การแสดงความสามารถต่อหน้าพระพักตร์จบไปหลากหลายรูปแบบท่ามกลางสายตาชื่นชมของผู้คนรายรอบ
ฟงชินหยางยังคงนั่งร่ำสุรากับเหล่าขุนพลทั้งหลายตามวิสัย เขามักจะพูดคุยกับเหล่าสหายอย่างถูกคอจนมิได้สนใจใคร
ในขณะที่เฉินหยางหลงยังคงดำเนินการตามแผนอันชั่วร้ายหมายให้ภรรยาเข้าใจผิดสามีต่อไปโดยมียู่ว์เจินให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
เฉินหยางหลงรู้ดีถึงนิสัยของสหาย
ฟงชินหยางนั้นเป็นคนดิบเถื่อนแข็งกระด้างมิใช่บุรุษละเอียดอ่อนเข้าอกเข้าใจผู้ใด ยามออกศึกแต่ละครั้งฟงชินหยางกับพวกพ้องมักจะบ้าระห่ำพุ่งชนไม่เคยหันหน้ามามองข้างหลัง กระทั่งยามศึกสงบมีสาวงามมายั่วยวนเพื่อปรนนิบัติ ฟงชินหยางยังขลุกอยู่กับเหล่าขุนพลและสนใจแค่กระดานทรายกับธงเล็กหลากสีจำลอง และยามนี้ย่อมไม่ต่าง เมื่อมีการศึกตามเงื่อนไขล่าสัตว์ที่ได้รับพระบัญชาและได้อยู่กับเหล่าขุนพลทั้งหลายอย่างนี้
ฟงชินหยางย่อมต้องลืมภรรยาตัวน้อยไปเสียสิ้น
เฉินหยางหลงนั่งร่ำสุรากับฟงชินหยางร่วมกับเหล่าขุนพลด้วยความคิดอย่างนั้นอยู่ภายในใจ โดยหารู้ไม่ว่าเขา
เขาพลาดอีกแล้ว...
หลิงเวยยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิมอย่างใช้ความคิด ในขณะที่เสียงหวานแหลมของฮุ่ยจินยังคงดังกังวานอยู่ข้างๆ ใบหูของหลิงเวยตลอดเวลา
“แม่ทัพฟงเป็นบุรุษที่มีเสน่ห์ยิ่งนัก สตรีหลายนางชมชอบเขาทั้งยังแสดงออกฉายชัด และแต่ละนางยังไม่ธรรมดา”
ฮุ่ยจินหรี่ตามองไปทางฟงชินหยางแล้วเอ่ยคำตามภาพที่นางได้เห็น
นางเห็นมีสตรีอีกนางหนึ่งพยายามส่งสายตาหยาดเยิ้มไปทางฟงชินหยางอยู่ตลอดเวลา ยามเมื่อสตรีนางนั้นออกมาร่ายรำเห็นได้ชัดว่าสตรีนางนั้นกำลังร่ายรำยั่วยวนไปทางใคร
สตรีนางนั้นเป็นองค์หญิงต่างแคว้นที่ได้รับคำเชิญตามประเพณีอันสำคัญประจำปี องค์หญิงต่างแคว้นผู้นี้เป็นธิดาของอ๋องเฉินจิ้นเหอผู้เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้แคว้นเฉินที่อภิเษกสมรสกับองค์หญิงต่างแคว้นแล้วปกครองแคว้นนั้นเพื่อเป็นดั่งแคว้นพี่แคว้นน้องในลักษณะครองหัวเมืองหลักสืบมา องค์หญิงผู้นั้นมีนามว่าจินเยว่ชิง
“หากเจ้ายังทำใจเย็นเยี่ยงนี้แล้วสามีถูกนางจิ้งจอกทั้งหลายลากเอาสามีไปกิน ข้าคงทำได้เพียงเก็บซากของเจ้าเอามาส่งให้สวามีของข้ากินเล่นต่อไป” ฮุ่ยจินเอ่ยเพียงเบาๆ แต่ทว่ากลับดังก้องกังวานอยู่เป็นนานในใบหูน้อยๆ ของหลิงเวย
หลิงเวยเพียงหลับตาข่มกลั้นความรู้สึกบางอย่าง
แน่นอนว่าบุรุษที่ฮุ่ยจินกล่าวถึงคือสามีของนาง และนางเป็นฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวของเขา
ในยามนี้นางเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านแม่ถึงทำทุกอย่างเพื่อดึงความสนใจมาจากบิดา กระทั่งต้องฟาดฟันกับเหล่าภรรยาทั้งหลายของบิดาจนได้เลือดอาบร่าง ท่านแม่ก็ยังคงแน่วแน่ที่จะกระทำไม่เคยมีถอย ความรู้สึกเช่นนั้นนางเริ่มเข้าใจ
หากแต่นางคงไม่สามารถเข้าไปต่อกรกับสตรีทั้งหลายได้ด้วยฝีมือของนางยังด้อยและห่างชั้นยิ่งนัก
แต่ถึงกระนั้นนางย่อมไม่ควรถอย
“พระชายา” หลิงเวยลืมตาขึ้นมาพร้อมประกายวาบบางอย่างแล้วเริ่มเอ่ยคำหลังจากที่เพียงนั่งเงียบงันอยู่เป็นนาน
“ว่ามา!” ฮุ่ยจินตอบรับขณะนั่งจิบชาพลางปรายสายตามองแบบจิกกัดไปทางเฉินหยางหลงที่ยังคงมองมาทางหลิงเวยอย่างหมายมาด
“ในเมื่อพวกสตรีต่างพากันแสดงออกมาว่าชมชอบสามีของหม่อมฉัน” หลิงเวยกล่าวคำเนิบนาบ “เช่นนั้นแล้วหากหม่อมฉันจะแสดงออกมาบ้างว่ารักสามีมากมายเช่นกัน พระชายาจักช่วยเหลือหม่อมฉันได้หรือไม่”
ฮุ่ยจินกลั้วหัวเราะในลำคอแล้วยกยิ้มพึงใจ
“แน่นอนข้าย่อมช่วยเจ้า” นางกล่าวคำพลางปรายสายตาโฉบเฉี่ยวร้ายกาจมองมาที่หลิงเวย “ช่วยตอกย้ำสวามีของข้าทีเถิดว่าเจ้ารักสามีของเจ้ามากมายปานใด”
หลิงเวยได้ฟังคำจึงคลี่ยิ้มงดงามอ่อนหวาน มองสบสายตาร้ายกาจของฮุ่ยจินอย่างรู้ความนัยและใจตรงกัน...
ท่ามกลางเหล่าขุนพลที่เคยเคียงข้างร่วมรบกันมา ฟงชินหยางกำลังนั่งคุยกับเหล่าสหายที่เป็นขุนพลอย่างถูกปากถูกคอเพราะได้คุยในเรื่องเดียวกันตามประสาของชายชาติทหารชาตินักรบสายงานเดียวกัน“คราศึกเจี้ยนหยาง ข้าล่ะคันมือ ไม่น่าเจอสัญญาสงบศึกเลยให้ตาย!” เสียงของแม่ทัพแห่งราชวังฝั่งประจิมเริ่มเสียงดังหลังจากยกจอกเหล้าเข้าปากไปหนึ่งอึกใหญ่ “เจ้าแม่ทัพของพวกมันบังอาจชี้หน้าข้า ฮึ!”“ฮ่า ฮ่า ก็เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ มันชี้มาด้วยนิ้วมืออันสั่นเทาเสียขวัญอย่างไรเล่า” เสียงของแม่ทัพราชวังฝั่งบูรพาเอ่ยขัด“นี่ไม่นับว่าอัปลักษณ์” แม่ทัพฝั่งประจิมกล่าวคำพลางชี้ใบหน้าของตนที่มีรอยแผลบากลากยาว “นี่นับว่าเป็นสัญลักษณ์”“อ่า...ใช่ๆ สัญลักษณ์” เสียงขุนพลหลายคนสอดประสาน “ฮ่าฮ่า ย่อมเป็นเช่นนั้น” เสียงหัวเราะพลันดังฟงชินหยางเพียงนั่งร่วมรับฟังและหัวร่อกับสหายโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น นอกจากเสียงหลากหลายของบุรุษแล้วยังคงมีเสียงหวานใสของยู่ว์เจินที่ยังคงพยายามเหลือเกินกับฟงชินหยางหวังเพียงให้เขาสนใจนางเท่านั้นในค่ำคืนนี้ “อาหยาง...ท่านมีสัญลักษณ์หรือไม่” ฟงชินหยางเพียงปรายสายตามององค์หญิงยู่ว์เจินอึดใจก่อนเบนสายตาก
อวี้ถิงที่ยืนมองอยู่ตรงมุมมืดนั้นเห็นองค์หญิงหน้าไม่อายกำลังเกิดอาการอับอายขีดสุดจึงแสยะยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจหญิงสาวเพียงยกขวดยาในมือขึ้นใช้สายตาชั่วร้ายเพ่งมองมันฝ่าความมืด ยาที่ถูกบรรจุอยู่ในขวดนี้แน่นอนว่ามิใช่ยาพิษ เพราะถ้าหากว่าองค์หญิงอะไรนั่นตายความวุ่นวายคงบังเกิด การควานหาตัวคนร้ายคงเอิกเกริกยิ่งใหญ่ และนางก็คงไม่รอดแต่ทว่ายาที่อยู่ในขวดนี้เป็นเพียงแค่ยาสมุนไพรก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ตั่วอึ๊ง หมั่งเซียว ฮวงเสี่ยเฮี่ยะ เซเซียวเต่า แบะตง ผู่เจีย กำจื้อ ชิงหล่อชัง เก่าจ้อ จุยโอ่ว ทุกตัวยาล้วนร่วมด้วยช่วยกันในการขับสิ่งปฏิกูลให้ออกมาในเวลาอันรวดเร็วเร็วมาก!อา...น่าอายแทนเสียจริง แล้วอย่างนี้ องค์หญิงยังจะกล้ามองหน้าผู้ใดได้อีกหรือไม่ หึหึ! ท่ามกลางสายลมโบกโชย ท่ามกลางงานเลี้ยงยามราตรี ท่ามกลางความเงียบงันของเหล่าขุนพล ท่ามกลางกลิ่นแปลกๆ ที่กำลังตลบอบอวลตามสายลมบางเบายามไล้เข้าปะทะจมูกของทุกผู้คนองค์หญิงยู่ว์เจินเริ่มทนไม่ได้อีกต่อไป นางต้องรีบออกจากกลุ่มนี้โดยไว ก่อนที่จะมีสิ่งใดไหลออกมาไม่ไหวแล้ว...หญิงสาวพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วยืนอย่างปกติที่สุดในชีวิตแล้วค่อยๆ
เสียงหวานกังวานใสทำให้ฟงชินหยางที่มิได้สนใจการแสดงของใครๆ ก่อนนี้ต้องหันหน้าไปมองในทันที“อ่า...นั่น สตรีงดงามนางนั้น” ขุนพลในกลุ่มเริ่มเอ่ยคำพาสหายทั้งหลายให้หันมองตามอย่างตื่นเต้นสามัคคี “ภรรยาของแม่ทัพฟง!” ทุกคนเอ่ยออกมาพร้อมดวงตาพราวระยับแสดงความชมชอบฉายชัดกันถ้วนหน้าเฉินหยางหลงถึงกับชะงักนิ่งนั่งมองหลิงเวยกลางลานการแสดงอย่างตะลึงงัน ในขณะที่ฮุ่ยจินอยากจะหัวเราะร่าดูเถิดดูหน้าพระสวามี!เสียงแว่วหวานของหลิงเวยยังคงเอ่ย “ข้าขอมอบบทเพลงบุปผาสายชลนี้ให้สามีของข้าแต่เพียงผู้เดียว ฟงชินหยาง!” นางกล่าวพลางปรายสายตาสวยหวานมองตรงมายังเจ้าของนามทำเอาเจ้าของนามถึงกับอึ้งตะลึงจ้องมอง อึดใจข้ารับใช้ของฮุ่ยจินก็เดินนำพิณประดับทองคำมามอบให้หลิงเวยกลางลานการแสดงโอรสสวรรค์คลี่ยิ้มอบอุ่นรอชมการแสดงที่ไม่คาดฝันจากหลานสะใภ้ตรงหน้าพลางจับมือฮองเฮาข้างกายมาตบเบาๆ ด้วยความเคยชิน ก่อนจะทรงส่งสัญญาณเป็นเชิงอนุญาตให้หลิงเวยได้เริ่มการแสดงในเวลาต่อมา หลิงเวยยอบกายทำความเคารพนายเหนือหัวอีกคราแล้วค่อยๆ นั่งลงตรงหลังเครื่องสายทองคำด้วยท่วงท่างดงามอ่อนหวานแต่ทรงพลังก่อนจะเริ่มกรีดกรายนิ้วมือเรียวเล็
