ในยามนี้บรรยากาศภายในห้องรับรองคล้ายกับมีแสงสีดำแทรกแซงแสงสีทองจนมืดครึ้มกระนั้น จากเดิมทีควรมีแค่เพียงฟงชินหยางและหลิงเวยที่อยู่ในสายพระเนตรขององค์ฮ่องเต้แต่บัดนี้กลับมีองค์หญิงยู่ว์เจินกับฟงชินหยางที่อยู่ในสายพระเนตรสูงค่าเสียอย่างนั้น
ภาพบาดตาพลันปรากฏ หลิงเวยยืนมองภาพด้านข้างอย่างเงียบงัน องค์หญิงยู่ว์เจินยืนขนาบข้างกับฟงชินหยางพร้อมรอยยิ้มสว่างสดใสตามแบบฉบับองค์หญิงใจกล้าท้าฟ้าท้าดิน
นางมองเห็นองค์หญิงยู่ว์เจินยืนเคียงข้างกับฟงชินหยางในขณะที่นางกำลังยืนห่างออกมา ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของนางในฉับพลัน นางควรทำอย่างไร
ฟงชินหยางเพียงยืนเป็นเสาหินต้นใหญ่นิ่งๆ มิได้สนใจอันใดกับองค์หญิงยู่ว์เจินผู้นี้แม้แต่น้อย
องค์หญิงผู้นี้มักจะหาโอกาสตีสนิทกับเขาแบบนี้เสมอ เขารับรู้มาตลอดว่าองค์หญิงผู้นี้ชมชอบเขา แต่เขามิได้ชอบนาง เช่นนั้นแล้วเขาไม่จำเป็นต้องสนใจต่อคำอันใดกลับไป
นั่นคือนิสัยของฟงชินหยาง เขาช่างมึนยิ่งนัก
ชายหนุ่มจึงทำความเคารพองค์หญิงยู่ว์เจินตามตำแหน่งสูงศักดิ์ของอีกฝ่ายคงไว้ซึ่งระยะห่างระหว่างกันแล้วหันมาสะกิดคนตัวเล็กที่กลายเป็นหุ่นไม้ให้หันหน้ามาทำความเคารพด้วยกัน
หลิงเวยรีบเรียกสติของตนกลับมาแล้วทำความเคารพองค์หญิงยู่ว์เจินแต่โดยดี นางทำได้เพียงเท่านี้ นางกำลังกลั้นหายใจเอาไว้
ฟงชินหยางเห็นหลิงเวยคล้ายกับมนุษย์ไม้ไร้ลมหายใจอย่างนั้นจึงเอ่ยเรียกสตินาง “เจ้ามีของขวัญมอบให้ฝ่าบาทมิใช่หรือไยชักช้า”
หลิงเวยพลันได้สติกลับมาอีกคราเลิกสนใจองค์หญิงใจกล้าก่อนจะรีบย่อกายไปทางฮ่องเต้แล้วเอ่ย
“หม่อมฉันหลิงเวยขอถวายสิ่งนี้แด่ฝ่าบาทเพคะ”
นางกล่าวคำพลางยื่นม้วนกระดาษที่นางกอดแนบอกมาตลอดทางยื่นไปด้านหน้า
มหาขันทีคนสนิทได้ฟังคำจึงรีบเดินเข้ามารับของกำนัลอย่างรู้หน้าที่แล้วเดินกระดุกกระดิกไปยื่นให้เฉินหยางหมิงเซียนในทันที
เฉินหยางหมิงเซียนรับของกำนัลมาไว้ในพระหัตถ์แล้วพินิจพิจารณาครู่หนึ่งจึงเริ่มคลายเชือกรัดรึงม้วนกระดาษออก
เมื่อกระดาษซวนจื่อถูกคลี่ออกสีพระพักตร์ขององค์เหนือหัวพลันเปลี่ยนไป สายพระเนตรที่สนใจในตัวธิดาแห่งตนจึงเปลี่ยนมาจับจ้องอยู่ที่กระดาษภาพวาดในฉับพลัน
“อา...นี่” สายพระเนตรของพระองค์ถึงกับลุกวาว
“งดงามยิ่งนัก นักปราชญ์คนใดกันสร้างสรรค์ได้เยี่ยงนี้”
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันตั้งใจรังสรรค์แด่พระองค์เพคะ” หลิงเวยย่อกายกล่าวคำตามตรงก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วคลี่ยิ้มงดงาม นางรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก นางถึงกับลืมเรื่องเศร้าหมองเมื่อครู่ไปเสียสิ้น
“ช่างล้ำเลิศ ช่างงดงาม หาได้ยากยิ่ง เราพึงใจยิ่งนัก” เฉินหยางหมิงเซียนตรัสคำพร้อมแย้มสรวลกว้างขวาง เขาเป็นบุรุษที่รักงานศิลปะทุกแขนงมาแต่ไหนแต่ไร “มาเถิดมาใกล้เราอีกหน่อย มาไขบทกวีให้เราได้สดับรับฟัง”
หลิงเวยได้ยินพลันตื่นตะลึง “หม่อมฉันดีใจเหลือเกินที่พระองค์ทรงโปรด แค่นี้หม่อมฉันก็นอนตายตาหลับแล้วเพคะ” หญิงสาวรีบกล่าววาจาไพเราะเสนาะหูตามความรู้สึกของตนพลางเดินเข้าใกล้องค์ฮ่องเต้ตามคำ
ฟงชินหยางจึงเดินเข้าใกล้เช่นกัน
ในยามนี้ทุกชีวิตในห้องรับรองสีทองงามอร่ามพลันสนใจแค่เพียงภาพวาดจากน้ำหมึกมวลบุปผาบนกระดาษซวนจื่อและเสียงแว่วหวานของหลิงเวยที่กำลังอธิบายภาพวาดประกอบบทกวีถวายองค์เหนือหัวแค่เพียงเท่านั้น
องค์หญิงยู่ว์เจินที่ทำตัวโดดเด่นเมื่อครู่ได้แต่ยืนอ้าปากค้างมองตามทุกคนอย่างเงียบงัน นางหมายจะเรียกร้องความสนใจจากทุกคนตามวิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด โดยเฉพาะกับฟงชินหยางที่นางมักจะทำตัวโดดเด่นเรียกร้องความสนใจจากเขา
แต่ทว่าในยามนี้ทุกความสนใจพลันเปลี่ยนสถานะไป
ยู่ว์เจินพลันยืนเดียวดายจนหน้าดำหมองคล้ำอยู่กลางห้องรับรอง...ช่างน่าเห็นใจ...
“พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปดำเนินการตามพิธีล่าสัตว์ประจำปี พวกเจ้าทั้งสองสนใจเข้าร่วมหรือไม่”
ฮ่องเต้ทรงตรัสถามฟงชินหยางและหลิงเวยในขณะที่พระหัตถ์และพระเนตรยังคงอยู่ที่ภาพวาดบนกระดาษซวนจื่อ
ฟงชินหยางและหลิงเวยทำได้เพียงยอบกายลงขอบคุณแค่นั้นเพราะถึงแม้ว่าจะเป็นประโยคคำถามแต่มหาขันทีก็รีบเดินกระดุกกระดิกไปจัดการเพิ่มรายชื่อในคณะเดินทางเรียบร้อย
อันที่จริงการเดินทางไปร่วมพิธีสำคัญประจำปีนั้นมิใช่ว่าใครอยากไปก็จะร่วมไปด้วยได้โดยง่าย องค์ชายและองค์หญิงกระทั่งพระสนมหลายคนที่อยากไปแต่มิได้ไปก็มีไม่น้อย เช่นนั้นแล้วการชักชวนจากองค์เหนือหัวต่อฟงชินหยางและหลิงเวยนั้นนับได้ว่าเป็นบุญยิ่งนัก
อึดใจสุรเสียงของฮ่องเต้เอ่ยขึ้นมาทางหลิงเวย
“เดิมทีช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดยาวของชินหยางในตำแหน่งแม่ทัพพิชิตชายแดน ดังนั้นเจ้าทั้งสองไปกับเราในฐานะหลานชายกับหลานสะใภ้ได้เลย ชินหยางมิต้องขี่ม้านำขบวนทหาร เขาจักได้ดูแลเจ้ามิต้องมาดูแลเรา”
พระกระแสรับสั่งอย่างนั้นเห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงปลาบปลื้มหลานสะใภ้ผู้นี้เสียแล้ว
หลิงเวยได้ฟังคำถึงกับคลี่ยิ้มงดงามเพิ่มความมั่นใจขึ้นมา
พระองค์ทรงตรัสว่านางเป็นหลานสะใภ้ของพระองค์
หลานสะใภ้ของฮ่องเต้เชียว...
