ภายในรถม้าคันเดิมเพิ่มเติมคือความรู้สึกผิดบางเบาของสตรีนางหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ภายในนั้น
หลิงเวยกำลังนั่งอมยิ้มน้อยๆ อยู่ภายในรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวมาตามทางจากจวนของตระกูลหลิง นางกำลังรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่งถึงแม้จะรู้สึกผิดต่อบิดาอยู่บ้าง
แต่ทว่าบ้านของนางควรได้รับบทเรียนที่เคยกระทำกับนาง เคยทอดทิ้งนาง เคยดูแคลนนางมิใช่หรือไร โดยเฉพาะบิดาของนาง เขาควรจำนางให้ขึ้นใจ เขาไม่ควรลืมเลือนนางเหมือนที่ผ่านมา
หญิงสาวยังคงนั่งคิดคำนึงเอียงหน้าน้อยๆ ชั่งน้ำหนักอยู่ในใจระหว่างพึงพอใจกับรู้สึกผิด
แต่ผลสรุปที่ได้กลับเป็นคำตอบอื่น
คำตอบที่ว่า นางกำลังชมชอบใครบางคน
ความบ้าระห่ำดิบเถื่อนของเขาช่างมีเสน่ห์ยิ่ง!
อา...
อีกแล้ว...
หลิงเวยถึงกับต้องเอื้อมฝ่ามือน้อยๆ ขึ้นลูบแก้มนวลเบาๆ ไปจนตลอดทาง
ในขณะที่ฟงชินหยางยังคงขี่ม้าสีดำตัวใหญ่ตัวเดิมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคงทำหน้าที่ดูแลโดยรอบบริเวณให้รถม้าของใครบางคนด้วยตนเองตลอดทาง
เพียงครู่รถม้าพลันชะงักหยุดการเคลื่อนตัวเนื่องจากมีคนผู้หนึ่งในอาภรณ์ราชองครักษ์ประจำวังของเฉินอ๋องขวางทางเอาไว้ ฟงชินหยางไม่นึกแปลกใจเพราะทุกครั้งที่เขาเดินทางมายังเมืองหลวงเขามักจะได้รับคำเชิญให้ไปนั่งร่ำสุรากับสหายผู้นี้อยู่ร่ำไป ขบวนรถม้าจึงเปลี่ยนเส้นทางจากเดิมที่กำลังเดินทางกลับเมืองหน้าด่านเป็นการเดินทางเข้าสู่วังของเฉินหยางหลงในทันที
ภายในวังของอ๋องเฉินนั้นมีตำหนักมากมายล้วนแล้วแต่เป็นที่ประทับของบรรดาชายาผู้งดงามหลายนางแห่งเจ้าของวัง
ฟงชินหยางให้รถม้าของตนจอดเพียงด้านหน้าของประตูวังแล้วสั่งให้ลูกน้องทุกคนเข้าพักที่โรงเตี๊ยมเยื้องออกไปไม่ไกลกัน เหลือเพียงทหารติดตามหนึ่งนายกับสาวใช้หนึ่งนางคอยติดตามเขากับหลิงเวย ทั้งหมดจึงเดินเข้าวังมายังตำหนักเซียนกงอันเป็นที่ประทับของอ๋องเฉินนามว่าหยางหลง
หลิงเวยนั้นไม่เคยเลยสักครั้งกับการเข้ามายังพระราชวัง นางมักจะถูกจำกัดสิทธิ์อยู่ทุกครั้งไม่เคยได้ร่วมงานใดๆ ของวังหลวงแม้แต่ครั้งเดียว ที่ได้เข้ามาร่วมงานในวังนั้นมักจะเป็นผลงานของนางที่พี่น้องต่างสวมรอย นั่นจึงทำให้นางได้อยู่อย่างสงบในเรือนหลังน้อยของจวนตลอดมา
ฟงชินหยางขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นได้ว่าสตรีข้างกายกำลังตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศภายในวัง
“ตื่นเต้นปานนั้น” เขาถามเชิงเย้ามาทางหลิงเวย
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักตอบรับตามจริง “ข้าไม่เคยได้เข้าวังเลยสักครั้ง”
“จริงหรือ” ชายหนุ่มทำท่าครุ่นคิด “เช่นนั้น ข้าพาไปเที่ยวในพระราชวังชั้นในด้วยดีหรือไม่ ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กัน”
“หา!” หลิงเวยตาโต นั่นมันฝันแล้ว! ฮ่องเต้เชียวหรือ?