ความเงียบงันปกคลุมทั่วพื้นที่ ความงดงามหวานล้ำของสตรีกลางลานแสดงกำลังครอบงำทุกผู้คนหลิงเวยกำลังตรึงสายตาทั้งยังหยุดลมหายใจของทุกคนรายรอบได้อย่างไม่น่าเชื่อนี่นับว่าเป็นการประกาศศักดาของภรรยานางหนึ่งที่กล้ากระทำต่อสามี นางกล้าประกาศกร้าวเยี่ยงนี้ต่อหน้าสักขีพยานที่เป็นถึงเจ้าแห่งแผ่นดิน ทั้งยังมีเชื้อพระวงศ์และขุนพลนับร้อยเป็นสักขีพยานร่วมกันนับเป็นการประกาศความเป็นเจ้าของยิ่งกว่าการแต่งงานเสียอีกฮุ่ยจินเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืนแล้วปรบมือเสียงแปะๆ ดังขึ้นจากฮุ่ยจินนำพาเสียงปรบมือค่อยๆ ดังขึ้นจากทุกผู้ทุกคนจนกระทั่งดังกระหึ่มกังวานไปทั่วบริเวณฮ่องเต้ถึงกับแย้มสรวลกว้างขวางหันมองหน้าฮองเฮาคนงามข้างกาย ทั้งสองพระองค์มองตอบสบสายตากันอย่างพึงใจกับการแสดงในชุดนี้ นับว่าเป็นการแสดงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยรับชมฮองเฮานึกชมชอบสตรีนางน้อยผู้นี้ยิ่งนัก สตรีนางนี้เป็นเจ้าของกระดาษภาพวาดมวลบุปผาที่ฮ่องเต้ทรงนำมาให้พระนางดูชมเมื่อวันก่อนเดินทาง จะมีสตรีสักกี่นางกันที่มีความสามารถมากมายแต่กลับเก็บงำเอาไว้ทั้งยังกล้าหาญชาญชัยบอกรักสามีกลางธารกำนัลแค่เพียงความกล้าที่จะบอกรักกันเป็นการส่วนตัวยังนับว่
สองสามีภรรยายังคงยืนอย่างงามสง่าใจกลางลานแสดง แต่ทว่าสายตาที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นคืออันใดฮ่องเต้ที่นั่งลุ้นอยู่ไม่ไกลจึงเริ่มกระแอมไอออกมา“เจ้าทั้งสอง ใจเย็นเถิด...” สุรเสียงอบอุ่นของเจ้าแห่งแผ่นดินทำสองสามีภรรยาหลุดออกจากภวังค์ใบหน้าของทั้งสองที่คล้ายกับดึงดูดกันและกันจนริมฝีปากเกือบประกบกันเมื่อครู่จึงขยับถอยออกมาบุคคลรายรอบถึงกับครางฮือเบาๆพวกเขากำลังเสียดายแทน อีกนิดเดียวเท่านั้นอยากเห็นคนจูบกันยิ่งแล้ว...ท่ามกลางแสงจันทร์สีนวลสาดส่องสีขาวเนียนเป็นยองใย ภายในหุบเขาบนผืนป่าพนาไพรที่ใช้เป็นสถานที่ตั้งกระโจมในพิธีการล่าสัตว์ป่าประจำปี เยื้องออกมาไกลๆ จากกระโจมที่พักหลายหลังที่ถูกแยกฝั่งชายหญิง มีสองเงาร่างของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีกำลังนั่งเคียงข้างกันอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ใต้ร่มไม้กลมกลืนไปกับความมืดทั้งๆ ที่เป็นเงาของคนสองคนแต่ทว่าเมื่อมองดูแล้วคล้ายกับมีแค่เพียงเงาร่างเดียวกระนั้น พวกเขากำลังนั่งซ้อนกันหาได้นั่งแบบปกติดีๆ ไม่“ตรงนี้เลยหรือ” เสียงแว่วหวานเอ่ยถามยามถูกจับยกให้นั่งลงบนตักแกร่ง“ตรงนี้เลย” เสียงแหบพร่าเอ่ยตอบก่อนก้มหน้าลงหมายรุกล้ำแทรกซึม“ไยไม่ไปทำในกระโจมเ
“ท่านหิวหรือไม่ ข้าไปหาอะไรมาให้ท่านกินดีกว่า” หลิงเวยเอ่ยถามคนตัวโตก่อนจะรีบเปลี่ยนเส้นทางการเดินหันหน้าไปทางกระโจมที่แปลงเป็นโรงครัวชั่วคราวที่อยู่ถัดออกไปอีกหลายสิบจั้งในทันที โดยไม่มีการรีรอคำตอบรับอันใดเนื่องจากนางก็หิวเช่นกัน เขาดูดกลืนพลังของนางไปจนหมดเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมาฟงชินหยางจึงหยุดเดินแล้วมองหาโต๊ะที่มีตั่งนั่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากหน้ากระโจมของเขา เมื่อนั่งลงเรียบร้อยเขาจึงสังเกตได้ว่าเหล่าผู้คนทั้งหลายต่างพากันนอนหลับพักผ่อนไปแล้วยังกระโจมใครกระโจมมัน เหลือเพียงเสียงสรวลเสเฮฮาดังออกมาจากบางกระโจมแค่เพียงเท่านั้น โดยรอบบริเวณยังคงมีทหารเดินยามตามปกติชายหนุ่มพลันหรี่สายตาคมลงเพียงนิดเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคนส่งตรงมาทางเขาคนที่แอบมองเขาอยู่เป็นสตรี เขาสังเกตอยู่เป็นนานแล้วตั้งแต่เขากำลังใช้เวลาส่วนตัวอยู่กับภรรยา สตรีนางนั้นจ้องมองมาตลอดเวลาคล้ายกับพวกโรคจิตมีความวิปริตไม่ธรรมดาสตรีบ้าอะไรแอบมองคนอื่นพลอดรักกัน!อวี้ถิงคือสตรีนางนั้นนางเริ่มทนไม่ได้อีกต่อไป หลังจากที่นางต้องไปนั่งเฝ้าองค์หญิงยู่ว์เจินปลดทุกข์พร้อมคอยหอบหญ้าเหมาเฉ่าเอาไปปิดปากหลุมให้องค์หญิงอยู่เ
ตั่งยาวหน้ากระโจมที่ยังคงมีบุรุษตัวโตนั่งอยู่นิ่งงันเพื่อรอฟังความจากสตรีตรงหน้าอย่างใจเย็นฟงชินหยางนั่งรอฟังคำจากสตรีตรงหน้าพลางหรี่ตามองนางด้วยสายตาแฝงความรังเกียจเด่นชัด สตรีนางนี้แอบมองเขากับหลิงเวยร่วมรักกัน น่ารังเกียจยิ่ง! “ข้าชอบท่าน” อวี้ถิงถอนหายใจหนึ่งคราแล้วเริ่มเอ่ยคำอย่างเชื่องช้า “ข้าชอบท่านตั้งแต่แรกเห็น ข้าชมชอบท่านมานาน ท่านแม่ทัพฟง” นางตัดสินใจแล้ว นางควรบอกความจริง นางจะไม่ทนอีกต่อไป การแอบรักมันทรมาน การผิดแผนช่างทรมานยิ่งฟงชินหยางยังคงนั่งนิ่งเฉยชา เขายังคงหรี่ตามองนางเพื่อรอฟังคำของนางนิ่งๆ อยากพล่ามอันใดก็พล่ามมา “ควรเป็นข้าที่ได้แต่งงานกับท่าน ไม่ควรเป็นสตรีนางใด”ฟงชินหยางได้ฟังถึงกับเลิกคิ้วขึ้น แต่ยังคงเงียบงันพลันประมวลผล“สตรีนางนั้นน่าไม่อาย นางบังอาจเข้ามาสวมรอยข้าบนเตียงนอนของท่าน” อวี้ถิงเปล่งเสียงสั่นพร่านัยน์ตาเริ่มแวววาวฉายความแค้นเคืองเกินเก็บข่ม ฟงชินหยางเริ่มหรี่ตามองอีกคราพลางกอดอกเคาะนิ้วมือเป็นจังหวะอย่างต้องการประเมินสตรีตรงหน้า“ควรเป็นข้าที่ได้เป็นภรรยาของท่าน เราควรได้เป็นสามีภรรยากัน ควรเป็นข้ากับท่าน มิใช่สตรีนางนั้น ท่านแม่ทั
เฉินหยางหลงยังคงเงียบงันตีหน้ามึน หลิงเวยจึงรีบเอ่ยคำย้ำเตือนอย่างเจาะจงมากยิ่งขึ้น“บุรุษสูงศักดิ์ชาติกำเนิดสูงส่งย่อมเข้าใจได้ไม่ยากเพคะ”“...”เฉินหยางหลงยิ่งฟังยิ่งหางคิ้วกระตุกแต่ยังมึนไม่ยินยอม“ข้าไม่เข้าใจ”“...”ครานี้เป็นหลิงเวยบ้างที่คิ้วกระตุก“หากเจ้าเปิดโอกาสให้ข้า รับรองว่าข้าไม่มีทางแพ้อาหยางแน่ๆ” เขามั่นใจในความเป็นบุรุษเพศของตนเองยิ่งนัก“ไม่มีโอกาสนั้นเพคะ”“...”“สำหรับหม่อมฉันต้องชินหยางเท่านั้น”“...”หลิงเวยแสดงความกล้าหาญออกมาได้อย่างน่าชมนอกจากนางไม่คิดที่จะหนีแต่อย่างใดนางยังกล้ายืนจ้องมองเข้ามาในดวงตาคู่คมของบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้า ไร้แววสั่นไหวแม้แต่น้อยสตรีขี้กลัวที่เอาแต่หลบตาเดินหนี หน้าแดงหูแดงน้ำใสปริ่มๆ อยู่เต็มขอบตาตลอดเวลาในตลาดวันนั้นได้หายไปแล้วเฉินหยางหลงได้แต่ยืนนิ่งด้วยคาดไม่ถึงว่านางจะกล้าเอ่ยคำตัดรอนเขาถึงเพียงนี้ สมแล้วที่เป็นภรรยาของฟงชินหยางเจ้าสหายบ้าเลือดของเขา...บุรุษร่างสูงในอาภรณ์บ่งบอกฐานันดรสูงศักดิ์กำลังเดินมาตามทางผ่านกระโจมประจำตำแหน่งอ๋องไป ด้วยภายในใจคิดจะไปกระโจมของสหายเพื่อร่ำสุราค่ำคืนนี้เขารู้สึกอารมณ์ดียิ่งนัก เขากำล
ฮูหยินท่านนั้นรีบตอบความ “ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด แต่ประเด็นเริ่มเปลี่ยนไป มันมิใช่ประเด็นการสร้างทายาทอีกแล้ว”“อย่างไรหรือ?” ฮูหยินอีกท่านรีบต่อความ “สามีของข้าร่วมรักกับภรรยาใหม่ของเขานางนั้นในทุกๆ คืน พวกเขาร่วมรักกันทั้งยังร้องร่ำคร่ำครวญอย่างรัญจวนจนข้านอนไม่หลับเลยสักคืนเยี่ยงนั้นอยู่เป็นนานหลายเดือนก็ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด สตรีนางนั้นยังคงไม่ตั้งครรภ์เสียที แม่สามีจึงหาสตรีงดงามให้แต่งเข้าบ้านมาอีกนางหนึ่ง ครานี้เสียงครวญครางและเสียงเตียงยังคงดังโครมครามจนรุ่งสางในทุกค่ำคืน แต่สตรีนางนั้นก็ยังไม่ตั้งครรภ์ จนกระทั่งแต่งภรรยาใหม่เข้ามาอีกนาง เสียงครวญครางยังคงดังระงมในทุกค่ำคืนหากแต่ข่าวดีก็ยังไม่มีเฉกเช่นดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือจิตใจของสามีที่บอกว่ารักข้าเพียงหนึ่งเดียว เขาเริ่มเปลี่ยนไป... ในยามนี้เขาไม่ใคร่ใส่ใจกับการมีบุตรเสียแล้ว เขาช่างรื่นเริงบันเทิงอย่างที่สุดในทุกค่ำคืน” “อา...” เสียงคราฮือฮาพลันดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงเห็นได้ชัดว่าจิตใจของบุรุษช่างไม่แน่นอนเมื่อเจอสตรีงดงามและได้ร่วมรักหลากหลายหลิงเวยได้แต่เงียบฟังด้วยใจตั้งมั่นเม้มปากแน่นแน่นอนว่าฟงชิ
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้