เวลานี้ดึกมากแล้ว ณัฐชาสูญเสียพลังงานจากการทำงานทั้งวัน เธอหิวและง่วงมากจนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหลับไปในทุกๆ นาที
ร่างกายเหนื่อยล้า แต่ความคิดถึงอาหารยังคงรบกวนสมอง เธอทานขนมชิ้นเดียวตอนกลางวัน และมันไม่อาจเติมเต็มความหิวได้เลย
"ฉันหิวมาก...เราหาอะไรทานก่อนได้ไหมคะ"
เสียงของเธอดังขึ้นอย่างเบาๆ แต่ในนั้นก็มีความออดอ้อนเล็กน้อย เหมือนจะคอยทวงความเอาใจใส่จากเขา
แต่คำพูดของเธอก็หายไปในอากาศที่เย็นและเงียบสงบ เขายังคงเงียบ ไม่ตอบอะไร
เขาเอื้อมมือไปข้างหลังเบาะรถหยิบขนมปังออกมาจากกระเป๋า แล้วมันก็ถูกโยนลงบนตักของเธออย่างไม่แยแส
"เอ้านี่...กินสะ;"
เสียงเขาห้วน ๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คำสั่งที่มาจากความโกรธ หรือความไม่พอใจจริงๆ มากนัก เธอมองขนมปังที่อยู่บนตัก รู้สึกเหมือนมันเป็นสัญลักษณ์ของความปรานีที่เขามอบให้
แม้คำพูดของเขาจะไม่สุภาพนัก แต่มันก็ช่วยให้เธอรู้สึกว่าความใจร้ายของเขาไม่ได้ครอบงำเขาไปทั้งหมด
เธอยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยน มันเป็นรอยยิ้มที่สะท้อนความรู้สึกขอบคุณที่เธอไม่อยากให้เขาเห็น แต่เธอก็พูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยประชด
"ขอบคุณค่ะ... ที่ยังปรานีฉัน"
แต่ทันทีที่พูดจบ เขาก็หันมามองเธอด้วยสายตาที่ทิ่มแทงเหมือนกับว่าคำพูดนั้นทำให้เขาโกรธ เขาถลึงตาใส่เธออย่างชัดเจน แต่แทนที่จะตอบโต้ เขากลับส่ายหัวเบาๆ แล้วปล่อยไป
ความเงียบเข้าครอบงำในรถอีกครั้ง เขาไม่ตอบคำพูดของเธอ ไม่พยายามสร้างบทสนทนาหรือทำให้บรรยากาศดีขึ้น
เขาคงไม่อยากจะพูดอะไรเพิ่มเติม เพียงแต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น
ณัฐชานั่งนิ่งๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง ความรู้สึกบางอย่างในใจเธอที่ไม่อาจบอกออกไปกับเขาได้
ในความเงียบที่อยู่ระหว่างทั้งคู่ เสียงหายใจของเธอกับเขาเหมือนจะบรรเลงร่วมกันในอากาศ แต่ไม่มีคำพูดไหนที่สามารถอธิบายความ
รู้สึกในตอนนี้ได้เลย
รถแล่นผ่านเส้นทางอันยาวไกลออกไปนอกเมือง แสงไฟถนนเริ่มเลือนหาย เหลือเพียงความมืดที่ปกคลุมโดยรอบเท่านั้น
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นในความเงียบ ทำลายบรรยากาศที่ตึงเครียดภายในรถทันที
"ริง...ริง...ริง..."
เธอสะดุ้งเล็กน้อย เสียงนั้นมาจากโทรศัพท์ของเขาที่วางอยู่บนคอนโซลหน้า เขาเหลือบตามองหน้าจอเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบมันขึ้นมา
"ว่าไง?"
