หลิงเวยเดินมาเรื่อยๆ ด้วยความเคยชินจนกระทั่งเดินมาจนถึงประตูจวนแต่ทว่ากลับเป็นประตูด้านข้างหาใช่ประตูใหญ่ไม่ หากแต่นางก็เลือกที่จะเดินออกไปด้วยความเคยชินเช่นเดียวกัน
ระหว่างทางเดินจากจวนตระกูลหลิงนั้นเป็นทางเดินติดกันระหว่างจวนและตลาดภายในเมือง มีบ้านเรือนมีร้านค้าและโรงเตี๊ยมมากมายตั้งตระหง่านอยู่สองฝั่งข้างทาง
หลิงเวยเดินไปด้วยอาการเหม่อลอยคล้ายสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
สตรีในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีเดียวกันช่วยขับเน้นใบหน้าเรียวเล็กให้ดูสวยหวานจิ้มลิ้มน่ารักแต่ทว่าหากมองดีๆ กลับได้เห็นแววตาที่แสนจะเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก นางดูอ่อนโยนทั้งยังอ่อนแอไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อกรกับสิ่งใดๆ กระทั่งสายลมแสงแดดยังคล้ายกับใบมีดคมกริบสามารถบาดกรีดผิวนางให้ล้มลงได้โดยง่าย
เรือนร่างระหงงดงามซ่อนส่วนเว้าส่วนโค้งเอาไว้ภายใต้เสื้อผ้าเนื้อหนาได้มิดชิดแต่กลับเผยความงามหวานล้ำออกมาฉายชัดทำเอาบุรุษที่เดินตามอยู่เงียบๆ เริ่มไม่อยากเดินตามเงียบๆ อีกต่อไปเมื่อมองเห็นสายตาของใครๆ เอาแต่มองตามนาง
โดยเฉพาะสายตาของบุรุษ
ระหว่างทางเดินของตลาดนั้น
สายตาหลายคู่ของชาวบ้านเริ่มมองตามร่างระหงของคนตัวเล็กน่ารักที่มีบุรุษร่างหนาใหญ่ยักษ์น่ากลัวเดินตามและมีเหล่าทหารกล้าแกร่งร่างกายกำยำอีกหลายคนย่ำเท้าตามกันเป็นระเบียบ ปิดท้ายขบวนด้วยรถม้าคันใหญ่เคลื่อนตัวตามมาอย่างเงียบเชียบ ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ รบกวน
สงสัยจะเป็นองค์หญิงแอบหนีมาจากกรงทองแล้วมีทหารเดนตายมาคอยจับกลับไป!
หลายคนเริ่มคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันแล้วต่างพากันให้ความสนใจ
หลิงเวยยังคงเดินเอื่อยเฉื่อยอย่างเลื่อนลอย
นางถอนหายใจออกมาบางเบาตลอดทาง นางเหม่อมองไปยังทิศทางด้านหน้าที่มีผู้คนขวักไขว่ มันเป็นภาพที่นางชาชิน
ไม่ว่านางจะมองไปยังทิศทางใด ไม่ว่านางจะมองไปเจอใคร แต่ก็ไม่มีเลยสักคน
ไม่มี...นางไม่มีใคร...
ท่ามกลางเสียงดังโวยวาย ท่ามกลางผู้คนมากมาย ท่ามกลางฝูงชนหลากหลาย นางมักจะเดินอยู่อย่างนี้ นางเดินอยู่ตรงนี้
อย่างโดดเดี่ยว...และเดียวดาย
นางเดินอยู่คนเดียว...ตลอดมา
หลิงเวยค่อยๆ หยุดปลายเท้าน้อยๆ ที่กำลังก้าวเดินก่อนจะหยุดยืนอยู่นิ่งๆ
นางก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างปลดปลงและทดท้อต่อโชคชะตา นางไม่อยากแม้แต่จะก้าวเท้าเดินต่อไป
ไม่ว่านางจะเดินไปข้างหน้าอีกสักกี่ก้าว สิ่งที่นางเห็นก็เป็นเพียงความว่างเปล่ามืดดำหาใช่แสงสว่างอันใดไม่
ในชีวิตของนางไม่ใช่ว่าไม่เหลือใคร
แต่นางไม่เคยมีใครเลยต่างหาก...
