เสียงการฟาดฟันกระทบกันของดาบหอกทวนกระบี่ดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างอย่างต่อเนื่องจากกลางลานฝึกอันกว้างใหญ่กินพื้นที่หลายลี้หลังจวนตระกูลฟง
บุรุษผู้องอาจทั้งสามประจำจวนตระกูลฟงใช้เป็นที่ปะทะประลองฝีมือกันระหว่างพวกเขากับพวกองครักษ์และเหล่าทหารยามประจำจวนกระทั่งบรรดาบ่าวชาย เสียงหลากหลายมากมายเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ
และยิ่งดังกระหึ่มอย่างบ้าระห่ำเมื่อครั้งนี้มีคุณชายใหญ่ฟงชินหยางได้เข้าร่วมฟาดฟันด้วยกันหลังจากที่เขาได้นำกองกำลังสามเหล่าทัพออกศึกต่อกรกับแม่ทัพใหญ่ต่างแคว้นและไล่ล่าปราบกบฏทรราชอยู่ตามชายแดนทั้งยังคอยกำราบชนเผ่าผู้รุกล้ำดินแดนเสียนานหลายปี
บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่สุดในกลุ่มออกกระบวนท่าแค่เพียงท่าเดียวก็สามารถล้มเหล่าทหารที่รุมล้อมให้แตกพ่ายได้โดยง่ายทั้งๆ ที่ก่อนจะลงสนามฟาดฟัน เหล่าทหารพวกนั้นได้วางแผนวางกลยุทธ์การศึกกันอยู่เป็นนานแต่เหมือนกับว่าฟงชินหยางจะสามารถคาดการและล่วงรู้ได้ทั้งหมด ทั้งๆ ที่เขามิได้อยู่ร่วมฝึกมาถึงสามปี
ร่างกายกำยำสูงใหญ่ของฟงชินหยางมิได้มีผลอันใดต่อความรวดเร็วว่องไวที่มีเหนือชั้นของเหล่าบรรดาทหารประจำจวนเลยแม้แต่น้อยด้วยเพราะความเร็วและแม่นยำของเขาที่กรำศึกมานานหลายปีย่อมมีมากกว่า กระทั่งอดีตแม่ทัพใหญ่กับน้องชายของเขายังต้องแตกพ่ายภายในเวลาไม่นานเมื่อเขาออกกระบวนท่าแค่เพียงไม่กี่ที
ในยามนี้ฟงชินหยางกำลังยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางการรุมล้อมของเหล่าทหารทั้งหลายโดยมีอดีตแม่ทัพใหญ่และน้องชายจำลองเหตุการณ์สมจริงเป็นฝ่ายศัตรูอยู่เหนือรูปขบวน โดยที่ฟงชินหยางยืนอยู่เพียงลำพังผู้เดียวเป็นฝ่ายตรงกันข้าม
ใบหน้าคมคายของฟงชินหยางฉายแววเหี้ยมเกรียมสายตาคมกล้าท้าฟ้าท้าดินแผ่กลิ่นอายมรณะออกมาโดยรอบเรือนกาย เห็นได้ชัดว่าเขามีฝีมือร้ายกาจและฉลาดหลักแหลมในกลการศึกทั้งยังทรงพลังบ้าระห่ำหาใครเปรียบ ทำเอาหลิงเวยที่นั่งอยู่ที่ริมน้ำตกตรงขอบสระบัวรอบนอกลานฝึกนั้นได้แต่มองฟงชินหยางแบบอ้าปากค้าง
นี่ใช่คนหรือไม่กัน? ไยน่ากลัวยิ่ง!