ช่วงใกล้สิ้นปีในฤดูกาลอันหนาวเหน็บอย่างนี้มักจะมีกิจกรรมที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงโปรดปราน นั่นก็คือพิธีการล่าสัตว์ซึ่งมักจะจัดขึ้นในทุกๆ ปีช่วงเดือนสิบหรือเดือนสิบเอ็ดเป็นต้นไปภายในคณะเดินทางไปร่วมพิธีล่าสัตว์อันศักดิ์สิทธิ์ประจำปีนี้มีเชื้อพระวงศ์ราชนิกุลมากมายพร้อมทั้งเหล่าทหารยศน้อยยศใหญ่พากันเดินทางไกลไปเป็นขบวนในการล่าสัตว์ครั้งนี้นอกจากฮ่องเต้ ฮองเฮา และเหล่าสนมที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเพียงสองนางแล้วก็ยังมีองค์รัชทายาท ชายาขององค์รัชทายาท ท่านอ๋องที่ยังคงมิได้ออกไปครองแคว้นที่ใดพร้อมด้วยชายาของพระองค์ นอกจากนี้ยังมีองค์ชายและองค์หญิงที่ได้รับสิทธิ์มาด้วยแค่ไม่กี่คนภายในขณะเดินทางของทหารชั้นผู้น้อยนั้นมีสตรีในอาภรณ์ทหารที่ย้ายจากชายแดนมาประจำการที่เมืองหลวงแค่เพียงไม่นาน นางมีนามว่า อวี้ถิงอวี้ถิงนั้นถูกสหายทั้งสองคือซือซือและอี้ผิงจับมัดแล้วนั่งรถม้ามาส่งนางพร้อมจดหมายย้ายสังกัดให้มาประจำการที่เมืองหลวง เดิมทีอวี้ถิงนั้นไม่อยากมาร่วมพิธีล่าสัตว์นี้เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าเมื่อนางมองเห็นฟงชินหยางได้ร่วมเดินทางมาด้วย นางจึงคล้ายกับติดปีกบินได้และเดินทางตามขบวนมาด้วยความรื่นเริงพร้
หลิงเวยถึงกับอมยิ้มกับความช่างรู้ของเสี่ยวชุ่ยยิ่งนัก นางจึงให้ความร่วมมือกับเสี่ยวชุ่ยเป็นอย่างดี อาภรณ์ที่เสี่ยวชุ่ยเลือกให้นี้เป็นอาภรณ์เนื้อละเอียดสำหรับต้านลมหนาวได้เป็นอย่างดี สีสันของอาภรณ์เป็นสีสันสดใสในโทนสีชมพูอ่อนสลับขาวไล่ริ้วสีแดงสดมีลูกไม้ระบายตรงสาบเสื้อสาบแขนมีขนสัตว์ฟูพองอยู่รอบลำคอ เสี่ยวชุ่ยช่วยหลิงเวยแต่งตัวพร้อมทั้งทำผมปักปิ่นให้นางเสร็จสรรพนี่นับว่าหลิงเวยได้รับการปรนนิบัติม้วนผมจากสาวใช้มากฝีมือเป็นครั้งแรกหลังจากแต่งงานมา เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ฟงชินหยางมักจะมองนางเป็นตุ๊กตา เขามักจะจริงจังเสมอมากับการม้วนผมให้นาง และการม้วนผมของเขานั้นก็เรียกสายตาขบขันจากคนที่บ้านฟงได้เป็นอย่างดี “คันฉ่องเจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยแต่งกายม้วนผมและแต่งหน้าให้หลิงเวยเสร็จก็รีบนำคันฉ่องเอามาให้เจ้านายตรวจดูผลที่ได้ทำให้หลิงเวยรู้สึกพึงใจยิ่งนัก เสี่ยวชุ่ยนั้นนับได้ว่ามีฝีมือด้านนี้มากเลยทีเดียวหลิงเวยนั้นเมื่อได้แต่งหน้าทำผมแบบเต็มยศแล้วนับได้ว่าเป็นสาวงามไม่น้อยหน้าผู้ใด นางจัดได้ว่างดงามเทียบเคียงกับเหล่าชายาหรือเหล่าองค์หญิงเลยทีเดียวนั่นจึงทำให้เสี่ยวชุ่ยนึกปลื้มปริ่มยิ่งนั
