัวให้คนตรงหน้าได้รู้สึกดี
นางเป็นแบบนี้ เขาจะนึกรังเกียจนางหรือไม่!?
ฟงชินหยางยิ่งขัดเคืองเมื่อมองเห็นอย่างนั้น นางเป็นสตรีเช่นไรกัน นางโตมาได้อย่างไร? นางทนได้อย่างไร?
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทน เจ้าเป็นเมียของข้ายิ่งไม่สมควรก้มหัวให้ใคร” ชายหนุ่มเอ่ยคำรามสีหน้าเย็นชาแววตามืดดำเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เขาเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูล อยู่เหนือผู้คนมาโดยตลอด ทั้งยังเป็นถึงแม่ทัพกุมกองทหารหลายหมื่นกำลังพล ยิ่งไม่เคยสนหัวใคร!
หลิงเวยได้ฟังคำสามียิ่งก้มหน้าลงต่ำน้ำตาไหลรินลากยาวเป็นสาย
นางมิได้อยากทน แต่จักทำได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นเยี่ยงนี้มาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่จำความได้ด้วยซ้ำ
หากนางทำได้นางคงไม่ต้องเป็นอย่างนี้ ที่นางกล้ามากหน่อยก็แค่เดินออกทางประตูข้างของจวนไปโดยไร้คนสนใจ
ไปยังที่ไกลๆ หมดทางไปก็เดินกลับมา
นางทำได้แค่นั้น
แค่นั้นจริงๆ
ในขณะที่หลิงเวยทำได้แค่ก้มหน้าก้มตายอมจำนนไร้ข้อโต้แย้งอันใดเสียงโครมครามพลันดัง
หญิงสาวสะดุ้งตกใจฉับพลันรีบเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงดังนั่น
นางเห็นโต๊ะและเก้าอี้ที่นางนั่งเขียนกลอนเมื่อครู่พังพินาศขาหักล้มแหลกเหลวผิดรูปทรงอยู่ใต้ฝ่าเท้าหนาใหญ่ของฟงชินหยาง
หลิงเวยเงยหน้ามองคนตัวใหญ่อย่างตกใจเป็นอย่างยิ่ง นี่เขากำลังโกรธนางจริงๆ ใช่หรือไม่!?
ชายหนุ่มร่างกำยำทั้งยังบ้าพลังไม่คิดจะหยุดอยู่แค่โต๊ะตัวเล็กใต้ฝ่าเท้า เขาพลิกกายเดินอาดๆ ไปยังตู้ในห้องและโต๊ะตัวอื่นเก้าอี้ตัวอื่นจัดการพังครืนทุกสิ่งอย่างแบบบ้าระห่ำ ไม่ว่าจะเป็นแจกันใบเท่าคน ฉากกั้นแผ่นหนา ฝาผนังตรงหน้า กระทั่งต้นเสาใหญ่กลางเรือน เขาหักมันกับมือ
เสียงดังโครมครามทำลายข้าวของเครื่องเรือนดังครืนๆ ทำเอาสาวใช้ของจวนตระกูลหลิงสามนางที่กำลังทำความสะอาดในเรือนชานต่างพากันตกใจวิ่งเข้ามาดูกันอย่างสามัคคี พวกนางมองเห็นสามีตัวโตของคุณหนูหลิงเวยกำลังกราดเกรี้ยวอาละวาดโดยที่คุณหนูเพียงยืนมองตามด้วยเนื้อตัวสั่นเทาใบหน้าแดงก่ำน้ำตาไหลรินอา...ภาพนี้ต้องบอกต่อแทนที่จะตระหนกตกใจ สาวใช้ทั้งสามนางกลับคิดไปอีกทาง และไม่คิดจะเข้าไปห้ามปรามหรือช่วยเหลือหลิงเวยแต่อย่างใด ทั้งยังทิ้งงานในมือวิ่งออกไปนอกเรือนเพื่อหมายจะคาบข่าวไปนินทาอย่างสนุกปากตามวิสัยการนินทาเจ้านายเป็นงานหลักยิ่งกว่างานใดๆฟงชินหยางยืนตระหง่านอยู่เหนือซากปรักหักพังของตู้โต๊ะตั่งเครื่องเรือนทั้งหลายทั้งเล็กทั้งใหญ่โดยไม่มีอาการเหนื่อยหอบใดๆ เลยสักนิด เขาสามารถพังเรือนทั้งหลังยังได้ชายหนุ่มปรายสายตาคมดุมองปราดไปที่ร่างบางของหญิงสาวอรชนที่ยืนนิ่งกะพริบตามองเขาผ่านม่านน้ำตาสีใสในครานี้น้ำตาของนางทำให้เขายิ่งคันตามเนื้อตัวโดยเฉพาะที่ฝ่ามือเขากำลังคันมืออยากฆ่าคน!“เจ้าไม่ควรอ่อนแอให้ใครเหยียบย่ำ” เขาเอ่ยเสียงกดต่ำครางคำราม “เจ้าควรเข้มแข็ง”หลิงเวยเงยหน้าขึ้นสู้สายตาคมดำอย่างไม่มีห