ภายใต้โลกหล้าอันกว้างใหญ่ในมุมมองอันคับแคบและความเงียบเหงาคล้ายหลุมดำ
หลิงเวยเห็นเพียงความโดดเดี่ยวท่ามกลางความวุ่นวายของเหล่าผู้คนมากมายที่เดินกันจนไหล่ชนไหล่อยู่อย่างนั้น
หญิงสาวกำลังยอมรับกับตัวเองว่านางไม่ฉลาดเอาเสียเลย
หากนางฉุกคิดสักนิดนางจักไม่ต้องมีชีวิตอยู่เยี่ยงนี้
แต่ทว่ามันนานเกินไป มันนานมากแล้วที่นางปล่อยให้ตนเองเป็นคนเช่นนี้
ในตลาดที่มีแต่เสียงดังโวยวายรายรอบกำลังมีสตรีหนึ่งนางยืนอยู่อย่างเงียบงันและวังเวงขัดกับบรรยากาศโดยรอบเรือนกายอย่างชัดเจน
นางมักจะเดินอยู่คนเดียวยืนอยู่คนเดียวแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยมีใครเดินเคียงข้างกายนางเลยสักคน
ไม่มีเลยจริงๆ
ทันใดนั้นฝ่ามือน้อยๆ ที่แสนจะเย็นเฉียบของของหลิงเวยพลันอุ่นวาบฉับพลันเนื่องจากถูกกระชากจากฝ่ามือใหญ่หนาก่อนจะจับกระชับตรึงที่เอวเล็กแล้วยกนางขึ้นจนร่างบางลอยละลิ่วขึ้นจากพื้นดิน
หญิงสาวรู้ตัวอีกทีก็ถูกพาดทั้งร่างเอาไว้บนบ่าหนาลาดชันของใครบางคน
ฟงชินหยางไม่มีการพูดจาอันใดให้มากความ ไม่มีการถนอมอะไรกับร่างบางในอ้อมแขน เขาไม่สนใจสายตาของใครๆ เขาเพียงอุ้มหลิงเวยขึ้นพาดบ่าแล้วจัดท่านางอีกนิดจนนางถูกอุ้มในท่าแนบชิดกับแผงอกของเขาในท่าเคยชิน
ชายหนุ่มกระชับร่างบางอีกเล็กน้อยก่อนหมุนตัวเดินไปยังทิศทางที่มีรถม้าคันใหญ่ของเขาจอดรออยู่
เขาต้องการอุ้มกระต่ายป่วยกลับรัง เห็นได้ชัดว่านางอ่อนแอปานใด โง่งมปานใด
หลิงเวยรับรู้ได้ถึงกลิ่นกายคุ้นเคยแผงอกคุ้นชิน นางจึงไม่คิดจะผลักไสเขาแต่อย่างใด
ดวงตาสวยใสบนใบหน้าหวานล้ำแหงนหน้าเหม่อมองเจ้าของอ้อมแขนกำยำอยู่เพียงครู่ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงเบาๆ แล้วยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเอื้อมวงแขนเรียวเล็กสั่นเทาทั้งสองข้างขึ้นโอบรอบไหล่ลาดของเขาเอาไว้แน่น
นางซุกซบใบหน้าแนบจมูกเย็นเฉียบผิวแก้มแห้งตึงกับลำคอกรุ่นร้อนของเขา เนื้อตัวของนางสั่นเบาๆ และยิ่งสั่นเทาเมื่อน้ำตาไหลออกมา
นางร้องไห้อีกแล้ว...
