ทันใดนั้นเสียงของสตรีนางหนึ่งพลันดังจากทางนอกศาลา “เจ้ามีนามว่าหลิงเวยเช่นนั้นหรือ”
หลิงเวยชะงักมือจากกระดาษตรงหน้าแล้วผินสายตาตามเสียงหวานแหลมนั้นทันที
สตรีนางเดิมยังคงกล่าว “เจ้าเป็นสตรีที่ท่านอ๋องคิดจะแต่งงานด้วยจนออกจากวังไปตามหาเจ้าที่ตลาด”
หลิงเวยนั่งฟังนิ่งๆ ไม่กล้าต่อคำอันใด สตรีนางนี้เป็นสตรีนางเดียวกับที่นั่งเล่นหมากล้อมกับท่านอ๋องผู้นั้น สตรีนางนี้เป็นชายาของท่านอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ท่าทางที่กำลังหึงหวงนั่นคืออันใด? ไยมาหึงหวงนาง...
ชายาของเฉินหยางหลงนามว่าฮุ่ยจินยังคงเอ่ย “เจ้าอย่าแม้แต่จะคิดมาแย่งความโปรดปรานจากท่านอ๋องของข้า เจ้ามีสามีแล้วอย่าลืม”
หลิงเวยได้ฟังยิ่งกะพริบตา
“หึ!” ฮุ่ยจินแค่นเสียงในลำคอ “ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางเจ้า คอยดู!” จบคำก็เดินกรีดกรายจากไปโดยไม่สนใจคนฟังแม้แต่น้อย
หลิงเวยได้แต่เงียบงัน มิใช่ว่าเถียงไม่ทัน แต่สตรีนางนั้นกำลังพูดอันใด???
หลังจากได้รับอนุญาตจากเจ้าของวังเฉินอ๋องให้ใช้ศาลาริมสระน้ำเป็นสถานที่วาดภาพร่ายบทกวีจนเสร็จสรรพตามใจต้องการ
หลิงเวยจึงเก็บกระดาษม้วนเอาไว้แล้วกอดแนบอกเดินมาหาฟงชินหยางบนระเบียงชั้นสองของตำหนักเซียงกงในทันที
หญิงสาวยืนอยู่ด้านนอกของริมระเบียงโดยไม่เข้าไปรบกวนตามมารยาทที่พึงมี นางเห็นสองบุรุษกำลังนั่งร่ำสุราฉันท์มิตรสหายจึงมิได้คิดอันใดมากมาย เนื่องจากนางแต่งงานแล้วและไม่เคยเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับท่านอ๋องผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นเมื่อครั้งที่เจอกันที่ตลาดแล้วเขาตามเกี้ยวหรือจะเป็นวันที่บิดากล่าวคำให้นางฟังว่าต้องการให้นางแต่งงานกับท่านอ๋อง นั่นนับว่าเป็นปัญหาระหว่างบิดากับท่านอ๋องผู้นี้ นางหาได้เกี่ยวข้องอันใดไม่
หลิงเวยเพียงยืนอยู่นิ่งๆ ตรงหน้าระเบียงเกิดเป็นภาพของสตรีร่างระหงยืนต้านลมที่พัดพาอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานโบกสะบัดพลิ้วไหวปลิวระบายแลดูงดงามตรึงสายตา
นางเอียงใบหน้าน้อยๆ ยกยิ้มบางเบาให้กับม้วนภาพในมือตลอดเวลา
ทำเอาสองบุรุษที่นั่งร่ำสุราอยู่ไม่ไกลถึงกับมือสั่นระริกจอกเหล้ากระฉอกจนน้ำเมากระเซ็นออกมาเมื่อมองเห็นนางน่ารักน่าเอ็นดูอย่างนั้น
ฟงชินหยางเห็นสหายมองหลิงเวยแบบไม่วางตาแบบนั้นทั้งยังที่ริมฝีปากได้รูปของสหายคล้ายกับมีน้ำลายไหลออกมาเยี่ยงนั้น เขาจึงลุกขึ้นพรวดพราดเดินอาดๆ ปราดเดียวพลันถึงตัวของหลิงเวยแล้วจับยกอุ้มร่างของนางเดินหายไปในทันที
เฉินหยางหลงได้แต่มองตามภาพของสตรีที่ตนหมายตาหายไปพร้อมกับอ้อมอกแกร่งของสหายอย่างนั้นจึงไม่คิดจะยินยอม
อย่าคิดเลยว่าเขาจะยอมแพ้ เขาจักทำให้ทั้งสองเลิกกันให้จงได้ กับอาหยางนั้นเขารู้ไส้รู้พุงจนหมดแล้ว นิสัยร้ายกาจของสหายผู้นี้เขาจะนำมาใช้เป็นเครื่องมือ ฮึฮึ!
อ๋องสูงศักดิ์ที่ในชีวิตไม่เคยขาดแคลนแต่กลับกำลังคิดว่าตนเองขาดแคลนจึงคิดจะยื้อแย่งภรรยาน่าเอ็นดูออกจากอกของสหายตน
เขายังคงนั่งมองสหายของเขากับสตรีนางน้อยน่ารักเดินออกไปจากวังโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมีสายตาร้ายกาจยิ่งกว่าของสตรีนางหนึ่งมองมาทางเขาอยู่เป็นนาน
ฮุ่ยจินหรี่ตามองสวามีของตนด้วยความรู้สึกชั่วร้ายไม่แตกต่าง
หากอ๋องเฉินคิดจะทำให้ผัวเมียแยกจากแล้วพลัดพรากเอาเมียของสหายผู้นั้นมานอนกอด นางนี่ล่ะจะทำให้สองสามีภรรยารักกันมากยิ่งขึ้น
หึ! คอยดูเถิดว่าสวามีของนางจะมีโอกาสสะบัดหางไปทางใด!
หลิงเวยยังคงตกใจตาโตที่จู่ๆ ฟงชินหยางก็เข้ามาจับช้อนร่างของนางขึ้นอุ้มต่อหน้าต่อตาของอ๋องเฉินและข้ารับใช้มากมายอย่างไม่นึกอับอายใครต่อใคร
“ท่านไม่ควรทำอย่างนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย มันไม่งาม” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้อยู่ตรงกล้ามเนื้อหนั่นแน่นของคนตัวใหญ่
“แล้วอย่างไร ใครสน!” คำตอบห้วนสั้นเอ่ยออกมาแค่นั้น
หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มเจ้าของวงแขนกำยำตาปริบๆ
นางเห็นใบหน้าคมคายของเขานิ่งขึงติดจะเย็นชา สายตาของเขาทอประกายดุร้ายตลอดเวลา
นางจึงทำได้แค่เพียงเอียงใบหน้าเข้าหาเขาแล้วซุกซบใบหน้าจนจมมิดไปกับแผงอกบึกบึนของเขา ฝ่ามือน้อยๆ กำสาบเสื้อของเขาเอาไว้แน่นไม่คิดจะปล่อยออกแต่อย่างใด
ฟงชินหยางเห็นสตรีในอ้อมแขนทำท่าทางอย่างนั้นเขาจึงกระชับวงแขนกอดนางให้แน่นเข้ามาอีกหน่อย
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยนางไป ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีวันแยกนางออกจากอ้อมอกของเขาได้
เป็นเสือโคร่งที่เสียท่าให้กับกระต่ายน้อยแล้วอย่างไร
ใครสนใจกัน!
พระราชวังแคว้นเฉินแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลทั้งยังงดงามตระการตาตบแต่งด้วยสิ่งของที่นับได้ว่าหายากแทบทั้งสิ้นภายในตำหนักกลางสีทองงามอร่ามตลอดทั้งบริเวณซึ่งอยู่ติดกับห้องทรงพระอักษรขององค์เหนือหัวแห่งแคว้นหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้เข้ามานั่งรอภายในห้องโถงของตำหนักกลางแห่งนี้หลังจากได้เดินทางเข้ามาแจ้งแก่มหาขันทีประจำพระองค์และได้รับอนุญาตให้เข้ามายังพระราชฐานชั้นในเพียงในเวลาไม่นานกระแสรับสั่งอนุญาตให้สองสามีภรรยาได้เข้าพบพระองค์เป็นการส่วนตัวเป็นกรณีพิเศษก็ถูกส่งตรงมาจากมหาขันทีคนเดิมภายในห้องรับรองอีกชั้นหนึ่งที่ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนและม่านมุ้งสีทองอร่ามไม่ต่างกันพลันปรากฏพระวรกายสูงค่าของเจ้าแห่งแผ่นดินนั่งอยู่บนแท่นประทับทองคำเศียรมังกร“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”ฟงชินหยางและหลิงเวยยอบตัวลงคุกเข่ากล่าวคำเคารพองค์เหนือหัวพร้อมกันในทันทีที่ได้เข้าห้องวิจิตรแห่งนี้มา ฟงชินหยางนั้นเคยมีโอกาสได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้พระนามว่าเฉินหยางหมิงเซียนหลายครั้งหลายคราแล้วตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบใหญ่ได้เป็นถึงแม่ทัพผู้เกรียงไกรกำราบข้าศึกตามชายแดน เขามีโอกาสได
ในยามนี้บรรยากาศภายในห้องรับรองคล้ายกับมีแสงสีดำแทรกแซงแสงสีทองจนมืดครึ้มกระนั้น จากเดิมทีควรมีแค่เพียงฟงชินหยางและหลิงเวยที่อยู่ในสายพระเนตรขององค์ฮ่องเต้แต่บัดนี้กลับมีองค์หญิงยู่ว์เจินกับฟงชินหยางที่อยู่ในสายพระเนตรสูงค่าเสียอย่างนั้นภาพบาดตาพลันปรากฏ หลิงเวยยืนมองภาพด้านข้างอย่างเงียบงัน องค์หญิงยู่ว์เจินยืนขนาบข้างกับฟงชินหยางพร้อมรอยยิ้มสว่างสดใสตามแบบฉบับองค์หญิงใจกล้าท้าฟ้าท้าดินนางมองเห็นองค์หญิงยู่ว์เจินยืนเคียงข้างกับฟงชินหยางในขณะที่นางกำลังยืนห่างออกมา ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของนางในฉับพลัน นางควรทำอย่างไรฟงชินหยางเพียงยืนเป็นเสาหินต้นใหญ่นิ่งๆ มิได้สนใจอันใดกับองค์หญิงยู่ว์เจินผู้นี้แม้แต่น้อยองค์หญิงผู้นี้มักจะหาโอกาสตีสนิทกับเขาแบบนี้เสมอ เขารับรู้มาตลอดว่าองค์หญิงผู้นี้ชมชอบเขา แต่เขามิได้ชอบนาง เช่นนั้นแล้วเขาไม่จำเป็นต้องสนใจต่อคำอันใดกลับไปนั่นคือนิสัยของฟงชินหยาง เขาช่างมึนยิ่งนักชายหนุ่มจึงทำความเคารพองค์หญิงยู่ว์เจินตามตำแหน่งสูงศักดิ์ของอีกฝ่ายคงไว้ซึ่งระยะห่างระหว่างกันแล้วหันมาสะกิดคนตัวเล็กที่กลายเป็นหุ่นไม้ให้หันหน้ามาทำความเคารพด้วย
ช่วงใกล้สิ้นปีในฤดูกาลอันหนาวเหน็บอย่างนี้มักจะมีกิจกรรมที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงโปรดปราน นั่นก็คือพิธีการล่าสัตว์ซึ่งมักจะจัดขึ้นในทุกๆ ปีช่วงเดือนสิบหรือเดือนสิบเอ็ดเป็นต้นไปภายในคณะเดินทางไปร่วมพิธีล่าสัตว์อันศักดิ์สิทธิ์ประจำปีนี้มีเชื้อพระวงศ์ราชนิกุลมากมายพร้อมทั้งเหล่าทหารยศน้อยยศใหญ่พากันเดินทางไกลไปเป็นขบวนในการล่าสัตว์ครั้งนี้นอกจากฮ่องเต้ ฮองเฮา และเหล่าสนมที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเพียงสองนางแล้วก็ยังมีองค์รัชทายาท ชายาขององค์รัชทายาท ท่านอ๋องที่ยังคงมิได้ออกไปครองแคว้นที่ใดพร้อมด้วยชายาของพระองค์ นอกจากนี้ยังมีองค์ชายและองค์หญิงที่ได้รับสิทธิ์มาด้วยแค่ไม่กี่คนภายในขณะเดินทางของทหารชั้นผู้น้อยนั้นมีสตรีในอาภรณ์ทหารที่ย้ายจากชายแดนมาประจำการที่เมืองหลวงแค่เพียงไม่นาน นางมีนามว่า อวี้ถิงอวี้ถิงนั้นถูกสหายทั้งสองคือซือซือและอี้ผิงจับมัดแล้วนั่งรถม้ามาส่งนางพร้อมจดหมายย้ายสังกัดให้มาประจำการที่เมืองหลวง เดิมทีอวี้ถิงนั้นไม่อยากมาร่วมพิธีล่าสัตว์นี้เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าเมื่อนางมองเห็นฟงชินหยางได้ร่วมเดินทางมาด้วย นางจึงคล้ายกับติดปีกบินได้และเดินทางตามขบวนมาด้วยความรื่นเริงพร้
หลิงเวยถึงกับอมยิ้มกับความช่างรู้ของเสี่ยวชุ่ยยิ่งนัก นางจึงให้ความร่วมมือกับเสี่ยวชุ่ยเป็นอย่างดี อาภรณ์ที่เสี่ยวชุ่ยเลือกให้นี้เป็นอาภรณ์เนื้อละเอียดสำหรับต้านลมหนาวได้เป็นอย่างดี สีสันของอาภรณ์เป็นสีสันสดใสในโทนสีชมพูอ่อนสลับขาวไล่ริ้วสีแดงสดมีลูกไม้ระบายตรงสาบเสื้อสาบแขนมีขนสัตว์ฟูพองอยู่รอบลำคอ เสี่ยวชุ่ยช่วยหลิงเวยแต่งตัวพร้อมทั้งทำผมปักปิ่นให้นางเสร็จสรรพนี่นับว่าหลิงเวยได้รับการปรนนิบัติม้วนผมจากสาวใช้มากฝีมือเป็นครั้งแรกหลังจากแต่งงานมา เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ฟงชินหยางมักจะมองนางเป็นตุ๊กตา เขามักจะจริงจังเสมอมากับการม้วนผมให้นาง และการม้วนผมของเขานั้นก็เรียกสายตาขบขันจากคนที่บ้านฟงได้เป็นอย่างดี “คันฉ่องเจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยแต่งกายม้วนผมและแต่งหน้าให้หลิงเวยเสร็จก็รีบนำคันฉ่องเอามาให้เจ้านายตรวจดูผลที่ได้ทำให้หลิงเวยรู้สึกพึงใจยิ่งนัก เสี่ยวชุ่ยนั้นนับได้ว่ามีฝีมือด้านนี้มากเลยทีเดียวหลิงเวยนั้นเมื่อได้แต่งหน้าทำผมแบบเต็มยศแล้วนับได้ว่าเป็นสาวงามไม่น้อยหน้าผู้ใด นางจัดได้ว่างดงามเทียบเคียงกับเหล่าชายาหรือเหล่าองค์หญิงเลยทีเดียวนั่นจึงทำให้เสี่ยวชุ่ยนึกปลื้มปริ่มยิ่งนั
เสียงพูดคุยอย่างออกรสออกชาติสรวลเสเฮฮายังคงดังระงมทว่าเพียงไม่นานเสียงของมหาขันทีพลันดัง“ฮ่องเต้เสด็จ...”ตามด้วยพระวรกายสูงค่าในอาภรณ์สูงส่งทะมัดทะแมงขับใบหน้าให้หล่อเหลาผลักดันอายุให้ดูหนุ่มแน่นของฮ่องเต้พลันดำเนินเสด็จมา พระองค์ดำเนินเสด็จตามด้วยฮองเฮาและสนมคนโปรดทั้งสอง ทุกชีวารายรอบพร้อมกันลุกขึ้นยืนก่อนจะยอบกายลงคุกเข่าโค้งศีรษะทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียงเมื่อองค์เหนือหัวทรงนั่งประจำยังตำแหน่งที่ประทับพร้อมสตรีสูงศักดิ์ตามลำดับเป็นที่เรียบร้อย เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนพลทั้งหลายจึงกลับลงนั่งยังตำแหน่งดังเดิม เฉินหยางหมิงเซียนฮ่องเต้ตรัสคำปราศรัยเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็นการเปิดงานและเพียงไม่นานดนตรีก็เริ่มบรรเลงตามด้วยการแสดงที่องค์ชายและองค์หญิงเตรียมมาเพื่อเอาใจเสด็จพ่อของพวกเขาหนึ่งในชุดการแสดงนั้นมีองค์หญิงยู่ว์เจินที่แต่งกายเป็นบุรุษนั่งอยู่กับฟงชินหยางและเฉินหยางหลงได้ขึ้นแสดงฝีมือด้วย เมื่อได้เวลาการแสดงของยู่ว์เจิน นางจึงลุกขึ้นยืนอย่างสง่างามแล้วหันหน้าเข้าหาฟงชินหยางพร้อมยกสองนิ้วขึ้นชี้ที่ดวงตาเรียวสวยของตนแล้วชี้ไปทางฟงชินหยางเป็นเชิงหยอกเย้าฟงชินหยางว่าให้จับต
การแสดงความสามารถต่อหน้าพระพักตร์จบไปหลากหลายรูปแบบท่ามกลางสายตาชื่นชมของผู้คนรายรอบฟงชินหยางยังคงนั่งร่ำสุรากับเหล่าขุนพลทั้งหลายตามวิสัย เขามักจะพูดคุยกับเหล่าสหายอย่างถูกคอจนมิได้สนใจใคร ในขณะที่เฉินหยางหลงยังคงดำเนินการตามแผนอันชั่วร้ายหมายให้ภรรยาเข้าใจผิดสามีต่อไปโดยมียู่ว์เจินให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เฉินหยางหลงรู้ดีถึงนิสัยของสหายฟงชินหยางนั้นเป็นคนดิบเถื่อนแข็งกระด้างมิใช่บุรุษละเอียดอ่อนเข้าอกเข้าใจผู้ใด ยามออกศึกแต่ละครั้งฟงชินหยางกับพวกพ้องมักจะบ้าระห่ำพุ่งชนไม่เคยหันหน้ามามองข้างหลัง กระทั่งยามศึกสงบมีสาวงามมายั่วยวนเพื่อปรนนิบัติ ฟงชินหยางยังขลุกอยู่กับเหล่าขุนพลและสนใจแค่กระดานทรายกับธงเล็กหลากสีจำลอง และยามนี้ย่อมไม่ต่าง เมื่อมีการศึกตามเงื่อนไขล่าสัตว์ที่ได้รับพระบัญชาและได้อยู่กับเหล่าขุนพลทั้งหลายอย่างนี้ ฟงชินหยางย่อมต้องลืมภรรยาตัวน้อยไปเสียสิ้นเฉินหยางหลงนั่งร่ำสุรากับฟงชินหยางร่วมกับเหล่าขุนพลด้วยความคิดอย่างนั้นอยู่ภายในใจ โดยหารู้ไม่ว่าเขาเขาพลาดอีกแล้ว...หลิงเวยยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิมอย่างใช้ความคิด ในขณะที่เสียงหวานแหลมของฮุ่ยจินยังคงดังกัง
ท่ามกลางเหล่าขุนพลที่เคยเคียงข้างร่วมรบกันมา ฟงชินหยางกำลังนั่งคุยกับเหล่าสหายที่เป็นขุนพลอย่างถูกปากถูกคอเพราะได้คุยในเรื่องเดียวกันตามประสาของชายชาติทหารชาตินักรบสายงานเดียวกัน“คราศึกเจี้ยนหยาง ข้าล่ะคันมือ ไม่น่าเจอสัญญาสงบศึกเลยให้ตาย!” เสียงของแม่ทัพแห่งราชวังฝั่งประจิมเริ่มเสียงดังหลังจากยกจอกเหล้าเข้าปากไปหนึ่งอึกใหญ่ “เจ้าแม่ทัพของพวกมันบังอาจชี้หน้าข้า ฮึ!”“ฮ่า ฮ่า ก็เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ มันชี้มาด้วยนิ้วมืออันสั่นเทาเสียขวัญอย่างไรเล่า” เสียงของแม่ทัพราชวังฝั่งบูรพาเอ่ยขัด“นี่ไม่นับว่าอัปลักษณ์” แม่ทัพฝั่งประจิมกล่าวคำพลางชี้ใบหน้าของตนที่มีรอยแผลบากลากยาว “นี่นับว่าเป็นสัญลักษณ์”“อ่า...ใช่ๆ สัญลักษณ์” เสียงขุนพลหลายคนสอดประสาน “ฮ่าฮ่า ย่อมเป็นเช่นนั้น” เสียงหัวเราะพลันดังฟงชินหยางเพียงนั่งร่วมรับฟังและหัวร่อกับสหายโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น นอกจากเสียงหลากหลายของบุรุษแล้วยังคงมีเสียงหวานใสของยู่ว์เจินที่ยังคงพยายามเหลือเกินกับฟงชินหยางหวังเพียงให้เขาสนใจนางเท่านั้นในค่ำคืนนี้ “อาหยาง...ท่านมีสัญลักษณ์หรือไม่” ฟงชินหยางเพียงปรายสายตามององค์หญิงยู่ว์เจินอึดใจก่อนเบนสายตาก
อวี้ถิงที่ยืนมองอยู่ตรงมุมมืดนั้นเห็นองค์หญิงหน้าไม่อายกำลังเกิดอาการอับอายขีดสุดจึงแสยะยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจหญิงสาวเพียงยกขวดยาในมือขึ้นใช้สายตาชั่วร้ายเพ่งมองมันฝ่าความมืด ยาที่ถูกบรรจุอยู่ในขวดนี้แน่นอนว่ามิใช่ยาพิษ เพราะถ้าหากว่าองค์หญิงอะไรนั่นตายความวุ่นวายคงบังเกิด การควานหาตัวคนร้ายคงเอิกเกริกยิ่งใหญ่ และนางก็คงไม่รอดแต่ทว่ายาที่อยู่ในขวดนี้เป็นเพียงแค่ยาสมุนไพรก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ตั่วอึ๊ง หมั่งเซียว ฮวงเสี่ยเฮี่ยะ เซเซียวเต่า แบะตง ผู่เจีย กำจื้อ ชิงหล่อชัง เก่าจ้อ จุยโอ่ว ทุกตัวยาล้วนร่วมด้วยช่วยกันในการขับสิ่งปฏิกูลให้ออกมาในเวลาอันรวดเร็วเร็วมาก!อา...น่าอายแทนเสียจริง แล้วอย่างนี้ องค์หญิงยังจะกล้ามองหน้าผู้ใดได้อีกหรือไม่ หึหึ! ท่ามกลางสายลมโบกโชย ท่ามกลางงานเลี้ยงยามราตรี ท่ามกลางความเงียบงันของเหล่าขุนพล ท่ามกลางกลิ่นแปลกๆ ที่กำลังตลบอบอวลตามสายลมบางเบายามไล้เข้าปะทะจมูกของทุกผู้คนองค์หญิงยู่ว์เจินเริ่มทนไม่ได้อีกต่อไป นางต้องรีบออกจากกลุ่มนี้โดยไว ก่อนที่จะมีสิ่งใดไหลออกมาไม่ไหวแล้ว...หญิงสาวพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วยืนอย่างปกติที่สุดในชีวิตแล้วค่อยๆ
ฮูหยินท่านนั้นรีบตอบความ “ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด แต่ประเด็นเริ่มเปลี่ยนไป มันมิใช่ประเด็นการสร้างทายาทอีกแล้ว”“อย่างไรหรือ?” ฮูหยินอีกท่านรีบต่อความ “สามีของข้าร่วมรักกับภรรยาใหม่ของเขานางนั้นในทุกๆ คืน พวกเขาร่วมรักกันทั้งยังร้องร่ำคร่ำครวญอย่างรัญจวนจนข้านอนไม่หลับเลยสักคืนเยี่ยงนั้นอยู่เป็นนานหลายเดือนก็ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด สตรีนางนั้นยังคงไม่ตั้งครรภ์เสียที แม่สามีจึงหาสตรีงดงามให้แต่งเข้าบ้านมาอีกนางหนึ่ง ครานี้เสียงครวญครางและเสียงเตียงยังคงดังโครมครามจนรุ่งสางในทุกค่ำคืน แต่สตรีนางนั้นก็ยังไม่ตั้งครรภ์ จนกระทั่งแต่งภรรยาใหม่เข้ามาอีกนาง เสียงครวญครางยังคงดังระงมในทุกค่ำคืนหากแต่ข่าวดีก็ยังไม่มีเฉกเช่นดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือจิตใจของสามีที่บอกว่ารักข้าเพียงหนึ่งเดียว เขาเริ่มเปลี่ยนไป... ในยามนี้เขาไม่ใคร่ใส่ใจกับการมีบุตรเสียแล้ว เขาช่างรื่นเริงบันเทิงอย่างที่สุดในทุกค่ำคืน” “อา...” เสียงคราฮือฮาพลันดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงเห็นได้ชัดว่าจิตใจของบุรุษช่างไม่แน่นอนเมื่อเจอสตรีงดงามและได้ร่วมรักหลากหลายหลิงเวยได้แต่เงียบฟังด้วยใจตั้งมั่นเม้มปากแน่นแน่นอนว่าฟงชิ
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้