แดนมนุษย์
หยางซีอวิ๋นประคองร่างบางของอิงฮวาไว้ข้างกาย มืออีกข้างที่เหลือกำด้ามกระบี่กวัดไกวสู้กับปีศาจสองสามตนที่กำลังล้อมหน้าล้อมหลัง
พวกมันเอื้อมมือสาวปลายผมยาวของอิงฮวาติดไปด้วยพลางยื้อหยุดฉุดกระชากตามใจหมายจะได้ดูดกลืนพลังชีวิตเซียนแสนบริสุทธิ์
“ศิษย์พี่ ปล่อยข้าไว้เถิด” อิงฮวาเอ่ยปากบอกเขา สีหน้าจริงจังเพราะรู้สึกว่ากำลังเป็นตัวถ่วงทำให้เขาเหาะเหินเดินไม่สะดวก
“ไม่ได้!” หยางซีอวิ๋นปฏิเสธทันควัน “หากไม่ได้เจ้าช่วยไว้เมื่อครู่ คงเป็นข้าที่ถูกพวกมันทำร้ายจนสาหัสเพียงนี้”
เช้าวันนี้ ทั้งสองคนเพียงแค่ออกมาตรวจดูลาดเลาพื้นที่ภายนอกเท่านั้นเพราะเห็นว่ามารปีศาจไม่สามารถเข้ามายังป่าสนแดงฝั่งตะวันออกได้
ทว่า ความสงบเงียบกลับกลายเป็นภาพลวงตาที่ปีศาจตนหนึ่งสร้างเอาไว้ ศิษย์สำนักดาราสวรรค์ถูกหลอกเข้าเต็มเปาจนเพลี่ยงพล้ำตกอยู่ในวงล้อมของพวกมัน
อิงฮวาตาไวเหลือบเห็นสัตว์อสูรปรากฏตัวลาง ๆ ด้านหลังของศิษย์พี่พยายามสะบัดหนามแหลมคมใส่เจ้าตัวจึงไม่รอช้าดึงร่างของเขาหลบมาอีกทางหนึ่ง แต่ตัวเองเกิดเสียหลักเพราะหลบปีศาจอีกตนจึงถูกหนามแหลมพวกนั้นปักร่างจนได้เลือด
นางทรุดตัวล้มลงด้วยความเจ็บปวด ไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะได้ฟื้นฟูพลังชีวิตของตัวเองกลับมาได้ไม่ถึงสิบส่วน มาวันนี้ถูกโจมตีจนร่างกายไร้เรี่ยวแรงอีกคราจึงทำให้นางคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถพอที่จะเดินร่วมทางกับศิษย์พี่ได้อีก รังแต่จะเป็นปัญหาให้ทั้งสองต้องคอยดูแล
หากแต่หยางซีอวิ๋นไม่ได้คิดเช่นนั้น เขามีหน้าที่ดูแลทั้งจื่อเถิงและอิงฮวา จึงไม่อาจปล่อยนางไปได้ “เป็นตายอย่างไร ข้าก็ต้องช่วยเจ้าให้ได้ อิงฮวา”
“ศิษย์พี่ เช่นนั้นตอนนี้เราคงกลับไปที่นั่นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วศิษย์พี่จื่อเถิงอาจตกอยู่ในอันตราย” อิงฮวาบอกเขา สายตามองรอบตัวเพื่อช่วยหาทางหลบหนี
แขนทั้งสองข้างของหยางซีอวิ๋นเริ่มอ่อนล้าเกิดเหน็บชาเพราะเลือดที่ไหลทิ้งมากเกินไป
เหตุการณ์ชุลมุนระหว่างเซียนและมารยืดเยื้ออยู่พักหนึ่ง พลันเกิดแสงสว่างวาบมายังจุดที่ทั้งสองคนยืนอยู่
จื่อเถิงถือกริชดาราอันเป็นอาวุธเทพประจำกายเขวี้ยงออกไปเป็นวงกลมพร้อมพลังเซียนขั้นสูงไล่ปีศาจรอบตัวให้แตกกระเจิง “ศิษย์พี่ อดทนไว้ก่อน”