นางซุกซบใบหน้าแนบจมูกเย็นเฉียบผิวแก้มแห้งตึงกับลำคอกรุ่นร้อนของเขา เนื้อตัวของนางสั่นเบาๆ และยิ่งสั่นเทาเมื่อน้ำตาไหลออกมา นางร้องไห้อีกแล้ว...ฟงชินหยางบ่นอุบในใจ ครานี้มิใช่เพียงอาการคันตามเนื้อตัว แต่เป็นในอกที่เริ่มกระตุกสั่นไหว เขาไม่ชอบให้นางร้องไห้ เขาชอบเวลานางยิ้ม“ข้าขอโทษ” เสียงสั่นเครือเริ่มเอ่ยคำออกมาเบาๆ“ขอโทษอันใด” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยคำรามยามก้าวเท้าหนักๆ อุ้มร่างบางไม่ยอมปล่อย“ข้าทำได้แค่นี้ ข้าเป็นได้แค่นี้ ข้าเป็นสตรีน่าสมเพชน่ารังเกียจ ข้าไม่คู่ควรกับท่าน ข้าทำให้ท่านผิดหวังแล้ว”เสียงของหลิงเวยขึ้นจมูกบ่นอู้อี้ยาวเหยียดอยู่ตรงลำคอแกร่งของฟงชินหยางชายหนุ่มเปล่งเสียงกดต่ำได้ยินแค่เพียงนาง “แน่นอนเจ้าน่ารังเกียจ เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง เจ้าทำให้ข้าเป็นเครื่องมือของเจ้าตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน ไม่เคยมีใครมีความสามารถเช่นเจ้า สตรีร้ายกาจ…”ประโยคเชือดเฉือนเหนือชั้นของฟงชินหยางทำหลิงเวย ถึงกับสะอึกก้อนลึกลับกลางลำคอ นางจึงลืมตาขึ้นเม้มริมฝีปากแน่นหญิงสาวมองเห็นเพียงปลายคางคมสันของเขา นางจึงผงกศีรษะขึ้นเพื่อมองให้เห็นใบหน้าของเขาแบบเต็มตา นางเห็นเพียงแค่ใบหน้าเย็นชาสายตาค
อารมณ์ของหลิงเวยเริ่มกลับมาเป็นปกติหลังจากที่ได้ปล่อยน้ำตาออกมาจนเปียกอาภรณ์ของใครบางคนเมื่อฟงชินหยางอุ้มนางมาจนถึงรถม้าและวางนางลงบนรถม้า นางจึงจับคอเสื้อของเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยนั่นจึงทำให้ฟงชินหยางต้องพาเรือนร่างสูงใหญ่ตามมือเรียวน้อยๆ เข้ามาภายในรถม้าเสียด้วยกันมิรู้ได้ว่าเรี่ยวแรงหายไปทางใดนางยังมิได้ออกแรงดึงเขาด้วยซ้ำ!เมื่อทั้งสองเข้ามาภายในรถม้าและปิดผ้าม่านลงสนิทเรียบร้อยดีแล้ว เพียงครู่รถม้าจึงเริ่มออกตัว เห็นได้ชัดว่าเหล่าลูกน้องของฟงชินหยางรู้หน้าที่มากมายปานใดภายในรถม้าคันนี้ได้ดัดแปลงส่วนตั่งให้กลายเป็นคั่งโดยการทำพื้นไม้ของรถม้าให้เป็นสองชั้นเพื่อให้ชั้นล่างเป็นที่วางกระทะใส่ถ่านร้อนๆ ส่วนพื้นชั้นบนที่สูงจากชั้นล่างเพียงเล็กน้อยเจาะรูเล็กๆ หลายรูเอาไว้ให้พอดีกับความร้อนที่ถูกส่งขึ้นมาจากกระทะที่ใส่ถ่านอมไฟแต่ยังคงทิ้งระยะช่องไฟให้ห่างเอาไว้แล้วนำฟูกผืนหนาปูทับจนเต็มพื้นรถม้า ความอบอุ่นภายในรถม้าจึงมีมากนักเมื่อเทียบกับภายนอกตัวรถ เมื่อฟงชินหยางนั่งลงดีแล้วหลิงเวยจึงเอ่ย “เสื้อของท่านเปียกหมดแล้ว”ชายหนุ่มได้ยินจึงหรี่ตามองนาง “นี่น้ำตาหรือน้ำตก”“...”หญิงส