เสียงของเขาเย็นชาและหนักแน่นในขณะที่รับสาย สายตายังคงจับจ้องที่กระจกด้านหน้า
“บอสครับ...ขอโทษนะครับที่โทรมารบกวนกลางดึก คือผมเห็นบอสโทรหาตอนนั้นอยู่บนเครื่องไม่ได้รับสายครับ”
“อ๋อ...ฉันจะบอกว่าฉันไม่เข้าบริษัทสักพักนะ มีอะไรคุณจัดการได้เลย...ใครถามบอกผมไปต่างประเทศ”
“รับทราบครับบอส”
เสียงตอบกลับจากนายกนกลูกน้องมือขวาของเขา และลูกน้องก็แจ้งเรื่องงานที่ไปประชุมวันนี้
เธอใช้จังหวะนี้รวบรวมความกล้า ดวงตาเหลือบไปที่ประตูรถอีกครั้ง เธอคิดหาวิธีที่จะปลดล็อกประตู แต่ถูกสายตาของเขามองอยู่เธอจึง
ชะงัก
เขาวางสายลงอย่างรวดเร็ว โทรศัพท์ตัดขาดการสนทนา ก่อนที่เขาจะหันกลับมามองเธอด้วยสายตาที่เธอไม่สามารถอ่านได้
"อย่าคิดหนีไปไหน"
เขาพูดเพียงเท่านั้น แต่คำพูดของเขากลับทรงพลังพอที่จะทำให้เธอหยุดความคิดที่จะหนีในทันที
เสียงโทรศัพท์ที่เพิ่งเงียบหายกลับเป็นเพียงอีกหนึ่งส่วนเล็ก ๆ ในเหตุการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในความมืดมิดของ
สถานการณ์นี้
เสียงภายในรถเงียบลงหลังจากคำพูดที่ราวกับคำสั่งเด็ดขาดนั้น เธอเบือนหน้าหนี มองออกไปนอกหน้าต่าง ร่างกายเธอเกร็งแน่น ความโกรธและความกลัวปะปนกันจนเธอแทบไม่สามารถหายใจได้อย่างปกติ
"คุณไม่มีสิทธิ์มาบังคับฉันแบบนี้!"
เธอพูดเสียงสั่น ขณะที่มือทั้งสองข้างกำแน่นอยู่บนตัก
"ถ้าคุณทำอะไรฉัน ฉันสาบานเลยว่าคุณจะต้องเสียใจ"
เขาเหลือบมองเธอเพียงเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาและไร้ความรู้สึก
"ทำไมคุณจะเกลียดผมหรอ เชิญเลย... ผมเองก็ไม่ได้ต้องการความรักจากคุณอยู่แล้ว"
คำพูดนั้นเหมือนกระบี่ที่แทงเข้าไปในหัวใจเธอ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา แต่เธอกลับกัดฟันแน่น ไม่ยอมให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา
"คุณมันบ้าไปแล้ว! ทำไมคุณถึงต้องทำแบบนี้ ทำไมคุณถึงเลือกที่จะทำลายกันแบบนี้" เธอถามเสียงดัง ลมหายใจสะท้อนความขมขื่น
เขาไม่ได้ตอบในทันที แต่กลับขับรถต่อไปเงียบ ๆ ราวกับคำพูดของเธอไม่มีความสำคัญสำหรับเขาเลย
"บางทีการทำลายคุณ...อาจเป็นทางเดียวที่พ่อของคุณเจ็บปวดที่สุด"
"ถ้าคุณคิดจะขืนใจหรือทำร้ายฉัน คุณจะไม่มีวันได้ครอบครองฉันในแบบที่คุณต้องการ"
เขาหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นฟังดูน่ากลัวและเสียดแทง
"คุณคิดเหรอว่าผมต้องการแค่ร่างกายของคุณ? ผมต้องการให้คุณจำไว้ ว่าคุณไม่มีวันหนีพ้นจากผมได้"
เธอนั่งนิ่ง ดวงตาสั่นระริก น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินลงมาตามแก้ม มือของเธอจิกแน่นที่เบาะรถ แต่ในใจยังคงต่อสู้กับความหวาดกลัวและความสับสน
"ฉันเกลียดคุณ..." เธอกลั้นเสียงสะอื้นและพูดออกมาเบา ๆ ราวกับกระซิบ
เขาเพียงแค่หันมามองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย็นชาอีกครั้ง
"ดี...เพราะเกลียดนี่แหละ คุณถึงไม่มีทางลืมผมได้"
ณัฐชานั่งนิ่ง สายตามองผ่านกระจกหน้ารถออกไปอย่างไม่ละสายตา ป้ายบอกทางที่ผ่านไปแต่ละป้ายทำให้เธอพยายามจดจำเส้นทาง เธอรู้ดีว่าการรู้เส้นทางอาจเป็นความหวังเดียวในการหนีเอาตัวรอด
เขาขับรถต่อไปโดยไม่พูดอะไร ดวงหน้าเย็นชาของเขาทำให้เธอเดาไม่ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ รถเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ
เขาพาเธอออกจากกรุงเทพมานานเกือบสี่ชั่วโมงแล้ว ณัฐชาหันไปมองเขาชั่วขณะ ใจเธอเต็มไปด้วยความกลัวและความสงสัย
"คุณจะพาฉันไปที่ไหนกันแน่?" เธอกลั้นใจถาม น้ำเสียงพยายามแข็ง แต่แฝงความสั่นไหว
เขาไม่หันมามองเธอด้วยซ้ำ ดวงตายังคงจับจ้องถนนข้างหน้า "เดี๋ยวก็รู้เอง..."
คำตอบสั้น ๆ นั้นยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกกดดันหนักขึ้น หัวใจเธอเต้นแรง ความคิดต่าง ๆ วิ่งวนในหัว
เธอคิดถึงทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น หากเขาพาเธอไปยังสถานที่ที่ไม่มีคน เธอจะทำอย่างไร? จะหนียังไง? หรือเขาต้องการจะฆ่าเธอในป่าหรือเปล่า?
รถเคลื่อนเข้าสู่เขตพื้นที่ชนบทมากขึ้นเรื่อย ๆ สองข้างทางเริ่มเต็มไปด้วยต้นไม้และความมืดมิดของค่ำคืนที่กำลังคืบคลานเข้ามา เธอรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บที่เริ่มแทรกซึมเข้ามาในหัวใจ
ณัฐชากำมือแน่น เธอต้องตั้งสติ เธอไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นเหยื่อของสถานการณ์นี้ เธอแอบมองหาสิ่งของรอบตัวในรถที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
“คุณจะฆ่าฉันหรือไง?”
เธอพูดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เสียงของเธอเข้มขึ้น แม้จะหวาดกลัวแต่ก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
เขาหันมามองเธอครู่หนึ่ง ดวงตาเย็นชาของเขาทำให้เธอขนลุก
"ฆ่าคุณเหรอ?" เขายิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความน่ากลัว
"ผมยังไม่ได้คิดเรื่องนั้น...อย่างน้อยก็ยังไม่ถึงเวลา"
คำพูดนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนลมหายใจหยุดชะงัก ความคิดที่จะหาทางหนีเริ่มเข้ามาในหัวของเธออีกครั้ง
ณัฐชาพยายามสงบใจ แม้ในความกลัว เธอก็ยังต้องวางแผนเพื่อเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ที่เหมือนฝันร้ายนี้ให้ได้
เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง คำพูดที่ออกจากปากเขาทำให้หัวใจเธอบีบรัด เธอเคยเชื่อว่าเขาเป็นคนดี คนที่เธอ
เคยไว้ใจและรู้จักอย่างลึกซึ้ง แต่ตอนนี้เขาดูเป็นคนละคน
"คุณมีแฟนอยู่แล้ว...ทำแบบนี้แฟนคุณจะเสียใจนะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน แต่พยายามใช้เหตุผลเกลี้ยกล่อมเขา หวังว่าคำพูด
ของเธอจะกระตุ้นให้เขาคิดได้
เขาหัวเราะเสียงต่ำ น้ำเสียงเย็นชา
"แฟนเหรอ? ผมไม่เคยมีแฟน...มีแค่คู่นอนเล่นเท่านั้น"
คำพูดของเขาฟังดูไร้เยื่อใยและน่ากลัว ราวกับตั้งใจทำให้เธอมองเขาในแง่ร้ายที่สุด แต่ความจริงในใจเขากลับตรงกันข้าม
เขาไม่เคยมีใครอื่นเลยนอกจากเธอ เขาแค่ต้องการทำให้เธอเกลียดเขา หวังว่าเธอจะยอมแพ้และเลิกดิ้นรน
ณัฐชาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ คำพูดของเขาเหมือนมีดกรีดหัวใจเธอให้แหลกสลาย เธอรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับคนแปลกหน้า ไม่ใช่
คนที่เธอเคยรัก
"นี่คุณไม่ใช่คนที่ฉันเคยรู้จัก...คุณมันน่าทุเรศที่สุด"
คำพูดของเธอทำให้เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองถนนเหมือนเดิม
ดวงตาของเขายังคงนิ่งเฉย ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด แต่ลึกลงไปในใจ เขารู้สึกเหมือนคำพูดนั้นแทงลึกเข้าไปในจิตใจของเขาเอง
"งั้นเหรอ..." เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่เย็นชาเหมือนเดิม
"ถ้าเธอคิดว่าฉันเลว ก็จำฉันในแบบนั้นไปตลอดเลยก็แล้วกัน" เขาพูดพลางเหลือบมองหน้าเธอผ่านกระจก
ณัฐชานั่งเงียบ น้ำตาคลอเต็มดวงตา หัวใจของเธอสับสนจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เสียงเครื่องยนต์ของรถดังต่อเนื่อง
บรรยากาศในรถอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก เธอพยายามสะกดกลั้นน้ำตาและตั้งสติ คิดหาวิธีที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้
บ้านไม้กลางป่าภาคเหนือเวลา 02.30 น. รถหยุดนิ่งที่ลานกว้างของบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่ง ล้อมรอบด้วยความมืดสนิท มีเพียงเสียงจิ้งหรีดและลมพัดใบไม้ที่ให้บรรยากาศชวนสะพรึงหัสนัยน์เปิดประตูรถก่อนจะเดินอ้อมมาด้านข้างเพื่อเปิดประตูรถและปลุกณัฐชาให้ตื่นทันที เสียงของเขาทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที"ลงมา" เขาสั่งเสียงเรียบ แต่หนักแน่นเธอลังเล...แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก ขณะก้าวลงจากรถ ความหนาวเย็นของลมกลางคืนทำให้เธอตัวสั่น มือของเขาจับต้นแขนเธอไว้แน่นเหมือนจะย้ำว่าเธอหนีไม่พ้นเนื้อมือเขาแน่นอนเขาลากเธอไปยังประตูบ้านพัก แสงไฟสลัวจากดวงไฟเก่าๆ ที่ติดอยู่หน้าบ้านเผยให้เห็นบ้านหลังใหญ่ที่เหมือนถูกทอดทิ้งมานาน แต่บ้านเหมือนพึ่งผ่านการทำความสะอาด พื้นไม้ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปข้างใน พาเธอเข้าไปในห้องนอนในห้องที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหอบหายใจของณัฐชาที่สั่นไหว ร่างกายของเธอแทบไร้เรี่ยวแรงหลังจากที่เขาผลักเธออย่างแรง เธอเซถลาไปข้างหน้าร่างบอบบางแทบจะปลิวตามแรงเหวี่ยง หากไม่ใช่เพราะเตียงนุ่ม ๆ คอยรับไว้ เธอคงลงไปกองกับพื้นอย่างน่าสังเวชดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้าง สั่นสะท้านด้
“เลิกร้องไห้สักที... รำคาญ” เขาพูดลมหายใจอุ่นร้อนรดต้นคอ ของเธอ เธอมองค้อนไปที่เขา และดึงผ้าห่มมาพันร่างกายเพื่อปิดบังเรือนร่าง แล้วลุกขึ้นทันที“โอ๊ย!” เธอเกือบล้มลงเพราะรู้สึกเจ็บหน่วงท้องน้อยอย่างรุนแรง ทำให้แทบจะทรงตัวไม่ได้ เขาตกใจมากที่เห็นเธอมีอาการแบบนี้“ณัฐชา... เป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหน” เขาเผลอเรียกชื่อเธอด้วยความห่วงใย หญิงสาวทำหน้าบึ้งตึงใส่เขาเขารู้สึกเขิน เลยทำหน้านิ่งเข้มขรึม เบี่ยงเบนสายตาไปอื่น“เรื่องของฉัน...คุณไม่ต้องยุ่ง” เขารู้สึกได้ว่าที่เธอเป็นแบบนี้ เพราะการกระทำที่รุนแรงของเขา“ไปอาบน้ำไป...จะได้กินข้าวกินยา” เสียงห้วนของเขาดังขึ้นเหมือนคำสั่งณัฐชาได้แต่เบ้ปากน้อย ๆ ด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเลี่ยงไม่ได้เขายิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ขณะมองกิริยาน่ารักแต่ดื้อรั้นของหญิงสาว แต่ลึก ๆ ในใจยังคงมีความขัดแย้งระหว่างความแค้นและความรู้สึกอื่นที่ไม่อาจยอมรับได้“ยิ้มทำไมวะ เจ้านัยน์... นั่นมันลูกศัตรูนะเว้ย” เขาพึมพำกับตัวเองในครัว...ณัฐชามองสำรวจภายในตู้เย็น เธอแทบไม่เคยเข้าครัวทำอาหารมาก่อนเลยในชีวิต เธอหยิบขนมปัง แฮม และน้ำสลัด จากตู้เย็นออก
บ้านณัฐชา...“พลลูก... หลายวันมานี้ทำไมน้องไม่กลับบ้านเลย” รพีเอ่ยถาม น้ำเสียงเคร่งเครียดณัฐพลที่นั่งอยู่บนโซฟา วางโทรศัพท์ลง แล้วหันไปมองมารดา“น้องน่าจะอยู่คอนโดนั่นแหละครับแม่... ช่วงนี้ผมงานยุ่งมาก ๆ ไม่ค่อยได้ติดต่อน้องเลยครับ”คำตอบของลูกชายไม่ได้ช่วยให้หัวใจแม่เบาใจลงเลย สีหน้าของเธอยังคงแสดงถึงความไม่สบายใจอย่างมาก“แต่ปกติแล้วน้องจะโทรหาแม่ตลอดนะพล นี่ก็หลายวันแล้ว... ทำไมไม่โทรมาบ้าง เหลวไหลใหญ่แล้ว เจ้าลูกคนนี้”ณัฐพลถอนหายใจเบา ๆ “อย่าห่วงเลยครับแม่ ขานั้นถ้าไม่นอนอยู่ห้อง... ก็คงหนีไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ของเขาครับ”รพีกัดริมฝีปากแน่น มือที่จับผ้าพันคอที่ถักอยู่เริ่มบิดเบี้ยวไปมา “แต่มันแปลกนะลูก แม่มีลางสังหรณ์ไม่ดีเลย... พลลองโทรไปหาน้องหน่อยได้ไหม?”ณัฐพลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเบอร์ของน้องสาวทันที เสียงสัญญาณดังอยู่พักใหญ่ แต่ไม่มีใครรับสาย เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย“แปลกแฮะ น้องทำไมไม่รับสายเลย”“แม่ก็พยายามโทรหลายครั้งแล้วก็ไม่รับสายแม่...”แม่ยิ่งดูเป็นกังวล เธอลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมาในห้องอย่างร้อนใจ“พลลูก แม่ว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆ ... เราลองไปที่คอนโดน้องดูเถอะ
บ่ายแก่ ๆ ที่แสงแดดยังทอดผ่านหน้าต่างเมื่อครู่ ฟ้ากลับเปลี่ยนสีฉับพลัน ราวกับสรรพสิ่งกำลังร่วมโศกเศร้ากับบางสิ่งบางอย่าง เสียงฝนพรำเบา ๆ กระทบหลังคาบ้านศรีสถภานั่งบนโซฟาน้ำตาไหลเงียบ ๆ ขณะจ้องมองจดหมายที่พราวฟ้าลูกสาวคนเล็กยื่นมาให้ ความหวาดหวั่นถาโถมเข้ามาในใจ เธอกำกระดาษในมือแน่นความกลัวในสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเนื้อหาจดหมายทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบได้ยินเสียง มือของเธอสั่นเล็กน้อยขณะค่อย ๆ แกะซองจดหมายกลิ่นกระดาษที่เปียกชื้นเพราะน้ำตาของพราวฟ้าทำให้เธอรับรู้ว่า จดหมายฉบับนี้ต้องเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อเปิดอ่านคำแรก ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บมานานพลันระเบิดออกมาถึงภรรยาที่รัก,หากคุณพบจดหมายฉบับนี้ นั่นหมายความว่าผมไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว ก่อนอื่น ผมขอโทษจากใจจริงที่ตัดสินใจทำเรื่องนี้ ผมรู้ดีว่ามันเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว ทิ้งภาระและความทุกข์ไว้ให้คุณและลูก ๆ ต้องเผชิญตามลำพังหนี้สินจากการร่วมลงทุนเปิดบริษัทกับนิคมเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งผมยังสามารถจัดการชำระคืนกับธนาคารได้ แต่ความโลภของผมที่อยากปลดหนี้ให้หมดไว และไม่อยากให้คุณและลูกลำบาก ทำให้ผมเลือกทางผิดด้วยการเล่นการพนัน สุดท้า
ณัฐพลขับรถออกไปอย่างนุ่มนวล เส้นทางที่ทอดยาวออกจากบ้านดูเงียบสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับแฝงไปด้วยความเคร่งเครียดพราวฟ้านั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง เงาสะท้อนของท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มมืดครึ้มสะท้อนกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวล“นี่เราก็เดินทางมาสองชั่วโมงแล้ว...หิวไหม?” ณัฐพลถามทำลายความเงียบ“ค่ะ” พราวฟ้าตอบเสียงเรียบ“งั้นเราแวะทานร้านข้างทางนะ...ทานได้ไหม”“ค่ะ” เสียงตอบของพราวฟ้าแผ่วเบา แฝงความไม่สบายใจ เหมือนกำลังงอน ณัฐพลรู้สึกอึดอัดจึงถามขึ้น“พี่ทำอะไรให้ฟ้าไม่พอใจหรือเปล่า...ตั้งแต่ขึ้นรถมา ฟ้าดูไม่ค่อยโอเคกับพี่เลย”“ไม่มีค่ะ” พราวฟ้ายังคงตอบเสียงนิ่ง ใบหน้าตึงณัฐพลถอนหายใจ หันพวงมาลัยจอดรถข้างทางทันที ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอื้อมไปปรับเบาะพราวฟ้าให้นอนลง“พรึบ!” เสียงเบาะดังขึ้นพร้อมร่างของพราวฟ้าที่เอนลง ใบหน้าของเขาโน้มมาใกล้จนลมหายใจของทั้งสองกระทบกัน“พี่พลจะทำอะไรคะ!” พราวฟ้าถามเสียงสั่น ใจเต้นระรัว“พี่ให้โอกาสฟ้าพูดอีกทีว่าฟ้าโกรธอะไร...ทำไมถึงเย็นชากับพี่แบบนี้” ณัฐพลพูดเสียงเข้ม สายตาจริงจัง พราวฟ้าหลบสายตา ก่อนตอบอย่างดื้อดึง“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธอะไรไงคะ”“พูด!
ท่ามกลางป่าลึกในยามค่ำคืน เงาไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมราวกับจะกอดรัดทุกสรรพสิ่ง ความหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบสงบ เสียงของเหล่านกกลางคืนที่ส่งเสียงร้องประสานกับเสียงจิ้งหรีดและแมลงป่าดังรอบทิศทาง ในบ้านหลังนี้ มีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวอาศัยอยู่กันเพียงสองคน“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” หัสนัยถามณัฐชาด้วยน้ำเสียงห่วงใย“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ฉันจะอยู่จองเวรจองกรรมกับคุณไปอีกนาน” เธอจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น“โอเค...เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้ว” เขายิ้มที่มุมปาก“งั้นคืนนี้ก็บำเรอผมต่อแล้วกัน…คุณป่วยตั้งสองวัน ผม…อยาก...” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีความนัย เธอขมวดคิ้ว กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มของเขามีความหมายริมฝีปากของเธอเม้มแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่จะเก็บอารมณ์ไว้ลึกสุดใจ ดวงตาจับจ้องเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะเมินหน้าหนีอย่างไม่แยแส“ฉันจะไปอาบน้ำ หลบ!” เธอมองค้อน ผลักเขาออกจากเตียงทันที“อาบน้ำเสร็จรีบมากินข้าวกินยาด้วย รีบหายเร็วๆ ผมใจจะขาดอยู่แล้ว” หัสนัยพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท“ไอ้บ้าเอ๊ย…ฉันเกลีย
เช้าวันนั้นณัฐชาตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าที่ยังเกาะกุมร่างกาย เธอมองไปรอบห้อง ไม่เห็นวี่แววของหัสนัยน์ ใจคิดว่าเขาคงอยู่ในห้องหนังสือหรือสวนหลังบ้าน เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่าย เมื่อเดินลงมาถึงห้องครัว สายตาของเธอสะดุดกับอาหารเช้าบนโต๊ะ มีโน้ตเล็กๆ วางอยู่ใกล้ๆ“ผมเตรียมอาหารไว้ให้...เดี๋ยวผมกลับมา ไม่ต้องกลัวนะ” ณัฐชาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบ้ปากทันที“คิดจะทำความดีจะทำดีไถ่โทษเหรอ? ...ไม่มีทาง” เธอพึมพำ แต่ลึกๆ ก็แอบคิดว่าเขาอาจเริ่มใจอ่อนลงกับความแค้นที่เขามี เพราะช่วงนี้เขาดูไม่ได้โหดร้ายมาก เว้นแต่ในบางเรื่องที่เขาเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพความทรงจำในวันแรกที่เธอมาที่นี่ผุดขึ้นในหัว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีวิตของเธอช่างน่าเศร้า รักเขา แต่เขากลับมองเธอเหมือนเป็นเพียงที่ระบายอารมณ์ ณัฐชาไม่รู้ว่าควรจะรักหรือเกลียดเขาดี ความสับสนถาโถมเข้ามาในหัวใจจนเธอรู้สึกอึดอัด“ตราบใดที่คุณยังคงมีความแค้น เราทั้งสองก็คงเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้” เธอพึมพำเบาๆ แล้วมองออกไปยังสวนหลังบ
บ้านณัฐชา…บรรยากาศภายในบ้านของณัฐชานั้นอบอุ่นและน่าอยู่ เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบง่ายเข้ากับผนังสีครีม สายลมเย็นจากหน้าต่างที่เปิดรับวิวสวน พัดพากลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่น ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่รู้สึกผ่อนคลาย“สวัสดีจ้ะ รพี อาคม ไม่ได้เจอกันนานพวกเธอเลยนะ” ศรีสุภาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มที่แม้จะพยายามปกปิดความกังวลไว้ แต่ก็มองออกได้จากดวงตาที่ฉายแววร้อนใจ หัสนัยน์และพราวฟ้ารีบยกมือไหว้ทั้งสองตามมารยาท“สบายดีจ้ะ... เข้ามาๆ” รพีตอบกลับอย่างใจเย็น แต่แววตาของเขาไม่ได้หลุดพ้นจากความครุ่นคิดขณะผายมือเชิญแขกเข้ามานั่ง เมื่อทุกคนประจำที่นั่ง ศรีสุภาก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความหนักแน่น“คือฉันจะมาขอโทษทั้งสองที่ลูกชายของฉันทำผิดต่อลูกสาวของพวกเธอ พวกเราพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง พวกเรารู้สึกผิดจริงๆ” คำพูดของเธอเรียบง่ายแต่กดดัน หัสนัยน์นั่งตัวตรง ขณะที่พราวฟ้ากุมมือแม่แน่นเพื่อให้กำลังใจบรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด อาคมที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่ก่อนหน้านี้โน้มตัวมาข้างหน้า ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาจ้องมองไปยังหัสนัยน์ราวกับค้นหาคำตอ
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
เช้าตรู่วันใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนโยน หัสนัยน์ถือถุงขนมเดินเข้ามาในบ้านของณัฐชา เขาพยายามรวบรวมความกล้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า วันนี้แม่ทำขนมมาให้ ผมเลยเอามาฝากครับ”เขากล่าวเสียงนุ่มนวลพลางยื่นถุงขนมไปวางบนโต๊ะ รพีหันมายิ้มรับด้วยท่าทางใจดี“ของโปรดณัฐชาเลย ขอบคุณมากนะ ฝากขอบคุณแม่เราด้วยล่ะนัยน์”“ได้เลยครับ”หัสนัยน์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาก็ยังมองหาณัฐชาอย่างลุ้นๆ“แล้วณัฐชาอยู่ไหนเหรอครับ?”อาคม ผู้เป็นพ่อของณัฐชา เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ พลางพยักหน้าไปทางสวนหลังบ้าน“น่าจะอยู่ที่สวนข้างบ้านนะ”“ขอบคุณครับคุณลุง”หัสนัยน์โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนหยิบขนมที่ถูกจัดใส่จานแล้วเดินตรงไปยังสวนทันทีที่สวนข้างบ้านในสวนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ณัฐชากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เธอเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของหัสนัยน์ดังใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วทันที“แม่พี่ทำขนมที่ณัฐชาชอบมาให้ ลองทานหน่อยนะ”เสียงของหัสนัยน์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาพยายามยื่นจานขนมไปตรงหน้าเธอ ณัฐชาลุกข
คอนโดณัฐชาเสียงเบรกดังเอี๊ยดทำลายความเงียบในลานจอดรถ หัสนัยน์รีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ รัวนิ้วกดหมายเลขชั้นของณัฐชาอย่างไม่รอช้า ในใจเขาสับสนวุ่นวาย คำพูดมากมายผุดขึ้นแต่ไม่มีคำไหนที่รู้สึกว่าเหมาะสมจะเอ่ยออกไปเมื่อพบเธอเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของณัฐชา เขายกมือกดกริ่ง เสียงเรียกดังสะท้อนอยู่ในโถงเงียบสงัด เขายืนรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หัสนัยน์ถอนหายใจ รู้สึกถึงน้ำหนักของความเงียบที่กดทับหัวใจ เขาพึมพำกับตัวเองว่าเธออาจโกรธเขาและไม่อยากพบหน้า แต่เขาไม่อาจรอได้นานไปกว่านี้ภายในห้อง เสียงกริ่งดังมาถึงในขณะที่ณัฐชากำลังอาบน้ำอยู่ เธอไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าคนที่มาอาจเป็นพ่อแม่ ซึ่งมีคีย์การ์ดเปิดห้องอยู่แล้ว เธอค่อยๆ ปล่อยให้น้ำอุ่นชะล้างความเหนื่อยล้าของวัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเขาหัสนัยน์มองประตูที่เงียบงัน ก่อนหยิบคีย์การ์ดจากกระเป๋าออกมา เขามองมันชั่วครู่ด้วยความลังเล ก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องยังคงอบอุ่นและมีกลิ่นหอมจางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เขากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้
บ้านณัฐชา…บรรยากาศภายในบ้านของณัฐชานั้นอบอุ่นและน่าอยู่ เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบง่ายเข้ากับผนังสีครีม สายลมเย็นจากหน้าต่างที่เปิดรับวิวสวน พัดพากลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่น ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่รู้สึกผ่อนคลาย“สวัสดีจ้ะ รพี อาคม ไม่ได้เจอกันนานพวกเธอเลยนะ” ศรีสุภาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มที่แม้จะพยายามปกปิดความกังวลไว้ แต่ก็มองออกได้จากดวงตาที่ฉายแววร้อนใจ หัสนัยน์และพราวฟ้ารีบยกมือไหว้ทั้งสองตามมารยาท“สบายดีจ้ะ... เข้ามาๆ” รพีตอบกลับอย่างใจเย็น แต่แววตาของเขาไม่ได้หลุดพ้นจากความครุ่นคิดขณะผายมือเชิญแขกเข้ามานั่ง เมื่อทุกคนประจำที่นั่ง ศรีสุภาก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความหนักแน่น“คือฉันจะมาขอโทษทั้งสองที่ลูกชายของฉันทำผิดต่อลูกสาวของพวกเธอ พวกเราพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง พวกเรารู้สึกผิดจริงๆ” คำพูดของเธอเรียบง่ายแต่กดดัน หัสนัยน์นั่งตัวตรง ขณะที่พราวฟ้ากุมมือแม่แน่นเพื่อให้กำลังใจบรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด อาคมที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่ก่อนหน้านี้โน้มตัวมาข้างหน้า ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาจ้องมองไปยังหัสนัยน์ราวกับค้นหาคำตอ
เช้าวันนั้นณัฐชาตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าที่ยังเกาะกุมร่างกาย เธอมองไปรอบห้อง ไม่เห็นวี่แววของหัสนัยน์ ใจคิดว่าเขาคงอยู่ในห้องหนังสือหรือสวนหลังบ้าน เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่าย เมื่อเดินลงมาถึงห้องครัว สายตาของเธอสะดุดกับอาหารเช้าบนโต๊ะ มีโน้ตเล็กๆ วางอยู่ใกล้ๆ“ผมเตรียมอาหารไว้ให้...เดี๋ยวผมกลับมา ไม่ต้องกลัวนะ” ณัฐชาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบ้ปากทันที“คิดจะทำความดีจะทำดีไถ่โทษเหรอ? ...ไม่มีทาง” เธอพึมพำ แต่ลึกๆ ก็แอบคิดว่าเขาอาจเริ่มใจอ่อนลงกับความแค้นที่เขามี เพราะช่วงนี้เขาดูไม่ได้โหดร้ายมาก เว้นแต่ในบางเรื่องที่เขาเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพความทรงจำในวันแรกที่เธอมาที่นี่ผุดขึ้นในหัว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีวิตของเธอช่างน่าเศร้า รักเขา แต่เขากลับมองเธอเหมือนเป็นเพียงที่ระบายอารมณ์ ณัฐชาไม่รู้ว่าควรจะรักหรือเกลียดเขาดี ความสับสนถาโถมเข้ามาในหัวใจจนเธอรู้สึกอึดอัด“ตราบใดที่คุณยังคงมีความแค้น เราทั้งสองก็คงเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้” เธอพึมพำเบาๆ แล้วมองออกไปยังสวนหลังบ
ท่ามกลางป่าลึกในยามค่ำคืน เงาไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมราวกับจะกอดรัดทุกสรรพสิ่ง ความหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบสงบ เสียงของเหล่านกกลางคืนที่ส่งเสียงร้องประสานกับเสียงจิ้งหรีดและแมลงป่าดังรอบทิศทาง ในบ้านหลังนี้ มีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวอาศัยอยู่กันเพียงสองคน“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” หัสนัยถามณัฐชาด้วยน้ำเสียงห่วงใย“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ฉันจะอยู่จองเวรจองกรรมกับคุณไปอีกนาน” เธอจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น“โอเค...เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้ว” เขายิ้มที่มุมปาก“งั้นคืนนี้ก็บำเรอผมต่อแล้วกัน…คุณป่วยตั้งสองวัน ผม…อยาก...” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีความนัย เธอขมวดคิ้ว กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มของเขามีความหมายริมฝีปากของเธอเม้มแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่จะเก็บอารมณ์ไว้ลึกสุดใจ ดวงตาจับจ้องเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะเมินหน้าหนีอย่างไม่แยแส“ฉันจะไปอาบน้ำ หลบ!” เธอมองค้อน ผลักเขาออกจากเตียงทันที“อาบน้ำเสร็จรีบมากินข้าวกินยาด้วย รีบหายเร็วๆ ผมใจจะขาดอยู่แล้ว” หัสนัยพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท“ไอ้บ้าเอ๊ย…ฉันเกลีย