และทั้งๆ ที่เขากำลังใส่ผ้าให้นางแต่เขากลับถอดมันออกแล้วทำอย่างอื่นกับนางอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะเริ่มต้นอาบน้ำให้นางใหม่ด้วยลีลาเหนือชั้นอย่างรัญจวนแล้วใส่ผ้าให้นางอีกที
เขาทำการเอาแต่ใจกับนางอยู่หลายหนหลายทีจนเล็บมือของนางแทบหัก นางจิกเล็บบนตัวของเขาจนปวดมือไปหมด ลำคอของนางก็แห้งผากแทบเป็นผุยผง นางครางจนไม่เป็นภาษา ยามที่เขาออกกระบวนท่าแต่ละลีลา เขาทำให้นางคล้ายกับลอยอยู่ในอากาศ
เราทั้งสองมิได้เอ่ยปากพูดจาสิ่งใดต่อกันเพราะริมฝีปากของสองเรานั้นประกบกันอยู่ตลอดเวลา ฝ่ามือใหญ่หนาที่ควรใส่ผ้าให้นางกลับดึงผ้าออกแล้วกลายเป็นฝ่ามือไฟบรรลัยกัลป์ มันลากไล้ส่งผ่านความร้อนไปทั่วเนื้อตัวของนาง ตั้งแต่เนินอก โคนขาและบั้นท้าย เขาใช้ฝ่ามือพิฆาตกับนางตลอดเวลาทุกสัดส่วน
ริมฝีปากของเขาก็คล้ายกับว่าพ่นไฟได้ ลมหายใจก็เช่นกัน เป่ารดนางด้วยความร้อนสูงคล้ายออกมาจากปล่องไฟ
แต่ถึงกระนั้นนางกลับรู้สึกได้ว่าอบอุ่นดี
ผ้าห่มผืนใดไม่ต้องทำหน้าที่ของมันอีกต่อไป เมื่อมีใครบางคนแปรสภาพเป็นผ้าห่มผืนหนาแล้วห่อหุ้มตัวนางทั้งคืนกระทั่งเช้าได้อย่างนั้น
อากาศหนาวเย็นของฤดูกาลนี้มิได้หนาวเหน็บแต่อย่างใด เมื่อใครคนนั้นแปรสภาพเป็นเครื่องพ่นไฟให้นาง และที่เหนือชั้นยิ่งกว่านั้นก็คือ...
เอวและสะโพกของเขาช่างพลิ้วเสียเหลือเกิน อา...
เขาต้องการทำสิ่งใดนางยอมทั้งนั้น นางไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใดๆ ที่จะต่อต้านเขาเสียแล้ว
หลิงเวยยิ่งคิดยิ่งหน้าแดงร้อนแรงไปหมดเมื่อนึกถึงยามค่ำคืนที่ผ่านมา สามีของนางเมื่อยามกลางวันว่าดุดันมากแล้วในยามกลางคืนยิ่งดุดันมากนัก เขาดันเก่งยิ่ง!
อา...
นี่นางคิดอันใด?
หญิงสาวเอื้อมฝ่ามืออันสั่นเทาขึ้นลูบแก้มนวลเบาๆ เมื่อรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังมีปัญหาบางอย่างเสียแล้ว
นางกำลังติดใจเขา
ไม่จริง!
ทันใดนั้นผ้าม่านของรถม้าที่เคยปิดสนิทพลันถูกเปิดออกอย่างแรง หลิงเวยถึงกับผงะสะดุ้งเฮือกใหญ่ตกใจจริงจังจนดวงตากลมโตใบหน้าพองลมด้วยเพราะกลัวใครจะล่วงรู้ถึงความนัยอันน่าอายที่กำลังคิดคำนึง
และยิ่งต้องเบิกตากว้างขึ้นเมื่อได้เห็นบุรุษร่างใหญ่ใบหน้าคมคร้ามสายตาคมกริบที่นอนจ้องกันในระยะประชิดมาตลอดทั้งคืนเป็นผู้เปิดผ้าม่าน นางถึงกับตัวสั่นเทิ้มขวยเขินขีดสุดหลุดมาดมนุษย์กลายเป็นหุ่นไม้แข็งค้างนิ่งงัน
เขาจะรู้หรือไม่กันว่านางกำลังคิดถึงอันใด!