ภายในรถม้าคันเดิมที่ผ่านเรื่องราวเสียวซ่านบางอย่างไปเมื่อครู่ทิ้งเอาไว้เพียงกลิ่นอายรัญจวนให้หลิงเวยได้แต่นั่งหน้าแดงก่ำไม่สร่างซา แต่ทว่ากลับทำให้นางรู้สึกดีมากกว่าก่อนหน้านี้ยิ่งนัก การปลอบใจกันด้วยวิธีนี้มันช่าง...อา...นางกำลังมีปัญหาอีกแล้ว ฟงชินหยางขี่ม้าสีดำตัวใหญ่ตัวเดิมด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ถึงแม้นัยน์ตาคมดำจะกำลังทอประกายอิ่มเอม เขายังคงทำหน้าที่ดูแลโดยรอบบริเวณให้รถม้าของใครบางคนด้วยตนเองตลอดทางเพียงครู่รถม้าจึงจอดสนิทอีกครั้ง หลิงเวยที่รับรู้ได้ถึงการหยุดเคลื่อนตัวของรถม้าจึงเปิดผ้าม่านเอียงหน้าออกดูและแล้วนางต้องตะลึงตามด้วยฉงน นี่มันจวนสกุลหลิง!ฟงชินหยางพลิกกายสูงใหญ่ลงจากหลังม้าตัวเขื่องแล้วเดินนิ่งๆ มารอรับร่างบางของหลิงเวยให้ลงจากรถม้า“ท่านกลับมาที่นี่ทำไม!?” หญิงสาวส่งเสียงไม่พอใจถามออกมาเหล่าทหารกล้ารายรอบพลันสะดุ้งทั้งๆ ที่เสียงของหลิงเวยนั้นไม่ดังเลยมีเพียงฮูหยินน้อยเท่านั้นที่กล้าทำกิริยาเช่นนี้กับท่านแม่ทัพฟงผู้ยิ่งใหญ่ฟงชินหยางมิได้กล่าวตอบคำใด เขาเพียงเอื้อมฝ่ามือหยาบกระด้างรอรับร่างบางของภรรยาหลิงเวยจึงเม้มปากแน่นแก้มพองลมดวงตาจ้องมองคนตัวโตอย่างน
หลิงเวยยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบา “ส่วนแม่รองนั้น วันๆ ไม่คิดทำการสิ่งใด เอาแต่บังคับขู่เข็นข้าให้วาดภาพร่ายกลอนกระทั่งปักผ้าลวดลายยากเย็นเพื่อให้บุตรสาวของนางเอาไปไล่หลอกลวงบุรุษ หากข้าไม่ทำก็จ้องแต่จะสร้างข่าวลือเสียหายจนข้าไม่อาจสู้หน้าผู้ใด กระทั่งแม่ค้าในตลาดยังไม่ยอมขายของให้ข้า ทำให้ข้าไม่สามารถซื้อหาของใช้ส่วนตัวเป็นนาน”ฟงชินหยางได้ฟังพลันมือลั่น เขาจะเดินไปบีบคอแล้วดึงลิ้นของสตรีนางนั้นออกมา!หลิงอี้ถังได้แต่ยืนฟังอย่างเงียบงัน เขาไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน แต่ถึงจะรู้ แล้วอย่างไร? เขาไม่จำเป็นต้องสนใจ!หลิงเวยเงยหน้ามองบิดา แน่นอนว่าบิดาย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้ บิดาของนางมีหน้าที่ดูแลแค่เพียงเรื่องนอกบ้าน ขยายวงศ์ตระกูล เพิ่มอำนาจ หาความสำราญจากเรือนร่างสตรี แค่นั้น!