ฟงชินหยางเลิกคิ้วอย่างยียวน ฮ่องเต้เป็นพี่ชายของท่านแม่มีศักดิ์เป็นท่านลุงของเขา ไม่ใช่เรื่องยากหากจะขอเข้าเฝ้า
“หากได้จริงดังท่านว่า ข้าควรมีของกำนัลถวายพระองค์” หลิงเวยรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก การได้เข้าเฝ้าโอรสสวรรค์นับว่าเป็นบุญของนางยิ่ง
ชายหนุ่มเริ่มครุ่นคิดอีกครา “ถวายอะไรให้พระองค์ดี ข้ามิได้ตระเตรียม เรื่องใหญ่เลยเชียว”
“ภาพวาดพร้อมบทกวีดีหรือไม่” หลิงเวยออกความเห็นอย่างกระตือรือร้น
ฟงชินหยางเห็นแววสุกใสในดวงตาของหลิงเวยอย่างนั้น เขาถึงกับเหม่อมอง นี่นับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เขาได้เห็นจากสตรีข้างกาย
หลิงเวยเอียงหน้านิดๆ ยกยิ้มน้อยๆ คล้ายกับกำลังเจอเรื่องถูกใจ ทำเอาคนตัวใหญ่ต้องจ้องมองนางนิ่ง
“ข้าต้องการเพียงกระดาษซวนจื่อกับพู่กัน” หลิงเวยเงยหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อืม...น้ำหมึกเล่า” ฟงชินหยางก้มหน้ามองนางตาปริบๆ
“ไม่ต้อง”
“หืม?”
“ข้าต้องการเพียงดอกไม้หลายชนิด”
“อืม...” ชายหนุ่มตอบรับแบบมึนๆ เขายังไม่ชิน “ย่อมได้”
หลิงเวยหลุดหัวเราะเสียงใสอารมณ์ดียิ่งนัก
ฟงชินหยางถึงกับชะงักเมื่อได้ยิน นี่นับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ยิ่งแล้ว
หญิงสาวต้องการทำของขวัญให้องค์จักรพรรดิผู้สูงศักดิ์ที่หาโอกาสได้น้อยยิ่งนักในชีวิตของนาง นางจะต้องตั้งใจสร้างสิ่งดีๆ ให้พระองค์
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงเริ่มอธิบายสิ่งที่ตนตั้งใจกระทำให้กับคนตัวโตที่กำลังขมวดคิ้วคล้ายสงสัยคล้ายงุนงง“กระดาษซวนจื่อ เป็นกระดาษสีขาวนวล มีความเหนียวมากเป็นพิเศษ สามารถซึมซับน้ำและหมึกได้อย่างดี ทั้งหมึกและสีสามารถซึมลงกระดาษและแผ่กระจายตัวได้อย่างเร็ว ม้วนง่ายน้ำหนักเบา เมื่อคลี่ออกมาจะไม่เกิดรอยยับหรือฉีกขาด เป็นกระดาษที่ถ่ายทอดความงามของสีและหมึกอย่างเต็มที่ หมึกยังคงเข้ม สียังคงสดอยู่เสมอ สามารถเก็บเอาไว้ได้อย่างยาวนานเป็นร้อยปีกระดาษไม่เปื่อยยุ่ย ข้าจะใช้สีของดอกไม้หลากหลายวาดภาพและเขียนบทกวีถวายพระองค์ ท่านคิดว่าอย่างไร”ฟงชินหยางกะพริบตาปริบๆ ข้อมูลอันใดไม่มีเข้าหูของเขาทั้งสิ้น เขาเห็นเพียงรอยยิ้มของนาง“ชินหยาง ท่านคิดว่าอย่างไร” หลิงเวยถามซ้ำเมื่อเห็นคนตัวใหญ่ยังคงเงียบงัน นี่นางพูดอันใดผิดกัน?“อ่า...ย่อมได้ๆ ” ชายหนุ่มได้สติหลุดออกจากภวังค์เขาจึงหันหน้าไปสั่งการทหารติดตามให้ไปหามาให้ในทันที คงเหลือเพียงสาวใช้นางหนึ่งให้ติดตามหลิงเวย“ข้าอาจจะนั่งร่ำสุรากับท่านอ๋องสักครึ่งชั่วยาม เจ้ารอได้หรือไม่ แล้วข้าจะพาเจ้าไปหาบรรยากาศเหมาะแก่การวาดภาพ”หลิงเวยยังคงเอ่ยคำเสียงใสน่า
เสียงกระทบพื้นของหมากดังแก๊งสะท้อนกังวานไปทั่วบริเวณห้องโถงโอ่อ่าอย่างน่าแปลกใจภายในตำหนักเซียงกงอันงดงามยิ่งใหญ่เกิดความเงียบงันผิดปกติฉับพลัน เมื่อเสียงทำความเคารพของฟงชินหยางและหลิงเวยสิ้นสุดลงคงเหลือเพียงเสียงของหมากตัวหนึ่งหลุดออกจากฝ่ามือสูงค่าจนร่วงลงมานอกกระดานหมากนั่นหลิงเวย…เฉินหยางหลงครางเรียกชื่อนางในใจเมื่อมองเห็นสตรีข้างกายของสหายแห่งตนนั่นมิใช่สตรีที่เขาหมายตาหรอกหรือ สตรีที่เขาเคยเอื้อนเอ่ยทาบทามกับเสนาบดีกรมคลังหลิงอี้ถังอา...นี่เขาพลาดอันใดไปเฉินหยางหลงนั่งเงียบงันเป็นเสาหินเมื่อมองเห็นสตรีงดงามในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานยืนอยู่กับฟงชินหยางจนสตรีที่นั่งเล่นหมากด้วยกันต้องกระแอมไอออกมาก่อนเอ่ยวาจา“ท่านอ๋องเพคะ นั่นเมียเพื่อน”“...!”เฉินหยางหลงกะพริบตาปรับสติงงงันอยู่อึดใจแล้วเอ่ยเสียงพร่า “อาหยาง...” แต่ทว่าสายตาคมเข้มกลับมองอยู่ที่หลิงเวย“อันใด?” ฟงชินหยางเอ่ยเสียงกดต่ำสีหน้าดำคล้ำเมื่อเห็นสหายของตนจ้องมองหลิงเวยอย่างนั้นหลิงเวยไม่เคยเข้าวังเลยสักครั้งจึงไม่เคยเจอกับเฉินหยางหลงที่เป็นอ๋อง กระทั่งยามนี้นางยังไม่รู้ว่าอ๋องสูงศักดิ์ผู้นี้คือเฉินหยางหลงผู้ที่นางถูกบ
ในยามนี้นั้น...หลิงเวยได้กลายเป็นโฉมงามล่มเมืองที่มีสองบุรุษหนุ่มหล่อเหลาหุ่นแน่นกำลังประกาศสงครามเพื่อแย่งชิงตัวนางหนึ่งคือพยัคฆ์ สองคือมังกรแน่นอนว่ามังกรมีหาง และหางของมันก็ยาวจนเกินไป หางของมังกรมีสตรีหลายนางพ่วงท้ายอยู่จนเต็มขบวน แต่กับพยัคฆ์นั้น หางของมันมิได้ยาว ทั้งยังไม่มีสตรีนางใดพ่วงท้าย และที่สำคัญ! ลีลายังเหลือร้าย...อา...นี่นางกำลังคิดอันใดนางกำลังมีปัญหาอีกแล้ว...หลิงเวยคิดไปคิดมาก็ยังคงวกวนกลับมายังเรื่องของสามีที่มีลีลาเหนือชั้นมากมาย พาเอาพวงแก้มขาวนวลเนียนพลันเปล่งปลั่งดวงตาพลันเป็นประกาย นางเอียงตัวเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกายอย่างเหม่อลอยใบหน้าแดงระเรื่อดวงตาสื่อความหมายฉายชัดเกินเก็บข่มส่งตรงไปยังคนตัวใหญ่นามว่าฟงชินหยาง นางถึงกับนึกละอายจนต้องรีบซบใบหน้าเข้ากับแผงอกอบอุ่นของเขาในทันทีสองบุรุษที่กำลังส่งสายตาต่อสู้กันกลางอากาศถึงกับกะพริบตาปริบๆ เห็นได้ชัดว่านางเลือกใคร…ฟงชินหยางรีบเอื้อมวงแขนกำยำประคองกอดหลิงเวยเอาไว้แน่นพลางปรายสายตาเฉี่ยวคมไปทางเฉินหยางหลงแล้วเลิกคิ้วเข้มขึ้นแสดงออกถึงความกำชัยในขณะที่เฉินหยางหลงต้องถลึงตาจ้องมองก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงกำ
ริมระเบียงชั้นสองของตำหนักเซียงกงที่มีบุรุษหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งพยัคฆ์หนึ่งมังกรกำลังนั่งร่ำสุราอยู่ด้วยกันคล้ายสหายคล้ายศัตรูเฉินหยางหลงยังคงนั่งนิ่งงุนงงไม่เข้าใจอันใด นี่นับได้ว่าเขาพลาดอย่างที่สุดกับชีวิตบุรุษเช่นเขาตั้งแต่เกิดและเติบโตมาไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาอยากได้สิ่งใดแล้วไม่สมหวัง จนกระทั่งเวลานี้ในวันนั้นเขาเจอกับหลิงเวยที่ตลาด เขาพึงใจนางมากตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น เขาจึงตามเกี้ยวนางในทันที นางเอาแต่ทำท่าตกใจเนื้อตัวสั่นเทาดวงตาปริ่มน้ำแล้วเอาแต่เดินหนีเขาเขาทั้งรูปงามหล่อเหลาและมีรูปร่างที่บาดตาบาดใจปานนี้แต่นางกลับปฏิเสธเขาด้วยท่าทางนุ่มนวลอ่อนหวานแล้วหนีหายไปเขาตามสืบจนรู้ว่านางเป็นหนึ่งในธิดาของเสนาบดีหลิง มีนามไพเราะว่าหลิงเวยเขาจึงส่งจดหมายทาบทามไปยังเสนาบดีหลิงผู้ที่มักใหญ่ใฝ่สูงชมชอบการขยายอำนาจตระกูลกับบุรุษสูงศักดิ์หลังจากนั้นเขาเพียงรอเวลาอันเหมาะสมเพื่อให้นางได้เตรียมตัวเตรียมใจ เพื่อที่เขาจะได้ส่งเทียบหมั้นหมายในลำดับต่อมาและรอเวลาให้นางบำรุงร่างกาย เพื่อที่ว่าให้นางพร้อมทั้งกายทั้งใจยามเมื่อแต่งเข้าวังมา นางจะได้เข้าหอกับเขาพร้อมทำกิจกรรมสุดหรรษาเหนือ
ทันใดนั้นเสียงของสตรีนางหนึ่งพลันดังจากทางนอกศาลา “เจ้ามีนามว่าหลิงเวยเช่นนั้นหรือ”หลิงเวยชะงักมือจากกระดาษตรงหน้าแล้วผินสายตาตามเสียงหวานแหลมนั้นทันทีสตรีนางเดิมยังคงกล่าว “เจ้าเป็นสตรีที่ท่านอ๋องคิดจะแต่งงานด้วยจนออกจากวังไปตามหาเจ้าที่ตลาด”หลิงเวยนั่งฟังนิ่งๆ ไม่กล้าต่อคำอันใด สตรีนางนี้เป็นสตรีนางเดียวกับที่นั่งเล่นหมากล้อมกับท่านอ๋องผู้นั้น สตรีนางนี้เป็นชายาของท่านอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ท่าทางที่กำลังหึงหวงนั่นคืออันใด? ไยมาหึงหวงนาง...ชายาของเฉินหยางหลงนามว่าฮุ่ยจินยังคงเอ่ย “เจ้าอย่าแม้แต่จะคิดมาแย่งความโปรดปรานจากท่านอ๋องของข้า เจ้ามีสามีแล้วอย่าลืม”หลิงเวยได้ฟังยิ่งกะพริบตา“หึ!” ฮุ่ยจินแค่นเสียงในลำคอ “ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางเจ้า คอยดู!” จบคำก็เดินกรีดกรายจากไปโดยไม่สนใจคนฟังแม้แต่น้อยหลิงเวยได้แต่เงียบงัน มิใช่ว่าเถียงไม่ทัน แต่สตรีนางนั้นกำลังพูดอันใด???หลังจากได้รับอนุญาตจากเจ้าของวังเฉินอ๋องให้ใช้ศาลาริมสระน้ำเป็นสถานที่วาดภาพร่ายบทกวีจนเสร็จสรรพตามใจต้องการหลิงเวยจึงเก็บกระดาษม้วนเอาไว้แล้วกอดแนบอกเดินมาหาฟงชินหยางบนระเบียงชั้นสองของตำหนักเซียงกงในทันทีห
พระราชวังแคว้นเฉินแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลทั้งยังงดงามตระการตาตบแต่งด้วยสิ่งของที่นับได้ว่าหายากแทบทั้งสิ้นภายในตำหนักกลางสีทองงามอร่ามตลอดทั้งบริเวณซึ่งอยู่ติดกับห้องทรงพระอักษรขององค์เหนือหัวแห่งแคว้นหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้เข้ามานั่งรอภายในห้องโถงของตำหนักกลางแห่งนี้หลังจากได้เดินทางเข้ามาแจ้งแก่มหาขันทีประจำพระองค์และได้รับอนุญาตให้เข้ามายังพระราชฐานชั้นในเพียงในเวลาไม่นานกระแสรับสั่งอนุญาตให้สองสามีภรรยาได้เข้าพบพระองค์เป็นการส่วนตัวเป็นกรณีพิเศษก็ถูกส่งตรงมาจากมหาขันทีคนเดิมภายในห้องรับรองอีกชั้นหนึ่งที่ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนและม่านมุ้งสีทองอร่ามไม่ต่างกันพลันปรากฏพระวรกายสูงค่าของเจ้าแห่งแผ่นดินนั่งอยู่บนแท่นประทับทองคำเศียรมังกร“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”ฟงชินหยางและหลิงเวยยอบตัวลงคุกเข่ากล่าวคำเคารพองค์เหนือหัวพร้อมกันในทันทีที่ได้เข้าห้องวิจิตรแห่งนี้มา ฟงชินหยางนั้นเคยมีโอกาสได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้พระนามว่าเฉินหยางหมิงเซียนหลายครั้งหลายคราแล้วตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบใหญ่ได้เป็นถึงแม่ทัพผู้เกรียงไกรกำราบข้าศึกตามชายแดน เขามีโอกาสได
ในยามนี้บรรยากาศภายในห้องรับรองคล้ายกับมีแสงสีดำแทรกแซงแสงสีทองจนมืดครึ้มกระนั้น จากเดิมทีควรมีแค่เพียงฟงชินหยางและหลิงเวยที่อยู่ในสายพระเนตรขององค์ฮ่องเต้แต่บัดนี้กลับมีองค์หญิงยู่ว์เจินกับฟงชินหยางที่อยู่ในสายพระเนตรสูงค่าเสียอย่างนั้นภาพบาดตาพลันปรากฏ หลิงเวยยืนมองภาพด้านข้างอย่างเงียบงัน องค์หญิงยู่ว์เจินยืนขนาบข้างกับฟงชินหยางพร้อมรอยยิ้มสว่างสดใสตามแบบฉบับองค์หญิงใจกล้าท้าฟ้าท้าดินนางมองเห็นองค์หญิงยู่ว์เจินยืนเคียงข้างกับฟงชินหยางในขณะที่นางกำลังยืนห่างออกมา ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของนางในฉับพลัน นางควรทำอย่างไรฟงชินหยางเพียงยืนเป็นเสาหินต้นใหญ่นิ่งๆ มิได้สนใจอันใดกับองค์หญิงยู่ว์เจินผู้นี้แม้แต่น้อยองค์หญิงผู้นี้มักจะหาโอกาสตีสนิทกับเขาแบบนี้เสมอ เขารับรู้มาตลอดว่าองค์หญิงผู้นี้ชมชอบเขา แต่เขามิได้ชอบนาง เช่นนั้นแล้วเขาไม่จำเป็นต้องสนใจต่อคำอันใดกลับไปนั่นคือนิสัยของฟงชินหยาง เขาช่างมึนยิ่งนักชายหนุ่มจึงทำความเคารพองค์หญิงยู่ว์เจินตามตำแหน่งสูงศักดิ์ของอีกฝ่ายคงไว้ซึ่งระยะห่างระหว่างกันแล้วหันมาสะกิดคนตัวเล็กที่กลายเป็นหุ่นไม้ให้หันหน้ามาทำความเคารพด้วย
ช่วงใกล้สิ้นปีในฤดูกาลอันหนาวเหน็บอย่างนี้มักจะมีกิจกรรมที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงโปรดปราน นั่นก็คือพิธีการล่าสัตว์ซึ่งมักจะจัดขึ้นในทุกๆ ปีช่วงเดือนสิบหรือเดือนสิบเอ็ดเป็นต้นไปภายในคณะเดินทางไปร่วมพิธีล่าสัตว์อันศักดิ์สิทธิ์ประจำปีนี้มีเชื้อพระวงศ์ราชนิกุลมากมายพร้อมทั้งเหล่าทหารยศน้อยยศใหญ่พากันเดินทางไกลไปเป็นขบวนในการล่าสัตว์ครั้งนี้นอกจากฮ่องเต้ ฮองเฮา และเหล่าสนมที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเพียงสองนางแล้วก็ยังมีองค์รัชทายาท ชายาขององค์รัชทายาท ท่านอ๋องที่ยังคงมิได้ออกไปครองแคว้นที่ใดพร้อมด้วยชายาของพระองค์ นอกจากนี้ยังมีองค์ชายและองค์หญิงที่ได้รับสิทธิ์มาด้วยแค่ไม่กี่คนภายในขณะเดินทางของทหารชั้นผู้น้อยนั้นมีสตรีในอาภรณ์ทหารที่ย้ายจากชายแดนมาประจำการที่เมืองหลวงแค่เพียงไม่นาน นางมีนามว่า อวี้ถิงอวี้ถิงนั้นถูกสหายทั้งสองคือซือซือและอี้ผิงจับมัดแล้วนั่งรถม้ามาส่งนางพร้อมจดหมายย้ายสังกัดให้มาประจำการที่เมืองหลวง เดิมทีอวี้ถิงนั้นไม่อยากมาร่วมพิธีล่าสัตว์นี้เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าเมื่อนางมองเห็นฟงชินหยางได้ร่วมเดินทางมาด้วย นางจึงคล้ายกับติดปีกบินได้และเดินทางตามขบวนมาด้วยความรื่นเริงพร้
ฮูหยินท่านนั้นรีบตอบความ “ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด แต่ประเด็นเริ่มเปลี่ยนไป มันมิใช่ประเด็นการสร้างทายาทอีกแล้ว”“อย่างไรหรือ?” ฮูหยินอีกท่านรีบต่อความ “สามีของข้าร่วมรักกับภรรยาใหม่ของเขานางนั้นในทุกๆ คืน พวกเขาร่วมรักกันทั้งยังร้องร่ำคร่ำครวญอย่างรัญจวนจนข้านอนไม่หลับเลยสักคืนเยี่ยงนั้นอยู่เป็นนานหลายเดือนก็ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด สตรีนางนั้นยังคงไม่ตั้งครรภ์เสียที แม่สามีจึงหาสตรีงดงามให้แต่งเข้าบ้านมาอีกนางหนึ่ง ครานี้เสียงครวญครางและเสียงเตียงยังคงดังโครมครามจนรุ่งสางในทุกค่ำคืน แต่สตรีนางนั้นก็ยังไม่ตั้งครรภ์ จนกระทั่งแต่งภรรยาใหม่เข้ามาอีกนาง เสียงครวญครางยังคงดังระงมในทุกค่ำคืนหากแต่ข่าวดีก็ยังไม่มีเฉกเช่นดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือจิตใจของสามีที่บอกว่ารักข้าเพียงหนึ่งเดียว เขาเริ่มเปลี่ยนไป... ในยามนี้เขาไม่ใคร่ใส่ใจกับการมีบุตรเสียแล้ว เขาช่างรื่นเริงบันเทิงอย่างที่สุดในทุกค่ำคืน” “อา...” เสียงคราฮือฮาพลันดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงเห็นได้ชัดว่าจิตใจของบุรุษช่างไม่แน่นอนเมื่อเจอสตรีงดงามและได้ร่วมรักหลากหลายหลิงเวยได้แต่เงียบฟังด้วยใจตั้งมั่นเม้มปากแน่นแน่นอนว่าฟงชิ
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้