แปดเดือนต่อมา
"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรง
หัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"
ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุข
เมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"
หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น
"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"
หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที
"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"
ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อย
นอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดี
ณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"
พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เสียงหัวเราะของพ่อแม่ดังขึ้น ทุกคนต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
ในวันนั้น ไม่ใช่แค่ชีวิตน้อยๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นมา แต่เป็นสายใยแห่งรักที่แน่นแฟ้นขึ้นระหว่างทุกคน
"รพี… เราต้องช่วยกันเลี้ยงหลานน้อยๆ ของเราแล้วนะ"
อาคมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอบอุ่น พลางมองภรรยาด้วยสายตาเปี่ยมสุข
รพีหันมาสบตาสามี ก่อนพยักหน้าด้วยความยินดี
"แน่นอนสิ เราจะช่วยกันเลี้ยงหลานให้ดีที่สุดจ้ะ ศรีสุภาเรามาช่วยกันเลี้ยงหลานเลยนะ"
อาคมมองดูทุกคนที่รายล้อมด้วยรอยยิ้ม ทุกคนในครอบครัวต่างเปี่ยมไปด้วยความสุข
"เดือนหน้า ก็ถึงคิวแต่งงานของณัฐพลกับพราวฟ้าแล้วนะ พอแต่งแล้วรีบมีหลานให้พ่อเลยนะ หลาน ๆ จะได้มีเพื่อนเล่นกัน" อาคมพูดอย่างอิ่มเอมใจ
พราวฟ้าหน้าแดงทันที ณัฐพลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินเข้ามาโอบไหล่เธออย่างรักใคร่
"พ่อครับ ใจเย็นๆ นะ ขอแต่งก่อนเถอะ"
เสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วห้อง ก่อนที่พยาบาลจะเดินเข้ามา
"เชิญทุกท่านไปรอที่ห้องพิเศษที่เตรียมไว้ได้เลยนะคะ เดี๋ยวพยาบาลจะพาคุณณัฐชาไปพักที่นั่นค่ะ"
ทุกคนรีบพากันไปที่ห้องพักพิเศษอย่างพร้อมเพรียงกัน อีกไม่นาน พยาบาลก็เข็นเตียงของณัฐชาเข้ามา
"เป็นยังไงบ้างลูก เจ็บมากไหม?" ศรีสุภาถามลูกสะใภ้ด้วยความเป็นห่วง
"นิดหน่อยค่ะแม่ แต่หนูมีความสุขมาก" ณัฐชาตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ
"แล้วหลานล่ะลูก?"
"พยาบาลพาไปที่ห้องพักเด็กอ่อนแล้วค่ะ ลูกแข็งแรงสมบูรณ์ดี ไม่ต้องห่วงนะคะ"
ทุกคนยิ้มอย่างโล่งใจและเต็มไปด้วยความยินดี
"ผมว่าลูกเหมือนผมมากเลยนะ" หัสนัยน์พูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
ณัฐพลหัวเราะแล้วแซวทันที "ว่าแล้ว… คนเห่อลูกมาแล้วหนึ่งราย!"
เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศในห้องพักฟื้นเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะของครอบครัว
หนึ่งเดือนต่อมา: งานแต่งของพราวฟ้า และณัฐพล
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันสำคัญของพราวฟ้าและณัฐพลก็มาถึง
ในงานแต่ง บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรักและความยินดี แขกเหรื่อมากมายมาร่วมแสดงความยินดี
"แต่งงานแล้ว ต้องรีบมีหลานนะ จะได้เป็นเพื่อนเล่นกับลูกพี่" หัสนัยน์แซวคู่บ่าวสาว
พราวฟ้ายิ้มเขิน ก่อนจะกระซิบตอบณัฐพลเบาๆ "เห็นทีเราต้องรีบแล้วล่ะเนอะ"
ณัฐพลหัวเราะพลางกระซิบกลับ "แน่นอนจ้ะ… แต่คืนนี้เราค่อยคุยกัน"
เสียงหัวเราะและคำอวยพรดังก้องไปทั่วงานแต่ง ทุกคนต่างเปี่ยมสุข ครอบครัวขยายใหญ่ขึ้น และสายใยความรักก็แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ในห้องหอ...