นี่นับว่าเป็นประโยคที่ยาวที่สุดเท่าที่นางกับบิดาได้คุยกันหญิงสาวส่งยิ้มหวานล้ำกล่าวคำเยือกเย็น “ท่านพ่อ ท่านมีหน้าที่แค่เพียงขยายเผ่าพันธุ์จริงๆ”หลิงอี้ถังได้ยินพลันผงะ นี่บุตรสาวของเขาเห็นเขาเป็นสัตว์ป่าชนิดใด?“เจ้า!” เขาส่งเสียงได้แค่นั้นความเงียบงันเริ่มปกคลุมทุกสรรพสิ่งรอบกายพลันนิ่งไปหลิงอี้ถังเรียกสต
ภายในรถม้าคันเดิมเพิ่มเติมคือความรู้สึกผิดบางเบาของสตรีนางหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ภายในนั้นหลิงเวยกำลังนั่งอมยิ้มน้อยๆ อยู่ภายในรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวมาตามทางจากจวนของตระกูลหลิง นางกำลังรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่งถึงแม้จะรู้สึกผิดต่อบิดาอยู่บ้างแต่ทว่าบ้านของนางควรได้รับบทเรียนที่เคยกระทำกับนาง เคยทอดทิ้งนาง เคยดูแคลนนางมิใช่หรือไร โดยเฉพาะบิดาของนาง เขาควรจำนางให้ขึ้นใจ เขาไม่ควรลืมเลือนนางเหมือนที่ผ่านมา หญิงสาวยังคงนั่งคิดคำนึงเอียงหน้าน้อยๆ ชั่งน้ำหนักอยู่ในใจระหว่างพึงพอใจกับรู้สึกผิดแต่ผลสรุปที่ได้กลับเป็นคำตอบอื่นคำตอบที่ว่า นางกำลังชมชอบใครบางคนความบ้าระห่ำดิบเถื่อนของเขาช่างมีเสน่ห์ยิ่ง!อา...อีกแล้ว...หลิงเวยถึงกับต้องเอื้อมฝ่ามือน้อยๆ ขึ้นลูบแก้มนวลเบาๆ ไปจนตลอดทางในขณะที่ฟงชินหยางยังคงขี่ม้าสีดำตัวใหญ่ตัวเดิมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคงทำหน้าที่ดูแลโดยรอบบริเวณให้รถม้าของใครบางคนด้วยตนเองตลอดทางเพียงครู่รถม้าพลันชะงักหยุดการเคลื่อนตัวเนื่องจากมีคนผู้หนึ่งในอาภรณ์ราชองครักษ์ประจำวังของเฉินอ๋องขวางทางเอาไว้ ฟงชินหยางไม่นึกแปลกใจเพราะทุกครั้งที่เขาเดินทางมายั
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงเริ่มอธิบายสิ่งที่ตนตั้งใจกระทำให้กับคนตัวโตที่กำลังขมวดคิ้วคล้ายสงสัยคล้ายงุนงง“กระดาษซวนจื่อ เป็นกระดาษสีขาวนวล มีความเหนียวมากเป็นพิเศษ สามารถซึมซับน้ำและหมึกได้อย่างดี ทั้งหมึกและสีสามารถซึมลงกระดาษและแผ่กระจายตัวได้อย่างเร็ว ม้วนง่ายน้ำหนักเบา เมื่อคลี่ออกมาจะไม่เกิดรอยยับหรือฉีกขาด เป็นกระดาษที่ถ่ายทอดความงามของสีและหมึกอย่างเต็มที่ หมึกยังคงเข้ม สียังคงสดอยู่เสมอ สามารถเก็บเอาไว้ได้อย่างยาวนานเป็นร้อยปีกระดาษไม่เปื่อยยุ่ย ข้าจะใช้สีของดอกไม้หลากหลายวาดภาพและเขียนบทกวีถวายพระองค์ ท่านคิดว่าอย่างไร”ฟงชินหยางกะพริบตาปริบๆ ข้อมูลอันใดไม่มีเข้าหูของเขาทั้งสิ้น เขาเห็นเพียงรอยยิ้มของนาง“ชินหยาง ท่านคิดว่าอย่างไร” หลิงเวยถามซ้ำเมื่อเห็นคนตัวใหญ่ยังคงเงียบงัน นี่นางพูดอันใดผิดกัน?“อ่า...ย่อมได้ๆ ” ชายหนุ่มได้สติหลุดออกจากภวังค์เขาจึงหันหน้าไปสั่งการทหารติดตามให้ไปหามาให้ในทันที คงเหลือเพียงสาวใช้นางหนึ่งให้ติดตามหลิงเวย“ข้าอาจจะนั่งร่ำสุรากับท่านอ๋องสักครึ่งชั่วยาม เจ้ารอได้หรือไม่ แล้วข้าจะพาเจ้าไปหาบรรยากาศเหมาะแก่การวาดภาพ”หลิงเวยยังคงเอ่ยคำเสียงใสน่า
เสียงกระทบพื้นของหมากดังแก๊งสะท้อนกังวานไปทั่วบริเวณห้องโถงโอ่อ่าอย่างน่าแปลกใจภายในตำหนักเซียงกงอันงดงามยิ่งใหญ่เกิดความเงียบงันผิดปกติฉับพลัน เมื่อเสียงทำความเคารพของฟงชินหยางและหลิงเวยสิ้นสุดลงคงเหลือเพียงเสียงของหมากตัวหนึ่งหลุดออกจากฝ่ามือสูงค่าจนร่วงลงมานอกกระดานหมากนั่นหลิงเวย…เฉินหยางหลงครางเรียกชื่อนางในใจเมื่อมองเห็นสตรีข้างกายของสหายแห่งตนนั่นมิใช่สตรีที่เขาหมายตาหรอกหรือ สตรีที่เขาเคยเอื้อนเอ่ยทาบทามกับเสนาบดีกรมคลังหลิงอี้ถังอา...นี่เขาพลาดอันใดไปเฉินหยางหลงนั่งเงียบงันเป็นเสาหินเมื่อมองเห็นสตรีงดงามในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานยืนอยู่กับฟงชินหยางจนสตรีที่นั่งเล่นหมากด้วยกันต้องกระแอมไอออกมาก่อนเอ่ยวาจา“ท่านอ๋องเพคะ นั่นเมียเพื่อน”“...!”เฉินหยางหลงกะพริบตาปรับสติงงงันอยู่อึดใจแล้วเอ่ยเสียงพร่า “อาหยาง...” แต่ทว่าสายตาคมเข้มกลับมองอยู่ที่หลิงเวย“อันใด?” ฟงชินหยางเอ่ยเสียงกดต่ำสีหน้าดำคล้ำเมื่อเห็นสหายของตนจ้องมองหลิงเวยอย่างนั้นหลิงเวยไม่เคยเข้าวังเลยสักครั้งจึงไม่เคยเจอกับเฉินหยางหลงที่เป็นอ๋อง กระทั่งยามนี้นางยังไม่รู้ว่าอ๋องสูงศักดิ์ผู้นี้คือเฉินหยางหลงผู้ที่นางถูกบ
ในยามนี้นั้น...หลิงเวยได้กลายเป็นโฉมงามล่มเมืองที่มีสองบุรุษหนุ่มหล่อเหลาหุ่นแน่นกำลังประกาศสงครามเพื่อแย่งชิงตัวนางหนึ่งคือพยัคฆ์ สองคือมังกรแน่นอนว่ามังกรมีหาง และหางของมันก็ยาวจนเกินไป หางของมังกรมีสตรีหลายนางพ่วงท้ายอยู่จนเต็มขบวน แต่กับพยัคฆ์นั้น หางของมันมิได้ยาว ทั้งยังไม่มีสตรีนางใดพ่วงท้าย และที่สำคัญ! ลีลายังเหลือร้าย...