แต่ยังไม่ทันที่ทั้งหมดจะเอ่ยต่อประโยคคำใด สาวใช้นางหนึ่งก็วิ่งเข้ามาแล้วชิงเอ่ยก่อน “เรียนนายท่าน ฮูหยินใหญ่หกล้มข้อมือหักเส้นเอ็นฉีกขาดทั้งสองข้างเลยเจ้าค่ะ”“...!?”อึดใจสาวใช้หน้ากลมพลันวิ่งถลามาอีกคน “เรียนนายท่าน คุณหนูมี่อิงกับคุณหนูมี่เอินตกสระน้ำสลบใสลไม่ได้สติเลยเจ้าค่ะ”“...!?”และสาวใช้อีกคนหนึ่งก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาแล้วรีบเอ่ยกลัวใครแย่ง “เรียนนายท่านฮูหยินเจียวซิงตกบันใดศีรษะกระแทกพื้นบาดเจ็บสาหัสเจ้าค่ะ ท่านหมอประจำจวนอยู่ตรงนั้นพอดีจึงตรวจดูพบว่าความจำอาจจะเลอะเลือนเจ้าค่ะ”เสียงของสาวใช้ทั้งสามทำหลิงอี้ถังถึงกับอ้าปากค้างทุกคนในเรือนได้แต่ยืนฟังความอย่างตื่นตะลึงหลิงเวยถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมามองแผ่นหลังกว้างใหญ่ของใครบางคนฟงชินหยางยืนตระหง่านฟังความอยู่เช่นกัน เขาเพียงกระตุกยิ้มหยันบางเบาไร้ใครสังเกต นี่ยังนับว่าน้อยไป มันแค่น้ำจิ้ม!ประมุขแห่งจวนรีบดึงสติกลับมาหลังจากมีอาการตกตะลึงกับข่าวอุบัติเหตุเกินคาดก่อนกระแอมไอในลำคอแล้วเอ่ยไปทางบุตรชายทั้งสามข้างกาย “พวกเจ้าไปจัดการแทนพ่อ”บุตรชายทั้งสามมีสีหน้าไม่เต็มใจชัดเจน พวกเขายังต้องการอยู่คุยกับท่านแม่ทัพฟงผู้เกรียง
ฝ่ามือน้อยๆ ของร่างระหงนุ่มนิ่มยังคงสั่นระริกอยู่ตรงแผ่นหลังกว้างใหญ่ของฟงชินหยางทำเขาต้องยืนนิ่งงันให้เวลากระต่ายน้อยของเขาอยู่ครู่ใหญ่หลิงอี้ถังที่หมดความอดทนยังคงส่งเสียงไม่ยินยอม“เจ้าเป็นบุตรสาวของพ่อไยปล่อยให้สามีของเจ้ากล่าววาจาสามหาวกับพ่อเยี่ยงนี้ เจ้าช่างอกตัญญู” เขากล่าวอ้างสิทธิ์ของบิดาจากบุตรีที่มิเคยใคร่ใส่ใจนางมาเนิ่นนานปีหลิงเวยได้ยินยิ่งสะดุ้ง หลิงอี้ถังที่เป็นถึงเสนาบดีกรมคลังไหนเลยคิดจะยินยอมให้ใครมาถอนหงอกได้โดยง่าย เขาจึงคำรามเสียงดังฟังชัดไปทางบุตรเขย“นางเป็นบุตรสาวของข้า ไม่ว่าเมื่อไหร่ ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ข้าก็ยังคงเป็นบิดาของนางอย่างเต็มตัวสามารถเรียกสิทธิ์พึงกระทำได้ทุกสิ่งอย่าง”ฟงชินหยางถามกลับไป หาได้หวั่นเกรงผู้เป็นพ่อตาไม่ “เช่นนั้นแล้วบุตรสาวของท่านผู้นี้สามารถเรียกร้องสิทธิ์ใดจากบิดาเยี่ยงท่านได้บ้าง”หลิงอี้ถังนิ่งงัน นึกขัดเคืองขึ้นเรื่อยๆชายหนุ่มยังคงเอ่ยถ่วงเวลาให้หญิงสาวทางด้านหลัง “ท่านใช้นางเป็นเครื่องมือหมายผูกมัดข้า บอกข้ามาว่าสิทธิ์ของบิดามีข้อนี้หรือไม่”หลิงอี้ถังได้ยินพลันผงะ “ข้าเป็นพ่อข้าย่อมมีสิทธิ์ทุกอย่าง” เขาคำรามเสียงดัง “นา
บิดาทำได้เพียงยืนถลึงตามองธิดาพร้อมยกนิ้วมือชี้หน้านางอย่างเอาเรื่องจนนิ้วนั้นสั่นระริก แต่ทว่าไม่สามารถเอ่ยคำอันใด หลิงอี้ถังไม่สามารถเถียงคำใดออกมาได้หลิงเวยก้มหน้าหลุบตายอมแพ้กับบิดาเช่นนี้ นางไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานอีกต่อไป นางกัดปากล่างหน้าแดงก่ำทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าเสียงดังก่อนจะโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรงกระทั่งรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเกินคาดการ นางลุกขึ้นยืนตัวตรงโดยไม่มีอ่อนเอนพลางปรายสายตาเย็นเยียบแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกมองส่งตรงยังผู้เป็นบิดานิ่งนานสายตาของนางช่างเย็นชาแผ่กลิ่นอายไม่ธรรมดาในแบบที่ไม่เคยเป็น นางยืนจ้องหน้าของหลิงอี้ถังอยู่อย่างนั้นคล้ายกับไม่รู้จักกันอีกต่อ “นี่จะเป็นคารวะครั้งสุดท้ายจากข้า ท่านพ่อ” นางเอ่ยเสียงเย็นพาคนฟังใจยะเยือก จบคำนางเพียงหมุนกายอย่างเชื่องช้าแล้วเดินออกจากเรือนไปอย่างมั่นคงโดยไม่หันหน้ามามองใครอีกเลยท่าทางยามพยศของหลิงเวยทำหลิงอี้ถังและฟงชินหยางคาดไม่ถึง ทำเอาบุรุษทั้งสองในห้องโถงถึงกับขนลุกเกรียวเสียวสันหลังวาบเมื่อร่างระหงงดงามจากไปอย่างแง่งอนคงเหลือไว้เพียงสองบุรุษต่างวัยยืนจ้องหน้ากันนิ่งงัน“จะอย่างไรเสีย นางก็เป็นของท่านแล้ว
เรือนหลังเล็กท้ายจวนที่เคยเป็นเรือนนอนของใครบางคนพังครืนลงมาทั้งหลังเนื่องจากมันไม่จำเป็นจักต้องมีอีกต่อไป เพราะว่าเจ้าของเรือนจะไม่มีวันได้กลับมาอาศัยมันอีก ถัดมาเป็นเรือนโตหลังงามของฮูหยินใหญ่พลันเกิดไฟไหม้โดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน ทั้งยังโหมกระพือลุกไหม้อย่างรวดเร็วอยู่ภายในเรือนนอนนั้น ทำเอาผู้คนเริ่มปลุกปั่นอย่างน่าสงสาร และถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงเปลวเพลิงขนาดย่อมคล้ายกับเกิดขึ้นจากเทียนไม่กี่เล่มที่ล้มใส่กระดาษใกล้ผ้าม่าน แต่แค่นั้นก็ทำให้มีสตรีงดงามในอาภรณ์สีสดข้อมือพันผ้าเข้าเฝือกทั้งสองข้างได้วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงผมเผ้ารุงรังน่าเกลียดน่ากลัวออกมาจากในเรือนนอนได้อย่างน่าสมเพชตามด้วยบ่าวไพร่ทั้งหลายที่ก่อนหน้ามองหลิงเวยด้วยรอยยิ้มขบขัน ในยามนี้รอยยิ้มนั้นกำลังเปลี่ยนไปเป็นกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งก็ไม่มีใครช่วยเหลือใคร ทุกคนต่างวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง ไร้การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เห็นได้ชัดว่าจวนแห่งนี้มีแต่คนเห็นแก่ตัว ถัดจากเรือนของฮูหยินใหญ่เป็นเรือนของบุตรสาวของนางทั้งสองที่ก่อนหน้านี้ด่าทอหลิงเวย พวกนางตกน้ำหมดสติไปก่อนหน้า หากแต่บัดนี้สตรีสองนางนั้
หลิงเวยเดินมาเรื่อยๆ ด้วยความเคยชินจนกระทั่งเดินมาจนถึงประตูจวนแต่ทว่ากลับเป็นประตูด้านข้างหาใช่ประตูใหญ่ไม่ หากแต่นางก็เลือกที่จะเดินออกไปด้วยความเคยชินเช่นเดียวกันระหว่างทางเดินจากจวนตระกูลหลิงนั้นเป็นทางเดินติดกันระหว่างจวนและตลาดภายในเมือง มีบ้านเรือนมีร้านค้าและโรงเตี๊ยมมากมายตั้งตระหง่านอยู่สองฝั่งข้างทางหลิงเวยเดินไปด้วยอาการเหม่อลอยคล้ายสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสตรีในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีเดียวกันช่วยขับเน้นใบหน้าเรียวเล็กให้ดูสวยหวานจิ้มลิ้มน่ารักแต่ทว่าหากมองดีๆ กลับได้เห็นแววตาที่แสนจะเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก นางดูอ่อนโยนทั้งยังอ่อนแอไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อกรกับสิ่งใดๆ กระทั่งสายลมแสงแดดยังคล้ายกับใบมีดคมกริบสามารถบาดกรีดผิวนางให้ล้มลงได้โดยง่าย เรือนร่างระหงงดงามซ่อนส่วนเว้าส่วนโค้งเอาไว้ภายใต้เสื้อผ้าเนื้อหนาได้มิดชิดแต่กลับเผยความงามหวานล้ำออกมาฉายชัดทำเอาบุรุษที่เดินตามอยู่เงียบๆ เริ่มไม่อยากเดินตามเงียบๆ อีกต่อไปเมื่อมองเห็นสายตาของใครๆ เอาแต่มองตามนางโดยเฉพาะสายตาของบุรุษระหว่างทางเดินของตลาดนั้นสายตาหลายคู่ของชาวบ้านเริ่มมองตามร่างระหงของคนตัวเล็กน่
นางซุกซบใบหน้าแนบจมูกเย็นเฉียบผิวแก้มแห้งตึงกับลำคอกรุ่นร้อนของเขา เนื้อตัวของนางสั่นเบาๆ และยิ่งสั่นเทาเมื่อน้ำตาไหลออกมา นางร้องไห้อีกแล้ว...ฟงชินหยางบ่นอุบในใจ ครานี้มิใช่เพียงอาการคันตามเนื้อตัว แต่เป็นในอกที่เริ่มกระตุกสั่นไหว เขาไม่ชอบให้นางร้องไห้ เขาชอบเวลานางยิ้ม“ข้าขอโทษ” เสียงสั่นเครือเริ่มเอ่ยคำออกมาเบาๆ“ขอโทษอันใด” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยคำรามยามก้าวเท้าหนักๆ อุ้มร่างบางไม่ยอมปล่อย“ข้าทำได้แค่นี้ ข้าเป็นได้แค่นี้ ข้าเป็นสตรีน่าสมเพชน่ารังเกียจ ข้าไม่คู่ควรกับท่าน ข้าทำให้ท่านผิดหวังแล้ว”เสียงของหลิงเวยขึ้นจมูกบ่นอู้อี้ยาวเหยียดอยู่ตรงลำคอแกร่งของฟงชินหยางชายหนุ่มเปล่งเสียงกดต่ำได้ยินแค่เพียงนาง “แน่นอนเจ้าน่ารังเกียจ เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง เจ้าทำให้ข้าเป็นเครื่องมือของเจ้าตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน ไม่เคยมีใครมีความสามารถเช่นเจ้า สตรีร้ายกาจ…”ประโยคเชือดเฉือนเหนือชั้นของฟงชินหยางทำหลิงเวย ถึงกับสะอึกก้อนลึกลับกลางลำคอ นางจึงลืมตาขึ้นเม้มริมฝีปากแน่นหญิงสาวมองเห็นเพียงปลายคางคมสันของเขา นางจึงผงกศีรษะขึ้นเพื่อมองให้เห็นใบหน้าของเขาแบบเต็มตา นางเห็นเพียงแค่ใบหน้าเย็นชาสายตาค