เสียงพูดคุยอย่างออกรสออกชาติสรวลเสเฮฮายังคงดังระงมทว่าเพียงไม่นานเสียงของมหาขันทีพลันดัง“ฮ่องเต้เสด็จ...”ตามด้วยพระวรกายสูงค่าในอาภรณ์สูงส่งทะมัดทะแมงขับใบหน้าให้หล่อเหลาผลักดันอายุให้ดูหนุ่มแน่นของฮ่องเต้พลันดำเนินเสด็จมา พระองค์ดำเนินเสด็จตามด้วยฮองเฮาและสนมคนโปรดทั้งสอง ทุกชีวารายรอบพร้อมกันลุกขึ้นยืนก่อนจะยอบกายลงคุกเข่าโค้งศีรษะทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียงเมื่อองค์เหนือหัวทรงนั่งประจำยังตำแหน่งที่ประทับพร้อมสตรีสูงศักดิ์ตามลำดับเป็นที่เรียบร้อย เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนพลทั้งหลายจึงกลับลงนั่งยังตำแหน่งดังเดิม เฉินหยางหมิงเซียนฮ่องเต้ตรัสคำปราศรัยเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็นการเปิดงานและเพียงไม่นานดนตรีก็เริ่มบรรเลงตามด้วยการแสดงที่องค์ชายและองค์หญิงเตรียมมาเพื่อเอาใจเสด็จพ่อของพวกเขาหนึ่งในชุดการแสดงนั้นมีองค์หญิงยู่ว์เจินที่แต่งกายเป็นบุรุษนั่งอยู่กับฟงชินหยางและเฉินหยางหลงได้ขึ้นแสดงฝีมือด้วย เมื่อได้เวลาการแสดงของยู่ว์เจิน นางจึงลุกขึ้นยืนอย่างสง่างามแล้วหันหน้าเข้าหาฟงชินหยางพร้อมยกสองนิ้วขึ้นชี้ที่ดวงตาเรียวสวยของตนแล้วชี้ไปทางฟงชินหยางเป็นเชิงหยอกเย้าฟงชินหยางว่าให้จับต
การแสดงความสามารถต่อหน้าพระพักตร์จบไปหลากหลายรูปแบบท่ามกลางสายตาชื่นชมของผู้คนรายรอบฟงชินหยางยังคงนั่งร่ำสุรากับเหล่าขุนพลทั้งหลายตามวิสัย เขามักจะพูดคุยกับเหล่าสหายอย่างถูกคอจนมิได้สนใจใคร ในขณะที่เฉินหยางหลงยังคงดำเนินการตามแผนอันชั่วร้ายหมายให้ภรรยาเข้าใจผิดสามีต่อไปโดยมียู่ว์เจินให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เฉินหยางหลงรู้ดีถึงนิสัยของสหายฟงชินหยางนั้นเป็นคนดิบเถื่อนแข็งกระด้างมิใช่บุรุษละเอียดอ่อนเข้าอกเข้าใจผู้ใด ยามออกศึกแต่ละครั้งฟงชินหยางกับพวกพ้องมักจะบ้าระห่ำพุ่งชนไม่เคยหันหน้ามามองข้างหลัง กระทั่งยามศึกสงบมีสาวงามมายั่วยวนเพื่อปรนนิบัติ ฟงชินหยางยังขลุกอยู่กับเหล่าขุนพลและสนใจแค่กระดานทรายกับธงเล็กหลากสีจำลอง และยามนี้ย่อมไม่ต่าง เมื่อมีการศึกตามเงื่อนไขล่าสัตว์ที่ได้รับพระบัญชาและได้อยู่กับเหล่าขุนพลทั้งหลายอย่างนี้ ฟงชินหยางย่อมต้องลืมภรรยาตัวน้อยไปเสียสิ้นเฉินหยางหลงนั่งร่ำสุรากับฟงชินหยางร่วมกับเหล่าขุนพลด้วยความคิดอย่างนั้นอยู่ภายในใจ โดยหารู้ไม่ว่าเขาเขาพลาดอีกแล้ว...หลิงเวยยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิมอย่างใช้ความคิด ในขณะที่เสียงหวานแหลมของฮุ่ยจินยังคงดังกัง
ท่ามกลางเหล่าขุนพลที่เคยเคียงข้างร่วมรบกันมา ฟงชินหยางกำลังนั่งคุยกับเหล่าสหายที่เป็นขุนพลอย่างถูกปากถูกคอเพราะได้คุยในเรื่องเดียวกันตามประสาของชายชาติทหารชาตินักรบสายงานเดียวกัน“คราศึกเจี้ยนหยาง ข้าล่ะคันมือ ไม่น่าเจอสัญญาสงบศึกเลยให้ตาย!” เสียงของแม่ทัพแห่งราชวังฝั่งประจิมเริ่มเสียงดังหลังจากยกจอกเหล้าเข้าปากไปหนึ่งอึกใหญ่ “เจ้าแม่ทัพของพวกมันบังอาจชี้หน้าข้า ฮึ!”“ฮ่า ฮ่า ก็เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ มันชี้มาด้วยนิ้วมืออันสั่นเทาเสียขวัญอย่างไรเล่า” เสียงของแม่ทัพราชวังฝั่งบูรพาเอ่ยขัด“นี่ไม่นับว่าอัปลักษณ์” แม่ทัพฝั่งประจิมกล่าวคำพลางชี้ใบหน้าของตนที่มีรอยแผลบากลากยาว “นี่นับว่าเป็นสัญลักษณ์”“อ่า...ใช่ๆ สัญลักษณ์” เสียงขุนพลหลายคนสอดประสาน “ฮ่าฮ่า ย่อมเป็นเช่นนั้น” เสียงหัวเราะพลันดังฟงชินหยางเพียงนั่งร่วมรับฟังและหัวร่อกับสหายโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น นอกจากเสียงหลากหลายของบุรุษแล้วยังคงมีเสียงหวานใสของยู่ว์เจินที่ยังคงพยายามเหลือเกินกับฟงชินหยางหวังเพียงให้เขาสนใจนางเท่านั้นในค่ำคืนนี้ “อาหยาง...ท่านมีสัญลักษณ์หรือไม่” ฟงชินหยางเพียงปรายสายตามององค์หญิงยู่ว์เจินอึดใจก่อนเบนสายตาก
อวี้ถิงที่ยืนมองอยู่ตรงมุมมืดนั้นเห็นองค์หญิงหน้าไม่อายกำลังเกิดอาการอับอายขีดสุดจึงแสยะยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจหญิงสาวเพียงยกขวดยาในมือขึ้นใช้สายตาชั่วร้ายเพ่งมองมันฝ่าความมืด ยาที่ถูกบรรจุอยู่ในขวดนี้แน่นอนว่ามิใช่ยาพิษ เพราะถ้าหากว่าองค์หญิงอะไรนั่นตายความวุ่นวายคงบังเกิด การควานหาตัวคนร้ายคงเอิกเกริกยิ่งใหญ่ และนางก็คงไม่รอดแต่ทว่ายาที่อยู่ในขวดนี้เป็นเพียงแค่ยาสมุนไพรก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ตั่วอึ๊ง หมั่งเซียว ฮวงเสี่ยเฮี่ยะ เซเซียวเต่า แบะตง ผู่เจีย กำจื้อ ชิงหล่อชัง เก่าจ้อ จุยโอ่ว ทุกตัวยาล้วนร่วมด้วยช่วยกันในการขับสิ่งปฏิกูลให้ออกมาในเวลาอันรวดเร็วเร็วมาก!