หัสนัยน์เริ่มวางแผนอย่างแยบยลเพื่อเข้าใกล้ณัฐชา เขาตระหนักว่าการทำลายนายนิคมไม่ใช่แค่เรื่องเงินทองเท่านั้น แต่เป็นการทลายทุกสิ่งที่เขาหวงแหน นี่สิที่จะทำให้นายนิคมทรมารเหมือนตกนรก
ที่จอดรถคอนโดณัฐชา
สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านช่องตึกในยามค่ำคืน สร้างบรรยากาศอันน่าวังเวง หัสนัยน์ยืนพิงรถยนต์สีดำสนิทที่จอดนิ่งอยู่ในลานจอดรถของคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านในเมือง
เขายืนที่นี่มาสักพักใหญ่ ๆ ในใจเขาแฝงไปด้วยไฟแค้นที่ไม่อาจดับได้ แสงไฟส่องกระทบไปยังตัวเขา เผยให้เห็นสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาเย็นชา ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ไม่นานนัก รถยนต์อีกคันแล่นเข้ามาก่อนจะจอดที่ตำแหน่งใกล้เคียง
เอี๊ยด!
เสียงประตูรถถูกเปิดดัง แอ๊ด เผยให้เห็นเงาหญิงสาว รองเท้าส้นสูงของเธอสัมผัสพื้นปูน ดังกึก.. กึก.. ก่อนที่ประตูจะถูกปิดดัง ปัง!
เธอหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ท่ามกลางความเงียบงัน หัสนัยน์ขยับตัวไปข้างหน้า เปิดประตูรถของเขา และฉุดเธอขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
“ช่วยด้วย”
“คุณจะทำอะไร! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
เสียงของเธอสั่นเครือด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เธอพยายามดิ้นรนสุดกำลัง เพื่อหลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่าหวาดกลัว แต่แรงของเขาแข็งแรงกว่าที่เธอจะต้านทานได้
เขาไม่ตอบคำถาม สีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก มือของเขากดปุ่มล็อกประตูรถทันที
เสียงคลิกของระบบล็อกดังก้องในบรรยากาศเงียบงัน ยิ่งทำให้ใจเธอเต้นรัว เขาหันหลังเดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับอย่างรวดเร็ว
ร่างสูงสง่าของเขาดูมุ่งมั่นแต่ชวนให้รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา
เธอรีบมองหาวิธีหนี แต่ทุกอย่างเหมือนถูกวางแผนมาอย่างแนบเนียน เธอได้แต่นั่งตัวสั่นและหวังให้มีปาฏิหาริย์ช่วยเหลือในสถานการณ์นี้…
“เงียบซะ ถ้าไม่อยากตาย”
เสียงต่ำเย็นชาดังก้องในบรรยากาศอันเงียบงัน เสียงนั้นคล้ายมีพลังอำนาจบางอย่างที่บีบบังคับให้เธอหยุดการดิ้นรนในทันที
คำพูดที่เปล่งออกมาเหมือนคำสั่งจากผู้ไร้ความปรานี
ดวงตาของเธอสั่นระริกด้วยความกลัว แต่ในขณะเดียวกัน หัวใจของเธอกลับเต้นแรงขึ้น ราวกับได้ยินเสียงที่เธอคุ้นเคย เสียงที่เธอไม่เคยลืม ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด
เธอกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก ใจหนึ่งอยากหนี แต่ใจอีกส่วนหนึ่งกลับเต็มไปด้วยคำถามและความสับสน ดวงตาของเธอเหลือบมองใบหน้าของเขา
"พี่นัยน์... พี่นัยน์ใช่ไหมคะ?"
เสียงของเธอสั่นเครือ ราวกับไม่มั่นใจในสิ่งที่สายตาตัวเองมองเห็น ใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่ดวงตาคู่นั้น... ดวงตาที่เคยอบอุ่น บัดนี้กลับเย็นชาและเต็มไปด้วยความเกลียดชังเสียแล้ว
เขานิ่ง จ้องเธอด้วยสายตาเฉยชา ก่อนแสยะยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ยิ้มนั้นไม่ได้มีความอ่อนโยนใดๆ หลงเหลืออยู่ มันเหมือนคมมีดที่เฉือนลึกลงไปในหัวใจของเธอ
"พี่? เราสนิทกันเมื่อไหร่กัน... ระหว่างเรา มีเพียงความแค้นเท่านั้น"
เสียงของเขาเย็นยะเยือก ราวกับน้ำแข็งที่แทงทะลุหัวใจของเธอ สายตาของเขาคล้ายกับกำแพงเหล็กที่ไม่มีช่องว่างให้เธอผ่านเข้าไปได้อีก พี่หัสนัยน์ที่เธอเคยรู้จัด ไม่มีอีกต่อไปแล้ว
เธอกัดริมฝีปากแน่น น้ำตาเอ่อแต่ยังพยายามฝืนยิ้ม
"คุณหายไปไหนมาค่ะ... หลายปีมานี้ หนูคิดถึงคุณ"
คำพูดนั้นหลุดออกมาด้วยเสียงที่แทบกระซิบ แต่เขาไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะขยับตัว ราวกับคำพูดของเธอเป็นเพียงสายลมที่เขาไม่แม้แต่จะใส่ใจ
"คิดถึง?"