“เห็นอย่างนี้แล้วไม่ต้องบอกเลยว่าในยามศึกพี่ใหญ่น่ายำเกรงปานใด” เสียงหวานใสของฟงลี่หลินพลันดัง
“พี่ใหญ่ออมมือแล้วนะนั่น” นางกอดอกหรี่ตาเอาเรียวนิ้วเคาะปลายคางพลางวิเคราะห์ “มิน่าเล่าพี่ใหญ่ถึงได้ฉายาว่าปีศาจสงครามพิชิตชายแดน” ว่าแล้วก็ยืนยิ้มภาคภูมิในตัวพี่ชาย
เห็นได้ชัดว่าฟงลี่หลินเป็นสตรีที่ชมชอบเรื่องการศึกมากกว่าที่จะนั่งเย็บปักถักร้อยหรือวาดภาพร่ายรำ เรื่องนี้ยิ่งทำให้หลิงเวยได้มั่นใจว่าอุปกรณ์วาดภาพพวกนี้เป็นของนาง
หญิงสาวจึงนั่งอมยิ้มก้มหน้าก้มตาวาดภาพต่อไปโดยมีฟงลี่หลินยืนอยู่ใกล้ๆ กันแต่หาได้สนใจการวาดภาพไม่
ภาพของสตรีงดงามในอาภรณ์สีฟ้าเสื้อคลุมสีขาวภายใต้ต้นไม้ร่มรื่นริมน้ำตกสวยงามกำลังก้มหน้าน้อยๆ อมยิ้มพริ้มเพราวาดภาพตรงหน้าอย่างตกอกตั้งใจกำลังทำให้สมาธิของใครบางคนไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย
ไยนางไม่มองมาทางเขา ทำไมนางถึงสนใจกระดาษกับพู่กันมากกว่าเขา
นั่นคือความคิดของบุรุษร่างใหญ่นามว่าฟงชินหยาง
เขาไม่น่าสั่งการให้พ่อบ้านจินนำชุดวาดภาพพวกนั้นมาให้นางเลย!
เมื่อคิดได้แล้วก็รีบจัดการกับข้าศึกจำลองตรงหน้าจนพวกเขาตกกระเด็นจากหลังม้าลงมานอนดิ้นจุกท้องอยู่บนพื้นดิน กระทั่งฟงซือหลางและฟงจินหมิงยังไม่มีละเว้น
เมื่อเสร็จสิ้นข้าศึกตรงหน้าเขาจึงเดินอาดๆ พาร่างสูงใหญ่ไปยังทิศทางที่ภรรยาตัวน้อยนั่งวาดภาพอยู่ โดยไม่สนใจเหล่าทหารที่นอนร้องโอดครวญอยู่จนเต็มพื้นที่
เมื่อเดินมาถึงหลิงเวยที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ชายหนุ่มจึงยืนตระหง่านเหนือร่างของนางพลางเอ่ยคำเสียงเข้มใบหน้าคมคายเคร่งขึงตึงเครียด “ทำอันใด?” เขาถามออกมาทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว
เสียงแว่วหวานเอ่ยตอบโดยไม่เงยขึ้นมองหน้าคนถาม “ข้ากำลังวาดภาพ...”
“ไยต้องวาดภาพโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด” ชายหนุ่มหมายถึงไยไม่สนใจเขา
หลิงเวยยังคงเอ่ยคำแต่ก็ยังหาได้มองหน้าคนตัวโตไม่ “ไยข้าต้องสนใจสิ่งอื่นใดนอกจากภาพตรงหน้า”
“สิ่งอื่นที่ว่าย่อมน่าสนใจมากกว่าภาพตรงหน้า” เขายังคงไม่ยอมนางควรสนใจเพียงเขา
“ภาพวาดตรงหน้าย่อมน่าสนใจมากกว่าสิ่งอื่นใด” หญิงสาวยังเถียงไปด้วยใบหน้าใสซื่ออมยิ้มน้อยๆ นางกำลังวาดภาพของเขายามออกกระบวนท่าน่ากลัวนั่น
แต่ชายหนุ่มผู้ดุดันหาได้รู้ไม่ เขายังคงเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ “ข้าไม่ให้วาด!” จบคำก็โน้มตัวลงแล้วทำท่าจะแย่งภาพดึงออกจากมือนาง
หลิงเวยถึงกับสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมองคนเอาแต่ใจ
“หยุดนะพี่ใหญ่!” เสียงหวานแหลมของฟงลี่หลินพลันดัง “หากจะทำร้ายอาซ้อโปรดข้ามศพของข้าไปก่อนเถิด” นางกำลังคันไม้คันมืออยากท้าประลองบ้าง
ฟงชินหยางและหลิงเวยพลันชะงักงันจากการทะเลาะกันเมื่อหันหน้าไปมองตามเสียงแล้วเจอกับสตรีนางน้อยกำลังยืนอย่างสง่าในมือถือดาบชี้หน้าชี้ตามาทางพี่ใหญ่ของนาง
“อะไรของเจ้า” ฟงชินหยางถึงกับผละมือออกจากภาพวาดของหลิงเวยแล้วยืนตัวตรงพลางหรี่ตามองฟงหลี่หลินอย่างนึกเข่นเขี้ยว
น้องสาวของเขาคนนี้เหมือนใคร?
