บ้านณัฐชา...
“พลลูก... หลายวันมานี้ทำไมน้องไม่กลับบ้านเลย” รพีเอ่ยถาม น้ำเสียงเคร่งเครียด
ณัฐพลที่นั่งอยู่บนโซฟา วางโทรศัพท์ลง แล้วหันไปมองมารดา
“น้องน่าจะอยู่คอนโดนั่นแหละครับแม่... ช่วงนี้ผมงานยุ่งมาก ๆ ไม่ค่อยได้ติดต่อน้องเลยครับ”
คำตอบของลูกชายไม่ได้ช่วยให้หัวใจแม่เบาใจลงเลย สีหน้าของเธอยังคงแสดงถึงความไม่สบายใจอย่างมาก
“แต่ปกติแล้วน้องจะโทรหาแม่ตลอดนะพล นี่ก็หลายวันแล้ว... ทำไมไม่โทรมาบ้าง เหลวไหลใหญ่แล้ว เจ้าลูกคนนี้”
ณัฐพลถอนหายใจเบา ๆ
“อย่าห่วงเลยครับแม่ ขานั้นถ้าไม่นอนอยู่ห้อง... ก็คงหนีไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ของเขาครับ”
รพีกัดริมฝีปากแน่น มือที่จับผ้าพันคอที่ถักอยู่เริ่มบิดเบี้ยวไปมา
“แต่มันแปลกนะลูก แม่มีลางสังหรณ์ไม่ดีเลย... พลลองโทรไปหาน้องหน่อยได้ไหม?”
ณัฐพลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเบอร์ของน้องสาวทันที เสียงสัญญาณดังอยู่พักใหญ่ แต่ไม่มีใครรับสาย เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“แปลกแฮะ น้องทำไมไม่รับสายเลย”
“แม่ก็พยายามโทรหลายครั้งแล้วก็ไม่รับสายแม่...”
แม่ยิ่งดูเป็นกังวล เธอลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมาในห้องอย่างร้อนใจ
“พลลูก แม่ว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆ ... เราลองไปที่คอนโดน้องดูเถอะ แม่ไม่สบายใจจริง ๆ”
ณัฐพลลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกุญแจรถ
“ไปครับแม่ เดี๋ยวผมพาไปดูเอง”
ในใจลึก ๆ ณัฐพลเริ่มรู้สึกผิดปกติเช่นกัน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าน้องสาวคงแค่ยุ่งกับชีวิตตัวเอง แต่ความเงียบหายไปหลายวันโดยไม่มีคำอธิบายมันก็ชวนให้ใจว้าวุ่น
รพีกับณัฐพลรีบขับรถไปยังคอนโดของณัฐชา เส้นทางที่เคยคุ้นกลับดูยาวนานกว่าปกติ ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจของทั้งคู่...
“ถึงแล้วครับแม่... ค่อยๆ ลงนะครับ” ณัฐพลพยุงแม่ลงจากรถอย่างระวัง
ทั้งคู่เดินตรงไปยังหน้าห้องพักของณัฐชา เคาะประตูอยู่คู่ใหญ่แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดใด
“เกิดอะไรขึ้นกับน้องหรือเปล่า...พลช่วยตามหาน้องนะลูก” แม่หน้าซีดคล้ายจะเป็นลม ณัฐพลรีบพยุงแม่ไว้
“ไม่ต้องห่วงครับแม่ ...แม่กลับบ้านก่อนนะ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
รพีพยักหน้าด้วยสีหน้ากังวลเป็นห่วงลูกที่สุด พลกลับมาส่งแม่ที่บ้านทันที
ณัฐพลได้โทรติดต่อเพื่อนของณัฐชาเกือบทุกคนแต่คำตอบที่ได้ณัฐชาไม่ได้ไปหาใครเลย เขารู้สึกถึงความผิดปกติว่าเหตุการณ์แบบนี้ต้องเป็นการลักพาตัวเป็นแน่
เขาได้ไปขอดูกล้องวงจรปิดของคอนโดแล้วพบว่าน้องสาวของเขาถูกหัสนัยนจับขึ้นรถไป เขากังวลมากว่าหัสนัยน์จะทำอะไรบ้างๆ กับณัฐชา
เขาเลือกที่จะไม่บอกเรื่องนี้กับแม่ เพระแม่เป็นโรคหัวใจหากรับรู้เรื่องนี้เกรงว่าอาการแม่จะทรุดลงเป็นแน่
ณัฐพลรวบรวมหลักฐานการที่น้องสาวถูกลักพาตัว แล้วไปหาครอบครัวของหัสนัยน์ เขายังไม่แจ้งความเพราะเห็นว่าสองครอบครัวเคยสนิทกันมาก เขาขับรถมุ่งหน้าไปบ้านของหัสนัยน์ทันที
บ้านหัสนัยน์...
