ความรู้สึกที่ถาโถมทำให้พลังเซียนที่ถูกจอมมารกดขี่เอาไว้แข็งแกร่งขึ้นมาในทันที สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนราวกับเป็นคนละคนคิดในใจด้วยความมุ่งมั่นว่าจะต้องพาพวกเขาหนีไปจากตรงนี้ให้ได้
กงจื่อเย่สัมผัสได้ว่าพลังเซียนของนางกำลังต่อต้านเขาอย่างรุนแรงกว่าเดิมไม่อาจออมมือทำเป็นเล่นได้อีกต่อไปจึงหล่อหลอมพลังมารที่แท้จริงขึ้นมาเพื่อสังหารนางให้สิ้นซาก
ทว่า จื่อเถิงคือผู้ที่เทพบรรพกาลเลือกเอาไว้ การทำลายนางจึงไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด สายพลังบริสุทธิ์สะท้อนกลับมาทำลายตัวเขาเองจนนิ่งงันไปชั่วขณะ
ไอมารที่ควบคุมจื่อเถิงและอิงฮวาอยู่จึงอ่อนแอลงชั่วคราว ทำให้พวกเขาได้โอกาสโต้กลับร่ายพลังเซียนพุ่งเข้าใส่ลูกน้องจอมมารในพริบตาจนลอยกระเด็นไปคนละทาง
พลังกึ่งเทพของจื่อเถิงไม่อาจควบคุมได้เพราะจิตใจที่ไม่มั่นคงมันสะท้อนเข้าหาหยกสีชมพูที่อาจารย์เจ้าสำนักให้นางเอาไว้
จื่อเถิงจึงรู้สึกตัวตั้งสติร่ายวิชาเคลื่อนย้ายโดยใช้พลังในหยกเข้าช่วยอีกแรงพลางพยักหน้าให้อิงฮวา เพียงอึดใจเดียวเซียนสำนักดาราสวรรค์ก็หายตัวไปจากที่แห่งนั้นโดยที่ฝ่ายจอมมารไม่ทันตั้งตัว
พลังของหยกเจ้าสำนักพาพวกเขากลับมายังตำหนักต้นหลิวชั่วพริบตา
“ท่านอาจารย์ ช่วยศิษย์พี่ด้วยเจ้าค่ะ” จื่อเถิงประคองร่างของหยางซีอวิ๋นเข้าไปในตำหนัก น้ำตาเอ่อล้นไม่รู้จะทำอย่างไร
เจ้าสำนักเซียวรีบออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงของนาง สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายระคนเมื่อเห็นสภาพของลูกศิษย์ทั้งสามคน
นางสั่งให้ศิษย์อื่น ๆ ไปตามอาจารย์ในสำนักมารวมตัวกันอย่างเร่งด่วนเพื่อช่วยหยางซีอวิ๋น ก่อนจะร่ายพลังกำจัดไอมารที่ควบคุมร่างของเขา
จื่อเถิงกอดอิงฮวาเอาไว้ ภาวนาให้ศิษย์พี่ไม่เป็นอันใด แม้จะสูญเสียพลังเซียน แต่อย่างน้อยรักษาชีวิตเขาเอาไว้ได้ก็ยังดี
อิงฮวามองร่างไร้สติไม่วางตา น้ำตาคลอเบ้าพยายามกลั้นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
ไม่นานนัก อาจารย์ประจำสำนักจึงมารวมตัวกันพร้อมหน้าที่ตำหนักต้นหลิว
เฉาหมิงเห็นลูกศิษย์ของตนเองอยู่ในสภาพยับเยินรู้สึกผิดที่ปล่อยพวกเขาออกไปผจญกับโลกภายนอกสำนักเร็วเกินไป “ผู้ใดเป็นคนทำ” เขาถามจื่อเถิง
เขารู้มาตลอดว่าหยางซีอวิ๋นเป็นศิษย์ที่มีฝีมือไม่เป็นรองใครในสำนัก ไม่ว่าจะมารปีศาจตนใดในแดนมนุษย์ย่อมไม่มีใครทำอันตรายกับเขาได้จึงยอมปล่อยให้พวกเขาได้ออกไปฝึกฝนช่วยเหลือชาวบ้าน แต่ใครกันที่ทำให้หยางซีอวิ๋นเป็นเช่นนี้
สำนักดาราสวรรค์ซ่อนตัวอยู่ในที่ห่างไกล จึงไม่มีใครรู้เลยว่าเวลานี้จอมมารได้ปรากฏกายในแดนมนุษย์พร้อมกองทัพสัตว์อสูรและปีศาจจากภพมาร
“จอมมารถือกำเนิดแล้วเจ้าค่ะ” จื่อเถิงเอ่ยปาก
คำพูดของนางทำให้ทุกคนในที่นั้นหันมามองเป็นตาเดียว “จอมมารถือกำเนิดอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ แรกเริ่มที่มีข่าวคราวว่าชาวบ้านหายตัวไปก็เป็นเพียงแค่ปีศาจจำแลงกายมาก่อความวุ่นวาย” จื่อเถิงค่อย ๆ เล่ารายละเอียดให้คนที่เหลือฟังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่รู้ว่าทำไมจอมมารถึงได้ปรากฏตัวขึ้นมากะทันหัน แล้ว...”
นางรู้สึกผิดยิ่งนักที่ทำให้คนรอบตัวต้องเจ็บปวดทรมาน
“จอมมารตามล่าศิษย์พี่เจ้าค่ะ” อิงฮวาเอ่ยปากเล่าบ้าง “เพราะว่าศิษย์พี่เป็นเซียนสวรรค์จุติ พลังเป็นปรปักษ์”
เจ้าสำนักเซียวถอนหายใจ นิมิตที่นางเห็นเริ่มมีเค้าลางความจริงขึ้นมาบ้างแล้ว แม้ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไรแต่เวลานี้ทำได้ดีที่สุดคือเตรียมพร้อมตั้งรับกับมัน
“จื่อเถิง เจ้าคงรู้แล้วว่าตนเองมีหน้าที่ใด ไปหลบที่เขาซวนเหยากับอิงฮวาจนกว่าสิ่งที่เจ้าต้องทำจะเสร็จสมบูรณ์” นางออกคำสั่งกับศิษย์ทั้งสอง
“อาจารย์เจ้าสำนัก ศิษย์พี่...” จื่อเถิงพยักหน้ารับคำสั่ง หากแต่ยังกังวลเรื่องของเขา
“อย่าได้ห่วงไปเลย รีบไปเถิด หากเจ้าทำไม่สำเร็จ อย่าว่าแต่หยางซีอวิ๋นจะไม่รอด สำนักดาราสวรรค์คงจะถึงคราวล่มสลายเป็นแน่” เจ้าสำนักเซียวบอกนางไปตามตรง พูดไปเช่นนั้นเพื่อกดดันให้จื่อเถิงเร่งรีบหลอมรวมสรรพสิ่งทำให้เมล็ดพันธุ์สมบูรณ์โดยเร็วที่สุด
“เจ้าค่ะ” นางรับปากแล้วพาอิงฮวาไปซ่อนตัวอยู่ในเขาซวนเหยาทันที
คล้อยหลังทั้งคู่ เฉาหมิงรับหน้าที่แจ้งข่าวให้ศิษย์สำนักทุกคนได้รับรู้ว่ากาลข้างหน้าจะเกิดอันใดขึ้นกับสำนักดาราสวรรค์บ้าง
จางเจี๋ยหลุนผู้เป็นอาจารย์ของอิงฮวากับศิษย์รุ่นพี่บางส่วนออกไปอยู่รอบนอกสำนักเพื่อเขียนยันต์ป้องกันมารปีศาจไม่ให้บุกรุกเข้ามา
ส่วนเจ้าสำนักเซียวและอาจารย์สายรักษาใช้พลังเซียนของตนเองช่วยเหลือหยางซีอวิ๋นอย่างเต็มที่
แม้เขาจะมีใจสู้มากเพียงใดแต่พลังมารที่อยู่ในร่างไม่ใช่สิ่งที่ลบล้างออกไปได้ง่าย ๆ ไม่ว่าพลังเซียนที่ถ่ายเข้าสู่ร่างของเขาจะพยายามต่อต้านการทำลายล้างของมันเท่าใดกลับไม่เป็นผลเพราะพลังมารที่กงจื่อเย่ผนึกเอาไว้ร้ายกาจกว่าสิ่งใด
จอมมารตั้งใจทำให้จื่อเถิงแตกสลายราวกับอาฆาตแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เขาอยากให้นางเจ็บปวดที่สุดก่อนที่จะสังหารนางอย่างที่เคยพูดเอาไว้
เหตุผลเดียวคงจะเป็นเพราะนางสามารถกำจัดเขาได้เหมือนอย่างที่เคยมีเทพเซียนแอบไปฆ่าเขาถึงภพมารทั้ง ๆ ที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่วัน และยังคงเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอดจนจอมมารอย่างเขาไม่อาจทนให้ผู้ใดมาลอบทำร้ายเขาได้อีกต่อไปจึงพาลโกรธแค้นจื่อเถิงไปโดยปริยาย
แม้จะอยู่ไกลกันแต่กงจื่อเย่สามารถรับรู้ได้ว่าเวลานี้ใครบางคนกำลังใช้พลังเซียนเพื่อรักษาหยางซีอวิ๋น
เขาแสยะยิ้มคิดจะจบงานที่ตนเองทำคั่งค้างไว้ให้คนเหล่านั้นดูเป็นขวัญตาประกาศศักดาของจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้รู้
กงจื่อเย่หงายฝ่ามือขึ้นขยับนิ้วทั้งห้าไปมาราวกับชักใยพลังมารที่ฝังอยู่ในร่างหยางซีอวิ๋นด้วยความรู้สึกสนุกสนาน เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทรมาน พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการควบคุม
หยางซีอวิ๋นกระอักเลือดออกมาไม่หยุด ร่างกายราวกับไฟร้อนแผดเผาจากภายใน ดวงตาเบิกโพลงเจ็บปวดสุดขีด เสียงร้องของเขาดังลั่นก้องตำหนักต้นหลิวจนศิษย์คนอื่นขนลุกด้วยความหวาดกลัว
“อาจารย์ จอมมารจะมาที่นี่หรือ” ศิษย์คนหนึ่งถามเฉาหมิง
“อืม” เขาพยักหน้าไม่ปิดบัง รู้ว่าลูกศิษย์หวาดกลัว “ข้าไม่ได้ห้ามพวกเจ้า” เฉาหมิงเอ่ยปาก
หลังจากเห็นศิษย์คนโปรดอยู่ในสภาพตายทั้งเป็นแล้ว เขาไม่คิดจะให้ศิษย์คนอื่น ๆ ต้องมาเผชิญชะตากรรมเดียวกันจึงไม่ห้ามหากพวกเขาจะล่าถอยหลบหนีออกไปจากสำนัก
ทว่า ลูกศิษย์ทุกคนกลับยืนยันหนักแน่นว่าจะช่วยอาจารย์รับมือกับจอมมาร แม้รู้ว่าอาจสู้ไม่ได้และทำได้เพียงแค่ถ่วงเวลา แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยินยอมที่จะเสียสละให้จื่อเถิงได้ทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้น
ตำหนักต้นหลิว
หยางซีอวิ๋นยังคงถูกพลังมารโจมตีอย่างต่อเนื่อง เขาตั้งใจรวบรวมสติที่เหลืออยู่อันน้อยนิดเป็นครั้งสุดท้าย แววตาอบอุ่นฉายขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง “อาจารย์ ปล่อยข้าไป”
เขารู้ดีว่าพลังมารรุนแรงเกินกว่าจะลบล้าง ไม่มีผู้ใดช่วยเขาได้อีกแล้ว “ข้าทำหน้าที่ของข้าได้ดีแล้วใช่หรือไม่”
เจ้าสำนักเซียวกลั้นน้ำตาพยักหน้า ลูกศิษย์คนนี้ทำตามคำสั่งของเขาได้เป็นอย่างดี หยางซีอวิ๋นดูแลจื่อเถิงตั้งแต่นางเกิดจนกระทั่งตอนนี้เหมือนกับน้องสาวของตนเอง
ไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย
“ทำได้ดีแล้ว ซีอวิ๋น” เจ้าสำนักเซียวโอบใบหน้าของลูกศิษย์เอาไว้
“อาจารย์ ข้าทนไม่ไหวแล้ว” น้ำตาที่เคยไหลกลายเป็นสายเลือดพลันลมหายใจเฮือกสุดท้ายถูกพรากจาก
เขาซวนเหยาจื่อเถิงพยายามตั้งสติของตนเองไม่ให้วอกแวกคิดสิ่งใดเพราะเวลานี้นางจะต้องรวบรวมเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตให้เสร็จสมบูรณ์โดยเร็วที่สุดเดิมทีชีวิตที่ยืนยาวจะค่อย ๆ หล่อหลอมเมล็ดพันธุ์นั้นตามกาลเวลาที่ร่วงโรยผ่านไป ทว่า จื่อเถิงไม่อาจรอช้าได้ในเมื่อทุกชีวิตที่เกี่ยวข้องกับนางกำลังเผชิญกับอันตรายนับไม่ถ้วนสำนักดาราสวรรค์ตกอยู่ในวงล้อมของทัพมารที่ค่อย ๆ บีบเจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์ให้เปิดเผยที่ซ่อนของจื่อเถิงโดยใช้ชีวิตของศิษย์ที่เหลืออยู่เป็นเครื่องต่อรองหากแต่ทุกคนรู้ดีว่าจอมมารโฉดร้ายและสัตว์อสูรที่กำลังหิวกระหายไม่เคยปล่อยผู้ใดให้รอดชีวิต มิหนำซ้ำยังคิดทำลายทั้งสามภพตามอำเภอใจ พวกเขาทั้งหมดจึงปิดปากเงียบและยืนหยัดปกป้องสำนักของตัวเองและชาวเมืองที่หลบเข้ามาพึ่งพิงจื่อเถิงนั่งสมาธิรวบรวมพลังบริสุทธิ์ที่หลั่งไหลอยู่ภายในหุบเขาซวนเหยาเพียงลำพัง ในใจร้อนรนจนอดทนเอาไว้ไม่ได้ทำให้สติแต
กงจื่อเย่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าทำถึงขั้นนี้แล้วเหตุใดจึงยังไม่เห็นจื่อเถิงปรากฏตัว ครั้นมองดูเซียนสำนักดาราสวรรค์ที่อยู่เบื้องล่างจึงได้เห็นสีหน้าโศกเศร้าระคนแค้นเจ้าสำนักเซียวและเซียนเยว่ฉีสัมผัสได้ว่าแก่นวิญญาณของลูกศิษย์ที่เคยวนเวียนอยู่ในสำนักแตกสลายไปเพราะน้ำมือของใคร แววตาทั้งสองคู่จ้องกลับจอมมารไม่เกรงกลัว“สวรรค์จะลงโทษเจ้า” เซียนเยว่ฉีโพล่งออกมา นางไม่คิดเลยว่าจอมมารผู้นี้จะร้ายกาจและชั่วช้าหยางซีอวิ๋นดับสูญตลอดกาลมิอาจฟื้นคืนกลับมาได้อีก“สวรรค์น่ะหรือจะลงโทษข้าได้” กงจื่อเย่แสยะยิ้ม “น่าเวทนายิ่งนัก พวกเจ้าคงไม่รู้อันใดว่าสวรรค์เวลานี้ถูกข้าทำลายเรียบเป็นหน้ากลอง”“เป็นไปไม่ได้” เจ้าสำนักเซียวไม่เชื่อสิ่งที่เขาเอ่ยปาก “มารอย่างเจ้าพูดโป้ปดเป็นอาจิณ เสแสร้งหลอกลวงผู้อื่น”“ไม่เห็นหรือว่าทำ
จื่อเถิงกลับมาที่สำนักดาราสวรรค์ ภาพทั้งหมดที่นางเห็นมีเพียงร่างไร้วิญญาณของศิษย์พี่ อาจารย์ ชาวบ้านนอนจมอยู่ในกองซากปรักหักพังนางพยายามประคองสติของตนเองเอาไว้แล้วสอดสายตาหาผู้รอดชีวิต ในใจนึกหวังว่าต้องมีคนที่นางช่วยได้สักคน“สวรรค์โปรดเมตตา ข้าขอร้อง” จื่อเถิงอธิษฐานอ้อนวอนน้ำตาเอ่อล้นด้วยความเจ็บปวดคนเหล่านั้นคือคนที่นางเติบโตมาพร้อมกันด้วยความรัก ความผูกพันและมิตรภาพ แต่เวลานี้กลับนอนแน่นิ่งไม่ขยับกาย ทั้งดวงตายังเบิกโพลง“ศิษย์พี่” จื่อเถิงวิ่งไปหาคนผู้หนึ่ง สัมผัสได้ว่าเขายังคงมีลมหายใจอยู่ จึงร่ายพลังรักษาประคองชีวิตต่อเพียงนิดก็ยังดี พิษบาดแผลบนร่างโชกเลือดไม่ทรมานเท่าพลังที่กงจื่อเย่ฝังไว้ในร่าง รอให้จื่อเถิงได้เห็นกับตาจึงยั้งมือไว้ชีวิตศิษย์ผู้นี้เอาไว้ก่อนที่จะบีบทำลายต่อหน้านางให้สาแก่ใจ“ศะ... ศิษย์พี่” นางนิ่งอ
จื่อเถิงชะงักงัน ร้องลั่นรีบวิ่งเข้ามาหาอิงฮวา แต่ถูกพลังมารของอีกฝ่ายซัดกระเด็นไปคนละทาง“ไม่นะ อิงฮวา” นางพยายามยันตัวลุกขึ้น “ศิษย์พี่จะรีบรักษาเจ้าเดี๋ยวนี้ อดทนก่อนนะอิงฮวา”“รักษาอันใดกัน ไม่เห็นหรือว่านางไม่หายใจแล้ว” จอมมารหัวเราะลั่น เอ่ยปากชมคนตรงหน้า “เวลานี้ภาพของเจ้าช่างงดงามมากทีเดียว แต่ช้าก่อน นางยังเหลือแก่นวิญญาณอยู่ตรงนี้นี่”จอมมารล้อเล่นกับความรู้สึกของนาง ยกมือข้างหนึ่งร่ายพลังมารดึงแก่นวิญญาณของอิงฮวาออกมาจากร่างไร้ลมหายใจ ยิ้มเจ้าเล่ห์กระตุ้นให้จื่อเถิงจิตใจบอบช้ำเท่านั้นยังคงไม่เพียงพอ จอมมารยังพรากแก่นวิญญาณของศิษย์และอาจารย์คนอื่น ๆ มาด้วย คิดจะทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้มีโชคชะตากำราบมารอย่างนางบางทีจื่อเถิงอาจจะเจ็บช้ำจนไม่คิดเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเขาอีกต่อไปความสะเทือนใจทำให้ผนึกเทพ
ชีวิตในชาติที่สองของเทพดารากำลังเริ่มต้นใหม่ หากโชคชะตาของนางในครานี้ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น นางจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดีท่ามกลางความรักของคนรอบตัว และเมื่อถึงวัยออกเรือนจะได้แต่งงานกับคนที่นางรักดังใจหมาย ครองคู่อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า ไม่มีเรื่องใดให้เศร้าเสียใจอย่างในชาติก่อนเช้าสดใสวันหนึ่งฤดูใบไม้ผลิผู้คนในจวนของท่านแม่ทัพกำลังวุ่นวายเดินเข้าเดินออกขวักไขว่เพราะอู๋ฮูหยินเจ็บท้องคลอดมาตั้งแต่หนึ่งชั่วยามที่ผ่านมาสีหน้าของเขากังวลเป็นห่วงฮูหยินของตนเองจนทำตัวไม่ถูก“แม่ทัพอู๋ใจเย็นก่อนเถิด” น้ำเสียงอบอุ่นของสตรีผู้หนึ่งกล่าวกับเขา นางเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวประหม่ากว่าผู้ใดเพราะนี่เป็นลูกคนแรกของเขากับสหายของนาง“ดูเข้าสิ สีหน้าท่าทาง ใครเห็นต้องไม่เชื่อแน่ว่าคนผู้นี้คือแม่ทัพใหญ่เมืองไท่หยาง” บุรุษน่าเกรงขามอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี ก่อนจะเดินมาตบไหล
นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ หลินซีเวยพยายามตามหาวิญญาณของสวีลู่ชิงมาโดยตลอด แต่กลับไม่เจอร่องรอยที่สาวถึงนางได้เลยจนกระทั่งวันหนึ่งที่ความรู้สึกนั้นชัดเจนยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา หลินซีเวยรีบไปที่จวนของแม่ทัพใหญ่ในทันทีพลันได้ยินเสียงของหมอกำลังบอกอาการพะอืดพะอมของอู๋ฮูหยิน“นางกำลังตั้งท้องขอรับ” หมอผู้นั้นบอกแม่ทัพใหญ่ “ข้าจะต้มสมุนไพรบำรุงครรภ์ไว้ให้ หากนางไม่อยากอาหาร อย่างน้อยก็ให้นางค่อย ๆ จิบยาลดอาการคลื่นไส้เถิด”“เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่ท่านพูดว่าอันใด” แม่ทัพใหญ่คิดว่าตนเองหูแว่ว “ฮูหยินของข้าท้องอย่างนั้นหรือ”“ขอรับ อู๋ฮูหยินกำลังตั้งครรภ์” หมอยืนยันหนักแน่นว่าอาการที่นางกำลังประสบอยู่เป็นอาการของคนแพ้ท้องไม่มีผิด “แม่ทัพใหญ่ ท่านใจเย็น ๆ ก่อนดีหรือไม่ นางไม่เป็นอันใดมากหรอก แค่แพ้ท้องตามประสาเท่านั้นเอง”“
เจ็ดปีผ่านไปเมืองไท่หยางจัดงานรื่นเริงเฉลิมฉลองประจำฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศระหว่างนี้จึงมีแต่ความสนุกสนานสดใส ใครต่อใครต่างรอคอยช่วงเวลาค่ำคืนเพื่อที่จะชมดอกไม้ไฟด้วยใจจดจ่ออู๋เยว่ชิงวัยเจ็ดขวบวิ่งหน้ายิ้มแป้นมาแต่ไกลร้องเรียกสหายคนสนิทที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน “องค์ชายเจ็ด คืนนี้ทรงมารอดูดอกไม้ไฟด้วยกันหรือไม่เพคะ”หลินมู่หลง หรือองค์ชายเจ็ด น้องชายต่างมารดาของหลินซีเวยผู้ที่เกิดก่อนนางไม่กี่เดือนกลายมาเป็นเพื่อนรักรุ่นเดียวกันตั้งแต่แรกเกิดเพราะมีนิสัยหลายอย่างคล้ายคลึงกัน“แน่นอนอยู่แล้ว ข้ารอเจ้ามาชวนอยู่พอดีเลย” เขายิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะยื่นขนมหวานที่นางชอบให้อย่างเป็นมิตร “ข้าแอบไปขอมาเพิ่มให้เจ้าเชียว รีบกินเร็วเข้า”“องค์ชายทรงเลี้ยงหม่อมฉันให้เป็นหมูอยู่หรือเพคะ” อู๋เยว่ชิงมองดวงตาสีน้ำตาล ท่าทีหยอกล้อทำให้เขาหัวเราะออกมา
ความสงบสุขเรียบง่ายหลายหมื่นปีของภพสวรรค์กำลังถูกสั่นคลอนเพราะมารตนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งเล็ก ๆ จากบ่อโคลนของความชั่วร้ายทั้งปวงจะหลอมรวมภัยอันตรายที่สามารถทำลายล้างสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นานภพมารแซ่ซ้องสรรเสริญผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ ยกขึ้นเป็นนายเหนือหัวที่จะกลายเป็นจอมมารปลดเปลื้องพันธะให้เหล่ามารปีศาจที่ถูกกักขังในหุบเหวดำมืด จบสิ้นการลงทัณฑ์อันยาวนานจากเทพบรรพกาลเสียงอึกทึกกึกก้องคำรามข่มขู่เหล่าเทพเซียนบนฟากฟ้าพร้อมบุกเข้าโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผู้คนในแดนศักดิ์สิทธิ์วุ่นวายโกลาหลเคราะห์ยังดีที่กองทัพสวรรค์เป่าแตรส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทันเวลา เหล่าเทพเซียนจึงผนึกกำลังป้องกันการรุกรานของทัพมารอย่างสุดความสามารถเทพสงครามนำทัพออกมาเผชิญหน้าปกป้องสรรพสิ่งไม่ให้แตกสลายจากมหันตภัยในครั้งนี้ กลยุทธ์มากมายที่เคยใช้กับจอมมารตนอื่นกลับไม่ได้ผลนักไพ่ตายที่ถูกวางไว้สามอย่างเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ หวังว่าจะหยุดความเลวร้ายทั้งหมดลงไปได้ก่อนที่จะมีความสูญเสียไปมากกว่านี้เวลานั้นโฉมหน้าของผู้นำทัพมารจึงปรากฏขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายและแววตาเย็
เจ็ดปีผ่านไปเมืองไท่หยางจัดงานรื่นเริงเฉลิมฉลองประจำฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศระหว่างนี้จึงมีแต่ความสนุกสนานสดใส ใครต่อใครต่างรอคอยช่วงเวลาค่ำคืนเพื่อที่จะชมดอกไม้ไฟด้วยใจจดจ่ออู๋เยว่ชิงวัยเจ็ดขวบวิ่งหน้ายิ้มแป้นมาแต่ไกลร้องเรียกสหายคนสนิทที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน “องค์ชายเจ็ด คืนนี้ทรงมารอดูดอกไม้ไฟด้วยกันหรือไม่เพคะ”หลินมู่หลง หรือองค์ชายเจ็ด น้องชายต่างมารดาของหลินซีเวยผู้ที่เกิดก่อนนางไม่กี่เดือนกลายมาเป็นเพื่อนรักรุ่นเดียวกันตั้งแต่แรกเกิดเพราะมีนิสัยหลายอย่างคล้ายคลึงกัน“แน่นอนอยู่แล้ว ข้ารอเจ้ามาชวนอยู่พอดีเลย” เขายิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะยื่นขนมหวานที่นางชอบให้อย่างเป็นมิตร “ข้าแอบไปขอมาเพิ่มให้เจ้าเชียว รีบกินเร็วเข้า”“องค์ชายทรงเลี้ยงหม่อมฉันให้เป็นหมูอยู่หรือเพคะ” อู๋เยว่ชิงมองดวงตาสีน้ำตาล ท่าทีหยอกล้อทำให้เขาหัวเราะออกมา
นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ หลินซีเวยพยายามตามหาวิญญาณของสวีลู่ชิงมาโดยตลอด แต่กลับไม่เจอร่องรอยที่สาวถึงนางได้เลยจนกระทั่งวันหนึ่งที่ความรู้สึกนั้นชัดเจนยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา หลินซีเวยรีบไปที่จวนของแม่ทัพใหญ่ในทันทีพลันได้ยินเสียงของหมอกำลังบอกอาการพะอืดพะอมของอู๋ฮูหยิน“นางกำลังตั้งท้องขอรับ” หมอผู้นั้นบอกแม่ทัพใหญ่ “ข้าจะต้มสมุนไพรบำรุงครรภ์ไว้ให้ หากนางไม่อยากอาหาร อย่างน้อยก็ให้นางค่อย ๆ จิบยาลดอาการคลื่นไส้เถิด”“เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่ท่านพูดว่าอันใด” แม่ทัพใหญ่คิดว่าตนเองหูแว่ว “ฮูหยินของข้าท้องอย่างนั้นหรือ”“ขอรับ อู๋ฮูหยินกำลังตั้งครรภ์” หมอยืนยันหนักแน่นว่าอาการที่นางกำลังประสบอยู่เป็นอาการของคนแพ้ท้องไม่มีผิด “แม่ทัพใหญ่ ท่านใจเย็น ๆ ก่อนดีหรือไม่ นางไม่เป็นอันใดมากหรอก แค่แพ้ท้องตามประสาเท่านั้นเอง”“
ชีวิตในชาติที่สองของเทพดารากำลังเริ่มต้นใหม่ หากโชคชะตาของนางในครานี้ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น นางจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดีท่ามกลางความรักของคนรอบตัว และเมื่อถึงวัยออกเรือนจะได้แต่งงานกับคนที่นางรักดังใจหมาย ครองคู่อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า ไม่มีเรื่องใดให้เศร้าเสียใจอย่างในชาติก่อนเช้าสดใสวันหนึ่งฤดูใบไม้ผลิผู้คนในจวนของท่านแม่ทัพกำลังวุ่นวายเดินเข้าเดินออกขวักไขว่เพราะอู๋ฮูหยินเจ็บท้องคลอดมาตั้งแต่หนึ่งชั่วยามที่ผ่านมาสีหน้าของเขากังวลเป็นห่วงฮูหยินของตนเองจนทำตัวไม่ถูก“แม่ทัพอู๋ใจเย็นก่อนเถิด” น้ำเสียงอบอุ่นของสตรีผู้หนึ่งกล่าวกับเขา นางเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวประหม่ากว่าผู้ใดเพราะนี่เป็นลูกคนแรกของเขากับสหายของนาง“ดูเข้าสิ สีหน้าท่าทาง ใครเห็นต้องไม่เชื่อแน่ว่าคนผู้นี้คือแม่ทัพใหญ่เมืองไท่หยาง” บุรุษน่าเกรงขามอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี ก่อนจะเดินมาตบไหล
จื่อเถิงชะงักงัน ร้องลั่นรีบวิ่งเข้ามาหาอิงฮวา แต่ถูกพลังมารของอีกฝ่ายซัดกระเด็นไปคนละทาง“ไม่นะ อิงฮวา” นางพยายามยันตัวลุกขึ้น “ศิษย์พี่จะรีบรักษาเจ้าเดี๋ยวนี้ อดทนก่อนนะอิงฮวา”“รักษาอันใดกัน ไม่เห็นหรือว่านางไม่หายใจแล้ว” จอมมารหัวเราะลั่น เอ่ยปากชมคนตรงหน้า “เวลานี้ภาพของเจ้าช่างงดงามมากทีเดียว แต่ช้าก่อน นางยังเหลือแก่นวิญญาณอยู่ตรงนี้นี่”จอมมารล้อเล่นกับความรู้สึกของนาง ยกมือข้างหนึ่งร่ายพลังมารดึงแก่นวิญญาณของอิงฮวาออกมาจากร่างไร้ลมหายใจ ยิ้มเจ้าเล่ห์กระตุ้นให้จื่อเถิงจิตใจบอบช้ำเท่านั้นยังคงไม่เพียงพอ จอมมารยังพรากแก่นวิญญาณของศิษย์และอาจารย์คนอื่น ๆ มาด้วย คิดจะทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้มีโชคชะตากำราบมารอย่างนางบางทีจื่อเถิงอาจจะเจ็บช้ำจนไม่คิดเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเขาอีกต่อไปความสะเทือนใจทำให้ผนึกเทพ
จื่อเถิงกลับมาที่สำนักดาราสวรรค์ ภาพทั้งหมดที่นางเห็นมีเพียงร่างไร้วิญญาณของศิษย์พี่ อาจารย์ ชาวบ้านนอนจมอยู่ในกองซากปรักหักพังนางพยายามประคองสติของตนเองเอาไว้แล้วสอดสายตาหาผู้รอดชีวิต ในใจนึกหวังว่าต้องมีคนที่นางช่วยได้สักคน“สวรรค์โปรดเมตตา ข้าขอร้อง” จื่อเถิงอธิษฐานอ้อนวอนน้ำตาเอ่อล้นด้วยความเจ็บปวดคนเหล่านั้นคือคนที่นางเติบโตมาพร้อมกันด้วยความรัก ความผูกพันและมิตรภาพ แต่เวลานี้กลับนอนแน่นิ่งไม่ขยับกาย ทั้งดวงตายังเบิกโพลง“ศิษย์พี่” จื่อเถิงวิ่งไปหาคนผู้หนึ่ง สัมผัสได้ว่าเขายังคงมีลมหายใจอยู่ จึงร่ายพลังรักษาประคองชีวิตต่อเพียงนิดก็ยังดี พิษบาดแผลบนร่างโชกเลือดไม่ทรมานเท่าพลังที่กงจื่อเย่ฝังไว้ในร่าง รอให้จื่อเถิงได้เห็นกับตาจึงยั้งมือไว้ชีวิตศิษย์ผู้นี้เอาไว้ก่อนที่จะบีบทำลายต่อหน้านางให้สาแก่ใจ“ศะ... ศิษย์พี่” นางนิ่งอ
กงจื่อเย่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าทำถึงขั้นนี้แล้วเหตุใดจึงยังไม่เห็นจื่อเถิงปรากฏตัว ครั้นมองดูเซียนสำนักดาราสวรรค์ที่อยู่เบื้องล่างจึงได้เห็นสีหน้าโศกเศร้าระคนแค้นเจ้าสำนักเซียวและเซียนเยว่ฉีสัมผัสได้ว่าแก่นวิญญาณของลูกศิษย์ที่เคยวนเวียนอยู่ในสำนักแตกสลายไปเพราะน้ำมือของใคร แววตาทั้งสองคู่จ้องกลับจอมมารไม่เกรงกลัว“สวรรค์จะลงโทษเจ้า” เซียนเยว่ฉีโพล่งออกมา นางไม่คิดเลยว่าจอมมารผู้นี้จะร้ายกาจและชั่วช้าหยางซีอวิ๋นดับสูญตลอดกาลมิอาจฟื้นคืนกลับมาได้อีก“สวรรค์น่ะหรือจะลงโทษข้าได้” กงจื่อเย่แสยะยิ้ม “น่าเวทนายิ่งนัก พวกเจ้าคงไม่รู้อันใดว่าสวรรค์เวลานี้ถูกข้าทำลายเรียบเป็นหน้ากลอง”“เป็นไปไม่ได้” เจ้าสำนักเซียวไม่เชื่อสิ่งที่เขาเอ่ยปาก “มารอย่างเจ้าพูดโป้ปดเป็นอาจิณ เสแสร้งหลอกลวงผู้อื่น”“ไม่เห็นหรือว่าทำ
เขาซวนเหยาจื่อเถิงพยายามตั้งสติของตนเองไม่ให้วอกแวกคิดสิ่งใดเพราะเวลานี้นางจะต้องรวบรวมเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตให้เสร็จสมบูรณ์โดยเร็วที่สุดเดิมทีชีวิตที่ยืนยาวจะค่อย ๆ หล่อหลอมเมล็ดพันธุ์นั้นตามกาลเวลาที่ร่วงโรยผ่านไป ทว่า จื่อเถิงไม่อาจรอช้าได้ในเมื่อทุกชีวิตที่เกี่ยวข้องกับนางกำลังเผชิญกับอันตรายนับไม่ถ้วนสำนักดาราสวรรค์ตกอยู่ในวงล้อมของทัพมารที่ค่อย ๆ บีบเจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์ให้เปิดเผยที่ซ่อนของจื่อเถิงโดยใช้ชีวิตของศิษย์ที่เหลืออยู่เป็นเครื่องต่อรองหากแต่ทุกคนรู้ดีว่าจอมมารโฉดร้ายและสัตว์อสูรที่กำลังหิวกระหายไม่เคยปล่อยผู้ใดให้รอดชีวิต มิหนำซ้ำยังคิดทำลายทั้งสามภพตามอำเภอใจ พวกเขาทั้งหมดจึงปิดปากเงียบและยืนหยัดปกป้องสำนักของตัวเองและชาวเมืองที่หลบเข้ามาพึ่งพิงจื่อเถิงนั่งสมาธิรวบรวมพลังบริสุทธิ์ที่หลั่งไหลอยู่ภายในหุบเขาซวนเหยาเพียงลำพัง ในใจร้อนรนจนอดทนเอาไว้ไม่ได้ทำให้สติแต
ความรู้สึกที่ถาโถมทำให้พลังเซียนที่ถูกจอมมารกดขี่เอาไว้แข็งแกร่งขึ้นมาในทันที สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนราวกับเป็นคนละคนคิดในใจด้วยความมุ่งมั่นว่าจะต้องพาพวกเขาหนีไปจากตรงนี้ให้ได้กงจื่อเย่สัมผัสได้ว่าพลังเซียนของนางกำลังต่อต้านเขาอย่างรุนแรงกว่าเดิมไม่อาจออมมือทำเป็นเล่นได้อีกต่อไปจึงหล่อหลอมพลังมารที่แท้จริงขึ้นมาเพื่อสังหารนางให้สิ้นซากทว่า จื่อเถิงคือผู้ที่เทพบรรพกาลเลือกเอาไว้ การทำลายนางจึงไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด สายพลังบริสุทธิ์สะท้อนกลับมาทำลายตัวเขาเองจนนิ่งงันไปชั่วขณะไอมารที่ควบคุมจื่อเถิงและอิงฮวาอยู่จึงอ่อนแอลงชั่วคราว ทำให้พวกเขาได้โอกาสโต้กลับร่ายพลังเซียนพุ่งเข้าใส่ลูกน้องจอมมารในพริบตาจนลอยกระเด็นไปคนละทางพลังกึ่งเทพของจื่อเถิงไม่อาจควบคุมได้เพราะจิตใจที่ไม่มั่นคงมันสะท้อนเข้าหาหยกสีชมพูที่อาจารย์เจ้าสำนักให้นางเอาไว้จื่อเถิงจึงรู้สึกตัวตั้งสติร่ายวิชาเคลื่อนย้ายโดยใช้พลังใ
ก่อนหน้านั้นหนึ่งชั่วยามหยางซีอวิ๋นเดินตรวจตราดูรอบเรือนรับรองจึงรู้สึกว่าทหารอารักขาของเจ้าเมืองยืนอยู่รายรอบจนผิดสังเกต ไม่ใช่เพื่อดูแลปกป้องแต่ทำเหมือนต้องการกักขังไม่ให้พวกเขาหนีไปที่ใดแม้แต่อิงฮวาก็รู้สึกได้เช่นกันว่าบรรยากาศที่เป็นมิตรเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกน่ากลัวเข้ามาแทนที่ นางขยับเข้ามาใกล้ศิษย์พี่บอกเขาว่า “ศิษย์พี่ ข้าคิดว่าคนพวกนั้นแปลก ๆ เจ้าค่ะ"ผู้เป็นศิษย์พี่พยักหน้าบอกให้นางหาช่องทางหนีเตรียมเอาไว้อย่างเงียบ ๆ ส่วนเขาจะไปปลุกจื่อเถิงแล้วหนีออกไปพร้อมกันแม้ว่ายามนี้จะมีฝนกระหน่ำเทลงมา“เจ้าค่ะ” นางพยักหน้าทำตามคำสั่งครั้นจะแยกตัวออกไปกลับได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากอีกฟากหนึ่งของประตูที่พวกเขายืนอยู่จึงกระชับอาวุธในมือค่อย ๆ ย่างกรายเข้าไปตรวจสอบตุ๊บ!!!เด็กน้อยคนหนึ่งร่วงตกจากขอบหน้าต่