หลังมื้ออาหารเช้าที่ได้ทานกันยามสายมากแล้ว
ภายในศาลาริมสระบัวอันเป็นสถานที่ที่สามพี่น้องตระกูลฟงชื่นชอบยิ่งนัก พวกเขามักจะใช้เวลารวมตัวกันคุยกันตามประสาพี่น้องอยู่ตรงศาลาแห่งนี้เป็นประจำ
หลิงเวยนั่งอยู่ในกลุ่มสนทนาของพี่น้องตระกูลฟงและยังคงอยู่ในสายตาคมดำของชายร่างกำยำผู้เป็นสามีทุกย่างก้าว เขายังคงมองนางอย่างจับผิดอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่เมื่อวานหลังจากที่นางได้บรรเลงเพลงพิณ เขาก็สั่งห้ามนางไม่ให้ห่างกายของเขาไปทางใด แต่เมื่อเขาเจอกับสตรีนางหนึ่งเขาก็เดินผละไปทิ้งให้นางเดินกลับเรือนหอเพียงคนเดียว นางจึงเข้าไปเก็บเสื้อผ้าเตรียมตัวถูกเขี่ยทิ้ง
แต่ทว่าเขากลับเอาเสื้อผ้าของนางไปทิ้งแล้วให้ผ้าใหม่แก่นางทั้งหมด
ที่บอกว่าทั้งหมดนั่นเพราะลี่หลินเป็นคนบอกแก่นางว่า อาภรณ์ทั้งหลายจากร้านขายผ้าเมื่อวานนั้นชินหยางไม่ให้ลี่หลินสักชุดเดียว เขาเอาชุดผ้าใหม่ทั้งหมดให้นาง และเอาชุดเก่าของนางที่พับเก็บเอาไว้เตรียมตีจากออกไปทิ้งทั้งหมด
มิรู้ได้ว่าประชดนางหรือไร! ไยทำอย่างนั้น?
“คุณชายใหญ่ คุณชายรอง นายท่านให้มาตามไปที่ลานฝึกขอรับ” เสียงของพ่อบ้านจินดังมาจากทางด้านนอกของศาลาที่พี่น้องตระกูลฟงกำลังนั่งจิบชาคุยกันหลังอาหารเช้า
ฟงชินหยางได้ยินจึงพาเรือนร่างสูงใหญ่หมุนกายเดินออกไปจากศาลาพลางปรายสายตาคมเข้มมองมาทางหลิงเวยเป็นเชิงว่าให้ตามตนไป เขาหันไปทางพ่อบ้านจินแล้วก้มหน้าลงสั่งงานบางอย่างแล้วเดินออกไปพร้อมกับฟงจินหมิง
ฟงลี่หลินจึงพาหลิงเวยให้เดินตามบุรุษทั้งสองไปตามทางเดินที่ทอดยาวระหว่างเรือนภายในจวน
หลิงเวยเดินตามฟงลี่หลินไปแต่โดยดีพลางเมียงมองทิวทัศน์รอบด้านไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ ด้วยเพราะว่าสองข้างทางระหว่างเรือนในจวนจนไปถึงลานฝึกหลังจวนนั้นช่างงดงามประทับใจ
สองฟากฝั่งระหว่างทางของจวนแห่งนี้นั้นเป็นธรรมชาติร่มรื่นไร้ที่ติ มีหินผาตั้งตระหง่านเรียงรายมีต้นไม้สูงโปร่งสลับกันทั้งยังมีสระน้ำพร้อมม่านน้ำตกมองดูแล้วให้ความผ่อนคลายจนกลายเป็นสดชื่น
หญิงสาวนึกชมชอบยิ่งนัก นางคิดอยากจะได้กระดาษพร้อมหมึกกับพู่กันเสียจริง นางอยากเก็บภาพทุกสิ่งของที่นี่เอาไว้
หลิงเวยเหม่อมองทุกภาพรอบด้านพร้อมรอยยิ้มพึงใจใบหน้าสวยหวานพราวพริ้ม นางรีบย่ำก้าวเท้าเล็กๆ ของตนให้เดินเร็วขึ้นอีกนิดเพื่อให้เข้าใกล้ชิดกับคนตัวโตด้านหน้าอีกหน่อย นางมองเขาด้วยดวงตาพราวระยับเผยความนัย แต่น่าแปลกยิ่งนักที่เขามองนางอยู่ก่อนแล้วทั้งๆ ที่นางเป็นฝ่ายเดินตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเขา
“อันใด?” เสียงเข้มเอ่ยถาม ยามนางเดินเข้าไปใกล้
หลิงเวยเงยหน้าขึ้นมองฟงชินหยางด้วยใบหน้าซื่อใส นางอยากจะบอกความในใจกับฟงชินหยางเสียจริงว่านางอยากได้สิ่งใด แต่เขาจะสนใจหรือไม่กัน? เขาอาจไม่สนใจ!
เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงก้มหน้าหลุบตากลมโตลงต่ำแล้วส่ายหน้าไปมาเบาๆ “เปล่า...” นางเอ่ยเสียงแผ่วขณะเดินตามเขาเงียบกริบ
ฟงชินหยางเห็นท่าทางอยากพูดแต่ไม่พูดอย่างนั้นของสตรีด้านหลังจึงหยุดเท้าก้าวเดินแล้วเอียงลำตัวพร้อมก้มหน้าลงต่ำจนริมฝีปากอุ่นชื้นชิดกับใบหูนาง
“หากยังมารยาข้าจะเอาเหล้ากรอกปากเจ้าเสีย” เขากระซิบกระซาบใส่ใบหูนางว่าอย่างนั้นทำเอาคนฟังถึงกับตะลึงงัน
“ท่าน!” หลิงเวยตกใจเงยหน้าจ้องมองคนตัวใหญ่ด้วยดวงตาพองโต นางมองเขาอย่างไม่เข้าใจอันใด เมื่อคืนนางทำสิ่งใดลงไปหรือไม่กันนี่!?
ชายหนุ่มตรงหน้าเลื่อนริมฝีปากออกจากใบหูขาวเล็กเมื่อกล่าวจบก่อนก้มมองใบหน้านางในระยะประชิดสายตาคมกริบจับจ้องนางไม่กะพริบในระยะที่ปลายจมูกแนบชิดจนสัมผัสไล้กัน
ทั้งสองยังคงยืนมองตากันและกันนิ่งงันทั้งยังจ้องหน้าคุยกันในท่าหมิ่นเหม่คล้ายกับจะจูบแต่ไม่จูบกันอย่างนั้น
ทำเอาฟงจินหมิงและฟงลี่หลินได้แต่ยืนลุ้นระทึกกันจนตัวเกร็งตัวโก่ง
น้องรองฟงจินหมิงเริ่มจะทนไม่ได้ หากเขายังเห็นพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้แสดงความรักต่อกันทุกยามเวลาเยี่ยงนี้ เห็นทีเขาคงต้องมองหาสตรีมาแนบกายสักคน แต่จะหาใครได้ในเวลาอันจำกัด หากหาได้ก็ยังคงต้องมองและศึกษากันไปนานๆ แต่ยามนี้เขายังไม่มีใครจึงเริ่มจะทนมองพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ไม่ไหวเสียแล้ว
“เรารีบไปกันเถิด” เสียงทุ้มต่ำดังออกมาจากลำคอของน้องรองที่เริ่มขนลุกชูชันมีอารมณ์ของหนุ่มเนื้อแน่นตามวัย
“จะรีบไปไหนเล่า ข้าอยากมอง” ฟงลี่หลินที่ยังมิรู้ความแต่กำลังอยากรู้ความเอ่ยออกมาว่าอย่างนั้น
“รีบไป” ฟงจินหมิงเอ่ยเสียงกดต่ำก่อนที่เขาจะตัดสินใจไปหอนางโลมแทนลานฝึก
“ไม่ไป” ฟงลี่หลินยังคงตั้งมั่นศึกษาจากคู่รักตรงหน้า
“ไปเดี๋ยวนี้!”
“ไม่ไป!”
“ไป!”
“ไม่!”
และแล้วน้องรองกับน้องเล็กก็เริ่มเปิดศึกโดยมีพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้เป็นต้นเหตุจุดฉนวนจนพ่อบ้านจินที่เดินนำหน้าบ่าวไพร่มาพร้อมด้วยกระดาษและแท่นหมึกพู่กันต้องกระแอมไอออกมา
“คุณหนูทั้งหลายขอรับ” เสียงแหบต่ำของพ่อบ้านจินเอ่ยเตือนสติพี่น้องชายหญิงที่เขาเห็นมาตั้งแต่กำเนิด “นายท่านรอนานแล้วกระมัง”
เสียงของพ่อบ้านประจำจวนผู้เจ้าระเบียบเคร่งครัด แม้กระทั่งเจ้านายยังต้องฟังความดังขึ้นที่ด้านหลังของกลุ่มทำให้ฟงจินหมิงได้ทีสบโอกาสดึงฟงลี่หลินให้เดินติดมือของเขาไปก่อนที่น้องน้อยของเขาจะใคร่ได้ชายมาเชยชมเฉกเช่นเดียวกับเขา คงเหลือไว้เพียงสองสามีภรรยาที่คล้ายกับว่าโลกใบนี้มีเพียงพวกเขาแค่สองคน
ครานี้พ่อบ้านจินมิกล้าส่งเสียงใดๆ เพราะถึงอย่างไรก็คงไม่เข้าหูของคุณชายใหญ่อยู่ดี
ภาพของบุรุษตัวใหญ่ผู้แข็งกระด้างดื้อดึงเอาแต่ใจตั้งแต่ยังเยาว์วัยจนกระทั่งเติบใหญ่ได้เป็นถึงแม่ทัพผู้นี้กำลังแสดงความรักกับภรรยาตัวน้อยอ่อนหวานน่ารักผิดกันคนละฝา ทำเอาพ่อบ้านจินไม่ชินเอาเสียเลย
หลิงเวยได้ยินเสียงของพ่อบ้านจินจึงเบนสายตาไปมองเขาแต่แล้วนางพลันต้องตะลึงเมื่อมองเห็นอุปกรณ์ที่บ่าวไพร่ช่วยกันถือมายามเดินตามหลังของพ่อบ้านประจำจวน
“ลี่หลินชอบวาดภาพหรือ” หญิงสาวถามชายหนุ่มตรงหน้าแต่สายตายังคงจับจ้องอุปกรณ์วาดภาพอย่างตื่นตะลึง
“น้องเล็กไม่ชอบวาดภาพ” ฟงชินหยางตอบคำเรียบเรื่อยไร้อารมณ์ใดๆ พลางยืดตัวขึ้นแล้วเบี่ยงตัวเดินออกไปตามทางเป้าหมายเดิมคือลานฝึก
หลิงเวยจึงเดินตามหลังของเขาพลางเอ่ยถามอีกคำ “หรือว่าลี่หลินชอบเขียนกลอน”
“นางไม่ชอบเขียนกลอน” ร่างสูงใหญ่ตรงหน้าตอบคำเนือยๆ
ร่างเล็กด้านหลังยังคงไม่เข้าใจ แต่ทว่าเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยออกมายิ่งทำนางฉงนงุนงง
“ครานี้เจ้าไม่ต้องซ่อนและไม่ต้องฉีกทิ้ง เข้าใจหรือไม่”
หลิงเวยถึงกับเบิกตากว้างมองแผ่นหลังของสามีตรงหน้า
“ท่าน!” นางร้องได้แค่นั้น นี่เขารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน เช่นนั้นแล้วเมื่อคืนมีอันใดกันแน่?
หญิงสาวเริ่มครุ่นคิดรู้สึกตงิดอยู่ในใจ
แต่ช่างเถิด ไม่ว่าเมื่อคืนนางจะเผลอไผลสิ่งใดไป
แต่ยามนี้นางกำลังรู้สึกดียิ่ง!
เมื่อคิดได้แล้วนางจึงอมยิ้มจนแก้มป่องแล้วแอบคลี่ยิ้มงดงามออกมาขณะเดินตามแผ่นหลังของคนตรงหน้าอยู่เงียบๆ
แต่ทว่าฟงชินหยางมีหรือจะพลาดเขารับรู้ได้จากหางตา
นางยิ้มแล้ว...
ชายหนุ่มแอบยกยิ้มมุมปากพลางปรายสายตาคมปลาบร้ายกาจเสมองไปทางต้นไม้ใบหญ้า ทำเอาพ่อบ้านจินที่เดินตามหลังมาได้แต่ขนลุกชูชัน เขาควรหาเมียบ้างสักคน!
เสียงการฟาดฟันกระทบกันของดาบหอกทวนกระบี่ดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างอย่างต่อเนื่องจากกลางลานฝึกอันกว้างใหญ่กินพื้นที่หลายลี้หลังจวนตระกูลฟงบุรุษผู้องอาจทั้งสามประจำจวนตระกูลฟงใช้เป็นที่ปะทะประลองฝีมือกันระหว่างพวกเขากับพวกองครักษ์และเหล่าทหารยามประจำจวนกระทั่งบรรดาบ่าวชาย เสียงหลากหลายมากมายเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำและยิ่งดังกระหึ่มอย่างบ้าระห่ำเมื่อครั้งนี้มีคุณชายใหญ่ฟงชินหยางได้เข้าร่วมฟาดฟันด้วยกันหลังจากที่เขาได้นำกองกำลังสามเหล่าทัพออกศึกต่อกรกับแม่ทัพใหญ่ต่างแคว้นและไล่ล่าปราบกบฏทรราชอยู่ตามชายแดนทั้งยังคอยกำราบชนเผ่าผู้รุกล้ำดินแดนเสียนานหลายปี บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่สุดในกลุ่มออกกระบวนท่าแค่เพียงท่าเดียวก็สามารถล้มเหล่าทหารที่รุมล้อมให้แตกพ่ายได้โดยง่ายทั้งๆ ที่ก่อนจะลงสนามฟาดฟัน เหล่าทหารพวกนั้นได้วางแผนวางกลยุทธ์การศึกกันอยู่เป็นนานแต่เหมือนกับว่าฟงชินหยางจะสามารถคาดการและล่วงรู้ได้ทั้งหมด ทั้งๆ ที่เขามิได้อยู่ร่วมฝึกมาถึงสามปี ร่างกายกำยำสูงใหญ่ของฟงชินหยางมิได้มีผลอันใดต่อความรวดเร็วว่องไวที่มีเหนือชั้นของเหล่าบรรดาทหารประจำจวนเลยแม้แต่น้อยด้วยเพราะความเร็วและแม่น
ยามค่ำคืนภายใต้แสงสีนวลของดวงจันทราแหวกว่ายอากาศลงมาจนสาดส่องยังภายในเรือนนอนอันใหญ่โตโอ่อ่าที่มิเคยมีเครื่องเรือนงดงามหรือเครื่องประดับประดาอันใดมากมายภายในห้องนอนของเรือนฟงหู่มีเครื่องเรือนเพียงตู้โต๊ะตั่งเตียงและฉากกั้นที่ทุกสิ่งอย่างล้วนไร้สีสันทั้งยังมืดทะมึนดำด้านไร้สิ่งอื่นใดที่งดงามจับตากระทั่งแจกันดอกไม้ยังไม่มีฟงชินหยางกำลังยืนมองที่ตรงกำแพงห้องโล่งกว้างสีทึบที่ไร้ซึ่งภาพใดๆ ก่อนหน้าที่บัดนี้กลับมีภาพวาดภาพหนึ่งที่เขาสั่งบ่าวไพร่ให้หาแผ่นไม้มาจับขึงตรึงแน่นแล้วแขวนเอาไว้เป็นอย่างดีภายในห้องนอนแห่งนี้ของเขาเขายังคงยืนจ้องมองภาพนั้นด้วยสายตาคมปลาบแต่ประกายวาบชื่นชมภาพวาดติดผนังตรงหน้าของฟงชินหยางนั้นเป็นภาพวาดของบุรุษรูปร่างกำยำในอาภรณ์สีเข้มดำ บุรุษในภาพใบหน้าดุดันดวงตาเหี้ยมเกรียมกำลังวาดเพลงดาบฟาดฟันกับเหล่าทหารอย่างโหดเหี้ยมจนทหารเหล่านั้นล้มลงระเนระนาดท่าทางน่าเกลียดจนเต็มพื้นดินภาพวาดนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพที่มองดูแล้วให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่นสั่นสะพรึงมากนัก แต่นั่นล่ะ! เขายิ่งชอบ...มิรู้ได้ว่าคนวาดใส่ความรู้สึกอันใดลงไป ไยสมจริงยิ่ง!เมื่อนึกถึงคนวาดภาพขึ้นมาชายหนุ
หลิงเวยยังคงมีกิริยาตามแบบฉบับโดยธรรมชาติของตนที่ตรงกันข้ามกับใครบางคนทุกประการ นางเอียงตัวไปเล็กน้อยเพื่อหยิบเอากล่องบางอย่างออกมาวางเอาไว้ด้านหน้าตรงโต๊ะแล้วขยับเข้าใกล้คนตัวโตตรงหน้าอีกนิดแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม“ข้าขอดูบาดแผลของท่านได้หรือไม่” นางขออนุญาตคนตรงหน้าอย่างเกรงอกเกรงใจแต่ว่านางเห็นเขาได้รับบาดแผลจากการฝึกในลานวันนี้ไม่น้อยเลยเสียงแผ่วใสแว่วหวานของหลิงเวยทำฟงชินหยางถึงกับหลุดออกจากภวังค์แห่งความนุ่มนวล เขาจึงเอ่ย “ย่อมได้” เส้นเสียงทุ้มต่ำของบุรุษปานหินผาเอ่ยออกมาพลางนั่งนิ่งๆ จ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาคมกริบซ่อนแววบางอย่างยามที่นางกำลังเอื้อมมือน้อยๆ มาถอดเสื้อให้เขาเขาย่อมใจดีให้นางในเรื่องนี้ หากนางอยากอ่านหนังสือบนตัวของเขาอีกยิ่งดีไปใหญ่ เขาจะนอนลงให้นางเดี๋ยวนี้เลยทีเดียวหลิงเวยค่อยๆ เอื้อมมือนุ่มนิ่มบรรจงปลดสายคาดเอวของคนตรงหน้าออกอย่างนุ่มนวลเพื่อเปิดสาบเสื้อออกจากร่างกำยำของเขาเพื่อให้ได้มองเห็นบาดแผลของเขาที่เกิดขึ้นในวันนี้ในขณะที่ฟงชินหยางยังคงก้มหน้ามองนางนิ่งงัน ใบหน้าหวานๆ ฝ่ามือนุ่มๆ ของนางที่กำลังขยับเนิบนาบเฉียดไปเฉียดมาอย่างนั้นทำเขาเริ่มปวดเกร็งอ
เช้าวันต่อมานับได้ว่าเป็นวันที่เจ็ดแล้วสำหรับคู่สามีภรรยาที่ได้เสียแต่งงานกันอย่างไม่คาดฝันและวันนี้ก็เป็นวันที่จะต้องพากันเดินทางกลับไปบ้านของฝ่ายภรรยาตามธรรมเนียมที่มี เมื่อคำนวณดูแล้วการเดินทางจนกระทั่งถึงจวนตระกูลหลิงย่อมเข้าวันที่สิบสองพอดิบพอดี...บนถนนทอดยาวมีบ่าวไพร่และทหารติดตามเต็มขบวน มีรถม้าที่แสนจะกว้างขวางสะดวกสบายคันหนึ่งซึ่งใช้ในการเดินทางจากเมืองหน้าด่านเข้าสู่เมืองหลวงเป้าหมายคือจวนตระกูลหลิงภายในรถม้ามีตู้มีชั้นหนังสือและลิ้นชักสำหรับเก็บข้าวของ ภายในชั้นเก็บของเต็มไปด้วยผลไม้ น้ำชา กระโถน แม้กระทั่งคั่งที่ดัดแปลงเอาไว้ใต้ท้องรถม้าแล้วปูทับด้วยฟูกผืนหนา เรียกได้ว่าครบครันมากนักหลิงเวยนั่งมาในรถม้าคันนี้ด้วยร่างกายเหนื่อยอ่อนระทดระทวยเหลือประมาณ เนื่องจากผ่านการถูกเคี่ยวกรำจากใครบางคนเกือบทั้งคืน เมื่อนางตื่นลืมตาขึ้นมาก็เจอกับเขาที่นอนตะแคงข้างมองนางอยู่ก่อนหน้าเมื่อนางมองตอบสบสายตาคมกล้าของเขาแค่เท่านั้น เขาถึงกับพลิกกายกำยำทำนางต่อในยามเช้าก่อนตื่นนอน เขาทรมานนางจนนางหมดแรงหลับใหลไปอีกครา กระทั่งว่าอาบน้ำแต่งตัวก็ยังไม่มีการวางมือมิรู้ได้ว่าเขาเคืองโกรธอันใดน
และทั้งๆ ที่เขากำลังใส่ผ้าให้นางแต่เขากลับถอดมันออกแล้วทำอย่างอื่นกับนางอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะเริ่มต้นอาบน้ำให้นางใหม่ด้วยลีลาเหนือชั้นอย่างรัญจวนแล้วใส่ผ้าให้นางอีกทีเขาทำการเอาแต่ใจกับนางอยู่หลายหนหลายทีจนเล็บมือของนางแทบหัก นางจิกเล็บบนตัวของเขาจนปวดมือไปหมด ลำคอของนางก็แห้งผากแทบเป็นผุยผง นางครางจนไม่เป็นภาษา ยามที่เขาออกกระบวนท่าแต่ละลีลา เขาทำให้นางคล้ายกับลอยอยู่ในอากาศ เราทั้งสองมิได้เอ่ยปากพูดจาสิ่งใดต่อกันเพราะริมฝีปากของสองเรานั้นประกบกันอยู่ตลอดเวลา ฝ่ามือใหญ่หนาที่ควรใส่ผ้าให้นางกลับดึงผ้าออกแล้วกลายเป็นฝ่ามือไฟบรรลัยกัลป์ มันลากไล้ส่งผ่านความร้อนไปทั่วเนื้อตัวของนาง ตั้งแต่เนินอก โคนขาและบั้นท้าย เขาใช้ฝ่ามือพิฆาตกับนางตลอดเวลาทุกสัดส่วนริมฝีปากของเขาก็คล้ายกับว่าพ่นไฟได้ ลมหายใจก็เช่นกัน เป่ารดนางด้วยความร้อนสูงคล้ายออกมาจากปล่องไฟแต่ถึงกระนั้นนางกลับรู้สึกได้ว่าอบอุ่นดีผ้าห่มผืนใดไม่ต้องทำหน้าที่ของมันอีกต่อไป เมื่อมีใครบางคนแปรสภาพเป็นผ้าห่มผืนหนาแล้วห่อหุ้มตัวนางทั้งคืนกระทั่งเช้าได้อย่างนั้นอากาศหนาวเย็นของฤดูกาลนี้มิได้หนาวเหน็บแต่อย่างใด เมื่อใครคนนั้นแปรสภาพเ
เมื่อคิดได้แล้วจึงเอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านของรถม้าออกก่อนจะเอียงหน้าน้อยๆ มองออกไปด้านนอกอย่างใคร่รู้ เพียงครู่นางจึงตัดสินใจส่งเสียงบอกสาวใช้ที่นั่งอยู่กับทหารผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งบังคับม้า“หยุดรถก่อน...”เมื่อเสียงแว่วหวานเอ่ยสั่งการ รถม้าจึงค่อยๆ หยุดเคลื่อนตัวเพียงอึดใจล้อของรถม้าจึงหยุดหมุนแล้วจอดนิ่งอยู่กับที่“ฮูหยินน้อยต้องการสิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้นามเสี่ยวชุ่ยรีบหันหน้ามายกยิ้มจนตาหยีถามอย่างสงสัย“ข้าขอชมทิวทัศน์รอบนอกตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่” หลิงเวยตัดสินเอ่ยถามด้วยถ้อยคำอ่อนหวานตามวิสัยที่ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไรโดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น แต่ถึงกระนั้นสาวใช้ตรงหน้าก็ยังทำท่ากลัวเกรงเป็นอย่างยิ่งถึงแม้ว่าภรรยาของคุณชายใหญ่จะเป็นสตรีที่งดงามอ่อนหวานถึงเพียงนี้ แต่ทว่าสตรีที่สามารถเอาคุณชายใหญ่อยู่หมัดได้ย่อมไม่ธรรมดา นี่นับว่าเป็นจอมบัญชาของยอดปีศาจเลยทีเดียวสาวใช้คิดในใจอย่างหวาดผวาอยู่ลึกๆ ด้วยสีหน้าปั้นยิ้มเก็บข่มความหวาดกลัวเอาไว้ได้มิดชิดแล้วรีบกระวีกระวาดลงจากรถม้าไปหยิบเอาตั่งรองเท้ามาวางเอาไว้ให้โดยไม่กล้าถามอันใดให้มากความหลิงเวยมองตามสาวใช้อย่างนึกฉงน นางกล
และแล้วการเดินทางของสองสามีภรรยาก็ใกล้เข้าถึงจวนของตระกูลหลิงเต็มทีหลิงเวยนึกตื่นเต้นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หนึ่งคือนางไม่มีน้องชายที่สนิทสนมมากพอที่จะออกมาต้อนรับนางตามพิธีการ สองคือคนในบ้านมองเห็นนางไร้ค่าไร้ตัวตนตลอดมากระทั่งบ่าวรับใช้ยังมองนางไร้ความหมายไม่มีใครภักดี ย้อนกลับไปเมื่อวันแต่งงาน ยามที่นางแต่งออกจากบ้านไปนั้น บิดาได้จัดงานให้นางอย่างเร่งรัดรีบร้อนคล้ายกับกลัวว่าเจ้าบ่าวจะเปลี่ยนใจ นางจึงถูกจับโยนใส่เกี้ยวสีมงคลประหนึ่งเป็นเพียงเศษผ้ากระนั้น แล้ววันนี้จะแตกต่างอะไรกับวันนั้นหรือไม่กัน!หญิงสาวนึกกลัวเกรงขึ้นมาทั้งยังไม่อยากต้องขายหน้าให้ใครบางคนใครคนนั้นจะรู้สึกเช่นไรเมื่อที่บ้านของนางทำกับนางอย่างนี้ เขาจะรู้สึกเช่นไรเมื่อรู้ว่านางเป็นได้แค่นี้หลิงเวยนึกหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นเมื่อนึกถึงฟงชิน หยางขึ้นมาและยิ่งนึกอับอายเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของนางกับเขาในฐานะบุตรแห่งตระกูลเขาเป็นบุตรชายคนโตทั้งยิ่งใหญ่ทั้งเป็นที่รักและน่ายำเกรง แต่นางเป็นแค่บุตรต่ำต้อยด้วยค่าที่ถูกลืมอีกครั้งที่หญิงสาวยิ่งคิดยิ่งหม่นแสงในชีวิตเพียงครู่รถม้าพลันหยุดตัวลงบ่งบอกได้ว่าถึ
ฟงชินหยางเห็นประตูจวนหนาหนักถูกบ่าวชายหลายคนมาเปิดออกจนกว้างดีแล้วจึงเหยียดกายของตนลงจากหลังม้าด้วยมาดงามสง่าแต่แผ่กลิ่นอายมืดครึ้มกดดันรุนแรงตลอดเวลา สายตามองกราดนับหัวผู้คนที่ทำงานชักช้าไม่ทันใจเขาเดินไปรอรับร่างบางของนางผู้เป็นภรรยาให้ลงจากรถม้าแล้วพากันเดินเข้าประตูใหญ่ไปด้วยกันโดยไม่สนใจพิธีรีตองอันใด ไม่มีน้องชายมารอรับแล้วอย่างไร ใครสนใจกัน!ชายหนุ่มเดินนำหน้าหญิงสาวเข้าประตูจวนมาด้วยมาดเข้มข้นไม่สนใจผู้ใดเมื่อเดินมาจนถึงตัวของพ่อบ้านประจำจวนจึงเอื้อมฝ่ามือใหญ่หนาตะปบบ่าของอีกฝ่ายแล้วบีบหนักๆ ไปหนึ่งทีพลางหรี่ตาคมดำจ้องมองเป็นเชิงเตือนว่าอย่าชักช้ารีบไปบอกนายของเจ้าเสียพ่อบ้านสูงวัยที่บ่าแทบหักคาฝ่ามือเหล็กของใครบางคนลำตัวคล้ายกับหดเล็กลงยิ่งกว่าเดิม เขามีหรือจะไม่เข้าใจ เขารีบก้าวเท้าถอยห่างแล้วเดินออกจากตัวอันตรายตรงหน้าในทันทีหลิงเวยได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามแผ่นหลังของคนตัวใหญ่ไปอย่างเงียบงัน นางไม่อยากมีเรื่องกับใครทั้งนั้น นางเพียงต้องการยกน้ำชาให้แล้วๆ เสร็จๆ กันไปเพียงครู่พ่อบ้านคนเดิมก็เดินยิ้มออกมาพร้อมกับบ่าวรับใช้คนสนิทของผู้นำตระกูลหลิง ทั้งสองยกยิ้มต้อนรับสอ
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้
ภายใต้ท้องฟ้าที่แสงตะวันเจิดจ้ากำลังสาดส่องเกิดเป็นแสงสีทองสวยอร่ามงามตากำลังมีสตรีนางหนึ่งอยู่ในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนปักลายสีขาวนวลเกล้าผมเรียบร้อยเผยใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ยามเมื่อสายลมพัดโชยพาอาภรณ์ปลิดปลิวโบกสะบัดไปตามแรงลมเกิดเป็นภาพสตรีร่างระหงงดงามจับตา นางเพียงยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้สายลมไล้อยู่ตามยอดหญ้ากระทั่งไล้มาถึงลำตัวของนางนางกำลังยืนอยู่อย่างนั้นคล้ายกับกำลังไว้อาลัยกับภาพเบื้องหน้า ภาพของผืนป่าโอบล้อมสายน้ำที่อยู่ไกลลับตาเหล่าทหารยามที่เดินไปเดินมาพากันเดินสะดุดหยุดเท้าฉับพลันเมื่อมองมาแล้วเห็นสตรีงดงามนางหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างสวยงามภายใต้ท้องฟ้าท่ามกลางต้นหญ้าท้าลมท้าแดดเกิดเป็นภาพงดงามเหนือชั้นได้อย่างนั้นหากจำไม่ผิด สตรีนางนี้คือภรรยาของท่านแม่ทัพนามว่าฟงชินหยาง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารอย่างนั้นจะมีภรรยาเป็นนางฟ้าได้อย่างนี้...อึดใจเหล่าทหารพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อจู่ๆ มีทั้งกระต่ายป่าและนกตัวใหญ่จำนวนหลายสิบตัวถูกโยนลงมาบนพื้นเสียงดังตุ้บแรงๆ ตามด้วยเส้นเสียงทุ้มใหญ่เอื้อนเอ่ยคำราม“เอาไปนับ!”“…!!!”เหล่าทหารรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของสัตว์ป่าและเสียงห้าวใหญ่น่ากลัว พวกเ