อารมณ์ของหลิงเวยเริ่มกลับมาเป็นปกติหลังจากที่ได้ปล่อยน้ำตาออกมาจนเปียกอาภรณ์ของใครบางคนเมื่อฟงชินหยางอุ้มนางมาจนถึงรถม้าและวางนางลงบนรถม้า นางจึงจับคอเสื้อของเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยนั่นจึงทำให้ฟงชินหยางต้องพาเรือนร่างสูงใหญ่ตามมือเรียวน้อยๆ เข้ามาภายในรถม้าเสียด้วยกันมิรู้ได้ว่าเรี่ยวแรงหายไปทางใดนางยังมิได้ออกแรงดึงเขาด้วยซ้ำ!เมื่อทั้งสองเข้ามาภายในรถม้าและปิดผ้าม่านลงสนิทเรียบร้อยดีแล้ว เพียงครู่รถม้าจึงเริ่มออกตัว เห็นได้ชัดว่าเหล่าลูกน้องของฟงชินหยางรู้หน้าที่มากมายปานใดภายในรถม้าคันนี้ได้ดัดแปลงส่วนตั่งให้กลายเป็นคั่งโดยการทำพื้นไม้ของรถม้าให้เป็นสองชั้นเพื่อให้ชั้นล่างเป็นที่วางกระทะใส่ถ่านร้อนๆ ส่วนพื้นชั้นบนที่สูงจากชั้นล่างเพียงเล็กน้อยเจาะรูเล็กๆ หลายรูเอาไว้ให้พอดีกับความร้อนที่ถูกส่งขึ้นมาจากกระทะที่ใส่ถ่านอมไฟแต่ยังคงทิ้งระยะช่องไฟให้ห่างเอาไว้แล้วนำฟูกผืนหนาปูทับจนเต็มพื้นรถม้า ความอบอุ่นภายในรถม้าจึงมีมากนักเมื่อเทียบกับภายนอกตัวรถ เมื่อฟงชินหยางนั่งลงดีแล้วหลิงเวยจึงเอ่ย “เสื้อของท่านเปียกหมดแล้ว”ชายหนุ่มได้ยินจึงหรี่ตามองนาง “นี่น้ำตาหรือน้ำตก”“...”หญิงส
ฮูหยินท่านนั้นรีบตอบความ “ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด แต่ประเด็นเริ่มเปลี่ยนไป มันมิใช่ประเด็นการสร้างทายาทอีกแล้ว”“อย่างไรหรือ?” ฮูหยินอีกท่านรีบต่อความ “สามีของข้าร่วมรักกับภรรยาใหม่ของเขานางนั้นในทุกๆ คืน พวกเขาร่วมรักกันทั้งยังร้องร่ำคร่ำครวญอย่างรัญจวนจนข้านอนไม่หลับเลยสักคืนเยี่ยงนั้นอยู่เป็นนานหลายเดือนก็ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด สตรีนางนั้นยังคงไม่ตั้งครรภ์เสียที แม่สามีจึงหาสตรีงดงามให้แต่งเข้าบ้านมาอีกนางหนึ่ง ครานี้เสียงครวญครางและเสียงเตียงยังคงดังโครมครามจนรุ่งสางในทุกค่ำคืน แต่สตรีนางนั้นก็ยังไม่ตั้งครรภ์ จนกระทั่งแต่งภรรยาใหม่เข้ามาอีกนาง เสียงครวญครางยังคงดังระงมในทุกค่ำคืนหากแต่ข่าวดีก็ยังไม่มีเฉกเช่นดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือจิตใจของสามีที่บอกว่ารักข้าเพียงหนึ่งเดียว เขาเริ่มเปลี่ยนไป... ในยามนี้เขาไม่ใคร่ใส่ใจกับการมีบุตรเสียแล้ว เขาช่างรื่นเริงบันเทิงอย่างที่สุดในทุกค่ำคืน” “อา...” เสียงคราฮือฮาพลันดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงเห็นได้ชัดว่าจิตใจของบุรุษช่างไม่แน่นอนเมื่อเจอสตรีงดงามและได้ร่วมรักหลากหลายหลิงเวยได้แต่เงียบฟังด้วยใจตั้งมั่นเม้มปากแน่นแน่นอนว่าฟงชิ
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้