อา...นี่นางกำลังคิดอันใดนางกำลังมีปัญหาอีกแล้ว...หลิงเวยคิดไปคิดมาก็ยังคงวกวนกลับมายังเรื่องของสามีที่มีลีลาเหนือชั้นมากมาย พาเอาพวงแก้มขาวนวลเนียนพลันเปล่งปลั่งดวงตาพลันเป็นประกาย นางเอียงตัวเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกายอย่างเหม่อลอยใบหน้าแดงระเรื่อดวงตาสื่อความหมายฉายชัดเกินเก็บข่มส่งตรงไปยังคนตัวใหญ่นามว่าฟงชินหยาง นางถึงกับนึกละอายจนต้องรีบซบใบหน้าเข้ากับแผงอกอบอุ่นของเขาในทันทีสองบุรุษที่กำลังส่งสายตาต่อสู้กันกลางอากาศถึงกับกะพริบตาปริบๆ เห็นได้ชัดว่านางเลือกใคร…ฟงชินหยางรีบเอื้อมวงแขนกำยำประคองกอดหลิงเวยเอาไว้แน่นพลางปรายสายตาเฉี่ยวคมไปทางเฉินหยางหลงแล้วเลิกคิ้วเข้มขึ้นแสดงออกถึงความกำชัยในขณะที่เฉินหยางหลงต้องถลึงตาจ้องมองก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงกำ
ฮูหยินท่านนั้นรีบตอบความ “ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด แต่ประเด็นเริ่มเปลี่ยนไป มันมิใช่ประเด็นการสร้างทายาทอีกแล้ว”“อย่างไรหรือ?” ฮูหยินอีกท่านรีบต่อความ “สามีของข้าร่วมรักกับภรรยาใหม่ของเขานางนั้นในทุกๆ คืน พวกเขาร่วมรักกันทั้งยังร้องร่ำคร่ำครวญอย่างรัญจวนจนข้านอนไม่หลับเลยสักคืนเยี่ยงนั้นอยู่เป็นนานหลายเดือนก็ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด สตรีนางนั้นยังคงไม่ตั้งครรภ์เสียที แม่สามีจึงหาสตรีงดงามให้แต่งเข้าบ้านมาอีกนางหนึ่ง ครานี้เสียงครวญครางและเสียงเตียงยังคงดังโครมครามจนรุ่งสางในทุกค่ำคืน แต่สตรีนางนั้นก็ยังไม่ตั้งครรภ์ จนกระทั่งแต่งภรรยาใหม่เข้ามาอีกนาง เสียงครวญครางยังคงดังระงมในทุกค่ำคืนหากแต่ข่าวดีก็ยังไม่มีเฉกเช่นดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือจิตใจของสามีที่บอกว่ารักข้าเพียงหนึ่งเดียว เขาเริ่มเปลี่ยนไป... ในยามนี้เขาไม่ใคร่ใส่ใจกับการมีบุตรเสียแล้ว เขาช่างรื่นเริงบันเทิงอย่างที่สุดในทุกค่ำคืน” “อา...” เสียงคราฮือฮาพลันดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงเห็นได้ชัดว่าจิตใจของบุรุษช่างไม่แน่นอนเมื่อเจอสตรีงดงามและได้ร่วมรักหลากหลายหลิงเวยได้แต่เงียบฟังด้วยใจตั้งมั่นเม้มปากแน่นแน่นอนว่าฟงชิ
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้