เจ้าของฝ่ามือหยาบกระด้างที่เปิดผ้าม่านอย่างรุนแรงถึงกับชะงักแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อมองเห็นนางผู้เป็นภรรยาสะดุ้งตกใจจนตัวโยกตัวโยนอาภรณ์หวามไหวดวงตาพองโตก่อนจะแข็งค้างไปอย่างนั้น
สงสัยเมื่อคืนเขาจะจัดหนักเกินไป!
ฟงชินหยางคิดอย่างนั้นจึงปิดผ้าม่านลงเช่นเดิม ความคิดที่จะพานางออกมาเปิดหูเปิดตาท่ามกลางทุ้งหญ้าภายใต้แผ่นฟ้าพลันต้องตกไป
ชายหนุ่มจึงละสายตาคมกล้าออกจากรถม้าและพาเรือนร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีขาวนวลปักลายพยัคฆ์เมฆาทมิฬควบม้าให้เดินเหยาะๆ ไปตามทางโดยไม่คิดจะเสวนากับสตรีในรถม้าแต่อย่างใด
เขายังคงดูแลตรวจตราขบวนเดินทางด้วยการขี่ม้าส่งเสียงคำรามสั่งการนายทหารติดตามขบวนให้ดูแลพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนและดูแลตรวจสอบอีกครั้งด้วยตนเองตลอดการเดินทาง
เหล่าบุรุษเรือนร่างกำยำหลายนายในอาภรณ์ทหารสีดำด้านพร้อมทำตามคำสั่งอย่างขยันขันแข็งถึงถ้าแม้ว่าผู้สั่งการเป็นบุรุษใบหน้าหล่อเหลาสวมอาภรณ์สีขาวนวลสบายตา แต่ทว่ากับภาพลายปักตรงด้านหน้าของเขาช่างน่ากลัวยิ่ง!
ในส่วนนี้ท่านแม่ทัพฟงที่น่ากลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งน่ากลัวเพิ่มขึ้นมาถึงแปดส่วน มิรู้ได้ว่าลายผ้าปักนั้นเป็นฝีมือของผู้ใด ช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งแล้ว...
เมื่อผ้าม่านของรถม้าถูกปิดลงตามเดิมหลิงเวยจึงคลายอาการตกใจแล้วกลับสู่ภาวะปกติก่อนจะหันซ้ายแลขวามองความว่างเปล่ารอบด้านอย่างเดียวดายเช่นเดิม
ครั้งยามนางนั่งรถม้าที่แปลงเป็นเกี้ยวเจ้าสาวเมื่อหลายวันก่อนเพื่อเดินทางไปเข้าพิธีแต่งงานที่จวนตระกูลฟงนั้นนางมีสาวใช้คอยประกบขนาบข้างตามคำสั่งบิดามิให้นางได้กระดิกตัวไปทางใด ถึงแม้ว่าครานี้นางได้นั่งอยู่เพียงลำพังในรถม้าคันใหญ่อย่างสะดวกสบายก็จริงอยู่ แต่ว่านางก็ยังไม่สามารถออกไปทางใดได้อยู่ดี มิรู้ได้ว่าด้านนอกรถม้าเป็นเช่นไร นางอยากออกไปเปิดหูเปิดตาเสียจริง อยู่ในรถม้าช่างอึดอัดยิ่ง
เมื่อคิดได้แล้วจึงเอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านของรถม้าออกก่อนจะเอียงหน้าน้อยๆ มองออกไปด้านนอกอย่างใคร่รู้ เพียงครู่นางจึงตัดสินใจส่งเสียงบอกสาวใช้ที่นั่งอยู่กับทหารผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งบังคับม้า“หยุดรถก่อน...”