ฟงลี่หลินไม่มีการต่อคำอันใด นางใช้ความเร็วเข้าประชิดด้วยฝ่าเท้าน้อยๆ ก้าวฉับๆ ในทันทีพร้อมด้วยวาดดาบขึ้นสูงแล้วตรงเข้าฟาดฟันพี่ใหญ่ของตนอย่างไม่มีออมมือ
ผลที่ได้คือดาบไม้ในมือถึงกับหักคาอกแกร่งของผู้เป็นพี่
นี่แผงอกหรือแผงหินผากัน!?
หลิงเวยคิดอย่างนั้นพลางลุกขึ้นยืนรีบม้วนเก็บกระดาษแล้วกอดเอาไว้แนบอกอย่างนึกหวงแหนประหนึ่งว่ามันเป็นทองคำแท่งเมื่อนางมองเห็นฟงลี่หลินยังคงไม่หยุดมืออยู่แค่นั้น
น้องเล็กยังคงฟาดฟันดาบไม้ลงตรงแผงอกบึกบึนของพี่ชายอีกหลายทีในขณะที่ฝ่ายพี่ชายยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงใดๆ
เขาช่างคล้ายคลึงก้อนหินก้อนใหญ่เข้าไปทุกทีและเขาก็ยังคงปรายสายตาคมดุมองอยู่ที่หลิงเวยผู้หวงแหนภาพวาดในอ้อมแขน
ฟงชินหยางยิ่งหรี่ตามองม้วนกระดาษที่ซุกซบอยู่ตรงหน้าอกนุ่มนิ่มของนางผู้เป็นภรรยา ไยต้องกอดมันขนาดนั้น!?
ฟงลี่หลินที่ยังคงคึกคักกับการฟาดฟันเสาหินผู้เป็นพี่ชายยิ่งนัก นางจึงรีบส่งสัญญาณบางอย่างให้บิดากับพี่รองเป็นความหมายว่าศัตรูเสียท่าแล้วให้รีบเข้ามาประชิด ทำให้เหล่าข้าศึกหลายชีวิตรีบลุกฮือขึ้นมาแล้วพากันพุ่งตัวเข้าใส่ฟงชินหยางกันอย่างเข้มข้นดุเดือด ในขณะที่ฟงชินหยางยังคงสนใจแค่เพียง หลิงเวยโดยหาได้สนใจสิ่งอื่นใดไม่ ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัวจึงถูกรุมทึ้งต่อหน้าต่อตาหลิงเวยในที่สุด
หญิงสาวร่างระหงผู้เป็นภรรยาได้แต่ยืนมองภาพของชายหนุ่มตรงหน้าผู้เป็นสามีที่กำลังถูกเหล่าศัตรูจำลองกลืนกินจนจมมิดลำตัวกำยำสูงใหญ่อย่างน่าสงสาร
ครานี้ ปีศาจสงครามพิชิตชายแดนได้สิ้นชื่อเสียแล้ว...
ยามค่ำคืนภายใต้แสงสีนวลของดวงจันทราแหวกว่ายอากาศลงมาจนสาดส่องยังภายในเรือนนอนอันใหญ่โตโอ่อ่าที่มิเคยมีเครื่องเรือนงดงามหรือเครื่องประดับประดาอันใดมากมายภายในห้องนอนของเรือนฟงหู่มีเครื่องเรือนเพียงตู้โต๊ะตั่งเตียงและฉากกั้นที่ทุกสิ่งอย่างล้วนไร้สีสันทั้งยังมืดทะมึนดำด้านไร้สิ่งอื่นใดที่งดงามจับตากระทั่งแจกันดอกไม้ยังไม่มีฟงชินหยางกำลังยืนมองที่ตรงกำแพงห้องโล่งกว้างสีทึบที่ไร้ซึ่งภาพใดๆ ก่อนหน้าที่บัดนี้กลับมีภาพวาดภาพหนึ่งที่เขาสั่งบ่าวไพร่ให้หาแผ่นไม้มาจับขึงตรึงแน่นแล้วแขวนเอาไว้เป็นอย่างดีภายในห้องนอนแห่งนี้ของเขาเขายังคงยืนจ้องมองภาพนั้นด้วยสายตาคมปลาบแต่ประกายวาบชื่นชมภาพวาดติดผนังตรงหน้าของฟงชินหยางนั้นเป็นภาพวาดของบุรุษรูปร่างกำยำในอาภรณ์สีเข้มดำ บุรุษในภาพใบหน้าดุดันดวงตาเหี้ยมเกรียมกำลังวาดเพลงดาบฟาดฟันกับเหล่าทหารอย่างโหดเหี้ยมจนทหารเหล่านั้นล้มลงระเนระนาดท่าทางน่าเกลียดจนเต็มพื้นดินภาพวาดนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพที่มองดูแล้วให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่นสั่นสะพรึงมากนัก แต่นั่นล่ะ! เขายิ่งชอบ...มิรู้ได้ว่าคนวาดใส่ความรู้สึกอันใดลงไป ไยสมจริงยิ่ง!เมื่อนึกถึงคนวาดภาพขึ้นมาชายหนุ