ทั้งสองฝ่ายแบ่งรับแบ่งสู้ประเมินพลังจื่อเถิงที่เวลานี้เพิ่งจะบรรลุวิชาเซียนอีกหนึ่งขั้นเพราะเร่งหลอมรวมสรรพสิ่งในเมล็ดพันธุ์
พลังเซียนของนางเข้าขั้นกึ่งเทพจึงทำให้ปีศาจพวกนั้นไม่กล้าเข้าใกล้เกินสามจั้ง
ครั้นอิงฮวาสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองแล้ว นางจึงเรียกกระบี่เซียนออกมา สายตายังคงมองหาทางหนีเช่นเดิมเพราะรู้ว่าร่างกายของนางและหยางซีอวิ๋นคงอดทนไว้ได้อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยาม
ยิ่งปะทะกันมากเท่าใด จื่อเถิงยิ่งเรียกพลังดั้งเดิมของตนเองออกมามากเท่านั้น อักขระโบราณที่แขนของนางเริ่มปรากฏ ทำให้ปีศาจที่ยืนดูเหตุการณ์ได้ความคืบหน้ารายงานเจ้านายของตัวเองพลางนึกถึงของรางวัลที่มันจะได้หลังสิ้นสุดการต่อสู้ครั้งนี้
“ข้าหาเจอแล้ว” อิงฮวาตะโกนลั่น ส่งสัญญาณให้ศิษย์พี่ทั้งสอง ไม่รีรอร่ายพลังเซียนเฉพาะตัวของนางพาทุกคนเคลื่อนหายไปในหมอกสีขาวชั่วพริบตา
“เอ๊ะ!” ปีศาจตนนั้นกระหยิ่มยิ้มได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจเพราะเป้าหมายตรงหน้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งยังไม่ทิ้งเบาะแสใด ๆ ให้ตามหาอีก
ความหวังที่จะได้รางวัลแปรเปลี่ยนเป็นความกลัวขึ้นมาทันใด เมื่อครู่เพิ่งรายงานจอมมารไป หมายมั่นว่าจับนางไว้ได้แล้ว หากจอมมารโผล่หน้ามาเวลานี้คงจะเป็นตัวมันเองที่ถูกสังหารเพราะทำงานล้มเหลว
พรึ่บ!!!
ปีศาจภาพลวงตาสะดุ้งเฮือกสัมผัสได้ถึงพลังมารปีศาจที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเองหลายเท่าตัวอย่างเทียบไม่ติด สีหน้าของผู้มาใหม่คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบดี ๆ
“นะ นายท่าน...” เสียงของมันกลับจุกอยู่ที่ลำคอ พยายามเปล่งออกมาเท่าใดก็ดูจะแหบแห้ง
“นางอยู่ที่ใด” รอยยิ้มเยือกเย็นมองมาทางปีศาจตนนั้น ดวงตาสีม่วงแดงตั้งใจฟังคำตอบที่จะทำให้เขาพึงพอใจ
หากแต่เป้าหมายกลับหนีไปแล้วจึงไม่มีความน่ายินดีหลงเหลืออยู่
“นางหนีไปเมื่อครู่นี้เองขอรับ” เขาก้มหน้าลงหลบสายตา
กงจื่อเย่หัวเราะลั่น “หนีอีกแล้วหรือ” เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเขาทำให้ปีศาจตนนั้นนึกไปว่าเจ้านายคงจะไม่ถือโทษโกรธมันเท่าใดนักจึงทำทีหัวเราะตามกันไป
ทว่า กงจื่อเย่หุบยิ้มในทันที แววตาน่าสะพรึงเหลือบมองลูกน้องของตน พึมพำคนเดียวว่า “ไม่ได้ดั่งใจ”
“...”