ห้องรับแขกในยามบ่ายแสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้บานใหญ่ทอดตัวเห็นลายบนพื้นไม้เงางาม เสียงนกร้องจากต้นมะม่วงหลังบ้านดังแผ่วเบา ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูสงบเงียบ มีเพียงเสียงสนทนาของคนสองคน
“สวัสดีครับคุณป้า”
ณัฐพลยกมือไหว้แม่ของหัสนัยน์อย่างนอบน้อม
“พลใช่ไหม..ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“ครับ...คุณป้าสบายดีนะครับ”
“ป้าสบายดี...แล้วมาหาป้ามีธุระอะไรหรือเปล่าลูก”
“คือ...น้องสาวผม ถูกหัสนัยน์จับตัวไปครับ ไม่ทราบว่าเรื่องนี้คุณป้าทราบหรือไม่”
ณัฐพลทำหน้าสงสัย
“ตายจริง...ทำไม่เจ้านัยน์ทำแบบนี้นะ...ป้าติดต่อเขาไม่ได้มาหลายวันเหมือนกัน เขาบอกแค่ว่าไปทำงานต่างจังหวัด”
“ผมรู้ครับว่าหัสนัย์แค้นครอบครัวผมมาก เขาคิดว่าคนที่ทำให้พ่อเขาตายคือพ่อของผม”
“เรื่องนี้เราก็เจ็บปวดทั้งสองครอบครัว...”
ศรีสุภาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอก้มมองมือตัวเองที่จับประสานบนตัก
“ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเราสามคนแม่ลูกลำบากมาก ไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้พ่อของนัยน์ต้องตัดสินใจแบบนั้นคืออะไร นัยน์จึงปักใจเจ็บ คิดว่าคนที่ทำให้พ่อเขาตายคือนายอาคม พ่อของพล”
ณัฐพลนั่งตัวตรง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดปนเศร้า เขาพยายามหาเสียงของตัวเองที่ไม่สั่นไหวเกินไป
“ผมเข้าใจครับ...”
เขาเอ่ยตอบเบา ๆ
“แต่ไม่ว่าอย่างไร ความแค้นทั้งหมดไม่ควรไปลงที่น้องผม เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย”
ศรีสุภาเงียบไป มองหน้าของเด็กหนุ่มที่นั่งตรงหน้าเธอ คนที่เธอเคยเอ็นดูเหมือนลูกแท้ ๆ แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปหลังจากเหตุการณ์นั้น
ทันใดนั้น เสียงตะโกนเรียกจากชั้นบนทำให้ทุกคนสะดุ้ง
“แม่คะ...แม่!”
เสียงของพราวฟ้าดังลั่นจากชั้นบน ทำให้ศรีสุภาหันไปมองด้วยความตกใจ
“ฟ้ามีอะไร...แม่มีแขกอยู่” เธอตอบกลับ แต่เสียงฝีเท้าของลูกสาวกลับดังใกล้เข้ามาอย่างเร่งรีบ
พราวฟ้าก้าวลงบันไดมาด้วยความตื่นเต้น เมื่อมาถึงชั้นล่าง ดวงตาของเธอเบิกโพลงเมื่อเห็นณัฐพลนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก เธอหยุดชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยออกมาเบา ๆ ด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“พี่พล...”
ดวงตาของเธอสบกับดวงตาของเขา เธอเห็นความอบอุ่นและความคิดถึงในแววตานั้น แต่ลึกลงไปก็ยังมีเศษเสี้ยวของความเจ็บปวดที่ไม่เคยหายไป
ณัฐพลยิ้มให้เธอเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนเมื่อเอ่ยทัก
“สบายดีนะ ฟ้า”
พราวฟ้ายิ้มรับ แต่แววตาของเธอแสดงถึงความอัดอั้นที่เก็บไว้มานาน
“สบายดีค่ะ...” เธอเอ่ยตอบ แต่เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย
ทั้งคู่จ้องมองกันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงหา ทุกอย่างรอบตัวเงียบไปเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน มีเพียงสายลมที่พัดม่านขยับเบา ๆ และความรู้สึกที่ไม่เคยเปลี่ยนไป
ศรีสุภามองเด็กทั้งสองด้วยความสงสาร เธอรู้ว่าความรู้สึกดี ๆ ยังคงอยู่ในใจของพวกเขา แต่ความจริงที่เจ็บปวดกลับทำให้ทั้งคู่ต้องแยกจากกัน
“ฟ้า...มีอะไรวิ่งหน้าตาตื่นมาเชียว แล้วนั่นจดหมายอะไร” ศรีสุภาเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบที่อึดอัด
พราวฟ้ายกจดหมายในมือขึ้น น้ำตาคลอเบ้า
“แม่คะ...จดหมายของพ่อ”
ศรีสุภาหันมามองลูกสาวด้วยความตกใจ
“หนูเจอมันจากไหน?” เธอถามพลางจับแขนของพราวฟ้าแน่น
“ในหนังสือในห้องทำงานของพ่อค่ะ...” พราวฟ้าตอบเสียงสั่น เธอยื่นจดหมายให้แม่ น้ำตาไหลรินขณะพูด
“มันอยู่ในหนังสือเล่มที่พ่อชอบอ่าน...”
ศรีสุภามองจดหมายในมือด้วยความลังเล เธอรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง ทุกอย่างกลับมาหลอกหลอนเธออีกครั้ง...
ณัฐพลมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัยแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา บรรยากาศในห้องเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมหายใจของทุกคนที่ดังแผ่วเบา...
บ่ายแก่ ๆ ที่แสงแดดยังทอดผ่านหน้าต่างเมื่อครู่ ฟ้ากลับเปลี่ยนสีฉับพลัน ราวกับสรรพสิ่งกำลังร่วมโศกเศร้ากับบางสิ่งบางอย่าง เสียงฝนพรำเบา ๆ กระทบหลังคาบ้านศรีสถภานั่งบนโซฟาน้ำตาไหลเงียบ ๆ ขณะจ้องมองจดหมายที่พราวฟ้าลูกสาวคนเล็กยื่นมาให้ ความหวาดหวั่นถาโถมเข้ามาในใจ เธอกำกระดาษในมือแน่นความกลัวในสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเนื้อหาจดหมายทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบได้ยินเสียง มือของเธอสั่นเล็กน้อยขณะค่อย ๆ แกะซองจดหมายกลิ่นกระดาษที่เปียกชื้นเพราะน้ำตาของพราวฟ้าทำให้เธอรับรู้ว่า จดหมายฉบับนี้ต้องเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อเปิดอ่านคำแรก ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บมานานพลันระเบิดออกมาถึงภรรยาที่รัก,หากคุณพบจดหมายฉบับนี้ นั่นหมายความว่าผมไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว ก่อนอื่น ผมขอโทษจากใจจริงที่ตัดสินใจทำเรื่องนี้ ผมรู้ดีว่ามันเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว ทิ้งภาระและความทุกข์ไว้ให้คุณและลูก ๆ ต้องเผชิญตามลำพังหนี้สินจากการร่วมลงทุนเปิดบริษัทกับนิคมเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งผมยังสามารถจัดการชำระคืนกับธนาคารได้ แต่ความโลภของผมที่อยากปลดหนี้ให้หมดไว และไม่อยากให้คุณและลูกลำบาก ทำให้ผมเลือกทางผิดด้วยการเล่นการพนัน สุดท้า
ณัฐพลขับรถออกไปอย่างนุ่มนวล เส้นทางที่ทอดยาวออกจากบ้านดูเงียบสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับแฝงไปด้วยความเคร่งเครียดพราวฟ้านั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง เงาสะท้อนของท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มมืดครึ้มสะท้อนกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวล“นี่เราก็เดินทางมาสองชั่วโมงแล้ว...หิวไหม?” ณัฐพลถามทำลายความเงียบ“ค่ะ” พราวฟ้าตอบเสียงเรียบ“งั้นเราแวะทานร้านข้างทางนะ...ทานได้ไหม”“ค่ะ” เสียงตอบของพราวฟ้าแผ่วเบา แฝงความไม่สบายใจ เหมือนกำลังงอน ณัฐพลรู้สึกอึดอัดจึงถามขึ้น“พี่ทำอะไรให้ฟ้าไม่พอใจหรือเปล่า...ตั้งแต่ขึ้นรถมา ฟ้าดูไม่ค่อยโอเคกับพี่เลย”“ไม่มีค่ะ” พราวฟ้ายังคงตอบเสียงนิ่ง ใบหน้าตึงณัฐพลถอนหายใจ หันพวงมาลัยจอดรถข้างทางทันที ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอื้อมไปปรับเบาะพราวฟ้าให้นอนลง“พรึบ!” เสียงเบาะดังขึ้นพร้อมร่างของพราวฟ้าที่เอนลง ใบหน้าของเขาโน้มมาใกล้จนลมหายใจของทั้งสองกระทบกัน“พี่พลจะทำอะไรคะ!” พราวฟ้าถามเสียงสั่น ใจเต้นระรัว“พี่ให้โอกาสฟ้าพูดอีกทีว่าฟ้าโกรธอะไร...ทำไมถึงเย็นชากับพี่แบบนี้” ณัฐพลพูดเสียงเข้ม สายตาจริงจัง พราวฟ้าหลบสายตา ก่อนตอบอย่างดื้อดึง“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธอะไรไงคะ”“พูด!
ท่ามกลางป่าลึกในยามค่ำคืน เงาไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมราวกับจะกอดรัดทุกสรรพสิ่ง ความหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบสงบ เสียงของเหล่านกกลางคืนที่ส่งเสียงร้องประสานกับเสียงจิ้งหรีดและแมลงป่าดังรอบทิศทาง ในบ้านหลังนี้ มีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวอาศัยอยู่กันเพียงสองคน“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” หัสนัยถามณัฐชาด้วยน้ำเสียงห่วงใย“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ฉันจะอยู่จองเวรจองกรรมกับคุณไปอีกนาน” เธอจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น“โอเค...เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้ว” เขายิ้มที่มุมปาก“งั้นคืนนี้ก็บำเรอผมต่อแล้วกัน…คุณป่วยตั้งสองวัน ผม…อยาก...” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีความนัย เธอขมวดคิ้ว กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มของเขามีความหมายริมฝีปากของเธอเม้มแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่จะเก็บอารมณ์ไว้ลึกสุดใจ ดวงตาจับจ้องเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะเมินหน้าหนีอย่างไม่แยแส“ฉันจะไปอาบน้ำ หลบ!” เธอมองค้อน ผลักเขาออกจากเตียงทันที“อาบน้ำเสร็จรีบมากินข้าวกินยาด้วย รีบหายเร็วๆ ผมใจจะขาดอยู่แล้ว” หัสนัยพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท“ไอ้บ้าเอ๊ย…ฉันเกลีย
เช้าวันนั้นณัฐชาตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าที่ยังเกาะกุมร่างกาย เธอมองไปรอบห้อง ไม่เห็นวี่แววของหัสนัยน์ ใจคิดว่าเขาคงอยู่ในห้องหนังสือหรือสวนหลังบ้าน เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่าย เมื่อเดินลงมาถึงห้องครัว สายตาของเธอสะดุดกับอาหารเช้าบนโต๊ะ มีโน้ตเล็กๆ วางอยู่ใกล้ๆ“ผมเตรียมอาหารไว้ให้...เดี๋ยวผมกลับมา ไม่ต้องกลัวนะ” ณัฐชาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบ้ปากทันที“คิดจะทำความดีจะทำดีไถ่โทษเหรอ? ...ไม่มีทาง” เธอพึมพำ แต่ลึกๆ ก็แอบคิดว่าเขาอาจเริ่มใจอ่อนลงกับความแค้นที่เขามี เพราะช่วงนี้เขาดูไม่ได้โหดร้ายมาก เว้นแต่ในบางเรื่องที่เขาเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพความทรงจำในวันแรกที่เธอมาที่นี่ผุดขึ้นในหัว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีวิตของเธอช่างน่าเศร้า รักเขา แต่เขากลับมองเธอเหมือนเป็นเพียงที่ระบายอารมณ์ ณัฐชาไม่รู้ว่าควรจะรักหรือเกลียดเขาดี ความสับสนถาโถมเข้ามาในหัวใจจนเธอรู้สึกอึดอัด“ตราบใดที่คุณยังคงมีความแค้น เราทั้งสองก็คงเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้” เธอพึมพำเบาๆ แล้วมองออกไปยังสวนหลังบ
บ้านณัฐชา…บรรยากาศภายในบ้านของณัฐชานั้นอบอุ่นและน่าอยู่ เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบง่ายเข้ากับผนังสีครีม สายลมเย็นจากหน้าต่างที่เปิดรับวิวสวน พัดพากลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่น ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่รู้สึกผ่อนคลาย“สวัสดีจ้ะ รพี อาคม ไม่ได้เจอกันนานพวกเธอเลยนะ” ศรีสุภาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มที่แม้จะพยายามปกปิดความกังวลไว้ แต่ก็มองออกได้จากดวงตาที่ฉายแววร้อนใจ หัสนัยน์และพราวฟ้ารีบยกมือไหว้ทั้งสองตามมารยาท“สบายดีจ้ะ... เข้ามาๆ” รพีตอบกลับอย่างใจเย็น แต่แววตาของเขาไม่ได้หลุดพ้นจากความครุ่นคิดขณะผายมือเชิญแขกเข้ามานั่ง เมื่อทุกคนประจำที่นั่ง ศรีสุภาก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความหนักแน่น“คือฉันจะมาขอโทษทั้งสองที่ลูกชายของฉันทำผิดต่อลูกสาวของพวกเธอ พวกเราพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง พวกเรารู้สึกผิดจริงๆ” คำพูดของเธอเรียบง่ายแต่กดดัน หัสนัยน์นั่งตัวตรง ขณะที่พราวฟ้ากุมมือแม่แน่นเพื่อให้กำลังใจบรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด อาคมที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่ก่อนหน้านี้โน้มตัวมาข้างหน้า ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาจ้องมองไปยังหัสนัยน์ราวกับค้นหาคำตอ
คอนโดณัฐชาเสียงเบรกดังเอี๊ยดทำลายความเงียบในลานจอดรถ หัสนัยน์รีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ รัวนิ้วกดหมายเลขชั้นของณัฐชาอย่างไม่รอช้า ในใจเขาสับสนวุ่นวาย คำพูดมากมายผุดขึ้นแต่ไม่มีคำไหนที่รู้สึกว่าเหมาะสมจะเอ่ยออกไปเมื่อพบเธอเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของณัฐชา เขายกมือกดกริ่ง เสียงเรียกดังสะท้อนอยู่ในโถงเงียบสงัด เขายืนรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หัสนัยน์ถอนหายใจ รู้สึกถึงน้ำหนักของความเงียบที่กดทับหัวใจ เขาพึมพำกับตัวเองว่าเธออาจโกรธเขาและไม่อยากพบหน้า แต่เขาไม่อาจรอได้นานไปกว่านี้ภายในห้อง เสียงกริ่งดังมาถึงในขณะที่ณัฐชากำลังอาบน้ำอยู่ เธอไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าคนที่มาอาจเป็นพ่อแม่ ซึ่งมีคีย์การ์ดเปิดห้องอยู่แล้ว เธอค่อยๆ ปล่อยให้น้ำอุ่นชะล้างความเหนื่อยล้าของวัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเขาหัสนัยน์มองประตูที่เงียบงัน ก่อนหยิบคีย์การ์ดจากกระเป๋าออกมา เขามองมันชั่วครู่ด้วยความลังเล ก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องยังคงอบอุ่นและมีกลิ่นหอมจางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เขากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้
เช้าตรู่วันใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนโยน หัสนัยน์ถือถุงขนมเดินเข้ามาในบ้านของณัฐชา เขาพยายามรวบรวมความกล้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า วันนี้แม่ทำขนมมาให้ ผมเลยเอามาฝากครับ”เขากล่าวเสียงนุ่มนวลพลางยื่นถุงขนมไปวางบนโต๊ะ รพีหันมายิ้มรับด้วยท่าทางใจดี“ของโปรดณัฐชาเลย ขอบคุณมากนะ ฝากขอบคุณแม่เราด้วยล่ะนัยน์”“ได้เลยครับ”หัสนัยน์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาก็ยังมองหาณัฐชาอย่างลุ้นๆ“แล้วณัฐชาอยู่ไหนเหรอครับ?”อาคม ผู้เป็นพ่อของณัฐชา เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ พลางพยักหน้าไปทางสวนหลังบ้าน“น่าจะอยู่ที่สวนข้างบ้านนะ”“ขอบคุณครับคุณลุง”หัสนัยน์โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนหยิบขนมที่ถูกจัดใส่จานแล้วเดินตรงไปยังสวนทันทีที่สวนข้างบ้านในสวนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ณัฐชากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เธอเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของหัสนัยน์ดังใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วทันที“แม่พี่ทำขนมที่ณัฐชาชอบมาให้ ลองทานหน่อยนะ”เสียงของหัสนัยน์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาพยายามยื่นจานขนมไปตรงหน้าเธอ ณัฐชาลุกข
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
เช้าตรู่วันใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนโยน หัสนัยน์ถือถุงขนมเดินเข้ามาในบ้านของณัฐชา เขาพยายามรวบรวมความกล้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า วันนี้แม่ทำขนมมาให้ ผมเลยเอามาฝากครับ”เขากล่าวเสียงนุ่มนวลพลางยื่นถุงขนมไปวางบนโต๊ะ รพีหันมายิ้มรับด้วยท่าทางใจดี“ของโปรดณัฐชาเลย ขอบคุณมากนะ ฝากขอบคุณแม่เราด้วยล่ะนัยน์”“ได้เลยครับ”หัสนัยน์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาก็ยังมองหาณัฐชาอย่างลุ้นๆ“แล้วณัฐชาอยู่ไหนเหรอครับ?”อาคม ผู้เป็นพ่อของณัฐชา เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ พลางพยักหน้าไปทางสวนหลังบ้าน“น่าจะอยู่ที่สวนข้างบ้านนะ”“ขอบคุณครับคุณลุง”หัสนัยน์โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนหยิบขนมที่ถูกจัดใส่จานแล้วเดินตรงไปยังสวนทันทีที่สวนข้างบ้านในสวนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ณัฐชากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เธอเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของหัสนัยน์ดังใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วทันที“แม่พี่ทำขนมที่ณัฐชาชอบมาให้ ลองทานหน่อยนะ”เสียงของหัสนัยน์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาพยายามยื่นจานขนมไปตรงหน้าเธอ ณัฐชาลุกข
คอนโดณัฐชาเสียงเบรกดังเอี๊ยดทำลายความเงียบในลานจอดรถ หัสนัยน์รีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ รัวนิ้วกดหมายเลขชั้นของณัฐชาอย่างไม่รอช้า ในใจเขาสับสนวุ่นวาย คำพูดมากมายผุดขึ้นแต่ไม่มีคำไหนที่รู้สึกว่าเหมาะสมจะเอ่ยออกไปเมื่อพบเธอเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของณัฐชา เขายกมือกดกริ่ง เสียงเรียกดังสะท้อนอยู่ในโถงเงียบสงัด เขายืนรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หัสนัยน์ถอนหายใจ รู้สึกถึงน้ำหนักของความเงียบที่กดทับหัวใจ เขาพึมพำกับตัวเองว่าเธออาจโกรธเขาและไม่อยากพบหน้า แต่เขาไม่อาจรอได้นานไปกว่านี้ภายในห้อง เสียงกริ่งดังมาถึงในขณะที่ณัฐชากำลังอาบน้ำอยู่ เธอไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าคนที่มาอาจเป็นพ่อแม่ ซึ่งมีคีย์การ์ดเปิดห้องอยู่แล้ว เธอค่อยๆ ปล่อยให้น้ำอุ่นชะล้างความเหนื่อยล้าของวัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเขาหัสนัยน์มองประตูที่เงียบงัน ก่อนหยิบคีย์การ์ดจากกระเป๋าออกมา เขามองมันชั่วครู่ด้วยความลังเล ก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องยังคงอบอุ่นและมีกลิ่นหอมจางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เขากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้
บ้านณัฐชา…บรรยากาศภายในบ้านของณัฐชานั้นอบอุ่นและน่าอยู่ เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบง่ายเข้ากับผนังสีครีม สายลมเย็นจากหน้าต่างที่เปิดรับวิวสวน พัดพากลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่น ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่รู้สึกผ่อนคลาย“สวัสดีจ้ะ รพี อาคม ไม่ได้เจอกันนานพวกเธอเลยนะ” ศรีสุภาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มที่แม้จะพยายามปกปิดความกังวลไว้ แต่ก็มองออกได้จากดวงตาที่ฉายแววร้อนใจ หัสนัยน์และพราวฟ้ารีบยกมือไหว้ทั้งสองตามมารยาท“สบายดีจ้ะ... เข้ามาๆ” รพีตอบกลับอย่างใจเย็น แต่แววตาของเขาไม่ได้หลุดพ้นจากความครุ่นคิดขณะผายมือเชิญแขกเข้ามานั่ง เมื่อทุกคนประจำที่นั่ง ศรีสุภาก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความหนักแน่น“คือฉันจะมาขอโทษทั้งสองที่ลูกชายของฉันทำผิดต่อลูกสาวของพวกเธอ พวกเราพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง พวกเรารู้สึกผิดจริงๆ” คำพูดของเธอเรียบง่ายแต่กดดัน หัสนัยน์นั่งตัวตรง ขณะที่พราวฟ้ากุมมือแม่แน่นเพื่อให้กำลังใจบรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด อาคมที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่ก่อนหน้านี้โน้มตัวมาข้างหน้า ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาจ้องมองไปยังหัสนัยน์ราวกับค้นหาคำตอ
เช้าวันนั้นณัฐชาตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าที่ยังเกาะกุมร่างกาย เธอมองไปรอบห้อง ไม่เห็นวี่แววของหัสนัยน์ ใจคิดว่าเขาคงอยู่ในห้องหนังสือหรือสวนหลังบ้าน เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่าย เมื่อเดินลงมาถึงห้องครัว สายตาของเธอสะดุดกับอาหารเช้าบนโต๊ะ มีโน้ตเล็กๆ วางอยู่ใกล้ๆ“ผมเตรียมอาหารไว้ให้...เดี๋ยวผมกลับมา ไม่ต้องกลัวนะ” ณัฐชาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบ้ปากทันที“คิดจะทำความดีจะทำดีไถ่โทษเหรอ? ...ไม่มีทาง” เธอพึมพำ แต่ลึกๆ ก็แอบคิดว่าเขาอาจเริ่มใจอ่อนลงกับความแค้นที่เขามี เพราะช่วงนี้เขาดูไม่ได้โหดร้ายมาก เว้นแต่ในบางเรื่องที่เขาเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพความทรงจำในวันแรกที่เธอมาที่นี่ผุดขึ้นในหัว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีวิตของเธอช่างน่าเศร้า รักเขา แต่เขากลับมองเธอเหมือนเป็นเพียงที่ระบายอารมณ์ ณัฐชาไม่รู้ว่าควรจะรักหรือเกลียดเขาดี ความสับสนถาโถมเข้ามาในหัวใจจนเธอรู้สึกอึดอัด“ตราบใดที่คุณยังคงมีความแค้น เราทั้งสองก็คงเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้” เธอพึมพำเบาๆ แล้วมองออกไปยังสวนหลังบ
ท่ามกลางป่าลึกในยามค่ำคืน เงาไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมราวกับจะกอดรัดทุกสรรพสิ่ง ความหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบสงบ เสียงของเหล่านกกลางคืนที่ส่งเสียงร้องประสานกับเสียงจิ้งหรีดและแมลงป่าดังรอบทิศทาง ในบ้านหลังนี้ มีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวอาศัยอยู่กันเพียงสองคน“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” หัสนัยถามณัฐชาด้วยน้ำเสียงห่วงใย“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ฉันจะอยู่จองเวรจองกรรมกับคุณไปอีกนาน” เธอจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น“โอเค...เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้ว” เขายิ้มที่มุมปาก“งั้นคืนนี้ก็บำเรอผมต่อแล้วกัน…คุณป่วยตั้งสองวัน ผม…อยาก...” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีความนัย เธอขมวดคิ้ว กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มของเขามีความหมายริมฝีปากของเธอเม้มแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่จะเก็บอารมณ์ไว้ลึกสุดใจ ดวงตาจับจ้องเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะเมินหน้าหนีอย่างไม่แยแส“ฉันจะไปอาบน้ำ หลบ!” เธอมองค้อน ผลักเขาออกจากเตียงทันที“อาบน้ำเสร็จรีบมากินข้าวกินยาด้วย รีบหายเร็วๆ ผมใจจะขาดอยู่แล้ว” หัสนัยพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท“ไอ้บ้าเอ๊ย…ฉันเกลีย