หลิงเวยยังคงมีกิริยาตามแบบฉบับโดยธรรมชาติของตนที่ตรงกันข้ามกับใครบางคนทุกประการ นางเอียงตัวไปเล็กน้อยเพื่อหยิบเอากล่องบางอย่างออกมาวางเอาไว้ด้านหน้าตรงโต๊ะแล้วขยับเข้าใกล้คนตัวโตตรงหน้าอีกนิดแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม“ข้าขอดูบาดแผลของท่านได้หรือไม่” นางขออนุญาตคนตรงหน้าอย่างเกรงอกเกรงใจแต่ว่านางเห็นเขาได้รับบาดแผลจากการฝึกในลานวันนี้ไม่น้อยเลยเสียงแผ่วใสแว่วหวานของหลิงเวยทำฟงชินหยางถึงกับหลุดออกจากภวังค์แห่งความนุ่มนวล เขาจึงเอ่ย “ย่อมได้” เส้นเสียงทุ้มต่ำของบุรุษปานหินผาเอ่ยออกมาพลางนั่งนิ่งๆ จ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาคมกริบซ่อนแววบางอย่างยามที่นางกำลังเอื้อมมือน้อยๆ มาถอดเสื้อให้เขาเขาย่อมใจดีให้นางในเรื่องนี้ หากนางอยากอ่านหนังสือบนตัวของเขาอีกยิ่งดีไปใหญ่ เขาจะนอนลงให้นางเดี๋ยวนี้เลยทีเดียวหลิงเวยค่อยๆ เอื้อมมือนุ่มนิ่มบรรจงปลดสายคาดเอวของคนตรงหน้าออกอย่างนุ่มนวลเพื่อเปิดสาบเสื้อออกจากร่างกำยำของเขาเพื่อให้ได้มองเห็นบาดแผลของเขาที่เกิดขึ้นในวันนี้ในขณะที่ฟงชินหยางยังคงก้มหน้ามองนางนิ่งงัน ใบหน้าหวานๆ ฝ่ามือนุ่มๆ ของนางที่กำลังขยับเนิบนาบเฉียดไปเฉียดมาอย่างนั้นทำเขาเริ่มปวดเกร็งอ
เช้าวันต่อมานับได้ว่าเป็นวันที่เจ็ดแล้วสำหรับคู่สามีภรรยาที่ได้เสียแต่งงานกันอย่างไม่คาดฝันและวันนี้ก็เป็นวันที่จะต้องพากันเดินทางกลับไปบ้านของฝ่ายภรรยาตามธรรมเนียมที่มี เมื่อคำนวณดูแล้วการเดินทางจนกระทั่งถึงจวนตระกูลหลิงย่อมเข้าวันที่สิบสองพอดิบพอดี...บนถนนทอดยาวมีบ่าวไพร่และทหารติดตามเต็มขบวน มีรถม้าที่แสนจะกว้างขวางสะดวกสบายคันหนึ่งซึ่งใช้ในการเดินทางจากเมืองหน้าด่านเข้าสู่เมืองหลวงเป้าหมายคือจวนตระกูลหลิงภายในรถม้ามีตู้มีชั้นหนังสือและลิ้นชักสำหรับเก็บข้าวของ ภายในชั้นเก็บของเต็มไปด้วยผลไม้ น้ำชา กระโถน แม้กระทั่งคั่งที่ดัดแปลงเอาไว้ใต้ท้องรถม้าแล้วปูทับด้วยฟูกผืนหนา เรียกได้ว่าครบครันมากนักหลิงเวยนั่งมาในรถม้าคันนี้ด้วยร่างกายเหนื่อยอ่อนระทดระทวยเหลือประมาณ เนื่องจากผ่านการถูกเคี่ยวกรำจากใครบางคนเกือบทั้งคืน เมื่อนางตื่นลืมตาขึ้นมาก็เจอกับเขาที่นอนตะแคงข้างมองนางอยู่ก่อนหน้าเมื่อนางมองตอบสบสายตาคมกล้าของเขาแค่เท่านั้น เขาถึงกับพลิกกายกำยำทำนางต่อในยามเช้าก่อนตื่นนอน เขาทรมานนางจนนางหมดแรงหลับใหลไปอีกครา กระทั่งว่าอาบน้ำแต่งตัวก็ยังไม่มีการวางมือมิรู้ได้ว่าเขาเคืองโกรธอันใดน