พลังมารในมือทั้งสองข้างของเขาก่อตัว ปีศาจที่อยู่เบื้องล่างเข้าใจได้ในทันทีว่าจะเกิดอันใดขึ้นกับตนเองจึงไม่รอให้กงจื่อเย่ร่ายพลังจนจบ พวกมันแหวกธรณีมุดลงดินกลับภพมารในพริบตา
“เฮอะ” เขาแสยะยิ้ม “ชาตินี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแต่กลับหนีข้าเก่งเหลือเกิน” ในใจของเขาอยากพบนางยิ่งนัก อยากรู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจอมมารผู้ยิ่งใหญ่แล้ว นางจะทำตัวเช่นไร และจะหวาดกลัวเขาเหมือนกับพวกเทพเซียนในภพสวรรค์หรือไม่
อีกฟากหนึ่งในป่านอกเมืองเป่ย
จื่อเถิงค่อย ๆ วางร่างของหยางซีอวิ๋นกับอิงฮวาลงด้วยความทุลักทุเลก่อนจะนั่งข้างกันเพื่อร่ายวิชาเซียนรักษาอาการบาดเจ็บให้ทั้งคู่อย่างเร่งด่วน
แสงสีฟ้าขาวโอบล้อมรอบตัว ประกายระยิบระยับราวกับแสงดาราค่อย ๆ ลอยล่องเข้าร่างเซียนศิษย์สำนัก
พลังขั้นกึ่งเทพแตกต่างจากที่พวกเขาเคยสัมผัส อิงฮวาพลันรู้สึกตัวลืมตามองศิษย์พี่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึงเพราะตราเทพสวรรค์สีทองอร่ามปรากฏตรงกลางหน้าผากของนาง
ผ่านไปไม่นานนัก บาดแผลลึกบนร่างกายของหยางซีอวิ๋นเริ่มสมานจนแทบหายเป็นปลิดทิ้ง เขาจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงเล็กน้อย
“อิงฮวา!!!” ทันทีที่ได้สติก็ร้องเรียกศิษย์น้องเล็กด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าคะ” นางหันไปตอบเขาให้คลายกังวลใจ “ข้าอยู่นี่ ไม่เป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ”
ศิษย์พี่ผู้แบกภาระไว้บนบ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ พลันได้เห็นตราเทพสวรรค์บนหน้าผากจื่อเถิงเหมือนอย่างที่อิงฮวาเห็น
“ศิษย์พี่เป็นนางฟ้าตกจากสวรรค์หรือ” อิงฮวาถามเขา
“ไม่ใช่เช่นนั้น ในตำราเขียนไว้ว่าเทพเซียนจุติ” หยางซีอวิ๋นแก้คำเรียกให้ใหม่
หากแต่จื่อเถิงยังคงไม่รู้ตัวว่าคนทั้งสองได้สติแล้ว นางดำดิ่งลงไปในส่วนลึกที่ตนเองเป็นคนผนึกยามเป็นเทพดารา คลับคล้ายคลับคลาหลายสิ่งหลายอย่าง
“ศิษย์พี่” อิงฮวาเรียกน้ำเสียงแผ่วเบา
“...”
“ศิษย์พี่เจ้าคะ” นางเรียกอีกครั้งพลันแตะที่หลังมือ “พวกข้าไม่เป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ”
ครั้นจื่อเถิงลืมตาขึ้น ตราเทพสวรรค์จึงได้หายไป นางเอ่ยถามพวกเขา “เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บที่ใดอยู่หรือไม่”
หยางซีอวิ๋นส่ายหน้า “ต้องขอบใจเจ้า อาการบาดเจ็บจึงหายเร็วเช่นนี้”
จื่อเถิงเบ้ปากเพราะนึกถึงเหตุการณ์ที่พวกเขาเพิ่งผ่านพ้นมา “ข้าคิดว่าต้องเสียพวกเจ้าไปเสียแล้ว” น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าเพราะความกลัว “ข้าจะอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีพวกเจ้า คราหน้าอย่าคิดทิ้งข้าอีกนะ”
“...”
“ศิษย์สำนักดาราสวรรค์ ร่วมเป็นร่วมตายอยู่เคียงข้างกัน เหตุใดจึงไม่รักษาสัญญา” นางเอ่ยปากถามรู้สึกน้อยใจ
“เพราะเจ้าคือคนสำคัญ” หยางซีอวิ๋นย้ำเตือนนางให้เข้าใจหน้าที่ตนเอง
“ข้ารู้ แต่ว่า... หากวันนั้นเหลือเพียงข้าแค่ผู้เดียว จะสู้กับจอมมารได้อย่างไร” จื่อเถิงพูดตามที่รู้สึก “เขาจะปล่อยให้ข้ารอดไปได้หรือ”
เมื่อได้ยินศิษย์น้องพูดเช่นนั้น หยางซีอวิ๋นได้แต่ส่ายหน้าเพราะเขาเองก็ไม่รู้เลยว่าปลายทางของโชคชะตาจะเป็นอย่างไร จึงเอ่ยปลอบใจจื่อเถิงว่า “เช่นนั้นข้าจะพยายาม”“แล้วเจ้าเล่าอิงฮวา” จื่อเถิงถามศิษย์น้องบ้าง“ข้าก็จะพยายามเจ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับปากเป็นอย่างดีจู่ ๆ ท้องฟ้าโปร่งกลับมีเค้าเมฆฝนราวกับพายุลูกใหญ่กำลังจะพัดผ่านมาทางนี้ หยางซีอวิ๋นพูดขึ้นมาว่า “ไม่ไกลจากที่นี่คงเป็นเมืองเป่ย พวกเรารีบไปหาที่พักก่อนฝนตกจะดีกว่า”หนึ่งก้านธูปต่อมาครั้นเข้ามายังใจกลางเมืองเป่ย ทหารอารักขาหลายสิบนายต่างกรูกันเข้ามาทำความเคารพพวกเขาราวกับว่ารู้จักกันมาก่อน“เอ่อ... พวกท่าน...” จื่อเถิงทำตัวไม่ถูก มือไม้พันกันเป็นระวิง“ท่านเซียนสำนักดาราสวรรค์ใช่หรือไม่” หนึ่งในนั้นถามพวกเขาสีหน้
ก่อนหน้านั้นหนึ่งชั่วยามหยางซีอวิ๋นเดินตรวจตราดูรอบเรือนรับรองจึงรู้สึกว่าทหารอารักขาของเจ้าเมืองยืนอยู่รายรอบจนผิดสังเกต ไม่ใช่เพื่อดูแลปกป้องแต่ทำเหมือนต้องการกักขังไม่ให้พวกเขาหนีไปที่ใดแม้แต่อิงฮวาก็รู้สึกได้เช่นกันว่าบรรยากาศที่เป็นมิตรเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกน่ากลัวเข้ามาแทนที่ นางขยับเข้ามาใกล้ศิษย์พี่บอกเขาว่า “ศิษย์พี่ ข้าคิดว่าคนพวกนั้นแปลก ๆ เจ้าค่ะ"ผู้เป็นศิษย์พี่พยักหน้าบอกให้นางหาช่องทางหนีเตรียมเอาไว้อย่างเงียบ ๆ ส่วนเขาจะไปปลุกจื่อเถิงแล้วหนีออกไปพร้อมกันแม้ว่ายามนี้จะมีฝนกระหน่ำเทลงมา“เจ้าค่ะ” นางพยักหน้าทำตามคำสั่งครั้นจะแยกตัวออกไปกลับได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากอีกฟากหนึ่งของประตูที่พวกเขายืนอยู่จึงกระชับอาวุธในมือค่อย ๆ ย่างกรายเข้าไปตรวจสอบตุ๊บ!!!เด็กน้อยคนหนึ่งร่วงตกจากขอบหน้าต่
ความรู้สึกที่ถาโถมทำให้พลังเซียนที่ถูกจอมมารกดขี่เอาไว้แข็งแกร่งขึ้นมาในทันที สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนราวกับเป็นคนละคนคิดในใจด้วยความมุ่งมั่นว่าจะต้องพาพวกเขาหนีไปจากตรงนี้ให้ได้กงจื่อเย่สัมผัสได้ว่าพลังเซียนของนางกำลังต่อต้านเขาอย่างรุนแรงกว่าเดิมไม่อาจออมมือทำเป็นเล่นได้อีกต่อไปจึงหล่อหลอมพลังมารที่แท้จริงขึ้นมาเพื่อสังหารนางให้สิ้นซากทว่า จื่อเถิงคือผู้ที่เทพบรรพกาลเลือกเอาไว้ การทำลายนางจึงไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด สายพลังบริสุทธิ์สะท้อนกลับมาทำลายตัวเขาเองจนนิ่งงันไปชั่วขณะไอมารที่ควบคุมจื่อเถิงและอิงฮวาอยู่จึงอ่อนแอลงชั่วคราว ทำให้พวกเขาได้โอกาสโต้กลับร่ายพลังเซียนพุ่งเข้าใส่ลูกน้องจอมมารในพริบตาจนลอยกระเด็นไปคนละทางพลังกึ่งเทพของจื่อเถิงไม่อาจควบคุมได้เพราะจิตใจที่ไม่มั่นคงมันสะท้อนเข้าหาหยกสีชมพูที่อาจารย์เจ้าสำนักให้นางเอาไว้จื่อเถิงจึงรู้สึกตัวตั้งสติร่ายวิชาเคลื่อนย้ายโดยใช้พลังใ
เขาซวนเหยาจื่อเถิงพยายามตั้งสติของตนเองไม่ให้วอกแวกคิดสิ่งใดเพราะเวลานี้นางจะต้องรวบรวมเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตให้เสร็จสมบูรณ์โดยเร็วที่สุดเดิมทีชีวิตที่ยืนยาวจะค่อย ๆ หล่อหลอมเมล็ดพันธุ์นั้นตามกาลเวลาที่ร่วงโรยผ่านไป ทว่า จื่อเถิงไม่อาจรอช้าได้ในเมื่อทุกชีวิตที่เกี่ยวข้องกับนางกำลังเผชิญกับอันตรายนับไม่ถ้วนสำนักดาราสวรรค์ตกอยู่ในวงล้อมของทัพมารที่ค่อย ๆ บีบเจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์ให้เปิดเผยที่ซ่อนของจื่อเถิงโดยใช้ชีวิตของศิษย์ที่เหลืออยู่เป็นเครื่องต่อรองหากแต่ทุกคนรู้ดีว่าจอมมารโฉดร้ายและสัตว์อสูรที่กำลังหิวกระหายไม่เคยปล่อยผู้ใดให้รอดชีวิต มิหนำซ้ำยังคิดทำลายทั้งสามภพตามอำเภอใจ พวกเขาทั้งหมดจึงปิดปากเงียบและยืนหยัดปกป้องสำนักของตัวเองและชาวเมืองที่หลบเข้ามาพึ่งพิงจื่อเถิงนั่งสมาธิรวบรวมพลังบริสุทธิ์ที่หลั่งไหลอยู่ภายในหุบเขาซวนเหยาเพียงลำพัง ในใจร้อนรนจนอดทนเอาไว้ไม่ได้ทำให้สติแต
กงจื่อเย่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าทำถึงขั้นนี้แล้วเหตุใดจึงยังไม่เห็นจื่อเถิงปรากฏตัว ครั้นมองดูเซียนสำนักดาราสวรรค์ที่อยู่เบื้องล่างจึงได้เห็นสีหน้าโศกเศร้าระคนแค้นเจ้าสำนักเซียวและเซียนเยว่ฉีสัมผัสได้ว่าแก่นวิญญาณของลูกศิษย์ที่เคยวนเวียนอยู่ในสำนักแตกสลายไปเพราะน้ำมือของใคร แววตาทั้งสองคู่จ้องกลับจอมมารไม่เกรงกลัว“สวรรค์จะลงโทษเจ้า” เซียนเยว่ฉีโพล่งออกมา นางไม่คิดเลยว่าจอมมารผู้นี้จะร้ายกาจและชั่วช้าหยางซีอวิ๋นดับสูญตลอดกาลมิอาจฟื้นคืนกลับมาได้อีก“สวรรค์น่ะหรือจะลงโทษข้าได้” กงจื่อเย่แสยะยิ้ม “น่าเวทนายิ่งนัก พวกเจ้าคงไม่รู้อันใดว่าสวรรค์เวลานี้ถูกข้าทำลายเรียบเป็นหน้ากลอง”“เป็นไปไม่ได้” เจ้าสำนักเซียวไม่เชื่อสิ่งที่เขาเอ่ยปาก “มารอย่างเจ้าพูดโป้ปดเป็นอาจิณ เสแสร้งหลอกลวงผู้อื่น”“ไม่เห็นหรือว่าทำ
จื่อเถิงกลับมาที่สำนักดาราสวรรค์ ภาพทั้งหมดที่นางเห็นมีเพียงร่างไร้วิญญาณของศิษย์พี่ อาจารย์ ชาวบ้านนอนจมอยู่ในกองซากปรักหักพังนางพยายามประคองสติของตนเองเอาไว้แล้วสอดสายตาหาผู้รอดชีวิต ในใจนึกหวังว่าต้องมีคนที่นางช่วยได้สักคน“สวรรค์โปรดเมตตา ข้าขอร้อง” จื่อเถิงอธิษฐานอ้อนวอนน้ำตาเอ่อล้นด้วยความเจ็บปวดคนเหล่านั้นคือคนที่นางเติบโตมาพร้อมกันด้วยความรัก ความผูกพันและมิตรภาพ แต่เวลานี้กลับนอนแน่นิ่งไม่ขยับกาย ทั้งดวงตายังเบิกโพลง“ศิษย์พี่” จื่อเถิงวิ่งไปหาคนผู้หนึ่ง สัมผัสได้ว่าเขายังคงมีลมหายใจอยู่ จึงร่ายพลังรักษาประคองชีวิตต่อเพียงนิดก็ยังดี พิษบาดแผลบนร่างโชกเลือดไม่ทรมานเท่าพลังที่กงจื่อเย่ฝังไว้ในร่าง รอให้จื่อเถิงได้เห็นกับตาจึงยั้งมือไว้ชีวิตศิษย์ผู้นี้เอาไว้ก่อนที่จะบีบทำลายต่อหน้านางให้สาแก่ใจ“ศะ... ศิษย์พี่” นางนิ่งอ
จื่อเถิงชะงักงัน ร้องลั่นรีบวิ่งเข้ามาหาอิงฮวา แต่ถูกพลังมารของอีกฝ่ายซัดกระเด็นไปคนละทาง“ไม่นะ อิงฮวา” นางพยายามยันตัวลุกขึ้น “ศิษย์พี่จะรีบรักษาเจ้าเดี๋ยวนี้ อดทนก่อนนะอิงฮวา”“รักษาอันใดกัน ไม่เห็นหรือว่านางไม่หายใจแล้ว” จอมมารหัวเราะลั่น เอ่ยปากชมคนตรงหน้า “เวลานี้ภาพของเจ้าช่างงดงามมากทีเดียว แต่ช้าก่อน นางยังเหลือแก่นวิญญาณอยู่ตรงนี้นี่”จอมมารล้อเล่นกับความรู้สึกของนาง ยกมือข้างหนึ่งร่ายพลังมารดึงแก่นวิญญาณของอิงฮวาออกมาจากร่างไร้ลมหายใจ ยิ้มเจ้าเล่ห์กระตุ้นให้จื่อเถิงจิตใจบอบช้ำเท่านั้นยังคงไม่เพียงพอ จอมมารยังพรากแก่นวิญญาณของศิษย์และอาจารย์คนอื่น ๆ มาด้วย คิดจะทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้มีโชคชะตากำราบมารอย่างนางบางทีจื่อเถิงอาจจะเจ็บช้ำจนไม่คิดเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเขาอีกต่อไปความสะเทือนใจทำให้ผนึกเทพ
ชีวิตในชาติที่สองของเทพดารากำลังเริ่มต้นใหม่ หากโชคชะตาของนางในครานี้ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น นางจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดีท่ามกลางความรักของคนรอบตัว และเมื่อถึงวัยออกเรือนจะได้แต่งงานกับคนที่นางรักดังใจหมาย ครองคู่อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า ไม่มีเรื่องใดให้เศร้าเสียใจอย่างในชาติก่อนเช้าสดใสวันหนึ่งฤดูใบไม้ผลิผู้คนในจวนของท่านแม่ทัพกำลังวุ่นวายเดินเข้าเดินออกขวักไขว่เพราะอู๋ฮูหยินเจ็บท้องคลอดมาตั้งแต่หนึ่งชั่วยามที่ผ่านมาสีหน้าของเขากังวลเป็นห่วงฮูหยินของตนเองจนทำตัวไม่ถูก“แม่ทัพอู๋ใจเย็นก่อนเถิด” น้ำเสียงอบอุ่นของสตรีผู้หนึ่งกล่าวกับเขา นางเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวประหม่ากว่าผู้ใดเพราะนี่เป็นลูกคนแรกของเขากับสหายของนาง“ดูเข้าสิ สีหน้าท่าทาง ใครเห็นต้องไม่เชื่อแน่ว่าคนผู้นี้คือแม่ทัพใหญ่เมืองไท่หยาง” บุรุษน่าเกรงขามอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี ก่อนจะเดินมาตบไหล
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อนกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไรสวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิดเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้าจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)“...” เทพวายุ
สองอาทิตย์ต่อมาสมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผลจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง&l
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง