“ครับแม่” เราจะผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ ผมสัญญา....มันจะต้องได้ชดใช้ให้กับครอบครัวของเราอย่างสาสม"
หัสนัยน์เขาต้องรับหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัวทันทีหลังจากพ่อของเขาจากไป ทิ้งหนี้สินกว่า 20 ล้านบาทให้เขาและครอบครัวต้องเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้าย
หัสนัยน์หนุ่มวัย 29 ปี สูงโปร่งด้วยความสูงประมาณ 180-190 เซนติเมตร ผิวขาวเนียน รูปร่างสมาร์ต ใบหน้าหล่อคม จมูกโด่งสันคมชัดเหมือนรูปสลัก มีเคราบาง ๆ แลดูมีเสน่ห์ บวกกับมีบุคลิกที่ดูมั่นใจ ดีกรีการศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ
ด้วยความเก่งและมุ่งมั่นของเขาจึงเป็นที่จับตามองในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ความรู้ที่เขาได้เรียนรู้มาผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และความกล้าหาญ ทำให้เขากล้าตัดสินใจ ใช้เงินก้อนสุดท้ายตั้งบริษัทเล็กๆ เป็นของตัวเอง แม้จะเป็นการเริ่มต้นที่เสี่ยง แต่ในเวลาเพียง 3 ปี เขาก็สามารถสร้างรายได้มากพอที่จะใช้หนี้ให้กับครอบครัวได้กว่าครึ่ง
ในค่ำคืนหนึ่งที่ดวงดาวบนฟ้าทอแสงริบหรี่เหนือหลังคาบ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กลางชุมชนเรียบง่าย หัสนัยน์นั่งอยู่ในห้องทำงานของเขา แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ส่องใบหน้าเขาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เสียงคลิกเมาส์ดังสลับกับเสียงถอนหายใจยาวที่บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า
“อีกแค่นิดเดียว... อีกแค่ก้าวเดียว” เขาคิดในใจ มือที่กุมแก้วกาแฟที่เริ่มเย็นเฉียบกำแน่นก่อนจะวางลงบนโต๊ะ
ในอีกมุมของบ้าน พราวฟ้า น้องสาวคนเล็ก หญิงสาววัย 24 ปี เธอมีหน้าตาน่ารัก ผิวขาวผมยาว จมูกโด่งได้รูป ปลายจมูกเล็ก บางสีชมพูระเรื่อ ดูมีเสน่ห์ไม่แพ้พี่ชาย
เธอกำลังนั่งจัดเอกสารการประชุมอย่างขะมักเขม้น แต่สายตาของเธอก็เหลือบมองไปยังพี่ชายเป็นระยะ เธอเห็นทุกความเหนื่อยยากที่พี่ชายต้องเผชิญ เมื่อเขาปิดคอมพิวเตอร์และถอนหายใจยาว พราวฟ้าก็ลุกขึ้น เดินเข้ามาหา พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
“พี่เหนื่อยไหมคะ?” เธอถาม น้ำเสียงอ่อนโยน
“เหนื่อยสิ” เขาตอบพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ แต่ในดวงตาของเขาไม่มีแววของการยอมแพ้
“หนูภูมิใจในตัวพี่ชายของหนูที่สุด”
พราวฟ้าพูดขึ้น น้ำเสียงใสบริสุทธิ์ เธอกระโจนเข้าสวมกอดเขาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู หัสนัยน์ยิ้มกว้างขึ้น เขายกมือลูบหัวน้องสาวอย่างแผ่วเบา
“พี่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวของเรา”
น้ำเสียงเขามั่นคงแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน
“ขอบคุณนะคะพี่ชาย” พราวฟ้ากอดแน่นขึ้น
ในหัวใจของหัสนัยน์ เขานึกถึงความทรงจำในวัยเด็กที่มีพ่อคอยดูแลและให้กำลังใจ หากพ่อยังอยู่ ครอบครัวของพวกเขาคงเต็มไปด้วยความสุขมากกว่านี้
เช้าวันรุ่งขึ้น...
“ฟ้า... นัยน์ มาทานข้าวเช้าได้แล้วลูก วันนี้แม่ทำสุดฝีมือเลย”
เสียงศรีสุภาเรียกลูกๆ ของเธอให้มาทานอาหารเช้า วันนี้เธอทำข้าวต้มกุ้งและขนมปังหน้าหมู ของโปรดในวัยเด็กของทั้งสองคน
“น่าทานมากเลยค่ะแม่... หนูทานเลยนะ” พราวฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนหยิบขนมปังหน้าหมูเข้าปากทันที
“เคยมีสักครั้งไหมที่จะรอพี่”
หัสนัยน์บ่นพึมพำเบาๆ พลางมองน้องสาวที่ทำตัวเหมือนเด็ก พราวฟ้าเพียงส่ายหน้าไปมาและหัวเราะเยาะพี่ชายอย่างขบขัน
ศรีสุภามองดูลูกๆ ด้วยสายตาเปี่ยมสุข แต่อดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงสามีผู้ล่วงลับ ใบหน้าของเธอพลันเศร้าหมองลง หัสนัยน์ซึ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของแม่ จึงลูบมือแม่เบาๆ อย่างอ่อนโยน ราวกับจะปลอบใจไม่ให้คิดมาก
“แม่ครับ...”
หัสนัยน์เอ่ยขึ้นเบาๆ เพื่อเรียกสติแม่กลับมา ศรีสุภาเงยหน้าขึ้นมองลูกชายคนโต ก่อนจะยิ้มและพยักหน้าเบาๆ แสดงให้เห็นว่าเธอเข้าใจความห่วงใยของเขา
“ผมไปทำงานก่อนนะครับแม่...”
หัสนัยน์ยกมือไหว้แม่ตามปกติ ก่อนโน้มตัวกอดแม่เบา ๆ เช่นทุกเช้าที่เขาทำเป็นประจำ
“โหย...ลูกรัก”
พราวฟ้าพูดขึ้นพร้อมทำเสียงล้อเลียนพี่ชาย แต่ไม่วายถูกหัสนัยน์ยิ้มเยาะกลับ พร้อมเลิกคิ้วใส่เธออย่างเหนือกว่า
พราวฟ้าส่ายหน้าเล็กน้อยพลางหัวเราะ ขณะที่ศรีสุภายิ้มอย่างเอ็นดูลูกทั้งสอง แม้จะล้อกันเหมือนเด็ก ๆ แต่ก็แสดงถึงความรักที่มีต่อกันในทุกวัน
ค่ำคืนหนึ่ง
หลังจากที่หัสนัยน์กลับบริษัท เขารู้สึกเหนื่อยและเครียด มากเพราะบริษัทเขาเกิดปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งเขานั่งมองกองเอกสารหนี้สินบนโต๊ะทำงานของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะชดใช้ไปกว่าครึ่ง แต่ความแค้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาอยู่
"ทำไม... ทำไมมันต้องทำกับพ่อแบบนี้..." เสียงเขาแผ่วเบา ดวงตาสั่นไหวด้วยความโกรธที่กัดกินหัวใจของเขา
"เพราะนาย นิคม..."
หัสนัยน์นั่งกุมขมับ สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสนและโกรธแค้น ภาพความทรงจำในอดีตที่พ่อของเขาเคยยิ้มอย่างภาคภูมิใจในวันที่เปิดบริษัทกับเพื่อนรักยังติดตรึงอยู่ในหัวใจ
“เพื่อนรักของพ่อเหรอ?”
เสียงเขาแตกพร่า ราวกับคำพูดทุกคำที่เปล่งออกมาคือหนามที่ตำหัวใจตัวเอง เขาหันมามองรูปถ่ายของพ่อในกรอบไม้เก่า ใบหน้าของพ่อในภาพยิ้มอบอุ่น ทว่าความจริงที่เขารู้กลับแหลมคมเหมือนมีดที่กรีดลึกลงไปในความทรงจำ
“คนที่พ่อเชื่อใจจนยอมลงร่วมทุนเป็นหุ้นส่วนบริษัท?”
เสียงของเขาดังขึ้น น้ำเสียงหนักแน่นและเต็มไปด้วยความคับแค้น เขาหยิบรูปถ่ายขึ้นมาแนบอก ราวกับต้องการยึดพ่อกลับมาจากอดีต
“แล้วดูสิ่งที่มันทำ!”
เขาทุบโต๊ะดังปังจนกระดาษที่กองอยู่กระจัดกระจาย น้ำตาแห่งความคับแค้นไหลอาบแก้ม แต่เขาไม่คิดเช็ดมัน ความรู้สึกที่ท่วมท้นเกินกว่าจะเก็บกดไว้ได้
“มันโกงทุกอย่าง โกงทั้งเงิน โกงทั้งชีวิตพ่อไปหมด!”
เขาหายใจหอบ แรงโกรธทำให้มือสั่น ภาพความทรงจำในวันนั้นยังสดใหม่ในหัวของเขา วันที่พ่อเดินกลับบ้านด้วยใบหน้าหม่นหมอง ราวกับถูกดูดกลืนความหวังทั้งหมดไป
“พ่อไม่เคยเป็นคนอ่อนแอเลย... แต่วันนั้น ผมเห็นแววตาของพ่อที่ไม่มีแสงเหลืออยู่แล้ว”
หัสนัยน์กระซิบ น้ำเสียงเจือปนด้วยความเจ็บปวด เขาคิดถึงคืนที่ได้ยินเสียงปืนลั่นในห้องของพ่อ เสียงที่ตัดขาดทุกสิ่ง
เขาเคยถามตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนว่า “ทำไมพ่อถึงต้องตาย?”
แต่คำตอบก็ยังเป็นเพียงความเงียบงันที่กัดกร่อนหัวใจของเขาเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ขัดจังหวะความคิด เขากดรับสาย
"หัสนัยน์... นี่พี่เอง"
เสียงปลายสายเป็นของพี่สาวที่ลูกของลุง
"พี่ได้ยินมาว่านายนิคมตอนนี้กำลังจะเปิดบริษัทใหม่ ได้ข่าวว่าร่ำรวยมาก ชีวิตช่างดีเสียจริงเลยนะ"
"อะไรนะ!" หัสนัยน์กัดฟัน
"คนที่โกงพ่อจนต้องฆ่าตัวตาย แล้วมันยังมีชีวิตอยู่สุขสบายงั้นเหรอ? ...ไม่มีทาง...ผมนี่แหละจะทำให้พวกมันรู้รสของความเจ็บปวดบ้าง"
"นัยน์...อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ เราต้องอดทน เดี๋ยวเวรกรรมจะจัดการมันเอง"
พี่สาวพยายามเตือน
“ผมรอเวรกรรมมา 3 ปีแล้ว…ยังไม่เห็นมันจะทำงานเลย”
ในหัวของหัสนัยน์ มีเพียงความคิดเดียว... เขาจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่าย ๆ ได้อย่างไร แค้นนี้ต้องถึงเวลาชำระเสียที
หลังจากได้ยินข่าวเกี่ยวกับนายนิคม หัสนัยน์ไม่อาจระงับความโกรธที่เอ่อล้นอยู่ในอกได้ เขาใช้เวลาทั้งคืนค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทใหม่ของนายนิคม รวมถึงครอบครัวของเขา โดยเฉพาะลูกสาวคนเดียวที่ดูเหมือนจะเป็นจุดอ่อนของชายผู้เคยหักหลังพ่อเขา
"ณัฐชา..."
หัสนัยน์พึมพำชื่อของลูกสาวนายนิคมเบา ๆ ขณะจ้องมองภาพถ่ายของเธอในโซเชียลมีเดีย ดวงตาที่ทอดมองเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“เสียดาย... ครั้งหนึ่งพี่เคยรักเธอมาก แต่เธอไม่น่าเกิดมาเป็นลูกสาวของศัตรูพี่เลย”
เสียงพึมพำของเขาแฝงความขมขื่นและความเสียดาย
ภาพอดีตในวัยเด็กผุดขึ้นในความคิด ทั้งสองเคยสนิทกันอย่างมาก เคยออกไปเที่ยวเล่น ดูหนังฟังเพลงด้วยกัน ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ
ความทรงจำเหล่านั้นชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน เพราะในตอนนั้น ครอบครัวของพวกเขายังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พ่อของทั้งสองฝ่ายเคยมั่นหมายให้หัสนัยน์คู่กับณัฐชา และณัฐพลน้องชายของเธอคู่กับพราวฟ้า น้องสาวของเขา
แต่เมื่อเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น การเสียชีวิตของพ่อเขาเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง ความหวังที่เคยวาดไว้ถูกพัดหายไปเหมือนเศษฝุ่นในสายลม ความสัมพันธ์ที่เคยอบอุ่นกลายเป็นความบาดหมางลึกฝัง ความมั่นหมายระหว่างสองครอบครัวถูกยกเลิกโดยปริยาย ทิ้งไว้เพียงความทรงจำและความขมขื่นที่ไม่อาจลบเลือนได้
หัสนัยน์หลับตาลง ถอนหายใจยาว ปล่อยความคิดนั้นให้ล่องลอยไป แม้เขาจะพยายามปิดใจจากอดีต แต่ชื่อของณัฐชาก็ยังคงก้องอยู่ในหัวใจเสมอมา...
บ้านณัฐชา...ในบ้านหลังใหญ่สองชั้นที่แสนเงียบสงบ ห้องรับแขกกว้างขวางอบอุ่นด้วยแสงแดดอ่อนที่สาดลอดหน้าต่างเข้ามา อาคม ชายวัย 60 ปีนั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดมือหนึ่งถือแก้วกาแฟอุ่น ๆ อีกมือวางอยู่บนเข่าพลางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างดวงตาเขาเปี่ยมไปด้วยความคิดคำนึง ย้อนนึกถึงวันวานและเพื่อนรักผู้ล่วงลับ ความทรงจำยังชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน เขาจำได้ทุกคำพูด ทุกเสียงหัวเราะ และทุกช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันกับเพื่อนคนนั้นเพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ จนถึงวันนี้ก็ครบรอบสามปีพอดีที่เพื่อนรักของเขาลาจากโลกนี้ไปขณะที่อาคมกำลังจมอยู่ในห้วงอดีตหัวใจของเขาเต็มไปด้วยทั้งความคิดถึงและความว่างเปล่า เสียงเรียกเบา ๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ขัดจังหวะความคิดของเขา“พ่อค่ะ...” ณัฐชา...หญิงสาวในวัย 25 กว่า ๆ หน้ารูปไข่ได้รูป ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงตากลมโตแฝงเสน่ห์ดึงดูด ราวกับมีแสงดาวสะท้อนในแววตา จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่ม มีสีชมพูเหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้มผมยาวสลวยเงางาม ดุจเส้นไหม เธอมีรูปร่างอรชร เป็นที่ฮือฮาของหนุ่มๆ เธอเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง และกำลังจะเข้าไปเรียนรู้งานในบริษัทใหม่ของ
หัสนัยน์เริ่มวางแผนอย่างแยบยลเพื่อเข้าใกล้ณัฐชา เขาตระหนักว่าการทำลายนายนิคมไม่ใช่แค่เรื่องเงินทองเท่านั้น แต่เป็นการทลายทุกสิ่งที่เขาหวงแหน นี่สิที่จะทำให้นายนิคมทรมารเหมือนตกนรกที่จอดรถคอนโดณัฐชาสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านช่องตึกในยามค่ำคืน สร้างบรรยากาศอันน่าวังเวง หัสนัยน์ยืนพิงรถยนต์สีดำสนิทที่จอดนิ่งอยู่ในลานจอดรถของคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านในเมืองเขายืนที่นี่มาสักพักใหญ่ ๆ ในใจเขาแฝงไปด้วยไฟแค้นที่ไม่อาจดับได้ แสงไฟส่องกระทบไปยังตัวเขา เผยให้เห็นสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาเย็นชา ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นไม่นานนัก รถยนต์อีกคันแล่นเข้ามาก่อนจะจอดที่ตำแหน่งใกล้เคียงเอี๊ยด!เสียงประตูรถถูกเปิดดัง แอ๊ด เผยให้เห็นเงาหญิงสาว รองเท้าส้นสูงของเธอสัมผัสพื้นปูน ดังกึก.. กึก.. ก่อนที่ประตูจะถูกปิดดัง ปัง!เธอหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ท่ามกลางความเงียบงัน หัสนัยน์ขยับตัวไปข้างหน้า เปิดประตูรถของเขา และฉุดเธอขึ้นไปอย่างรวดเร็ว“ช่วยด้วย”“คุณจะทำอะไร! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงของเธอสั่นเครือด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เธอพยายามดิ้นรนสุดกำลัง เพื่อหลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่าหวาดกลัว แ
เวลานี้ดึกมากแล้ว ณัฐชาสูญเสียพลังงานจากการทำงานทั้งวัน เธอหิวและง่วงมากจนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหลับไปในทุกๆ นาทีร่างกายเหนื่อยล้า แต่ความคิดถึงอาหารยังคงรบกวนสมอง เธอทานขนมชิ้นเดียวตอนกลางวัน และมันไม่อาจเติมเต็มความหิวได้เลย"ฉันหิวมาก...เราหาอะไรทานก่อนได้ไหมคะ" เสียงของเธอดังขึ้นอย่างเบาๆ แต่ในนั้นก็มีความออดอ้อนเล็กน้อย เหมือนจะคอยทวงความเอาใจใส่จากเขาแต่คำพูดของเธอก็หายไปในอากาศที่เย็นและเงียบสงบ เขายังคงเงียบ ไม่ตอบอะไรเขาเอื้อมมือไปข้างหลังเบาะรถหยิบขนมปังออกมาจากกระเป๋า แล้วมันก็ถูกโยนลงบนตักของเธออย่างไม่แยแส"เอ้านี่...กินสะ;" เสียงเขาห้วน ๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คำสั่งที่มาจากความโกรธ หรือความไม่พอใจจริงๆ มากนัก เธอมองขนมปังที่อยู่บนตัก รู้สึกเหมือนมันเป็นสัญลักษณ์ของความปรานีที่เขามอบให้แม้คำพูดของเขาจะไม่สุภาพนัก แต่มันก็ช่วยให้เธอรู้สึกว่าความใจร้ายของเขาไม่ได้ครอบงำเขาไปทั้งหมดเธอยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยน มันเป็นรอยยิ้มที่สะท้อนความรู้สึกขอบคุณที่เธอไม่อยากให้เขาเห็น แต่เธอก็พูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยประชด"ขอบคุณค่ะ... ที่ยังปรานีฉัน"แต่ทันทีที่พูดจบ เขา
บ้านไม้กลางป่าภาคเหนือเวลา 02.30 น. รถหยุดนิ่งที่ลานกว้างของบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่ง ล้อมรอบด้วยความมืดสนิท มีเพียงเสียงจิ้งหรีดและลมพัดใบไม้ที่ให้บรรยากาศชวนสะพรึงหัสนัยน์เปิดประตูรถก่อนจะเดินอ้อมมาด้านข้างเพื่อเปิดประตูรถและปลุกณัฐชาให้ตื่นทันที เสียงของเขาทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที"ลงมา" เขาสั่งเสียงเรียบ แต่หนักแน่นเธอลังเล...แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก ขณะก้าวลงจากรถ ความหนาวเย็นของลมกลางคืนทำให้เธอตัวสั่น มือของเขาจับต้นแขนเธอไว้แน่นเหมือนจะย้ำว่าเธอหนีไม่พ้นเนื้อมือเขาแน่นอนเขาลากเธอไปยังประตูบ้านพัก แสงไฟสลัวจากดวงไฟเก่าๆ ที่ติดอยู่หน้าบ้านเผยให้เห็นบ้านหลังใหญ่ที่เหมือนถูกทอดทิ้งมานาน แต่บ้านเหมือนพึ่งผ่านการทำความสะอาด พื้นไม้ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปข้างใน พาเธอเข้าไปในห้องนอนในห้องที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหอบหายใจของณัฐชาที่สั่นไหว ร่างกายของเธอแทบไร้เรี่ยวแรงหลังจากที่เขาผลักเธออย่างแรง เธอเซถลาไปข้างหน้าร่างบอบบางแทบจะปลิวตามแรงเหวี่ยง หากไม่ใช่เพราะเตียงนุ่ม ๆ คอยรับไว้ เธอคงลงไปกองกับพื้นอย่างน่าสังเวชดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้าง สั่นสะท้านด้
“เลิกร้องไห้สักที... รำคาญ” เขาพูดลมหายใจอุ่นร้อนรดต้นคอ ของเธอ เธอมองค้อนไปที่เขา และดึงผ้าห่มมาพันร่างกายเพื่อปิดบังเรือนร่าง แล้วลุกขึ้นทันที“โอ๊ย!” เธอเกือบล้มลงเพราะรู้สึกเจ็บหน่วงท้องน้อยอย่างรุนแรง ทำให้แทบจะทรงตัวไม่ได้ เขาตกใจมากที่เห็นเธอมีอาการแบบนี้“ณัฐชา... เป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหน” เขาเผลอเรียกชื่อเธอด้วยความห่วงใย หญิงสาวทำหน้าบึ้งตึงใส่เขาเขารู้สึกเขิน เลยทำหน้านิ่งเข้มขรึม เบี่ยงเบนสายตาไปอื่น“เรื่องของฉัน...คุณไม่ต้องยุ่ง” เขารู้สึกได้ว่าที่เธอเป็นแบบนี้ เพราะการกระทำที่รุนแรงของเขา“ไปอาบน้ำไป...จะได้กินข้าวกินยา” เสียงห้วนของเขาดังขึ้นเหมือนคำสั่งณัฐชาได้แต่เบ้ปากน้อย ๆ ด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเลี่ยงไม่ได้เขายิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ขณะมองกิริยาน่ารักแต่ดื้อรั้นของหญิงสาว แต่ลึก ๆ ในใจยังคงมีความขัดแย้งระหว่างความแค้นและความรู้สึกอื่นที่ไม่อาจยอมรับได้“ยิ้มทำไมวะ เจ้านัยน์... นั่นมันลูกศัตรูนะเว้ย” เขาพึมพำกับตัวเองในครัว...ณัฐชามองสำรวจภายในตู้เย็น เธอแทบไม่เคยเข้าครัวทำอาหารมาก่อนเลยในชีวิต เธอหยิบขนมปัง แฮม และน้ำสลัด จากตู้เย็นออก
บ้านณัฐชา...“พลลูก... หลายวันมานี้ทำไมน้องไม่กลับบ้านเลย” รพีเอ่ยถาม น้ำเสียงเคร่งเครียดณัฐพลที่นั่งอยู่บนโซฟา วางโทรศัพท์ลง แล้วหันไปมองมารดา“น้องน่าจะอยู่คอนโดนั่นแหละครับแม่... ช่วงนี้ผมงานยุ่งมาก ๆ ไม่ค่อยได้ติดต่อน้องเลยครับ”คำตอบของลูกชายไม่ได้ช่วยให้หัวใจแม่เบาใจลงเลย สีหน้าของเธอยังคงแสดงถึงความไม่สบายใจอย่างมาก“แต่ปกติแล้วน้องจะโทรหาแม่ตลอดนะพล นี่ก็หลายวันแล้ว... ทำไมไม่โทรมาบ้าง เหลวไหลใหญ่แล้ว เจ้าลูกคนนี้”ณัฐพลถอนหายใจเบา ๆ “อย่าห่วงเลยครับแม่ ขานั้นถ้าไม่นอนอยู่ห้อง... ก็คงหนีไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ของเขาครับ”รพีกัดริมฝีปากแน่น มือที่จับผ้าพันคอที่ถักอยู่เริ่มบิดเบี้ยวไปมา “แต่มันแปลกนะลูก แม่มีลางสังหรณ์ไม่ดีเลย... พลลองโทรไปหาน้องหน่อยได้ไหม?”ณัฐพลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเบอร์ของน้องสาวทันที เสียงสัญญาณดังอยู่พักใหญ่ แต่ไม่มีใครรับสาย เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย“แปลกแฮะ น้องทำไมไม่รับสายเลย”“แม่ก็พยายามโทรหลายครั้งแล้วก็ไม่รับสายแม่...”แม่ยิ่งดูเป็นกังวล เธอลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมาในห้องอย่างร้อนใจ“พลลูก แม่ว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆ ... เราลองไปที่คอนโดน้องดูเถอะ
บ่ายแก่ ๆ ที่แสงแดดยังทอดผ่านหน้าต่างเมื่อครู่ ฟ้ากลับเปลี่ยนสีฉับพลัน ราวกับสรรพสิ่งกำลังร่วมโศกเศร้ากับบางสิ่งบางอย่าง เสียงฝนพรำเบา ๆ กระทบหลังคาบ้านศรีสถภานั่งบนโซฟาน้ำตาไหลเงียบ ๆ ขณะจ้องมองจดหมายที่พราวฟ้าลูกสาวคนเล็กยื่นมาให้ ความหวาดหวั่นถาโถมเข้ามาในใจ เธอกำกระดาษในมือแน่นความกลัวในสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเนื้อหาจดหมายทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบได้ยินเสียง มือของเธอสั่นเล็กน้อยขณะค่อย ๆ แกะซองจดหมายกลิ่นกระดาษที่เปียกชื้นเพราะน้ำตาของพราวฟ้าทำให้เธอรับรู้ว่า จดหมายฉบับนี้ต้องเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อเปิดอ่านคำแรก ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บมานานพลันระเบิดออกมาถึงภรรยาที่รัก,หากคุณพบจดหมายฉบับนี้ นั่นหมายความว่าผมไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว ก่อนอื่น ผมขอโทษจากใจจริงที่ตัดสินใจทำเรื่องนี้ ผมรู้ดีว่ามันเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว ทิ้งภาระและความทุกข์ไว้ให้คุณและลูก ๆ ต้องเผชิญตามลำพังหนี้สินจากการร่วมลงทุนเปิดบริษัทกับนิคมเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งผมยังสามารถจัดการชำระคืนกับธนาคารได้ แต่ความโลภของผมที่อยากปลดหนี้ให้หมดไว และไม่อยากให้คุณและลูกลำบาก ทำให้ผมเลือกทางผิดด้วยการเล่นการพนัน สุดท้า
ณัฐพลขับรถออกไปอย่างนุ่มนวล เส้นทางที่ทอดยาวออกจากบ้านดูเงียบสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับแฝงไปด้วยความเคร่งเครียดพราวฟ้านั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง เงาสะท้อนของท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มมืดครึ้มสะท้อนกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวล“นี่เราก็เดินทางมาสองชั่วโมงแล้ว...หิวไหม?” ณัฐพลถามทำลายความเงียบ“ค่ะ” พราวฟ้าตอบเสียงเรียบ“งั้นเราแวะทานร้านข้างทางนะ...ทานได้ไหม”“ค่ะ” เสียงตอบของพราวฟ้าแผ่วเบา แฝงความไม่สบายใจ เหมือนกำลังงอน ณัฐพลรู้สึกอึดอัดจึงถามขึ้น“พี่ทำอะไรให้ฟ้าไม่พอใจหรือเปล่า...ตั้งแต่ขึ้นรถมา ฟ้าดูไม่ค่อยโอเคกับพี่เลย”“ไม่มีค่ะ” พราวฟ้ายังคงตอบเสียงนิ่ง ใบหน้าตึงณัฐพลถอนหายใจ หันพวงมาลัยจอดรถข้างทางทันที ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอื้อมไปปรับเบาะพราวฟ้าให้นอนลง“พรึบ!” เสียงเบาะดังขึ้นพร้อมร่างของพราวฟ้าที่เอนลง ใบหน้าของเขาโน้มมาใกล้จนลมหายใจของทั้งสองกระทบกัน“พี่พลจะทำอะไรคะ!” พราวฟ้าถามเสียงสั่น ใจเต้นระรัว“พี่ให้โอกาสฟ้าพูดอีกทีว่าฟ้าโกรธอะไร...ทำไมถึงเย็นชากับพี่แบบนี้” ณัฐพลพูดเสียงเข้ม สายตาจริงจัง พราวฟ้าหลบสายตา ก่อนตอบอย่างดื้อดึง“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธอะไรไงคะ”“พูด!
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
เช้าตรู่วันใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนโยน หัสนัยน์ถือถุงขนมเดินเข้ามาในบ้านของณัฐชา เขาพยายามรวบรวมความกล้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า วันนี้แม่ทำขนมมาให้ ผมเลยเอามาฝากครับ”เขากล่าวเสียงนุ่มนวลพลางยื่นถุงขนมไปวางบนโต๊ะ รพีหันมายิ้มรับด้วยท่าทางใจดี“ของโปรดณัฐชาเลย ขอบคุณมากนะ ฝากขอบคุณแม่เราด้วยล่ะนัยน์”“ได้เลยครับ”หัสนัยน์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาก็ยังมองหาณัฐชาอย่างลุ้นๆ“แล้วณัฐชาอยู่ไหนเหรอครับ?”อาคม ผู้เป็นพ่อของณัฐชา เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ พลางพยักหน้าไปทางสวนหลังบ้าน“น่าจะอยู่ที่สวนข้างบ้านนะ”“ขอบคุณครับคุณลุง”หัสนัยน์โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนหยิบขนมที่ถูกจัดใส่จานแล้วเดินตรงไปยังสวนทันทีที่สวนข้างบ้านในสวนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ณัฐชากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เธอเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของหัสนัยน์ดังใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วทันที“แม่พี่ทำขนมที่ณัฐชาชอบมาให้ ลองทานหน่อยนะ”เสียงของหัสนัยน์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาพยายามยื่นจานขนมไปตรงหน้าเธอ ณัฐชาลุกข
คอนโดณัฐชาเสียงเบรกดังเอี๊ยดทำลายความเงียบในลานจอดรถ หัสนัยน์รีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ รัวนิ้วกดหมายเลขชั้นของณัฐชาอย่างไม่รอช้า ในใจเขาสับสนวุ่นวาย คำพูดมากมายผุดขึ้นแต่ไม่มีคำไหนที่รู้สึกว่าเหมาะสมจะเอ่ยออกไปเมื่อพบเธอเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของณัฐชา เขายกมือกดกริ่ง เสียงเรียกดังสะท้อนอยู่ในโถงเงียบสงัด เขายืนรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หัสนัยน์ถอนหายใจ รู้สึกถึงน้ำหนักของความเงียบที่กดทับหัวใจ เขาพึมพำกับตัวเองว่าเธออาจโกรธเขาและไม่อยากพบหน้า แต่เขาไม่อาจรอได้นานไปกว่านี้ภายในห้อง เสียงกริ่งดังมาถึงในขณะที่ณัฐชากำลังอาบน้ำอยู่ เธอไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าคนที่มาอาจเป็นพ่อแม่ ซึ่งมีคีย์การ์ดเปิดห้องอยู่แล้ว เธอค่อยๆ ปล่อยให้น้ำอุ่นชะล้างความเหนื่อยล้าของวัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเขาหัสนัยน์มองประตูที่เงียบงัน ก่อนหยิบคีย์การ์ดจากกระเป๋าออกมา เขามองมันชั่วครู่ด้วยความลังเล ก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องยังคงอบอุ่นและมีกลิ่นหอมจางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เขากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้
บ้านณัฐชา…บรรยากาศภายในบ้านของณัฐชานั้นอบอุ่นและน่าอยู่ เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบง่ายเข้ากับผนังสีครีม สายลมเย็นจากหน้าต่างที่เปิดรับวิวสวน พัดพากลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่น ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่รู้สึกผ่อนคลาย“สวัสดีจ้ะ รพี อาคม ไม่ได้เจอกันนานพวกเธอเลยนะ” ศรีสุภาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มที่แม้จะพยายามปกปิดความกังวลไว้ แต่ก็มองออกได้จากดวงตาที่ฉายแววร้อนใจ หัสนัยน์และพราวฟ้ารีบยกมือไหว้ทั้งสองตามมารยาท“สบายดีจ้ะ... เข้ามาๆ” รพีตอบกลับอย่างใจเย็น แต่แววตาของเขาไม่ได้หลุดพ้นจากความครุ่นคิดขณะผายมือเชิญแขกเข้ามานั่ง เมื่อทุกคนประจำที่นั่ง ศรีสุภาก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความหนักแน่น“คือฉันจะมาขอโทษทั้งสองที่ลูกชายของฉันทำผิดต่อลูกสาวของพวกเธอ พวกเราพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง พวกเรารู้สึกผิดจริงๆ” คำพูดของเธอเรียบง่ายแต่กดดัน หัสนัยน์นั่งตัวตรง ขณะที่พราวฟ้ากุมมือแม่แน่นเพื่อให้กำลังใจบรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด อาคมที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่ก่อนหน้านี้โน้มตัวมาข้างหน้า ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาจ้องมองไปยังหัสนัยน์ราวกับค้นหาคำตอ
เช้าวันนั้นณัฐชาตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าที่ยังเกาะกุมร่างกาย เธอมองไปรอบห้อง ไม่เห็นวี่แววของหัสนัยน์ ใจคิดว่าเขาคงอยู่ในห้องหนังสือหรือสวนหลังบ้าน เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่าย เมื่อเดินลงมาถึงห้องครัว สายตาของเธอสะดุดกับอาหารเช้าบนโต๊ะ มีโน้ตเล็กๆ วางอยู่ใกล้ๆ“ผมเตรียมอาหารไว้ให้...เดี๋ยวผมกลับมา ไม่ต้องกลัวนะ” ณัฐชาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบ้ปากทันที“คิดจะทำความดีจะทำดีไถ่โทษเหรอ? ...ไม่มีทาง” เธอพึมพำ แต่ลึกๆ ก็แอบคิดว่าเขาอาจเริ่มใจอ่อนลงกับความแค้นที่เขามี เพราะช่วงนี้เขาดูไม่ได้โหดร้ายมาก เว้นแต่ในบางเรื่องที่เขาเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพความทรงจำในวันแรกที่เธอมาที่นี่ผุดขึ้นในหัว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีวิตของเธอช่างน่าเศร้า รักเขา แต่เขากลับมองเธอเหมือนเป็นเพียงที่ระบายอารมณ์ ณัฐชาไม่รู้ว่าควรจะรักหรือเกลียดเขาดี ความสับสนถาโถมเข้ามาในหัวใจจนเธอรู้สึกอึดอัด“ตราบใดที่คุณยังคงมีความแค้น เราทั้งสองก็คงเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้” เธอพึมพำเบาๆ แล้วมองออกไปยังสวนหลังบ
ท่ามกลางป่าลึกในยามค่ำคืน เงาไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมราวกับจะกอดรัดทุกสรรพสิ่ง ความหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบสงบ เสียงของเหล่านกกลางคืนที่ส่งเสียงร้องประสานกับเสียงจิ้งหรีดและแมลงป่าดังรอบทิศทาง ในบ้านหลังนี้ มีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวอาศัยอยู่กันเพียงสองคน“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” หัสนัยถามณัฐชาด้วยน้ำเสียงห่วงใย“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ฉันจะอยู่จองเวรจองกรรมกับคุณไปอีกนาน” เธอจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น“โอเค...เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้ว” เขายิ้มที่มุมปาก“งั้นคืนนี้ก็บำเรอผมต่อแล้วกัน…คุณป่วยตั้งสองวัน ผม…อยาก...” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีความนัย เธอขมวดคิ้ว กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มของเขามีความหมายริมฝีปากของเธอเม้มแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่จะเก็บอารมณ์ไว้ลึกสุดใจ ดวงตาจับจ้องเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะเมินหน้าหนีอย่างไม่แยแส“ฉันจะไปอาบน้ำ หลบ!” เธอมองค้อน ผลักเขาออกจากเตียงทันที“อาบน้ำเสร็จรีบมากินข้าวกินยาด้วย รีบหายเร็วๆ ผมใจจะขาดอยู่แล้ว” หัสนัยพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท“ไอ้บ้าเอ๊ย…ฉันเกลีย