เมื่อเสียงแว่วหวานเอ่ยสั่งการ รถม้าจึงค่อยๆ หยุดเคลื่อนตัวเพียงอึดใจล้อของรถม้าจึงหยุดหมุนแล้วจอดนิ่งอยู่กับที่“ฮูหยินน้อยต้องการสิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้นามเสี่ยวชุ่ยรีบหันหน้ามายกยิ้มจนตาหยีถามอย่างสงสัย“ข้าขอชมทิวทัศน์รอบนอกตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่” หลิงเวยตัดสินเอ่ยถามด้วยถ้อยคำอ่อนหวานตามวิสัยที่ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไรโดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น แต่ถึงกระนั้นสาวใช้ตรงหน้าก็ยังทำท่ากลัวเกรงเป็นอย่างยิ่งถึงแม้ว่าภรรยาของคุณชายใหญ่จะเป็นสตรีที่งดงามอ่อนหวานถึงเพียงนี้ แต่ทว่าสตรีที่สามารถเอาคุณชายใหญ่อยู่หมัดได้ย่อมไม่ธรรมดา นี่นับว่าเป็นจอมบัญชาของยอดปีศาจเลยทีเดียวสาวใช้คิดในใจอย่างหวาดผวาอยู่ลึกๆ ด้วยสีหน้าปั้นยิ้มเก็บข่มความหวาดกลัวเอาไว้ได้มิดชิดแล้วรีบกระวีกระวาดลงจากรถม้าไปหยิบเอาตั่งรองเท้ามาวางเอาไว้ให้โดยไม่กล้าถามอันใดให้มากความหลิงเวยมองตามสาวใช้อย่างนึกฉงน นางกล
และแล้วการเดินทางของสองสามีภรรยาก็ใกล้เข้าถึงจวนของตระกูลหลิงเต็มทีหลิงเวยนึกตื่นเต้นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หนึ่งคือนางไม่มีน้องชายที่สนิทสนมมากพอที่จะออกมาต้อนรับนางตามพิธีการ สองคือคนในบ้านมองเห็นนางไร้ค่าไร้ตัวตนตลอดมากระทั่งบ่าวรับใช้ยังมองนางไร้ความหมายไม่มีใครภักดี ย้อนกลับไปเมื่อวันแต่งงาน ยามที่นางแต่งออกจากบ้านไปนั้น บิดาได้จัดงานให้นางอย่างเร่งรัดรีบร้อนคล้ายกับกลัวว่าเจ้าบ่าวจะเปลี่ยนใจ นางจึงถูกจับโยนใส่เกี้ยวสีมงคลประหนึ่งเป็นเพียงเศษผ้ากระนั้น แล้ววันนี้จะแตกต่างอะไรกับวันนั้นหรือไม่กัน!หญิงสาวนึกกลัวเกรงขึ้นมาทั้งยังไม่อยากต้องขายหน้าให้ใครบางคนใครคนนั้นจะรู้สึกเช่นไรเมื่อที่บ้านของนางทำกับนางอย่างนี้ เขาจะรู้สึกเช่นไรเมื่อรู้ว่านางเป็นได้แค่นี้หลิงเวยนึกหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นเมื่อนึกถึงฟงชิน หยางขึ้นมาและยิ่งนึกอับอายเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของนางกับเขาในฐานะบุตรแห่งตระกูลเขาเป็นบุตรชายคนโตทั้งยิ่งใหญ่ทั้งเป็นที่รักและน่ายำเกรง แต่นางเป็นแค่บุตรต่ำต้อยด้วยค่าที่ถูกลืมอีกครั้งที่หญิงสาวยิ่งคิดยิ่งหม่นแสงในชีวิตเพียงครู่รถม้าพลันหยุดตัวลงบ่งบอกได้ว่าถึ
ฟงชินหยางเห็นประตูจวนหนาหนักถูกบ่าวชายหลายคนมาเปิดออกจนกว้างดีแล้วจึงเหยียดกายของตนลงจากหลังม้าด้วยมาดงามสง่าแต่แผ่กลิ่นอายมืดครึ้มกดดันรุนแรงตลอดเวลา สายตามองกราดนับหัวผู้คนที่ทำงานชักช้าไม่ทันใจเขาเดินไปรอรับร่างบางของนางผู้เป็นภรรยาให้ลงจากรถม้าแล้วพากันเดินเข้าประตูใหญ่ไปด้วยกันโดยไม่สนใจพิธีรีตองอันใด ไม่มีน้องชายมารอรับแล้วอย่างไร ใครสนใจกัน!ชายหนุ่มเดินนำหน้าหญิงสาวเข้าประตูจวนมาด้วยมาดเข้มข้นไม่สนใจผู้ใดเมื่อเดินมาจนถึงตัวของพ่อบ้านประจำจวนจึงเอื้อมฝ่ามือใหญ่หนาตะปบบ่าของอีกฝ่ายแล้วบีบหนักๆ ไปหนึ่งทีพลางหรี่ตาคมดำจ้องมองเป็นเชิงเตือนว่าอย่าชักช้ารีบไปบอกนายของเจ้าเสียพ่อบ้านสูงวัยที่บ่าแทบหักคาฝ่ามือเหล็กของใครบางคนลำตัวคล้ายกับหดเล็กลงยิ่งกว่าเดิม เขามีหรือจะไม่เข้าใจ เขารีบก้าวเท้าถอยห่างแล้วเดินออกจากตัวอันตรายตรงหน้าในทันทีหลิงเวยได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามแผ่นหลังของคนตัวใหญ่ไปอย่างเงียบงัน นางไม่อยากมีเรื่องกับใครทั้งนั้น นางเพียงต้องการยกน้ำชาให้แล้วๆ เสร็จๆ กันไปเพียงครู่พ่อบ้านคนเดิมก็เดินยิ้มออกมาพร้อมกับบ่าวรับใช้คนสนิทของผู้นำตระกูลหลิง ทั้งสองยกยิ้มต้อนรับสอ
เมื่อฟงชินหยางและหลิงเวยเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าทุกคนเป็นที่เรียบร้อยพิธียกน้ำชาจึงเกิดขึ้นและดำเนินไปจนเสร็จสิ้นภายใต้สีหน้าหล่อเหลายกยิ้มเจ้าเล่ห์ตลอดเวลาของหลิงอี้ถังและใบหน้ามืดครึ้มคล้ายดังเมฆทึบบดบังของฟงชินหยาง หลิงเวยได้แต่มองทั้งสองตรงหน้าที่มีฐานะเป็นพ่อตากับลูกเขยอย่างนึกหวาดๆ กลัวเขาจะสาดอารมณ์ใส่กันจนเสียฤกษ์“เวยเอ๋อร์แต่งออกไปแล้วย่อมนับว่าดี” เสียงอ่อนหวานเสแสร้งของฮูหยินใหญ่คนปัจจุบันแห่งจวนเสนาบดีเอ่ยกับหลิงเวยด้วยกิริยางดงามตามแบบฉบับสตรีสูงส่งแห่งตระกูล นางต้องการให้คู่แข่งคนสำคัญของบุตรสาวตนได้กระเด็นออกไป บุตรีของสามีผู้นี้ทั้งงดงามเกินหน้าเกินตาทั้งมีความสามารถหลากหลาย นางจึงพยายามกดมันเอาไว้ตลอดมาเพื่อมิให้มันโดดเด่นเกินหน้าเกินตาของบุตรสาวนาง แต่งออกไปปานสายฟ้าฟาดเยี่ยงนั้นทั้งยังน่าอายเยี่ยงนี้ นับว่าดียิ่ง! “ย่อมเป็นเช่นนั้น” ฟงชินหยางรีบตอบกลับฮูหยินใหญ่ทันควัน “นางแต่งให้ข้าแล้วนับว่าเป็นคนของข้าอย่างเต็มตัวหาใช่คนของที่นี่ไม่” เขาควรชัดเจนในการเกี่ยวดองที่ไม่เต็มใจนี่ เขาไม่ยินยอมให้หลิงอี้ถังขยายอำนาจตระกูลโดยใช้เขาเป็นตัวเสริมฐานอำนาจอันใดหลิงเวยได้แ
ฝ่ามือน้อยๆ ทั้งนุ่มทั้งนิ่มได้แต่อ่อนแรงลงแนบลำตัวระหงในขณะที่เจ้าของฝ่ามือได้แต่ยืนหน้าแดงเนื่องจากออกแรงมากเกินกำลังหลิงเวยได้แต่ยืนเงยหน้ามองคนตัวใหญ่ที่ดื้อรั้นหมายกระทำการอุกอาจไม่สนใจสายตาของใครๆไยเขาไม่แอบทำ!หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งเม้มริมฝีปากแน่นจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าเงียบงันคล้ายแง่งอนฟงชินหยางเพียงยืนนิ่งไม่ไหวติงเช่นเดียวกัน เขาปรายสายตาคมดำมองหลิงเวยด้วยใบหน้ามืดครึ้มไร้ซึ่งการง้องอนใดๆสองสามีภรรยาได้แต่ยืนจ้องหน้ากันและกันนิ่งงันไม่มีใครยอมใครท่ามกลางสายตาหลากหลายของผู้คนในจวนตระกูล หลิงได้แต่ยืนมองคนทั้งคู่แล้วคิดกันไปต่างๆ นานาและหลายสายตาเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่าฝ่ายสตรีตัวน้อยนี้ช่างน่าสมเพชที่มีสามีตัวใหญ่น่ากลัวทั้งยังเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ หากสามีสะบัดฝ่ามือแค่เพียงเล็กน้อยภรรยาคงกระเด็นไปไกลน่าขันยิ่ง!เพียงครู่เสียงแว่วหวานของหลิงเวยพลันเอ่ย “เรากลับกันเถิด ข้าจะไปแจ้งท่านพ่อว่าไม่ต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับอันใด”นางเข้าใจสายตาหลากหลายนั่นดีนางไม่อยากอยู่ที่นี่นานเสียแล้ว“ข้ายังไม่อยากกลับ ข้าต้องการให้พ่อเจ้าจัดงานเลี้ยงต้อนรับ เอาให้จำไปจนตาย” เส้นเสียงทุ้มต
ฟงชินหยางยังคงนอนเหยียดตัวบนเตียงนอนยามเอ่ยสั่งการอย่างเอาแต่ใจ “เจ้าแค่ไปเรียกบ่าวไพร่ของเจ้ามาทำความสะอาดก็พอ”หลิงเวยจึงเงียบไป นางจะเรียกใช้งานใครได้ ในเมื่อยามก่อนเป็นถึงคุณหนูของจวนยังเอ่ยสั่งการยากเย็น ยามนี้แต่งออกไปแล้วนับเป็นคนนอกจะเอ่ยสั่งใครได้กัน อีกครั้งที่หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจอยู่ในอกพลางก้มหน้าลงต่ำแล้วเดินคอตกออกนอกห้องไปหลิงเวยเดินออกมาด้านหน้าของเรือนเห็นทหารติดตามของฟงชินหยางยืนกระจายตัวด้วยสีหน้าถมึงทึงท่าทางน่ากลัวอยู่เต็มหน้าเรือนและสาวใช้หนึ่งนางที่เดินทางมาด้วยกันจากจวนตระกูลฟง เหล่าทหารพวกนี้นางเห็นได้ชัดว่ามิใช่เพียงเหล่าทหารชั้นประทวนธรรมดา วันก่อนจะเดินทางมานั้นเหล่าทหารชั้นผู้น้อยหลายรายต่างทำความเคารพพวกเขาอย่างพินอบพิเทาก่อนออกเดินทาง อีกทั้งเครื่องแต่งกายของพวกเขายังบ่งบอกตำแหน่งแตกต่างจากทหารชั้นผู้น้อยที่นางเคยเจอ เช่นนั้นแล้วกลุ่มคนพวกนี้จึงนับได้ว่าเป็นแขกของนาง นางจึงเอ่ย “พวกเจ้าพักผ่อนตามสบายนะ ข้าจะไปสั่งโรงครัวทำอาหารมาให้”“ขอรับ/เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อย” ทุกคนประสานเสียงตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียงแสดงความเคารพยำเกรงไม่สร่างซาหลิงเวยเห็นอย่างน
ภายในเรือนหลังเล็กท้ายจวนหลิงเวยกลับเข้ามาในเรือนทันทีก่อนจะรีบค้นหากระดาษออกมาจากชั้นของตู้ที่อยู่ในห้องนอนแล้วลงมือร่ายกลอนอย่างรวดเร็ว หญิงสาวใช้เวลาแค่เพียงไม่นานไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำสำหรับการเขียนกลอน ซึ่งหากเป็นคนอื่นคงใช้เวลาถึงครึ่งวันทันใดนั้นแผ่นกระดาษที่มีคำกลอนร่ายยาวพลันถูกกระชากออกจากโต๊ะตรงหน้าของหลิงเวยทำให้น้ำหมึกเปื้อนกระดาษทับตัวอักษรจนเป็นทางสีดำลากยาวเสียหายทั้งหมด“ท่าน!” นางร้องออกมาแค่นั้นเมื่อมองเห็นว่าเป็นใครฟงชินหยางคลี่กระดาษที่ดึงกระชากมาจากโต๊ะตรงหน้าของหลิงเวยเมื่อครู่ออกดูอยู่อึดใจแล้วฉีกมันออกเสียงดังแคว่กแล้วโปรยทิ้งไปอย่างไม่ใยดีแผ่นกระดาษเปื้อนน้ำหมึกจึงกระจัดกระจายปลิวว่อนอยู่กลางอากาศจนเต็มพื้นที่โดยมีบุรุษร่างหนายืนมองด้วยสายตามืดดำหลิงเวยถึงกับตาโตตกใจ “ท่านฉีกทำไม”“เหตุใดเจ้าต้องยอม” ชายหนุ่มถามเสียงเย็นสีหน้าไม่พอใจชัดเจน เขาแอบเดินตามนางไปได้เห็นทั้งหมด ทั้งพี่น้องทั้งแม่เลี้ยง หลิงเวยยืนอยู่ตรงนั้น นางยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางอสรพิษน่ารังเกียจพวกนั้น พวกมันน่าเชือดคอยิ่ง!ฟงชินหยางเอ่ยเสียงกดต่ำสีหน้าเย็นชา “เจ้าไม่ควรทำตัวเยี่ยงนี้”
เสียงดังโครมครามทำลายข้าวของเครื่องเรือนดังครืนๆ ทำเอาสาวใช้ของจวนตระกูลหลิงสามนางที่กำลังทำความสะอาดในเรือนชานต่างพากันตกใจวิ่งเข้ามาดูกันอย่างสามัคคี พวกนางมองเห็นสามีตัวโตของคุณหนูหลิงเวยกำลังกราดเกรี้ยวอาละวาดโดยที่คุณหนูเพียงยืนมองตามด้วยเนื้อตัวสั่นเทาใบหน้าแดงก่ำน้ำตาไหลรินอา...ภาพนี้ต้องบอกต่อแทนที่จะตระหนกตกใจ สาวใช้ทั้งสามนางกลับคิดไปอีกทาง และไม่คิดจะเข้าไปห้ามปรามหรือช่วยเหลือหลิงเวยแต่อย่างใด ทั้งยังทิ้งงานในมือวิ่งออกไปนอกเรือนเพื่อหมายจะคาบข่าวไปนินทาอย่างสนุกปากตามวิสัยการนินทาเจ้านายเป็นงานหลักยิ่งกว่างานใดๆฟงชินหยางยืนตระหง่านอยู่เหนือซากปรักหักพังของตู้โต๊ะตั่งเครื่องเรือนทั้งหลายทั้งเล็กทั้งใหญ่โดยไม่มีอาการเหนื่อยหอบใดๆ เลยสักนิด เขาสามารถพังเรือนทั้งหลังยังได้ชายหนุ่มปรายสายตาคมดุมองปราดไปที่ร่างบางของหญิงสาวอรชนที่ยืนนิ่งกะพริบตามองเขาผ่านม่านน้ำตาสีใสในครานี้น้ำตาของนางทำให้เขายิ่งคันตามเนื้อตัวโดยเฉพาะที่ฝ่ามือเขากำลังคันมืออยากฆ่าคน!“เจ้าไม่ควรอ่อนแอให้ใครเหยียบย่ำ” เขาเอ่ยเสียงกดต่ำครางคำราม “เจ้าควรเข้มแข็ง”หลิงเวยเงยหน้าขึ้นสู้สายตาคมดำอย่างไม่มีห
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้
ภายใต้ท้องฟ้าที่แสงตะวันเจิดจ้ากำลังสาดส่องเกิดเป็นแสงสีทองสวยอร่ามงามตากำลังมีสตรีนางหนึ่งอยู่ในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนปักลายสีขาวนวลเกล้าผมเรียบร้อยเผยใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ยามเมื่อสายลมพัดโชยพาอาภรณ์ปลิดปลิวโบกสะบัดไปตามแรงลมเกิดเป็นภาพสตรีร่างระหงงดงามจับตา นางเพียงยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้สายลมไล้อยู่ตามยอดหญ้ากระทั่งไล้มาถึงลำตัวของนางนางกำลังยืนอยู่อย่างนั้นคล้ายกับกำลังไว้อาลัยกับภาพเบื้องหน้า ภาพของผืนป่าโอบล้อมสายน้ำที่อยู่ไกลลับตาเหล่าทหารยามที่เดินไปเดินมาพากันเดินสะดุดหยุดเท้าฉับพลันเมื่อมองมาแล้วเห็นสตรีงดงามนางหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างสวยงามภายใต้ท้องฟ้าท่ามกลางต้นหญ้าท้าลมท้าแดดเกิดเป็นภาพงดงามเหนือชั้นได้อย่างนั้นหากจำไม่ผิด สตรีนางนี้คือภรรยาของท่านแม่ทัพนามว่าฟงชินหยาง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารอย่างนั้นจะมีภรรยาเป็นนางฟ้าได้อย่างนี้...อึดใจเหล่าทหารพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อจู่ๆ มีทั้งกระต่ายป่าและนกตัวใหญ่จำนวนหลายสิบตัวถูกโยนลงมาบนพื้นเสียงดังตุ้บแรงๆ ตามด้วยเส้นเสียงทุ้มใหญ่เอื้อนเอ่ยคำราม“เอาไปนับ!”“…!!!”เหล่าทหารรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของสัตว์ป่าและเสียงห้าวใหญ่น่ากลัว พวกเ