อา...น่าอายแทนเสียจริง แล้วอย่างนี้ องค์หญิงยังจะกล้ามองหน้าผู้ใดได้อีกหรือไม่ หึหึ! ท่ามกลางสายลมโบกโชย ท่ามกลางงานเลี้ยงยามราตรี ท่ามกลางความเงียบงันของเหล่าขุนพล ท่ามกลางกลิ่นแปลกๆ ที่กำลังตลบอบอวลตามสายลมบางเบายามไล้เข้าปะทะจมูกของทุกผู้คนองค์หญิงยู่ว์เจินเริ่มทนไม่ได้อีกต่อไป นางต้องรีบออกจากกลุ่มนี้โดยไว ก่อนที่จะมีสิ่งใดไหลออกมาไม่ไหวแล้ว...หญิงสาวพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วยืนอย่างปกติที่สุดในชีวิตแล้วค่อยๆ
เสียงหวานกังวานใสทำให้ฟงชินหยางที่มิได้สนใจการแสดงของใครๆ ก่อนนี้ต้องหันหน้าไปมองในทันที“อ่า...นั่น สตรีงดงามนางนั้น” ขุนพลในกลุ่มเริ่มเอ่ยคำพาสหายทั้งหลายให้หันมองตามอย่างตื่นเต้นสามัคคี “ภรรยาของแม่ทัพฟง!” ทุกคนเอ่ยออกมาพร้อมดวงตาพราวระยับแสดงความชมชอบฉายชัดกันถ้วนหน้าเฉินหยางหลงถึงกับชะงักนิ่งนั่งมองหลิงเวยกลางลานการแสดงอย่างตะลึงงัน ในขณะที่ฮุ่ยจินอยากจะหัวเราะร่าดูเถิดดูหน้าพระสวามี!เสียงแว่วหวานของหลิงเวยยังคงเอ่ย “ข้าขอมอบบทเพลงบุปผาสายชลนี้ให้สามีของข้าแต่เพียงผู้เดียว ฟงชินหยาง!” นางกล่าวพลางปรายสายตาสวยหวานมองตรงมายังเจ้าของนามทำเอาเจ้าของนามถึงกับอึ้งตะลึงจ้องมอง อึดใจข้ารับใช้ของฮุ่ยจินก็เดินนำพิณประดับทองคำมามอบให้หลิงเวยกลางลานการแสดงโอรสสวรรค์คลี่ยิ้มอบอุ่นรอชมการแสดงที่ไม่คาดฝันจากหลานสะใภ้ตรงหน้าพลางจับมือฮองเฮาข้างกายมาตบเบาๆ ด้วยความเคยชิน ก่อนจะทรงส่งสัญญาณเป็นเชิงอนุญาตให้หลิงเวยได้เริ่มการแสดงในเวลาต่อมา หลิงเวยยอบกายทำความเคารพนายเหนือหัวอีกคราแล้วค่อยๆ นั่งลงตรงหลังเครื่องสายทองคำด้วยท่วงท่างดงามอ่อนหวานแต่ทรงพลังก่อนจะเริ่มกรีดกรายนิ้วมือเรียวเล็
ความเงียบงันปกคลุมทั่วพื้นที่ ความงดงามหวานล้ำของสตรีกลางลานแสดงกำลังครอบงำทุกผู้คนหลิงเวยกำลังตรึงสายตาทั้งยังหยุดลมหายใจของทุกคนรายรอบได้อย่างไม่น่าเชื่อนี่นับว่าเป็นการประกาศศักดาของภรรยานางหนึ่งที่กล้ากระทำต่อสามี นางกล้าประกาศกร้าวเยี่ยงนี้ต่อหน้าสักขีพยานที่เป็นถึงเจ้าแห่งแผ่นดิน ทั้งยังมีเชื้อพระวงศ์และขุนพลนับร้อยเป็นสักขีพยานร่วมกันนับเป็นการประกาศความเป็นเจ้าของยิ่งกว่าการแต่งงานเสียอีกฮุ่ยจินเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืนแล้วปรบมือเสียงแปะๆ ดังขึ้นจากฮุ่ยจินนำพาเสียงปรบมือค่อยๆ ดังขึ้นจากทุกผู้ทุกคนจนกระทั่งดังกระหึ่มกังวานไปทั่วบริเวณฮ่องเต้ถึงกับแย้มสรวลกว้างขวางหันมองหน้าฮองเฮาคนงามข้างกาย ทั้งสองพระองค์มองตอบสบสายตากันอย่างพึงใจกับการแสดงในชุดนี้ นับว่าเป็นการแสดงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยรับชมฮองเฮานึกชมชอบสตรีนางน้อยผู้นี้ยิ่งนัก สตรีนางนี้เป็นเจ้าของกระดาษภาพวาดมวลบุปผาที่ฮ่องเต้ทรงนำมาให้พระนางดูชมเมื่อวันก่อนเดินทาง จะมีสตรีสักกี่นางกันที่มีความสามารถมากมายแต่กลับเก็บงำเอาไว้ทั้งยังกล้าหาญชาญชัยบอกรักสามีกลางธารกำนัลแค่เพียงความกล้าที่จะบอกรักกันเป็นการส่วนตัวยังนับว่
ฮูหยินท่านนั้นรีบตอบความ “ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด แต่ประเด็นเริ่มเปลี่ยนไป มันมิใช่ประเด็นการสร้างทายาทอีกแล้ว”“อย่างไรหรือ?” ฮูหยินอีกท่านรีบต่อความ “สามีของข้าร่วมรักกับภรรยาใหม่ของเขานางนั้นในทุกๆ คืน พวกเขาร่วมรักกันทั้งยังร้องร่ำคร่ำครวญอย่างรัญจวนจนข้านอนไม่หลับเลยสักคืนเยี่ยงนั้นอยู่เป็นนานหลายเดือนก็ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด สตรีนางนั้นยังคงไม่ตั้งครรภ์เสียที แม่สามีจึงหาสตรีงดงามให้แต่งเข้าบ้านมาอีกนางหนึ่ง ครานี้เสียงครวญครางและเสียงเตียงยังคงดังโครมครามจนรุ่งสางในทุกค่ำคืน แต่สตรีนางนั้นก็ยังไม่ตั้งครรภ์ จนกระทั่งแต่งภรรยาใหม่เข้ามาอีกนาง เสียงครวญครางยังคงดังระงมในทุกค่ำคืนหากแต่ข่าวดีก็ยังไม่มีเฉกเช่นดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือจิตใจของสามีที่บอกว่ารักข้าเพียงหนึ่งเดียว เขาเริ่มเปลี่ยนไป... ในยามนี้เขาไม่ใคร่ใส่ใจกับการมีบุตรเสียแล้ว เขาช่างรื่นเริงบันเทิงอย่างที่สุดในทุกค่ำคืน” “อา...” เสียงคราฮือฮาพลันดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงเห็นได้ชัดว่าจิตใจของบุรุษช่างไม่แน่นอนเมื่อเจอสตรีงดงามและได้ร่วมรักหลากหลายหลิงเวยได้แต่เงียบฟังด้วยใจตั้งมั่นเม้มปากแน่นแน่นอนว่าฟงชิ
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้