และทั้งๆ ที่เขากำลังใส่ผ้าให้นางแต่เขากลับถอดมันออกแล้วทำอย่างอื่นกับนางอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะเริ่มต้นอาบน้ำให้นางใหม่ด้วยลีลาเหนือชั้นอย่างรัญจวนแล้วใส่ผ้าให้นางอีกทีเขาทำการเอาแต่ใจกับนางอยู่หลายหนหลายทีจนเล็บมือของนางแทบหัก นางจิกเล็บบนตัวของเขาจนปวดมือไปหมด ลำคอของนางก็แห้งผากแทบเป็นผุยผง นางครางจนไม่เป็นภาษา ยามที่เขาออกกระบวนท่าแต่ละลีลา เขาทำให้นางคล้ายกับลอยอยู่ในอากาศ เราทั้งสองมิได้เอ่ยปากพูดจาสิ่งใดต่อกันเพราะริมฝีปากของสองเรานั้นประกบกันอยู่ตลอดเวลา ฝ่ามือใหญ่หนาที่ควรใส่ผ้าให้นางกลับดึงผ้าออกแล้วกลายเป็นฝ่ามือไฟบรรลัยกัลป์ มันลากไล้ส่งผ่านความร้อนไปทั่วเนื้อตัวของนาง ตั้งแต่เนินอก โคนขาและบั้นท้าย เขาใช้ฝ่ามือพิฆาตกับนางตลอดเวลาทุกสัดส่วนริมฝีปากของเขาก็คล้ายกับว่าพ่นไฟได้ ลมหายใจก็เช่นกัน เป่ารดนางด้วยความร้อนสูงคล้ายออกมาจากปล่องไฟแต่ถึงกระนั้นนางกลับรู้สึกได้ว่าอบอุ่นดีผ้าห่มผืนใดไม่ต้องทำหน้าที่ของมันอีกต่อไป เมื่อมีใครบางคนแปรสภาพเป็นผ้าห่มผืนหนาแล้วห่อหุ้มตัวนางทั้งคืนกระทั่งเช้าได้อย่างนั้นอากาศหนาวเย็นของฤดูกาลนี้มิได้หนาวเหน็บแต่อย่างใด เมื่อใครคนนั้นแปรสภาพเ
เมื่อคิดได้แล้วจึงเอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านของรถม้าออกก่อนจะเอียงหน้าน้อยๆ มองออกไปด้านนอกอย่างใคร่รู้ เพียงครู่นางจึงตัดสินใจส่งเสียงบอกสาวใช้ที่นั่งอยู่กับทหารผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งบังคับม้า“หยุดรถก่อน...”เมื่อเสียงแว่วหวานเอ่ยสั่งการ รถม้าจึงค่อยๆ หยุดเคลื่อนตัวเพียงอึดใจล้อของรถม้าจึงหยุดหมุนแล้วจอดนิ่งอยู่กับที่“ฮูหยินน้อยต้องการสิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้นามเสี่ยวชุ่ยรีบหันหน้ามายกยิ้มจนตาหยีถามอย่างสงสัย“ข้าขอชมทิวทัศน์รอบนอกตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่” หลิงเวยตัดสินเอ่ยถามด้วยถ้อยคำอ่อนหวานตามวิสัยที่ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไรโดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น แต่ถึงกระนั้นสาวใช้ตรงหน้าก็ยังทำท่ากลัวเกรงเป็นอย่างยิ่งถึงแม้ว่าภรรยาของคุณชายใหญ่จะเป็นสตรีที่งดงามอ่อนหวานถึงเพียงนี้ แต่ทว่าสตรีที่สามารถเอาคุณชายใหญ่อยู่หมัดได้ย่อมไม่ธรรมดา นี่นับว่าเป็นจอมบัญชาของยอดปีศาจเลยทีเดียวสาวใช้คิดในใจอย่างหวาดผวาอยู่ลึกๆ ด้วยสีหน้าปั้นยิ้มเก็บข่มความหวาดกลัวเอาไว้ได้มิดชิดแล้วรีบกระวีกระวาดลงจากรถม้าไปหยิบเอาตั่งรองเท้ามาวางเอาไว้ให้โดยไม่กล้าถามอันใดให้มากความหลิงเวยมองตามสาวใช้อย่างนึกฉงน นางกล