เขาหัวเราะเยาะเบาๆ เสียงหัวเราะนั้นเหมือนดาบที่ฟันลงกลางใจของเธอ
"เธอคิดถึงคนที่ชีวิตพังเพราะพ่อของเธออย่างนั้นเหรอ?"
เธอสะอึก น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาอาบแก้ม
เขาขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าและสายตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดปนความเกลียด
เธอนั่งตัวสั่นราวกับถูกตรึงอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เสียงหัวใจของเธอเต้นช้าลง
ทุกคำพูดของเขาเป็นเหมือนค้อนที่ทุบลงบนหัวใจที่แหลกสลายอยู่แล้ว
"คุณจะพาฉันไปไหน?" เธอถาม พยายามควบคุมความกลัว
"ไม่ต้องห่วง... ฉันยังไม่พาเธอไปตายตอนนี้หรอก สำหรับเธอและครอบครัวเธอ ตายมันง่ายเกินไป"
คำพูดของเขาเย็นยะเยือกยิ่งกว่าความมืดรอบตัว
"พ่อของเธอทำให้พ่อของฉันต้องตาย" หัสนัยน์เอ่ยเสียงเข้ม ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองไปข้างหน้า
เธอเม้มปากแน่น ความรู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดแล่นเข้ามาในหัวใจ เธอพูดออกมาเสียงแผ่วเบา
"ฉันไม่เคยอยากให้มันเกิดขึ้น... แต่พี่เองก็ไม่ได้รู้ความจริงทั้งหมด…ทำไมถึงเกลียดพวกเรา”
"ความจริงอะไร? ความจริงที่ว่าพ่อเธอมันเลวและขี้โกงน่ะเหรอ?"
หัสนัยน์ตัดบท เสียงสั่นเครือ ดวงตาเต็มไปด้วยความขมขื่น ความแค้นที่เขาเก็บงำมานานปะทุขึ้นมาจนไม่อาจยับยั้งได้
เพียะ! เสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังสะท้อนในความเงียบของรถ หัสนัยน์ชะงักไปครู่หนึ่ง ความเจ็บแสบแล่นผ่านผิวหน้า
แต่สิ่งที่ปวดร้าวยิ่งกว่าคือสายตาของณัฐชาที่จ้องเขาด้วยความโกรธและผิดหวัง
"พี่ไม่มีสิทธิ์พูดแบบนี้!"
เธอตะโกน เสียงสะอื้นแทรกความโกรธเกรี้ยวในน้ำเสียง
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ ในเมื่อคนที่พ่อตายคือพ่อฉัน”
เขาตะคอกใส่แล้วกระชากแขนเธออย่างแรงก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ ดวงตาเย็นชาคู่นั้นจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอราวกับจะทะลุผ่านจิตวิญญาณของเธอ
เขาก็จูบลงที่ริมฝีปากของเธอโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว มันไม่ใช่จูบที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
หากแต่เป็นจูบที่แฝงไปด้วยความดุดันและความแค้น เธอพยายามผลักเขาออก ดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่แรงของเขากลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเขาผละออก ใบหน้าของเขายังคงเฉยชาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่เธอหอบหายใจอย่างหนัก
มือยกขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองราวกับไม่อยากเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริง
เธอปล่อยโฮออกมาราวกับคนที่กำลังหมดสิ้นความหวัง น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างหยุดไม่ได้ ริมฝีปากของเธอสั่นระริก
ดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถามและความหวาดระแวงจ้องเขาแน่นิ่ง ราวกับเธอพยายามค้นหาคำตอบจากผู้ชายตรงหน้า
แต่เขาเพียงแค่ยิ้มเย็น ๆ เหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากความเสียใจของเธอ
เขาขยับตัวกลับไปนั่งในที่คนขับ ท่าทางสบาย ๆ ของเขายิ่งทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาของเขา
“คุณต้องการอะไรจากฉัน!”
เธอตะโกนถาม น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสั่นเครือ
เขาหันมามองเธออีกครั้ง สายตานิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยความเย็นชา ก่อนที่เสียงแผ่วเบา แต่เยียบเย็นจะหลุดออกจากริมฝีปากของเขา
“เดี๋ยวเธอจะรู้เอง...ในไม่ช้า”
สายตาของหัสนัยน์ทอดมองเธอที่สะอื้นไห้ ดวงตาแดงก่ำจากน้ำตาที่หลั่งริน
ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนทำให้หัวใจของเขาสะท้านเล็กน้อย
ความสงสารผุดขึ้นมาในใจเขาเพียงแวบเดียว แต่เขาก็รีบเตือนตัวเองว่า อย่าใจอ่อนเด็ดขาด
เขาหันกลับไปมองถนนข้างหน้า เริ่มสตาร์ตรถอย่างนิ่งเฉย ในขณะที่เธอนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยหัวใจที่แตกสลาย
และคำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบ
ร่างบางของเธอสั่นเทิ้ม ราวกับถูกลมหนาวในฤดูเหมันต์พัดผ่านจนเกือบล้มลง แม้จะนั่งอยู่ในรถที่ปิดมิดชิด
ภายในใจของเธอเต็มไปด้วยความกลัวและความสับสน ไม่รู้เลยว่าชีวิตของเธอกำลังจะพุ่งไปสู่จุดหมายปลายทางใด...
และเธอจะรอดจากเงื้อมมือของเขาได้หรือไม่
รถยนต์สีดำเคลื่อนตัวออกไปในยามค่ำคืนอย่างเงียบงัน เสียงล้อบดกับถนนเปียกชื้นจากฝนที่เพิ่งหยุดตก
เสียงเครื่องยนต์ที่ต่ำลึกแทบจะเป็นเพียงเสียงเดียวในความมืด
ภายในรถ กลิ่นของความโกรธและความเกลียดชังลอยอบอวล เขานั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัย
สายตาเหม่อมองถนนที่ทอดยาวข้างหน้าเหมือนวางแผนบางอย่างไว้ในใจ
เขายิ้มมุมปาก รอยยิ้มนั้นไม่ได้อบอุ่นหรือเปี่ยมด้วยความหวังแต่กลับเต็มไปด้วยความสะใจอย่างป่าเถื่อน
"พ่อของเธอ... จะต้องรู้ว่าความเจ็บปวดคืออะไร เมื่อทุกสิ่งที่เขารักพังทลายลงตรงหน้า"
เขาพึมพำเสียงต่ำ
เธอที่นั่งนิ่งอยู่ในเบาะข้างๆ ได้ยินคำพูดนั้นชัดเจน น้ำเสียงเย็นชาของเขาเป็นเหมือนมีดที่กรีดลงกลางหัวใจ
เธอหันไปมองชายหนุ่มผู้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากที่เคยรู้จัก
“ฉันขอร้องคุณอย่าทำแบบนี้เลยนะ… ถ้าครอบครัวรู้ว่าฉันหายไป เขาจะตามหาฉัน แล้วแจ้งความจะเป็นเรื่องใหญ่
ฉันไม่อยากให้คุณต้องเดือดร้อน”
“เธอคิดว่าฉันกลัวหรอ? นั่งนิ่งเงียบปากไปเถอะ เก็บแรงไว้ดีกว่า การเดินทางอีกยาวไกล”
เธอเหลือบตามองค้อนเขาทั้งน้ำตา แววตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้นที่ยังหลงเหลือ แม้ว่าภายในจิตใจจะสั่นไหวด้วยความกลัวและความโกรธ
ปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาอยู่เหนือเธอได้ง่าย ๆ แต่ในสถานการณ์แบบนี้
เธอเลือกที่จะเงียบ รู้ดีว่าหากพูดอะไรออกไป อาจจะยิ่งทำให้เขาโกรธ และเธอก็ไม่อยากเสี่ยงไปมากกว่านี้
เธอสูดลมหายใจลึก พยายามตั้งสติ หัวสมองคิดหาทางหนีจากรถให้ได้ เธอเหลือบมองประตูรถที่ถูกล็อกอย่างแน่นหนา
รู้ว่าหากจะออกไป เธอคงต้องรอโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น
แต่แล้ว...ความคิดอีกอย่างก็แทรกเข้ามาในจิตใจของเธอโดยไม่ทันตั้งตัว เธอคิดถึงเขา
ชายที่เธอเคยรอคอยอย่างอดทนมาตลอด3 ปี
แม้สถานการณ์จะเลวร้ายและดูไม่มีทางออก แต่หัวใจลึก ๆ ของเธอกลับอยากจะอยู่ใกล้เขาอีกครั้ง
อยากจะได้ยินเสียงเขา อยากให้เขาเป็นคนเดิมที่เธอเคยรู้จัก
แต่ความสับสนก็เข้ามากลืนกิน เธอถามตัวเองในใจว่า...
นี่เธอยังรักผู้ชายคนนี้อยู่จริง ๆ หรือ? หรือเป็นเพียงความทรงจำที่ยังพันธนาการหัวใจของเธอไว้?
เธอหลับตาแน่น หยดน้ำตาไหลลงอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างกายเธออาจนั่งอยู่นิ่ง ๆ
แต่จิตใจกลับต่อสู้กับตัวเองอย่างหนักหน่วง ทั้งรัก ทั้งเกลียด ทั้งคิดถึง และทั้งหวาดกลัว
เธอแอบเหลือบมองเขาอีกครั้ง ชายผู้ที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ที่เบาะคนขับ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใบหน้าที่เธอเคยหลงใหลดูแข็งกร้าวขึ้น สายตาของเขาที่เคยมองเธอด้วยความอ่อนโยน
บัดนี้กลับกลายเป็นดวงตาที่เธออ่านไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
เวลานี้ดึกมากแล้ว ณัฐชาสูญเสียพลังงานจากการทำงานทั้งวัน เธอหิวและง่วงมากจนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหลับไปในทุกๆ นาทีร่างกายเหนื่อยล้า แต่ความคิดถึงอาหารยังคงรบกวนสมอง เธอทานขนมชิ้นเดียวตอนกลางวัน และมันไม่อาจเติมเต็มความหิวได้เลย"ฉันหิวมาก...เราหาอะไรทานก่อนได้ไหมคะ" เสียงของเธอดังขึ้นอย่างเบาๆ แต่ในนั้นก็มีความออดอ้อนเล็กน้อย เหมือนจะคอยทวงความเอาใจใส่จากเขาแต่คำพูดของเธอก็หายไปในอากาศที่เย็นและเงียบสงบ เขายังคงเงียบ ไม่ตอบอะไรเขาเอื้อมมือไปข้างหลังเบาะรถหยิบขนมปังออกมาจากกระเป๋า แล้วมันก็ถูกโยนลงบนตักของเธออย่างไม่แยแส"เอ้านี่...กินสะ;" เสียงเขาห้วน ๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คำสั่งที่มาจากความโกรธ หรือความไม่พอใจจริงๆ มากนัก เธอมองขนมปังที่อยู่บนตัก รู้สึกเหมือนมันเป็นสัญลักษณ์ของความปรานีที่เขามอบให้แม้คำพูดของเขาจะไม่สุภาพนัก แต่มันก็ช่วยให้เธอรู้สึกว่าความใจร้ายของเขาไม่ได้ครอบงำเขาไปทั้งหมดเธอยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยน มันเป็นรอยยิ้มที่สะท้อนความรู้สึกขอบคุณที่เธอไม่อยากให้เขาเห็น แต่เธอก็พูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยประชด"ขอบคุณค่ะ... ที่ยังปรานีฉัน"แต่ทันทีที่พูดจบ เขา
บ้านไม้กลางป่าภาคเหนือเวลา 02.30 น. รถหยุดนิ่งที่ลานกว้างของบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่ง ล้อมรอบด้วยความมืดสนิท มีเพียงเสียงจิ้งหรีดและลมพัดใบไม้ที่ให้บรรยากาศชวนสะพรึงหัสนัยน์เปิดประตูรถก่อนจะเดินอ้อมมาด้านข้างเพื่อเปิดประตูรถและปลุกณัฐชาให้ตื่นทันที เสียงของเขาทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที"ลงมา" เขาสั่งเสียงเรียบ แต่หนักแน่นเธอลังเล...แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก ขณะก้าวลงจากรถ ความหนาวเย็นของลมกลางคืนทำให้เธอตัวสั่น มือของเขาจับต้นแขนเธอไว้แน่นเหมือนจะย้ำว่าเธอหนีไม่พ้นเนื้อมือเขาแน่นอนเขาลากเธอไปยังประตูบ้านพัก แสงไฟสลัวจากดวงไฟเก่าๆ ที่ติดอยู่หน้าบ้านเผยให้เห็นบ้านหลังใหญ่ที่เหมือนถูกทอดทิ้งมานาน แต่บ้านเหมือนพึ่งผ่านการทำความสะอาด พื้นไม้ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปข้างใน พาเธอเข้าไปในห้องนอนในห้องที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหอบหายใจของณัฐชาที่สั่นไหว ร่างกายของเธอแทบไร้เรี่ยวแรงหลังจากที่เขาผลักเธออย่างแรง เธอเซถลาไปข้างหน้าร่างบอบบางแทบจะปลิวตามแรงเหวี่ยง หากไม่ใช่เพราะเตียงนุ่ม ๆ คอยรับไว้ เธอคงลงไปกองกับพื้นอย่างน่าสังเวชดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้าง สั่นสะท้านด้
“เลิกร้องไห้สักที... รำคาญ” เขาพูดลมหายใจอุ่นร้อนรดต้นคอ ของเธอ เธอมองค้อนไปที่เขา และดึงผ้าห่มมาพันร่างกายเพื่อปิดบังเรือนร่าง แล้วลุกขึ้นทันที“โอ๊ย!” เธอเกือบล้มลงเพราะรู้สึกเจ็บหน่วงท้องน้อยอย่างรุนแรง ทำให้แทบจะทรงตัวไม่ได้ เขาตกใจมากที่เห็นเธอมีอาการแบบนี้“ณัฐชา... เป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหน” เขาเผลอเรียกชื่อเธอด้วยความห่วงใย หญิงสาวทำหน้าบึ้งตึงใส่เขาเขารู้สึกเขิน เลยทำหน้านิ่งเข้มขรึม เบี่ยงเบนสายตาไปอื่น“เรื่องของฉัน...คุณไม่ต้องยุ่ง” เขารู้สึกได้ว่าที่เธอเป็นแบบนี้ เพราะการกระทำที่รุนแรงของเขา“ไปอาบน้ำไป...จะได้กินข้าวกินยา” เสียงห้วนของเขาดังขึ้นเหมือนคำสั่งณัฐชาได้แต่เบ้ปากน้อย ๆ ด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเลี่ยงไม่ได้เขายิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ขณะมองกิริยาน่ารักแต่ดื้อรั้นของหญิงสาว แต่ลึก ๆ ในใจยังคงมีความขัดแย้งระหว่างความแค้นและความรู้สึกอื่นที่ไม่อาจยอมรับได้“ยิ้มทำไมวะ เจ้านัยน์... นั่นมันลูกศัตรูนะเว้ย” เขาพึมพำกับตัวเองในครัว...ณัฐชามองสำรวจภายในตู้เย็น เธอแทบไม่เคยเข้าครัวทำอาหารมาก่อนเลยในชีวิต เธอหยิบขนมปัง แฮม และน้ำสลัด จากตู้เย็นออก
บ้านณัฐชา...“พลลูก... หลายวันมานี้ทำไมน้องไม่กลับบ้านเลย” รพีเอ่ยถาม น้ำเสียงเคร่งเครียดณัฐพลที่นั่งอยู่บนโซฟา วางโทรศัพท์ลง แล้วหันไปมองมารดา“น้องน่าจะอยู่คอนโดนั่นแหละครับแม่... ช่วงนี้ผมงานยุ่งมาก ๆ ไม่ค่อยได้ติดต่อน้องเลยครับ”คำตอบของลูกชายไม่ได้ช่วยให้หัวใจแม่เบาใจลงเลย สีหน้าของเธอยังคงแสดงถึงความไม่สบายใจอย่างมาก“แต่ปกติแล้วน้องจะโทรหาแม่ตลอดนะพล นี่ก็หลายวันแล้ว... ทำไมไม่โทรมาบ้าง เหลวไหลใหญ่แล้ว เจ้าลูกคนนี้”ณัฐพลถอนหายใจเบา ๆ “อย่าห่วงเลยครับแม่ ขานั้นถ้าไม่นอนอยู่ห้อง... ก็คงหนีไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ของเขาครับ”รพีกัดริมฝีปากแน่น มือที่จับผ้าพันคอที่ถักอยู่เริ่มบิดเบี้ยวไปมา “แต่มันแปลกนะลูก แม่มีลางสังหรณ์ไม่ดีเลย... พลลองโทรไปหาน้องหน่อยได้ไหม?”ณัฐพลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเบอร์ของน้องสาวทันที เสียงสัญญาณดังอยู่พักใหญ่ แต่ไม่มีใครรับสาย เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย“แปลกแฮะ น้องทำไมไม่รับสายเลย”“แม่ก็พยายามโทรหลายครั้งแล้วก็ไม่รับสายแม่...”แม่ยิ่งดูเป็นกังวล เธอลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมาในห้องอย่างร้อนใจ“พลลูก แม่ว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆ ... เราลองไปที่คอนโดน้องดูเถอะ
บ่ายแก่ ๆ ที่แสงแดดยังทอดผ่านหน้าต่างเมื่อครู่ ฟ้ากลับเปลี่ยนสีฉับพลัน ราวกับสรรพสิ่งกำลังร่วมโศกเศร้ากับบางสิ่งบางอย่าง เสียงฝนพรำเบา ๆ กระทบหลังคาบ้านศรีสถภานั่งบนโซฟาน้ำตาไหลเงียบ ๆ ขณะจ้องมองจดหมายที่พราวฟ้าลูกสาวคนเล็กยื่นมาให้ ความหวาดหวั่นถาโถมเข้ามาในใจ เธอกำกระดาษในมือแน่นความกลัวในสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเนื้อหาจดหมายทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบได้ยินเสียง มือของเธอสั่นเล็กน้อยขณะค่อย ๆ แกะซองจดหมายกลิ่นกระดาษที่เปียกชื้นเพราะน้ำตาของพราวฟ้าทำให้เธอรับรู้ว่า จดหมายฉบับนี้ต้องเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อเปิดอ่านคำแรก ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บมานานพลันระเบิดออกมาถึงภรรยาที่รัก,หากคุณพบจดหมายฉบับนี้ นั่นหมายความว่าผมไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว ก่อนอื่น ผมขอโทษจากใจจริงที่ตัดสินใจทำเรื่องนี้ ผมรู้ดีว่ามันเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว ทิ้งภาระและความทุกข์ไว้ให้คุณและลูก ๆ ต้องเผชิญตามลำพังหนี้สินจากการร่วมลงทุนเปิดบริษัทกับนิคมเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งผมยังสามารถจัดการชำระคืนกับธนาคารได้ แต่ความโลภของผมที่อยากปลดหนี้ให้หมดไว และไม่อยากให้คุณและลูกลำบาก ทำให้ผมเลือกทางผิดด้วยการเล่นการพนัน สุดท้า
ณัฐพลขับรถออกไปอย่างนุ่มนวล เส้นทางที่ทอดยาวออกจากบ้านดูเงียบสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับแฝงไปด้วยความเคร่งเครียดพราวฟ้านั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง เงาสะท้อนของท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มมืดครึ้มสะท้อนกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวล“นี่เราก็เดินทางมาสองชั่วโมงแล้ว...หิวไหม?” ณัฐพลถามทำลายความเงียบ“ค่ะ” พราวฟ้าตอบเสียงเรียบ“งั้นเราแวะทานร้านข้างทางนะ...ทานได้ไหม”“ค่ะ” เสียงตอบของพราวฟ้าแผ่วเบา แฝงความไม่สบายใจ เหมือนกำลังงอน ณัฐพลรู้สึกอึดอัดจึงถามขึ้น“พี่ทำอะไรให้ฟ้าไม่พอใจหรือเปล่า...ตั้งแต่ขึ้นรถมา ฟ้าดูไม่ค่อยโอเคกับพี่เลย”“ไม่มีค่ะ” พราวฟ้ายังคงตอบเสียงนิ่ง ใบหน้าตึงณัฐพลถอนหายใจ หันพวงมาลัยจอดรถข้างทางทันที ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอื้อมไปปรับเบาะพราวฟ้าให้นอนลง“พรึบ!” เสียงเบาะดังขึ้นพร้อมร่างของพราวฟ้าที่เอนลง ใบหน้าของเขาโน้มมาใกล้จนลมหายใจของทั้งสองกระทบกัน“พี่พลจะทำอะไรคะ!” พราวฟ้าถามเสียงสั่น ใจเต้นระรัว“พี่ให้โอกาสฟ้าพูดอีกทีว่าฟ้าโกรธอะไร...ทำไมถึงเย็นชากับพี่แบบนี้” ณัฐพลพูดเสียงเข้ม สายตาจริงจัง พราวฟ้าหลบสายตา ก่อนตอบอย่างดื้อดึง“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธอะไรไงคะ”“พูด!
ท่ามกลางป่าลึกในยามค่ำคืน เงาไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมราวกับจะกอดรัดทุกสรรพสิ่ง ความหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบสงบ เสียงของเหล่านกกลางคืนที่ส่งเสียงร้องประสานกับเสียงจิ้งหรีดและแมลงป่าดังรอบทิศทาง ในบ้านหลังนี้ มีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวอาศัยอยู่กันเพียงสองคน“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” หัสนัยถามณัฐชาด้วยน้ำเสียงห่วงใย“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ฉันจะอยู่จองเวรจองกรรมกับคุณไปอีกนาน” เธอจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น“โอเค...เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้ว” เขายิ้มที่มุมปาก“งั้นคืนนี้ก็บำเรอผมต่อแล้วกัน…คุณป่วยตั้งสองวัน ผม…อยาก...” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีความนัย เธอขมวดคิ้ว กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มของเขามีความหมายริมฝีปากของเธอเม้มแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่จะเก็บอารมณ์ไว้ลึกสุดใจ ดวงตาจับจ้องเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะเมินหน้าหนีอย่างไม่แยแส“ฉันจะไปอาบน้ำ หลบ!” เธอมองค้อน ผลักเขาออกจากเตียงทันที“อาบน้ำเสร็จรีบมากินข้าวกินยาด้วย รีบหายเร็วๆ ผมใจจะขาดอยู่แล้ว” หัสนัยพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท“ไอ้บ้าเอ๊ย…ฉันเกลีย
เช้าวันนั้นณัฐชาตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าที่ยังเกาะกุมร่างกาย เธอมองไปรอบห้อง ไม่เห็นวี่แววของหัสนัยน์ ใจคิดว่าเขาคงอยู่ในห้องหนังสือหรือสวนหลังบ้าน เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่าย เมื่อเดินลงมาถึงห้องครัว สายตาของเธอสะดุดกับอาหารเช้าบนโต๊ะ มีโน้ตเล็กๆ วางอยู่ใกล้ๆ“ผมเตรียมอาหารไว้ให้...เดี๋ยวผมกลับมา ไม่ต้องกลัวนะ” ณัฐชาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบ้ปากทันที“คิดจะทำความดีจะทำดีไถ่โทษเหรอ? ...ไม่มีทาง” เธอพึมพำ แต่ลึกๆ ก็แอบคิดว่าเขาอาจเริ่มใจอ่อนลงกับความแค้นที่เขามี เพราะช่วงนี้เขาดูไม่ได้โหดร้ายมาก เว้นแต่ในบางเรื่องที่เขาเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพความทรงจำในวันแรกที่เธอมาที่นี่ผุดขึ้นในหัว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีวิตของเธอช่างน่าเศร้า รักเขา แต่เขากลับมองเธอเหมือนเป็นเพียงที่ระบายอารมณ์ ณัฐชาไม่รู้ว่าควรจะรักหรือเกลียดเขาดี ความสับสนถาโถมเข้ามาในหัวใจจนเธอรู้สึกอึดอัด“ตราบใดที่คุณยังคงมีความแค้น เราทั้งสองก็คงเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้” เธอพึมพำเบาๆ แล้วมองออกไปยังสวนหลังบ
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
เช้าตรู่วันใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนโยน หัสนัยน์ถือถุงขนมเดินเข้ามาในบ้านของณัฐชา เขาพยายามรวบรวมความกล้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า วันนี้แม่ทำขนมมาให้ ผมเลยเอามาฝากครับ”เขากล่าวเสียงนุ่มนวลพลางยื่นถุงขนมไปวางบนโต๊ะ รพีหันมายิ้มรับด้วยท่าทางใจดี“ของโปรดณัฐชาเลย ขอบคุณมากนะ ฝากขอบคุณแม่เราด้วยล่ะนัยน์”“ได้เลยครับ”หัสนัยน์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาก็ยังมองหาณัฐชาอย่างลุ้นๆ“แล้วณัฐชาอยู่ไหนเหรอครับ?”อาคม ผู้เป็นพ่อของณัฐชา เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ พลางพยักหน้าไปทางสวนหลังบ้าน“น่าจะอยู่ที่สวนข้างบ้านนะ”“ขอบคุณครับคุณลุง”หัสนัยน์โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนหยิบขนมที่ถูกจัดใส่จานแล้วเดินตรงไปยังสวนทันทีที่สวนข้างบ้านในสวนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ณัฐชากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เธอเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของหัสนัยน์ดังใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วทันที“แม่พี่ทำขนมที่ณัฐชาชอบมาให้ ลองทานหน่อยนะ”เสียงของหัสนัยน์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาพยายามยื่นจานขนมไปตรงหน้าเธอ ณัฐชาลุกข
คอนโดณัฐชาเสียงเบรกดังเอี๊ยดทำลายความเงียบในลานจอดรถ หัสนัยน์รีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ รัวนิ้วกดหมายเลขชั้นของณัฐชาอย่างไม่รอช้า ในใจเขาสับสนวุ่นวาย คำพูดมากมายผุดขึ้นแต่ไม่มีคำไหนที่รู้สึกว่าเหมาะสมจะเอ่ยออกไปเมื่อพบเธอเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของณัฐชา เขายกมือกดกริ่ง เสียงเรียกดังสะท้อนอยู่ในโถงเงียบสงัด เขายืนรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หัสนัยน์ถอนหายใจ รู้สึกถึงน้ำหนักของความเงียบที่กดทับหัวใจ เขาพึมพำกับตัวเองว่าเธออาจโกรธเขาและไม่อยากพบหน้า แต่เขาไม่อาจรอได้นานไปกว่านี้ภายในห้อง เสียงกริ่งดังมาถึงในขณะที่ณัฐชากำลังอาบน้ำอยู่ เธอไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าคนที่มาอาจเป็นพ่อแม่ ซึ่งมีคีย์การ์ดเปิดห้องอยู่แล้ว เธอค่อยๆ ปล่อยให้น้ำอุ่นชะล้างความเหนื่อยล้าของวัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเขาหัสนัยน์มองประตูที่เงียบงัน ก่อนหยิบคีย์การ์ดจากกระเป๋าออกมา เขามองมันชั่วครู่ด้วยความลังเล ก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องยังคงอบอุ่นและมีกลิ่นหอมจางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เขากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้
บ้านณัฐชา…บรรยากาศภายในบ้านของณัฐชานั้นอบอุ่นและน่าอยู่ เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบง่ายเข้ากับผนังสีครีม สายลมเย็นจากหน้าต่างที่เปิดรับวิวสวน พัดพากลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่น ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่รู้สึกผ่อนคลาย“สวัสดีจ้ะ รพี อาคม ไม่ได้เจอกันนานพวกเธอเลยนะ” ศรีสุภาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มที่แม้จะพยายามปกปิดความกังวลไว้ แต่ก็มองออกได้จากดวงตาที่ฉายแววร้อนใจ หัสนัยน์และพราวฟ้ารีบยกมือไหว้ทั้งสองตามมารยาท“สบายดีจ้ะ... เข้ามาๆ” รพีตอบกลับอย่างใจเย็น แต่แววตาของเขาไม่ได้หลุดพ้นจากความครุ่นคิดขณะผายมือเชิญแขกเข้ามานั่ง เมื่อทุกคนประจำที่นั่ง ศรีสุภาก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความหนักแน่น“คือฉันจะมาขอโทษทั้งสองที่ลูกชายของฉันทำผิดต่อลูกสาวของพวกเธอ พวกเราพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง พวกเรารู้สึกผิดจริงๆ” คำพูดของเธอเรียบง่ายแต่กดดัน หัสนัยน์นั่งตัวตรง ขณะที่พราวฟ้ากุมมือแม่แน่นเพื่อให้กำลังใจบรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด อาคมที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่ก่อนหน้านี้โน้มตัวมาข้างหน้า ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาจ้องมองไปยังหัสนัยน์ราวกับค้นหาคำตอ
เช้าวันนั้นณัฐชาตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าที่ยังเกาะกุมร่างกาย เธอมองไปรอบห้อง ไม่เห็นวี่แววของหัสนัยน์ ใจคิดว่าเขาคงอยู่ในห้องหนังสือหรือสวนหลังบ้าน เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่าย เมื่อเดินลงมาถึงห้องครัว สายตาของเธอสะดุดกับอาหารเช้าบนโต๊ะ มีโน้ตเล็กๆ วางอยู่ใกล้ๆ“ผมเตรียมอาหารไว้ให้...เดี๋ยวผมกลับมา ไม่ต้องกลัวนะ” ณัฐชาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบ้ปากทันที“คิดจะทำความดีจะทำดีไถ่โทษเหรอ? ...ไม่มีทาง” เธอพึมพำ แต่ลึกๆ ก็แอบคิดว่าเขาอาจเริ่มใจอ่อนลงกับความแค้นที่เขามี เพราะช่วงนี้เขาดูไม่ได้โหดร้ายมาก เว้นแต่ในบางเรื่องที่เขาเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพความทรงจำในวันแรกที่เธอมาที่นี่ผุดขึ้นในหัว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีวิตของเธอช่างน่าเศร้า รักเขา แต่เขากลับมองเธอเหมือนเป็นเพียงที่ระบายอารมณ์ ณัฐชาไม่รู้ว่าควรจะรักหรือเกลียดเขาดี ความสับสนถาโถมเข้ามาในหัวใจจนเธอรู้สึกอึดอัด“ตราบใดที่คุณยังคงมีความแค้น เราทั้งสองก็คงเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้” เธอพึมพำเบาๆ แล้วมองออกไปยังสวนหลังบ
ท่ามกลางป่าลึกในยามค่ำคืน เงาไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมราวกับจะกอดรัดทุกสรรพสิ่ง ความหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบสงบ เสียงของเหล่านกกลางคืนที่ส่งเสียงร้องประสานกับเสียงจิ้งหรีดและแมลงป่าดังรอบทิศทาง ในบ้านหลังนี้ มีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวอาศัยอยู่กันเพียงสองคน“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” หัสนัยถามณัฐชาด้วยน้ำเสียงห่วงใย“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ฉันจะอยู่จองเวรจองกรรมกับคุณไปอีกนาน” เธอจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น“โอเค...เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้ว” เขายิ้มที่มุมปาก“งั้นคืนนี้ก็บำเรอผมต่อแล้วกัน…คุณป่วยตั้งสองวัน ผม…อยาก...” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีความนัย เธอขมวดคิ้ว กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มของเขามีความหมายริมฝีปากของเธอเม้มแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่จะเก็บอารมณ์ไว้ลึกสุดใจ ดวงตาจับจ้องเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะเมินหน้าหนีอย่างไม่แยแส“ฉันจะไปอาบน้ำ หลบ!” เธอมองค้อน ผลักเขาออกจากเตียงทันที“อาบน้ำเสร็จรีบมากินข้าวกินยาด้วย รีบหายเร็วๆ ผมใจจะขาดอยู่แล้ว” หัสนัยพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท“ไอ้บ้าเอ๊ย…ฉันเกลีย