"พราวฟ้า... พี่ช่วยถอดชุดให้ไหม? ชุดเจ้าสาวดูพะรุงพะรังจัง" ณัฐพลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
พราวฟ้าหันมามองเขาพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ "พี่พล... ฟ้ารู้นะว่าพี่คิดอะไรอยู่"
"เปล่าเลย พี่อยากช่วยเจ้าสาวของพี่จริงๆ" ณัฐพลพูดพลางทำหน้าออดอ้อน
พราวฟ้าแกล้งยิ้มมุมปากก่อนแหย่กลับ
"ไม่จริงหรอก"
"โธ่... คนแค่อยากช่วยจริง ๆ" เขาทำหน้าตาเว้าวอน
พราวฟ้าหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจ
"อะ... ก็ได้ค่ะ" แล้วหันหลังให้เขาปลดซิปอย่างว่าง่าย
ณัฐพลไม่รอช้า มือของเขาค่อยๆ รูดซิปลงอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นแผ่นหลังขาวเนียนของหญิงสาวที่เขารัก ดวงตาของเขาฉายแววอิ่มเอมอย่างที่สุด ก่อนจะก้มลงจูบเบา ๆ ที่หัวไหล่เธอผู้เป็นที่รัก
"พี่พล..." พราวฟ้าเรียกชื่อเขาเสียงแผ่ว ใบหน้าเริ่มขึ้นสีด้วยความเขินอาย
ณัฐพลจับไหล่เธอให้หันกลับมาสบตาเขา
"จากนี้ไป ฟ้าจะไม่ใช่แค่แฟน หรือแค่เจ้าสาวของพี่... แต่ฟ้าจะเป็นเมียพี่แล้วนะ"
ทันทีที่พูดจบ ชุดเจ้าสาวที่ปลดซิปก็ลื่นหลุดลงไปกองที่เอว พราวฟ้าตกใจเล็กน้อย รีบยกมือขึ้นปิดหน้าอกอย่างรวดเร็ว
"อุ๊ย!"
ณัฐพลมองเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ก่อนยิ้มมุมปาก "ไม่เป็นไรหรอก ประเดี๋ยวทุกสิ่งที่เห็นก็เป็นของพี่อยู่ดี"
"พี่พลนี่ก็...!" พราวฟ้าทำหน้ามุ่ย ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้แล้วกระซิบข้างหูเขา
"แต่ฟ้ามีอะไรจะบอก..."
"อะไรครับ?"
พราวฟ้าแอบหัวเราะเบาๆ แล้วกระซิบใกล้ๆ
"ประจำเดือนฟ้ามาค่ะ"
ณัฐพลชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเจื่อนๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
แต่แทนที่จะถอย เขากลับโน้มหน้าลงมากระซิบข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
"ปัญหาอยู่ตรงไหน... เดี๋ยวพี่พิสูจน์เอง ฟ้าโกหกพี่ไม่ได้หรอกนะ"
พูดจบ เขาไม่รอช้า ดันตัวเธอลงบนเตียงแล้วคร่อมร่างของเธอไว้ พราวฟ้าตกใจเบาๆ รีบร้องเรียก
"พี่พล! พี่พล เดี๋ยวก่อน—!"
แต่ไม่ทันที่เธอจะพูดจบ ริมฝีปากของเขาก็แนบลงมาอย่างแผ่วเบา จูบของเขาละเมียดละไม นุ่มนวล และเต็มไปด้วยความรัก มือของเขาค่อยๆ ไล้ไปตามเรือนร่างของเธอด้วยสัมผัสแสนอบอุ่น
พราวฟ้าหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำกับสัมผัสของเขา เสียงครางแผ่วเบาหลุดออกจากริมฝีปากเธอโดยไม่รู้ตัว
ณัฐพลกระซิบข้างหูเธออีกครั้ง "คืนนี้เป็นของพี่นะ...ที่รัก?"
พราวฟ้าไม่ตอบ แต่กลับเป็นฝ่ายจูบตอบแทนคำพูดทุกอย่างของเธอ...
ค่ำคืนนี้ดำเนินไปอย่างเนิ่นนาน... จากสัมผัสแรกที่แผ่วเบา กลายเป็นความเร่าร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วห้องหอ บทเพลงแห่งรักถูกขับขานตลอดคืน ไม่มีใครยอมให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปง่ายๆ
เสียงหัวเราะ เสียงกระซิบ เสียงลมหายใจแห่งความสุขยังคงดังแผ่วเบาจนดึกดื่น... กว่าที่ทั้งสองจะได้พักผ่อนก็เกือบรุ่งสาง
แสงแรกของวันใหม่สาดส่องผ่านม่านบางๆ เข้ามาในห้อง พร้อมกับร่างสองร่างที่ซุกกายแนบชิดกันใต้ผ้าห่ม
พราวฟ้าซบลงบนอกแกร่งของณัฐพล พลางพึมพำเสียงแผ่ว
"พี่พล... ฟ้าง่วงแล้วนะ"
ณัฐพลหัวเราะเบาๆ ลูบเส้นผมเธอแผ่วเบา
"พี่ก็เพิ่งรู้ว่าฟ้ามีขีดจำกัดเหมือนกัน"
"คนบ้า... แค่นี้ก็จะไม่ไหวแล้ว" พราวฟ้าตอบเสียงงัวเงีย
ณัฐพลกระชับอ้อมแขนกอดเธอแน่นขึ้นก่อนกระซิบที่ข้างหู
"ไม่เป็นไร... ยังมีอีกหลายคืนให้เราใช้เวลาด้วยกัน"
เสียงหัวเราะแผ่วเบาของทั้งสองคนดังขึ้น ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลง... เหลือเพียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของคู่บ่าวสาวที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตคู่ร่วมกัน
แสงแดดยามเช้าส่องผ่านผ้าม่านบางๆ เข้ามาในห้องอาหาร กลิ่นหอมของข้าวต้มกุ้งลอยอบอวลไปทั้วห้อง
"อรุณสวัสดิ์ทุกคน" เสียงทุ้มของอาคมดังขึ้น พลางมองดูลูกๆ ที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
"อรุณสวัสดิ์ค่ะพ่อ" ณัฐชาเอ่ยทักทาย ขณะที่หัสนัยน์เดินเคียงข้างเธอ มือหนึ่งอุ้มลูกสาวตัวน้อยแนบอก
"ว่าไงจ๊ะหลานย่า กินนมจังเลยลูก มาให้ย่าอุ้มหน่อย"
รพียิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นมือรับหลานตัวน้อยไปอุ้มแนบอก พลางโยกเบาๆ อย่างเอ็นดู
"ลูกๆ ไปทานข้าวกันเถอะ วันนี้แม่ทำข้าวต้มกุ้ง ขนมปังปิ้ง ไข่ดาว ไส้กรอก อาหารเช้าน่าทานมากๆ เลย"
"ขอบคุณครับแม่" หัสนัยน์กล่าวเสียงนุ่ม
"แล้วพราวฟ้ากับณัฐพลล่ะ ตื่นกันรึยัง?" อาคมหันไปถาม พลางเหลือบมองขึ้นไปยังบันได
"ตื่นแล้วครับ" เสียงณัฐพลดังขึ้น ก่อนที่เขาจะเดินลงมาพร้อมโอบเอวพราวฟ้าแนบกาย ใบหน้าทั้งสองเปื้อนรอยยิ้ม
"มาทันอาหารเช้าพอดีเลยนะ น้องนึกว่าเมื่อคืนนี้พี่จะหนักไปหน่อย
" ณัฐชาหยอกล้อ พูดไปก็กลั้นหัวเราะไป
"ณัฐชา! เดี๋ยวนี้ปากร้ายนะ หัสนัยน์จัดการหน่อยสิ" ณัฐพลตอบกลับทันที
เสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วโต๊ะอาหาร ทุกคนเพลิดเพลินกับบรรยากาศอบอุ่นของครอบครัว
"พ่อจะได้หลานเพิ่มอีกคนเร็วๆ นี้ใช่ไหม?" อาคมพูดยิ้มๆ อย่างมีเลศนัย
"ผมก็พยายามอยู่ทุกคืนครับพ่อ แต่ก็ต้องถามเมียผมก่อนว่าไหวไหม"
ณัฐพลตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พราวฟ้าหน้าแดงก่ำ รีบยกมือทุบแขนสามีเบาๆ ด้วยความเขินอาย
"เบาๆ กับน้องฉันด้วยนะณัฐพล" หัสนัยน์อดแซวไม่ได้
"แล้วนายก็เบากับน้องฉันด้วยเหมือนกันนะ" ณัฐพลสวนกลับทันที
"พอแล้วๆ เลิกแซวกันได้แล้ว มากินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวจะเย็นหมด" รพีเอ่ยขึ้น
เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะดังคลอไปกับบรรยากาศแสนสุข ทุกคนรับประทานมื้อเช้าด้วยกัน ทุกคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม ความรักและความผูกพันทำให้บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความสุข
พวกเขารู้ดีว่าไม่ว่าจะมีเรื่องราวใดผ่านเข้ามา สายใยของครอบครัวจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เช้าวันนี้จึงจบลงด้วยเสียงหัวเราะ และความสุขที่อบอวลอยู่ในหัวใจของทุกคน...
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
"นัยน์ ลูกไม่ต้องห่วงแม่กับน้องนะ เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน..."เสียงศรีสุภาสั่นเครือ เธอกุมมือลูกชายแน่น น้ำตาคลอเต็มดวงตา แต่ใจรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการที่สูญเสียสามีไปอย่างกะทันหัน ไม่มีใครรู้ได้ว่าสามีของเธอจะตัดสินใจเลือกจบชีวิตตัวเองแบบนี้“ครับแม่” เราจะผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ ผมสัญญา....มันจะต้องได้ชดใช้ให้กับครอบครัวของเราอย่างสาสม"หัสนัยน์เขาต้องรับหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัวทันทีหลังจากพ่อของเขาจากไป ทิ้งหนี้สินกว่า 20 ล้านบาทให้เขาและครอบครัวต้องเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้ายหัสนัยน์หนุ่มวัย 29 ปี สูงโปร่งด้วยความสูงประมาณ 180-190 เซนติเมตร ผิวขาวเนียน รูปร่างสมาร์ต ใบหน้าหล่อคม จมูกโด่งสันคมชัดเหมือนรูปสลัก มีเคราบาง ๆ แลดูมีเสน่ห์ บวกกับมีบุคลิกที่ดูมั่นใจ ดีกรีการศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศด้วยความเก่งและมุ่งมั่นของเขาจึงเป็นที่จับตามองในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ความรู้ที่เขาได้เรียนรู้มาผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และความกล้าหาญ ทำให้เขากล้าตัดสินใจ ใช้เงินก้อนสุดท้ายตั้งบริษัทเล็กๆ เป็นของตัวเอง แม้จะเป็นการเริ่มต้นที่เสี่ยง แต่ในเวลาเพียง
บ้านณัฐชา...ในบ้านหลังใหญ่สองชั้นที่แสนเงียบสงบ ห้องรับแขกกว้างขวางอบอุ่นด้วยแสงแดดอ่อนที่สาดลอดหน้าต่างเข้ามา อาคม ชายวัย 60 ปีนั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดมือหนึ่งถือแก้วกาแฟอุ่น ๆ อีกมือวางอยู่บนเข่าพลางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างดวงตาเขาเปี่ยมไปด้วยความคิดคำนึง ย้อนนึกถึงวันวานและเพื่อนรักผู้ล่วงลับ ความทรงจำยังชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน เขาจำได้ทุกคำพูด ทุกเสียงหัวเราะ และทุกช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันกับเพื่อนคนนั้นเพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ จนถึงวันนี้ก็ครบรอบสามปีพอดีที่เพื่อนรักของเขาลาจากโลกนี้ไปขณะที่อาคมกำลังจมอยู่ในห้วงอดีตหัวใจของเขาเต็มไปด้วยทั้งความคิดถึงและความว่างเปล่า เสียงเรียกเบา ๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ขัดจังหวะความคิดของเขา“พ่อค่ะ...” ณัฐชา...หญิงสาวในวัย 25 กว่า ๆ หน้ารูปไข่ได้รูป ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงตากลมโตแฝงเสน่ห์ดึงดูด ราวกับมีแสงดาวสะท้อนในแววตา จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่ม มีสีชมพูเหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้มผมยาวสลวยเงางาม ดุจเส้นไหม เธอมีรูปร่างอรชร เป็นที่ฮือฮาของหนุ่มๆ เธอเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง และกำลังจะเข้าไปเรียนรู้งานในบริษัทใหม่ของ
หัสนัยน์เริ่มวางแผนอย่างแยบยลเพื่อเข้าใกล้ณัฐชา เขาตระหนักว่าการทำลายนายนิคมไม่ใช่แค่เรื่องเงินทองเท่านั้น แต่เป็นการทลายทุกสิ่งที่เขาหวงแหน นี่สิที่จะทำให้นายนิคมทรมารเหมือนตกนรกที่จอดรถคอนโดณัฐชาสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านช่องตึกในยามค่ำคืน สร้างบรรยากาศอันน่าวังเวง หัสนัยน์ยืนพิงรถยนต์สีดำสนิทที่จอดนิ่งอยู่ในลานจอดรถของคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านในเมืองเขายืนที่นี่มาสักพักใหญ่ ๆ ในใจเขาแฝงไปด้วยไฟแค้นที่ไม่อาจดับได้ แสงไฟส่องกระทบไปยังตัวเขา เผยให้เห็นสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาเย็นชา ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นไม่นานนัก รถยนต์อีกคันแล่นเข้ามาก่อนจะจอดที่ตำแหน่งใกล้เคียงเอี๊ยด!เสียงประตูรถถูกเปิดดัง แอ๊ด เผยให้เห็นเงาหญิงสาว รองเท้าส้นสูงของเธอสัมผัสพื้นปูน ดังกึก.. กึก.. ก่อนที่ประตูจะถูกปิดดัง ปัง!เธอหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ท่ามกลางความเงียบงัน หัสนัยน์ขยับตัวไปข้างหน้า เปิดประตูรถของเขา และฉุดเธอขึ้นไปอย่างรวดเร็ว“ช่วยด้วย”“คุณจะทำอะไร! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงของเธอสั่นเครือด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เธอพยายามดิ้นรนสุดกำลัง เพื่อหลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่าหวาดกลัว แ
เวลานี้ดึกมากแล้ว ณัฐชาสูญเสียพลังงานจากการทำงานทั้งวัน เธอหิวและง่วงมากจนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหลับไปในทุกๆ นาทีร่างกายเหนื่อยล้า แต่ความคิดถึงอาหารยังคงรบกวนสมอง เธอทานขนมชิ้นเดียวตอนกลางวัน และมันไม่อาจเติมเต็มความหิวได้เลย"ฉันหิวมาก...เราหาอะไรทานก่อนได้ไหมคะ" เสียงของเธอดังขึ้นอย่างเบาๆ แต่ในนั้นก็มีความออดอ้อนเล็กน้อย เหมือนจะคอยทวงความเอาใจใส่จากเขาแต่คำพูดของเธอก็หายไปในอากาศที่เย็นและเงียบสงบ เขายังคงเงียบ ไม่ตอบอะไรเขาเอื้อมมือไปข้างหลังเบาะรถหยิบขนมปังออกมาจากกระเป๋า แล้วมันก็ถูกโยนลงบนตักของเธออย่างไม่แยแส"เอ้านี่...กินสะ;" เสียงเขาห้วน ๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คำสั่งที่มาจากความโกรธ หรือความไม่พอใจจริงๆ มากนัก เธอมองขนมปังที่อยู่บนตัก รู้สึกเหมือนมันเป็นสัญลักษณ์ของความปรานีที่เขามอบให้แม้คำพูดของเขาจะไม่สุภาพนัก แต่มันก็ช่วยให้เธอรู้สึกว่าความใจร้ายของเขาไม่ได้ครอบงำเขาไปทั้งหมดเธอยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยน มันเป็นรอยยิ้มที่สะท้อนความรู้สึกขอบคุณที่เธอไม่อยากให้เขาเห็น แต่เธอก็พูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยประชด"ขอบคุณค่ะ... ที่ยังปรานีฉัน"แต่ทันทีที่พูดจบ เขา
บ้านไม้กลางป่าภาคเหนือเวลา 02.30 น. รถหยุดนิ่งที่ลานกว้างของบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่ง ล้อมรอบด้วยความมืดสนิท มีเพียงเสียงจิ้งหรีดและลมพัดใบไม้ที่ให้บรรยากาศชวนสะพรึงหัสนัยน์เปิดประตูรถก่อนจะเดินอ้อมมาด้านข้างเพื่อเปิดประตูรถและปลุกณัฐชาให้ตื่นทันที เสียงของเขาทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที"ลงมา" เขาสั่งเสียงเรียบ แต่หนักแน่นเธอลังเล...แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก ขณะก้าวลงจากรถ ความหนาวเย็นของลมกลางคืนทำให้เธอตัวสั่น มือของเขาจับต้นแขนเธอไว้แน่นเหมือนจะย้ำว่าเธอหนีไม่พ้นเนื้อมือเขาแน่นอนเขาลากเธอไปยังประตูบ้านพัก แสงไฟสลัวจากดวงไฟเก่าๆ ที่ติดอยู่หน้าบ้านเผยให้เห็นบ้านหลังใหญ่ที่เหมือนถูกทอดทิ้งมานาน แต่บ้านเหมือนพึ่งผ่านการทำความสะอาด พื้นไม้ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปข้างใน พาเธอเข้าไปในห้องนอนในห้องที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหอบหายใจของณัฐชาที่สั่นไหว ร่างกายของเธอแทบไร้เรี่ยวแรงหลังจากที่เขาผลักเธออย่างแรง เธอเซถลาไปข้างหน้าร่างบอบบางแทบจะปลิวตามแรงเหวี่ยง หากไม่ใช่เพราะเตียงนุ่ม ๆ คอยรับไว้ เธอคงลงไปกองกับพื้นอย่างน่าสังเวชดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้าง สั่นสะท้านด้
“เลิกร้องไห้สักที... รำคาญ” เขาพูดลมหายใจอุ่นร้อนรดต้นคอ ของเธอ เธอมองค้อนไปที่เขา และดึงผ้าห่มมาพันร่างกายเพื่อปิดบังเรือนร่าง แล้วลุกขึ้นทันที“โอ๊ย!” เธอเกือบล้มลงเพราะรู้สึกเจ็บหน่วงท้องน้อยอย่างรุนแรง ทำให้แทบจะทรงตัวไม่ได้ เขาตกใจมากที่เห็นเธอมีอาการแบบนี้“ณัฐชา... เป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหน” เขาเผลอเรียกชื่อเธอด้วยความห่วงใย หญิงสาวทำหน้าบึ้งตึงใส่เขาเขารู้สึกเขิน เลยทำหน้านิ่งเข้มขรึม เบี่ยงเบนสายตาไปอื่น“เรื่องของฉัน...คุณไม่ต้องยุ่ง” เขารู้สึกได้ว่าที่เธอเป็นแบบนี้ เพราะการกระทำที่รุนแรงของเขา“ไปอาบน้ำไป...จะได้กินข้าวกินยา” เสียงห้วนของเขาดังขึ้นเหมือนคำสั่งณัฐชาได้แต่เบ้ปากน้อย ๆ ด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเลี่ยงไม่ได้เขายิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ขณะมองกิริยาน่ารักแต่ดื้อรั้นของหญิงสาว แต่ลึก ๆ ในใจยังคงมีความขัดแย้งระหว่างความแค้นและความรู้สึกอื่นที่ไม่อาจยอมรับได้“ยิ้มทำไมวะ เจ้านัยน์... นั่นมันลูกศัตรูนะเว้ย” เขาพึมพำกับตัวเองในครัว...ณัฐชามองสำรวจภายในตู้เย็น เธอแทบไม่เคยเข้าครัวทำอาหารมาก่อนเลยในชีวิต เธอหยิบขนมปัง แฮม และน้ำสลัด จากตู้เย็นออก
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
เช้าตรู่วันใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนโยน หัสนัยน์ถือถุงขนมเดินเข้ามาในบ้านของณัฐชา เขาพยายามรวบรวมความกล้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า วันนี้แม่ทำขนมมาให้ ผมเลยเอามาฝากครับ”เขากล่าวเสียงนุ่มนวลพลางยื่นถุงขนมไปวางบนโต๊ะ รพีหันมายิ้มรับด้วยท่าทางใจดี“ของโปรดณัฐชาเลย ขอบคุณมากนะ ฝากขอบคุณแม่เราด้วยล่ะนัยน์”“ได้เลยครับ”หัสนัยน์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาก็ยังมองหาณัฐชาอย่างลุ้นๆ“แล้วณัฐชาอยู่ไหนเหรอครับ?”อาคม ผู้เป็นพ่อของณัฐชา เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ พลางพยักหน้าไปทางสวนหลังบ้าน“น่าจะอยู่ที่สวนข้างบ้านนะ”“ขอบคุณครับคุณลุง”หัสนัยน์โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนหยิบขนมที่ถูกจัดใส่จานแล้วเดินตรงไปยังสวนทันทีที่สวนข้างบ้านในสวนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ณัฐชากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เธอเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของหัสนัยน์ดังใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วทันที“แม่พี่ทำขนมที่ณัฐชาชอบมาให้ ลองทานหน่อยนะ”เสียงของหัสนัยน์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาพยายามยื่นจานขนมไปตรงหน้าเธอ ณัฐชาลุกข
คอนโดณัฐชาเสียงเบรกดังเอี๊ยดทำลายความเงียบในลานจอดรถ หัสนัยน์รีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ รัวนิ้วกดหมายเลขชั้นของณัฐชาอย่างไม่รอช้า ในใจเขาสับสนวุ่นวาย คำพูดมากมายผุดขึ้นแต่ไม่มีคำไหนที่รู้สึกว่าเหมาะสมจะเอ่ยออกไปเมื่อพบเธอเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของณัฐชา เขายกมือกดกริ่ง เสียงเรียกดังสะท้อนอยู่ในโถงเงียบสงัด เขายืนรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หัสนัยน์ถอนหายใจ รู้สึกถึงน้ำหนักของความเงียบที่กดทับหัวใจ เขาพึมพำกับตัวเองว่าเธออาจโกรธเขาและไม่อยากพบหน้า แต่เขาไม่อาจรอได้นานไปกว่านี้ภายในห้อง เสียงกริ่งดังมาถึงในขณะที่ณัฐชากำลังอาบน้ำอยู่ เธอไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าคนที่มาอาจเป็นพ่อแม่ ซึ่งมีคีย์การ์ดเปิดห้องอยู่แล้ว เธอค่อยๆ ปล่อยให้น้ำอุ่นชะล้างความเหนื่อยล้าของวัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเขาหัสนัยน์มองประตูที่เงียบงัน ก่อนหยิบคีย์การ์ดจากกระเป๋าออกมา เขามองมันชั่วครู่ด้วยความลังเล ก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องยังคงอบอุ่นและมีกลิ่นหอมจางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เขากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้
บ้านณัฐชา…บรรยากาศภายในบ้านของณัฐชานั้นอบอุ่นและน่าอยู่ เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบง่ายเข้ากับผนังสีครีม สายลมเย็นจากหน้าต่างที่เปิดรับวิวสวน พัดพากลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่น ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่รู้สึกผ่อนคลาย“สวัสดีจ้ะ รพี อาคม ไม่ได้เจอกันนานพวกเธอเลยนะ” ศรีสุภาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มที่แม้จะพยายามปกปิดความกังวลไว้ แต่ก็มองออกได้จากดวงตาที่ฉายแววร้อนใจ หัสนัยน์และพราวฟ้ารีบยกมือไหว้ทั้งสองตามมารยาท“สบายดีจ้ะ... เข้ามาๆ” รพีตอบกลับอย่างใจเย็น แต่แววตาของเขาไม่ได้หลุดพ้นจากความครุ่นคิดขณะผายมือเชิญแขกเข้ามานั่ง เมื่อทุกคนประจำที่นั่ง ศรีสุภาก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความหนักแน่น“คือฉันจะมาขอโทษทั้งสองที่ลูกชายของฉันทำผิดต่อลูกสาวของพวกเธอ พวกเราพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง พวกเรารู้สึกผิดจริงๆ” คำพูดของเธอเรียบง่ายแต่กดดัน หัสนัยน์นั่งตัวตรง ขณะที่พราวฟ้ากุมมือแม่แน่นเพื่อให้กำลังใจบรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด อาคมที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่ก่อนหน้านี้โน้มตัวมาข้างหน้า ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาจ้องมองไปยังหัสนัยน์ราวกับค้นหาคำตอ
เช้าวันนั้นณัฐชาตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าที่ยังเกาะกุมร่างกาย เธอมองไปรอบห้อง ไม่เห็นวี่แววของหัสนัยน์ ใจคิดว่าเขาคงอยู่ในห้องหนังสือหรือสวนหลังบ้าน เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่าย เมื่อเดินลงมาถึงห้องครัว สายตาของเธอสะดุดกับอาหารเช้าบนโต๊ะ มีโน้ตเล็กๆ วางอยู่ใกล้ๆ“ผมเตรียมอาหารไว้ให้...เดี๋ยวผมกลับมา ไม่ต้องกลัวนะ” ณัฐชาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบ้ปากทันที“คิดจะทำความดีจะทำดีไถ่โทษเหรอ? ...ไม่มีทาง” เธอพึมพำ แต่ลึกๆ ก็แอบคิดว่าเขาอาจเริ่มใจอ่อนลงกับความแค้นที่เขามี เพราะช่วงนี้เขาดูไม่ได้โหดร้ายมาก เว้นแต่ในบางเรื่องที่เขาเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพความทรงจำในวันแรกที่เธอมาที่นี่ผุดขึ้นในหัว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีวิตของเธอช่างน่าเศร้า รักเขา แต่เขากลับมองเธอเหมือนเป็นเพียงที่ระบายอารมณ์ ณัฐชาไม่รู้ว่าควรจะรักหรือเกลียดเขาดี ความสับสนถาโถมเข้ามาในหัวใจจนเธอรู้สึกอึดอัด“ตราบใดที่คุณยังคงมีความแค้น เราทั้งสองก็คงเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้” เธอพึมพำเบาๆ แล้วมองออกไปยังสวนหลังบ
ท่ามกลางป่าลึกในยามค่ำคืน เงาไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมราวกับจะกอดรัดทุกสรรพสิ่ง ความหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบสงบ เสียงของเหล่านกกลางคืนที่ส่งเสียงร้องประสานกับเสียงจิ้งหรีดและแมลงป่าดังรอบทิศทาง ในบ้านหลังนี้ มีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวอาศัยอยู่กันเพียงสองคน“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” หัสนัยถามณัฐชาด้วยน้ำเสียงห่วงใย“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ฉันจะอยู่จองเวรจองกรรมกับคุณไปอีกนาน” เธอจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น“โอเค...เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้ว” เขายิ้มที่มุมปาก“งั้นคืนนี้ก็บำเรอผมต่อแล้วกัน…คุณป่วยตั้งสองวัน ผม…อยาก...” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีความนัย เธอขมวดคิ้ว กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มของเขามีความหมายริมฝีปากของเธอเม้มแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่จะเก็บอารมณ์ไว้ลึกสุดใจ ดวงตาจับจ้องเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะเมินหน้าหนีอย่างไม่แยแส“ฉันจะไปอาบน้ำ หลบ!” เธอมองค้อน ผลักเขาออกจากเตียงทันที“อาบน้ำเสร็จรีบมากินข้าวกินยาด้วย รีบหายเร็วๆ ผมใจจะขาดอยู่แล้ว” หัสนัยพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท“ไอ้บ้าเอ๊ย…ฉันเกลีย