และแล้วการเดินทางของสองสามีภรรยาก็ใกล้เข้าถึงจวนของตระกูลหลิงเต็มทีหลิงเวยนึกตื่นเต้นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หนึ่งคือนางไม่มีน้องชายที่สนิทสนมมากพอที่จะออกมาต้อนรับนางตามพิธีการ สองคือคนในบ้านมองเห็นนางไร้ค่าไร้ตัวตนตลอดมากระทั่งบ่าวรับใช้ยังมองนางไร้ความหมายไม่มีใครภักดี ย้อนกลับไปเมื่อวันแต่งงาน ยามที่นางแต่งออกจากบ้านไปนั้น บิดาได้จัดงานให้นางอย่างเร่งรัดรีบร้อนคล้ายกับกลัวว่าเจ้าบ่าวจะเปลี่ยนใจ นางจึงถูกจับโยนใส่เกี้ยวสีมงคลประหนึ่งเป็นเพียงเศษผ้ากระนั้น แล้ววันนี้จะแตกต่างอะไรกับวันนั้นหรือไม่กัน!หญิงสาวนึกกลัวเกรงขึ้นมาทั้งยังไม่อยากต้องขายหน้าให้ใครบางคนใครคนนั้นจะรู้สึกเช่นไรเมื่อที่บ้านของนางทำกับนางอย่างนี้ เขาจะรู้สึกเช่นไรเมื่อรู้ว่านางเป็นได้แค่นี้หลิงเวยนึกหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นเมื่อนึกถึงฟงชิน หยางขึ้นมาและยิ่งนึกอับอายเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของนางกับเขาในฐานะบุตรแห่งตระกูลเขาเป็นบุตรชายคนโตทั้งยิ่งใหญ่ทั้งเป็นที่รักและน่ายำเกรง แต่นางเป็นแค่บุตรต่ำต้อยด้วยค่าที่ถูกลืมอีกครั้งที่หญิงสาวยิ่งคิดยิ่งหม่นแสงในชีวิตเพียงครู่รถม้าพลันหยุดตัวลงบ่งบอกได้ว่าถึ
ฟงชินหยางเห็นประตูจวนหนาหนักถูกบ่าวชายหลายคนมาเปิดออกจนกว้างดีแล้วจึงเหยียดกายของตนลงจากหลังม้าด้วยมาดงามสง่าแต่แผ่กลิ่นอายมืดครึ้มกดดันรุนแรงตลอดเวลา สายตามองกราดนับหัวผู้คนที่ทำงานชักช้าไม่ทันใจเขาเดินไปรอรับร่างบางของนางผู้เป็นภรรยาให้ลงจากรถม้าแล้วพากันเดินเข้าประตูใหญ่ไปด้วยกันโดยไม่สนใจพิธีรีตองอันใด ไม่มีน้องชายมารอรับแล้วอย่างไร ใครสนใจกัน!ชายหนุ่มเดินนำหน้าหญิงสาวเข้าประตูจวนมาด้วยมาดเข้มข้นไม่สนใจผู้ใดเมื่อเดินมาจนถึงตัวของพ่อบ้านประจำจวนจึงเอื้อมฝ่ามือใหญ่หนาตะปบบ่าของอีกฝ่ายแล้วบีบหนักๆ ไปหนึ่งทีพลางหรี่ตาคมดำจ้องมองเป็นเชิงเตือนว่าอย่าชักช้ารีบไปบอกนายของเจ้าเสียพ่อบ้านสูงวัยที่บ่าแทบหักคาฝ่ามือเหล็กของใครบางคนลำตัวคล้ายกับหดเล็กลงยิ่งกว่าเดิม เขามีหรือจะไม่เข้าใจ เขารีบก้าวเท้าถอยห่างแล้วเดินออกจากตัวอันตรายตรงหน้าในทันทีหลิงเวยได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามแผ่นหลังของคนตัวใหญ่ไปอย่างเงียบงัน นางไม่อยากมีเรื่องกับใครทั้งนั้น นางเพียงต้องการยกน้ำชาให้แล้วๆ เสร็จๆ กันไปเพียงครู่พ่อบ้านคนเดิมก็เดินยิ้มออกมาพร้อมกับบ่าวรับใช้คนสนิทของผู้นำตระกูลหลิง ทั้งสองยกยิ้มต้อนรับสอ
เมื่อฟงชินหยางและหลิงเวยเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าทุกคนเป็นที่เรียบร้อยพิธียกน้ำชาจึงเกิดขึ้นและดำเนินไปจนเสร็จสิ้นภายใต้สีหน้าหล่อเหลายกยิ้มเจ้าเล่ห์ตลอดเวลาของหลิงอี้ถังและใบหน้ามืดครึ้มคล้ายดังเมฆทึบบดบังของฟงชินหยาง หลิงเวยได้แต่มองทั้งสองตรงหน้าที่มีฐานะเป็นพ่อตากับลูกเขยอย่างนึกหวาดๆ กลัวเขาจะสาดอารมณ์ใส่กันจนเสียฤกษ์“เวยเอ๋อร์แต่งออกไปแล้วย่อมนับว่าดี” เสียงอ่อนหวานเสแสร้งของฮูหยินใหญ่คนปัจจุบันแห่งจวนเสนาบดีเอ่ยกับหลิงเวยด้วยกิริยางดงามตามแบบฉบับสตรีสูงส่งแห่งตระกูล นางต้องการให้คู่แข่งคนสำคัญของบุตรสาวตนได้กระเด็นออกไป บุตรีของสามีผู้นี้ทั้งงดงามเกินหน้าเกินตาทั้งมีความสามารถหลากหลาย นางจึงพยายามกดมันเอาไว้ตลอดมาเพื่อมิให้มันโดดเด่นเกินหน้าเกินตาของบุตรสาวนาง แต่งออกไปปานสายฟ้าฟาดเยี่ยงนั้นทั้งยังน่าอายเยี่ยงนี้ นับว่าดียิ่ง! “ย่อมเป็นเช่นนั้น” ฟงชินหยางรีบตอบกลับฮูหยินใหญ่ทันควัน “นางแต่งให้ข้าแล้วนับว่าเป็นคนของข้าอย่างเต็มตัวหาใช่คนของที่นี่ไม่” เขาควรชัดเจนในการเกี่ยวดองที่ไม่เต็มใจนี่ เขาไม่ยินยอมให้หลิงอี้ถังขยายอำนาจตระกูลโดยใช้เขาเป็นตัวเสริมฐานอำนาจอันใดหลิงเวยได้แ
กับบุตรชายทั้งสองเขาเองก็แทบจะไม่ผูกพันเนื่องจากเขาต้องเดินทางเคลื่อนพลไปในขณะที่บุตรชายคนโตอายุเพียงสี่เดือนและบุตรชายคนเล็กยังอยู่ในครรภ์ของนางนี่มิใช่ว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเราช่างเปราะบางหรอกหรือก่อนเจอกันและแต่งงานกันยังไม่เคยทำความรู้จักสร้างความผูกพันกันด้วยซ้ำ จนเมื่อตั้งครรภ์ก็ยังใช้เวลาแค่เพียงไม่นานอยู่ร่วมเรือนชาน ทั้งยังต้องอยู่ห่างไกลกันนานถึงห้าปีสายสัมพันธ์บางเบามิจืดจางลงแล้วหรือไร…มิใช่ว่าเขามีสตรีข้างกายที่สานสัมพันธ์กันอย่างยาวนานอยู่เคียงข้างหรอกหรือนั่น!กับตัวของฟงชินหยางอาจจะหนักแน่นไม่สนใจใคร หากแต่มีสตรีมากมายที่สนใจเขาการศึกอันดุเดือดยาวนานหากเขาได้รับบาดเจ็บแล้วคนที่ทำแผลให้เขาเป็นสตรีนางหนึ่งที่ปักใจกับเขาและถ้าหากว่ามีสตรีงดงามคิดวางยาเขาจนเขาจักต้องรับผิดชอบและสร้างสายสัมพันธ์เส้นใหม่กับเขาอยู่ทางนั้นเล่า อา...หลิงเวยยิ่งคิดยิ่งดำดิ่งลึกล้ำเกิดหลุมทมิฬขนาดใหญ่ภายในจิตใจยากเกินบรรยายจู่ๆ หญิงสาวพลันนึกถึงพระชายาฮุ่ยจินขึ้นมา พระชายาฮุ่ยจินนั้นเป็นสตรีผู้ครองวังหลังทั้งยังครองใจของอ๋องเฉินเพียงหนึ่งเดียว หากแต่อ๋องเฉินมีนิสัยเจ้าชู้เจ้าสำราญปานใด
ครานี้ไม่เหมือนคราแรก ฮูหยินท่านนี้มีบุตรแล้วและสามีเดินทางไกลนานหลายเดือนเสียงของฮูหยินอีกท่านหนึ่งพลันเอ่ยต่อไม่ยินยอมให้เกิดความเงียบนาน “ส่วนข้านะ สามีเป็นทหารไปประจำการยังชายแดนนานร่วมปี”และแล้วเสียงอื้ออึงของเหล่าฮูหยินพลันดังขึ้นมาอีกครั้งทว่าครานี้มีเสียงของหลิงเวยรวมอยู่ด้วย นางร้องครางเลยทีเดียวการเจอะเจอกันของเหล่าฮูหยินทั้งหลายเป็นการปลดเปลื้องความอัดอั้นตันใจอย่างแท้จริง สตรีหัวอกเดียวกันทั้งนั้นฮูหยินผู้เป็นภรรยาของนายทหารเริ่มเอ่ยต่อ “สามีของข้านั้นเขาเป็นทหารประจำชายแดนที่ห่างเหินอิสตรีนานเป็นปีๆ เมื่อกลับบ้านมาก็มักจะรักข้าหนักหนาไม่หลับไม่นอน แต่ทว่าครั้งนี้ช่างแตกต่าง เขาไปประจำการยังชายแดนห่างไกลนานสามปี ข้าจึงให้ญาติของข้าทางนั้นแอบสืบข่าวของเขา และแล้วข้าจึงได้รับรู้ว่าเขาอดใจไม่ได้จนต้องไปเที่ยวหอนางโลม” ฮูหยินท่านหนึ่งพลันเอ่ยแทรก “นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆ นะเจ้าคะ ฮูหยินหาน...”ฮูหยินหานเจ้าของเรื่องราวรอบนี้ส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยต่อทันที “มันเป็นเรื่องธรรมดาของบุรุษ สามีของข้าก็เช่นเดียวกัน หากแต่กับสตรีในหอโคมเขียวนางนั้นกลับไม่ธรรมดา”“อา...นึ
ฮูหยินท่านนั้นรีบตอบความ “ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด แต่ประเด็นเริ่มเปลี่ยนไป มันมิใช่ประเด็นการสร้างทายาทอีกแล้ว”“อย่างไรหรือ?” ฮูหยินอีกท่านรีบต่อความ “สามีของข้าร่วมรักกับภรรยาใหม่ของเขานางนั้นในทุกๆ คืน พวกเขาร่วมรักกันทั้งยังร้องร่ำคร่ำครวญอย่างรัญจวนจนข้านอนไม่หลับเลยสักคืนเยี่ยงนั้นอยู่เป็นนานหลายเดือนก็ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด สตรีนางนั้นยังคงไม่ตั้งครรภ์เสียที แม่สามีจึงหาสตรีงดงามให้แต่งเข้าบ้านมาอีกนางหนึ่ง ครานี้เสียงครวญครางและเสียงเตียงยังคงดังโครมครามจนรุ่งสางในทุกค่ำคืน แต่สตรีนางนั้นก็ยังไม่ตั้งครรภ์ จนกระทั่งแต่งภรรยาใหม่เข้ามาอีกนาง เสียงครวญครางยังคงดังระงมในทุกค่ำคืนหากแต่ข่าวดีก็ยังไม่มีเฉกเช่นดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือจิตใจของสามีที่บอกว่ารักข้าเพียงหนึ่งเดียว เขาเริ่มเปลี่ยนไป... ในยามนี้เขาไม่ใคร่ใส่ใจกับการมีบุตรเสียแล้ว เขาช่างรื่นเริงบันเทิงอย่างที่สุดในทุกค่ำคืน” “อา...” เสียงคราฮือฮาพลันดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงเห็นได้ชัดว่าจิตใจของบุรุษช่างไม่แน่นอนเมื่อเจอสตรีงดงามและได้ร่วมรักหลากหลายหลิงเวยได้แต่เงียบฟังด้วยใจตั้งมั่นเม้มปากแน่นแน่นอนว่าฟงชิ
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน