“เลิกร้องไห้สักที... รำคาญ”
เขาพูดลมหายใจอุ่นร้อนรดต้นคอ ของเธอ เธอมองค้อนไปที่เขา และดึงผ้าห่มมาพันร่างกายเพื่อปิดบังเรือนร่าง แล้วลุกขึ้นทันที
“โอ๊ย!”
เธอเกือบล้มลงเพราะรู้สึกเจ็บหน่วงท้องน้อยอย่างรุนแรง ทำให้แทบจะทรงตัวไม่ได้ เขาตกใจมากที่เห็นเธอมีอาการแบบนี้
“ณัฐชา... เป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหน”
เขาเผลอเรียกชื่อเธอด้วยความห่วงใย หญิงสาวทำหน้าบึ้งตึงใส่เขา
เขารู้สึกเขิน เลยทำหน้านิ่งเข้มขรึม เบี่ยงเบนสายตาไปอื่น
“เรื่องของฉัน...คุณไม่ต้องยุ่ง”
เขารู้สึกได้ว่าที่เธอเป็นแบบนี้ เพราะการกระทำที่รุนแรงของเขา
“ไปอาบน้ำไป...จะได้กินข้าวกินยา”
เสียงห้วนของเขาดังขึ้นเหมือนคำสั่ง
ณัฐชาได้แต่เบ้ปากน้อย ๆ ด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขายิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ขณะมองกิริยาน่ารักแต่ดื้อรั้นของหญิงสาว แต่ลึก ๆ ในใจยังคงมีความขัดแย้งระหว่างความแค้นและความรู้สึกอื่นที่ไม่อาจยอมรับได้
“ยิ้มทำไมวะ เจ้านัยน์... นั่นมันลูกศัตรูนะเว้ย”
เขาพึมพำกับตัวเอง
ในครัว...
ณัฐชามองสำรวจภายในตู้เย็น เธอแทบไม่เคยเข้าครัวทำอาหารมาก่อนเลยในชีวิต เธอหยิบขนมปัง แฮม และน้ำสลัด จากตู้เย็นออกมาวางไว้บนโต๊ะ
“แซนด์วิชละกัน ง่ายสุดแล้วล่ะ... ”
เธอบ่นกับตัวเองขณะจัดเตรียมส่วนผสมอย่างเงอะงะ เธอไม่รู้เลยว่า ทุกกิริยาของเธอมีสายตาคู่หนึ่งเฝ้ามองเธออยู่จากทางด้านหลัง เขายิ้มบาง ๆ ขณะมอง เธอดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูกในท่าทีขัดเขินของเธอ ขณะที่เธอหยิบแซนด์วิชเข้าปากก็มีเสียงดังจากด้านหลัง
“อะ แฮ่ม!”
ณัฐชาสะดุ้งโหยง หันกลับไปมองด้วยความตกใจ เขายืนกอดอกอยู่ด้านหลัง พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“หิวเหรอ...เมื่อคืนผมคงใช้งานคุณหนักไป”
คำพูดของเขาทำให้เธอตัวชา ความรู้สึกเหมือนถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีจุกแน่นอยู่ในอก เธอไม่ตอบโต้ใด ๆ ทำได้แต่รวบรวมสติเดินออกจากโต๊ะอาหารให้เร็วที่สุด
เธอมุ่งหน้าไปนั่งที่สวนหลังบ้าน น้ำตาที่กลั้นไว้ค่อย ๆ ไหลอาบแก้ม เธอคิดอยากหนีไปจากสถานที่น่ากลัวแห่งนี้ แต่เมื่อมองรอบ ๆ มีเพียงป่าทึบรายล้อม
“ถ้าหนีตอนนี้ ไม่มีทางรอดแน่...”
เธอพึมพำเบา ๆ สายลมเย็นพัดโชยมากระทบผิว แทนที่จะทำให้ใจเย็นลง กลับเพิ่มความวังเวงขึ้นไปอีก
เธอใช้เวลาอยู่ที่สวนสักครู่ใหญ่ ทันใดนั้น มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางด้านหลัง พร้อมกับน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างผิดคาด
“กินข้าวต้มแล้วกินยาซะ จะได้ไม่ปวดท้อง”
เขาวางชามข้าวต้มลงตรงหน้าเธอ แววตาดูอ่อนโยนอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“รู้ได้ไงว่าฉันปวดท้อง?”
ณัฐชาถามเหมือนให้เขารู้สึกผิด แต่คำตอบของเขาทำให้ณัฐชารู้สึกอายเสียเอง
“ก็ผมทำรุนแรงกับคุณขนาดนั้น…ไม่ปวดหน่วงก็แปลกแล้ว เขายิ้มเยาะ”
“ความบริสุทธิ์ของฉันต้องมาเสียให้กับคนเลว...อย่างคุณ ช่างน่าเวทนาตัวเองยิ่งนัก” เธอพูดออกมาอย่ารังเกียจเขา
“ก็คนเลวอย่างผมนี่แหละ...ที่ขึ้นชื่อว่าผัวของคุณ”
เขาพูดให้เธอเกลียดเขา และเชื่อว่าเขาเลวจริงๆ แต่ในใจเขาเจ็บปวดที่ทำเจอเจ็บ
คำพูดของหัสนัยน์ทำณัฐชาโกรธมาก เขาทั้งดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีของเธอไม่มีอีกแล้ว เธอปัดชามข้าวต้มที่เขาวางไว้ให้
“เพล้ง!”
เก็บของของคุณไว้กินเองเถอะ ฉันขยะแขยงจนกระเดือกไม่ลงหรอก เธอพูดน้ำตาคลอแต่ต้องกลั้นเอาไว้ ไม่ให้เขาเห็นเธออ่อนแอ
“ไม่กินก็เรื่องของคุณ!”
เขากระแทกเสียงแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ณัฐชายืนมองเศษข้าวต้มด้วยความปวดร้าว
ณัฐชาได้ยินเสียงรถขับออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว ยังคงสงสัยว่าเขาออกไปไหน เขาจะปล่อยให้เธออยู่ที่นี่คนเดียวจริงๆ
ยามเย็น
บรรยากาศรอบบ้านยิ่งเพิ่มความอึดอัด เสียงจักจั่นดังสนั่น ลมพัดผ่านใบไม้จนเกิดเสียงกรอบแกรบ และเสียงหมาหอนห่างไกลชวนให้ขนลุก
ณัฐชานั่งกอดเข่าอยู่ในมุมห้อง ความหวาดกลัวค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น เธอคิดไปต่างๆ นานา กลัวทั้งผี กลัวทั้งสัตว์ป่า และโจร
“เขาจะปล่อยเราไว้ที่นี่จริง ๆ หรือ...”
เสียงของเธอสั่นสะท้าน ขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังใกล้เข้ามา เธอหลับตาปี๋และกรีดร้องออกมา
“เฮ้ย! ผมเอง ๆ!” เขาร้องขึ้นขณะถูกเธอทุบตีด้วยความตกใจ เมื่อดวงตาของเธอลืมขึ้นมองและเห็นว่าเป็นเขา น้ำตาก็พรั่งพรู เธอโผเข้ากอดเขาแน่น
“ฉันกลัว... กลัวจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว...”
เขาสัมผัสได้ถึงความกลัวของเธอ เพราะเขารู้เสมอว่าเธอเป็นคนกลัวความมืดมาก ยิ่งถ้าต้องอยู่คนเดียวแบบนี้ สำหรับเธอแล้ว ยอมให้ฆ่าเธอเสียดีกว่า
เขากอดตอบเบา ๆ ใช้มือใหญ่ลูบไหล่เธออย่างปลอบโยน
“โอเค ผมอยู่ตรงนี้แล้ว คุณปลอดภัย”
แววตาอบอุ่นของเขาจับจ้องอยู่ที่เธอ มันเป็นแววตาที่ดูเหมือนจะปลอบประโลมใจเธอ
แต่สำหรับณัฐชาแล้ว มันกลับเต็มไปด้วยคำถามที่ยังค้างคาในหัวใจระหว่างเธอและเขา ทุกอย่างมันคืออะไรกันแน่?
"ปล่อยผมก่อนนะ... เดี๋ยวไปทานข้าวกัน"
เสียงทุ้มนั้นดึงเธอกลับสู่ความจริง ขณะที่เขาจับแขนเธอเบา ๆ
ณัฐชาเงยหน้ามองเขา ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นใบหน้าของเธอที่แดงผิดปกติ เขายื่นมือแตะหน้าผากของเธอ และความร้อนที่ปลายนิ้วทำให้เขาขมวดคิ้วทันที
"คุณมีไข้ ทานข้าวแล้วทานยา จะได้พักผ่อน"
เขาพูดเสียงเรียบ แต่ดวงตากลับฉายแววห่วงใย
ณัฐชาพยักหน้าช้า ๆ ราวกับเด็กที่เชื่อฟัง เธอเหนื่อยมากกับการที่ต่อต้านเขา เธอถูกเขาพยุงไปที่โต๊ะอาหาร เธอทานมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว กำลังจะทานยา เธอรู้สึกอึดอัดใจ ก่อนจะตัดสินใจถามสิ่งที่คาใจ
"คุณไปไหนมาค่ะ?"
น้ำเสียงเธอแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความสงสัย
"ผมไปซื้ออาหาร... และเสื้อผ้ามาให้คุณ"
เขาตอบเรียบง่าย ณัฐชายิ้มรับเล็กน้อย แต่ความรู้สึกในใจยังเต็มไปด้วยความอึดอัดและยังคงมีความโกรธเขาอยู่
"ขอบคุณค่ะ... แต่ฉันอยากกลับบ้าน ...ป่านนี้พ่อแม่เป็นห่วงฉันแล้ว"
คำพูดนั้นทำให้เขาหยุดชะงัก เขาหันมามองเธอด้วยสายตาเย็นชา
“คุณจะขังฉันไปถึงเมื่อไหร่?”
“ขอร้อง...ปล่อยฉันกลับไปเถอะนะ คุณอย่าจมปลักกับความแค้นอีกอย่างมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่...ทำไมเราต้องมาโกรธเกลียดแก้แค้นกันด้วย"
ณัฐชากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าขมขื่นแต่แฝงความอ่อนโยน เธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา สายตาเต็มไปด้วยความอ้อนวอน
หัสนัยน์ชะงักไปชั่วขณะ คำพูดของเธอเหมือนคมมีดที่บาดลึกลงไปในความรู้สึก เขาสูดหายใจเข้าลึก พยายามสะกดกลั้นความอ่อนแอที่เริ่มเผยให้เห็น
"ลองคนที่ตายเป็นพ่อคุณบ้างสิ... คุณจะแค้นแค่ไหน"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่แววตาสั่นไหวอย่างไม่อาจซ่อนเร้น ณัฐชาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา เธอเห็นความขัดแย้งที่ซ่อนอยู่ในนั้น
"ฉันรู้ว่าลึก ๆ คุณเองก็ไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้"
เธอพูดเบา ๆ น้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่น หัสนัยน์หันหน้าหนี ไม่อาจทนต่อสายตาที่เหมือนจะมองทะลุผ่านกำแพงในใจของเขา
"เธอไม่รู้อะไรเลยณัฐชา อย่าพูดในสิ่งที่เธอไม่เข้าใจ"
"ฉันอาจไม่เข้าใจทุกอย่าง แต่ฉันเข้าใจว่าการทำร้ายคนอื่นเพื่อแก้แค้น ไม่เคยทำให้ใครมีความสุขได้จริง ๆ"
ณัฐชาพยายามเกลี้ยกล่อม ดวงตาเธอวาววับด้วยน้ำตา
"อย่าพยายามเปลี่ยนความคิดของฉัน...มันสายเกินไปแล้ว"
เสียงของเขาแผ่วลงเล็กน้อย แต่ยังคงความเย็นชา
"ไม่สายเกินไปหรอก ถ้าคุณจะยอมปล่อยวางความแค้น"
“ฉันจะอยู่ข้างๆ คุณ...เราจะไปหาคุณพ่อด้วยกัน ถามความจริงจากปากท่าน”
หัสนัยน์นิ่งไปครู่หนึ่ง แววตาของเขาเหมือนสะท้อนให้เห็นคลื่นอารมณ์ที่กำลังต่อสู้กันภายใน แต่สุดท้ายเขาเลือกจะปิดกั้นมันอีกครั้ง
"พอเถอะณัฐชา เธอพูดไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้"
เขาตะคอกเสียงใส่เธอ ณัฐชาน้ำตาคลอเบ้า
"แล้วคุณคิดไหม ว่าคนที่ต้องรับผลจากการกระทำเหล่านี้คือฉัน? ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่คุณ แต่เป็นฉัน!"
“ฉันต้องสูญเสียอะไรบ้าง ความรักความบริสุทธิ์ อิสรภาพ มันสมควรแล้วหรอ?... ที่ฉันต้องเจอเรื่องแบบนี้”
เธอร้องไห้ดวงตาแดงก่ำ อกเธอสะท้อนขึ้นลงเหมือนคนที่กำลังพยายามหายใจท่ามกลางความเจ็บปวดที่กดทับจนแทบขาดใจ เธอวิ่งหนีเข้าไปในห้อง แล้วล็อกประตูทันที
หัสนัยน์กำหมัดแน่น ใบหน้าของเขายังคงแสดงออกถึงความเย็นชา แต่ในแววตาแฝงความเจ็บปวดที่เขาไม่อาจปกปิดได้ ความสับสนและความขัดแย้งในใจเหมือนจะพัดกระหน่ำในอกเขา
ยามดึก
เสียงไขกุญแจดังขึ้นในความเงียบ หัสนัยน์เดินเข้าไปในห้องของณัฐชา เธอนอนบนเตียง ร่างกายสั่นเทา เสียงครวญครางด้วยพิษไข้ เขามองเธอที่ดูอ่อนแอจนใจเขาอ่อนลง
เขาหยิบผ้าขนหนู ชุบน้ำเย็นแล้วค่อย ๆ เช็ดตัวให้เธอ เสียงเพ้อเบา ๆ ของเธอทำให้เขาชะงัก
"แม่หนูหนาว... หนูคิดถึงแม่ค่ะ"
เธอพูดราวกับกำลังฝันอยู่ เขานั่งลงข้างเตียง มองดูเธออย่างห่วงใย ความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่เคยอยากยอมรับเริ่มแทรกซึมเข้ามาในหัวใจ
"รู้ว่าร่างกายไม่ไหว ยังจะดื้อไม่ยอมกินยาอีก"
เขาพึมพำ ก่อนจะจับเธอให้ลุกขึ้นเบา ๆ กรอกยาให้เธออย่างระมัดระวัง เขาจูบหน้าผากเธอเบา ๆ ในใจเขาอยากขอโทษเธอล้านๆ ครั้งที่ทำร้ายเธอเช่นนี้ แลในใจเขาคิดว่าชาตินี้เธอคงไม่ให้อภัยเขาแล้ว เพราะสิ่งที่เขาทำช่างโหดร้ายมากกับผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นเธอ
เธอหลับไปในอ้อมกอดของเขา ในค่ำคืนนั้น แม้จะเต็มไปด้วยความแค้นที่ค้างคา แต่ความรักที่ซ่อนลึกในหัวใจทั้งสองกลับค่อย ๆ เผยตัวออกมาอย่างช้า ๆ ท่ามกลางความเงียบของรัตติกาล
บ้านณัฐชา...“พลลูก... หลายวันมานี้ทำไมน้องไม่กลับบ้านเลย” รพีเอ่ยถาม น้ำเสียงเคร่งเครียดณัฐพลที่นั่งอยู่บนโซฟา วางโทรศัพท์ลง แล้วหันไปมองมารดา“น้องน่าจะอยู่คอนโดนั่นแหละครับแม่... ช่วงนี้ผมงานยุ่งมาก ๆ ไม่ค่อยได้ติดต่อน้องเลยครับ”คำตอบของลูกชายไม่ได้ช่วยให้หัวใจแม่เบาใจลงเลย สีหน้าของเธอยังคงแสดงถึงความไม่สบายใจอย่างมาก“แต่ปกติแล้วน้องจะโทรหาแม่ตลอดนะพล นี่ก็หลายวันแล้ว... ทำไมไม่โทรมาบ้าง เหลวไหลใหญ่แล้ว เจ้าลูกคนนี้”ณัฐพลถอนหายใจเบา ๆ “อย่าห่วงเลยครับแม่ ขานั้นถ้าไม่นอนอยู่ห้อง... ก็คงหนีไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ของเขาครับ”รพีกัดริมฝีปากแน่น มือที่จับผ้าพันคอที่ถักอยู่เริ่มบิดเบี้ยวไปมา “แต่มันแปลกนะลูก แม่มีลางสังหรณ์ไม่ดีเลย... พลลองโทรไปหาน้องหน่อยได้ไหม?”ณัฐพลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเบอร์ของน้องสาวทันที เสียงสัญญาณดังอยู่พักใหญ่ แต่ไม่มีใครรับสาย เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย“แปลกแฮะ น้องทำไมไม่รับสายเลย”“แม่ก็พยายามโทรหลายครั้งแล้วก็ไม่รับสายแม่...”แม่ยิ่งดูเป็นกังวล เธอลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมาในห้องอย่างร้อนใจ“พลลูก แม่ว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆ ... เราลองไปที่คอนโดน้องดูเถอะ
บ่ายแก่ ๆ ที่แสงแดดยังทอดผ่านหน้าต่างเมื่อครู่ ฟ้ากลับเปลี่ยนสีฉับพลัน ราวกับสรรพสิ่งกำลังร่วมโศกเศร้ากับบางสิ่งบางอย่าง เสียงฝนพรำเบา ๆ กระทบหลังคาบ้านศรีสถภานั่งบนโซฟาน้ำตาไหลเงียบ ๆ ขณะจ้องมองจดหมายที่พราวฟ้าลูกสาวคนเล็กยื่นมาให้ ความหวาดหวั่นถาโถมเข้ามาในใจ เธอกำกระดาษในมือแน่นความกลัวในสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเนื้อหาจดหมายทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบได้ยินเสียง มือของเธอสั่นเล็กน้อยขณะค่อย ๆ แกะซองจดหมายกลิ่นกระดาษที่เปียกชื้นเพราะน้ำตาของพราวฟ้าทำให้เธอรับรู้ว่า จดหมายฉบับนี้ต้องเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อเปิดอ่านคำแรก ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บมานานพลันระเบิดออกมาถึงภรรยาที่รัก,หากคุณพบจดหมายฉบับนี้ นั่นหมายความว่าผมไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว ก่อนอื่น ผมขอโทษจากใจจริงที่ตัดสินใจทำเรื่องนี้ ผมรู้ดีว่ามันเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว ทิ้งภาระและความทุกข์ไว้ให้คุณและลูก ๆ ต้องเผชิญตามลำพังหนี้สินจากการร่วมลงทุนเปิดบริษัทกับนิคมเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งผมยังสามารถจัดการชำระคืนกับธนาคารได้ แต่ความโลภของผมที่อยากปลดหนี้ให้หมดไว และไม่อยากให้คุณและลูกลำบาก ทำให้ผมเลือกทางผิดด้วยการเล่นการพนัน สุดท้า
ณัฐพลขับรถออกไปอย่างนุ่มนวล เส้นทางที่ทอดยาวออกจากบ้านดูเงียบสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับแฝงไปด้วยความเคร่งเครียดพราวฟ้านั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง เงาสะท้อนของท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มมืดครึ้มสะท้อนกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวล“นี่เราก็เดินทางมาสองชั่วโมงแล้ว...หิวไหม?” ณัฐพลถามทำลายความเงียบ“ค่ะ” พราวฟ้าตอบเสียงเรียบ“งั้นเราแวะทานร้านข้างทางนะ...ทานได้ไหม”“ค่ะ” เสียงตอบของพราวฟ้าแผ่วเบา แฝงความไม่สบายใจ เหมือนกำลังงอน ณัฐพลรู้สึกอึดอัดจึงถามขึ้น“พี่ทำอะไรให้ฟ้าไม่พอใจหรือเปล่า...ตั้งแต่ขึ้นรถมา ฟ้าดูไม่ค่อยโอเคกับพี่เลย”“ไม่มีค่ะ” พราวฟ้ายังคงตอบเสียงนิ่ง ใบหน้าตึงณัฐพลถอนหายใจ หันพวงมาลัยจอดรถข้างทางทันที ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอื้อมไปปรับเบาะพราวฟ้าให้นอนลง“พรึบ!” เสียงเบาะดังขึ้นพร้อมร่างของพราวฟ้าที่เอนลง ใบหน้าของเขาโน้มมาใกล้จนลมหายใจของทั้งสองกระทบกัน“พี่พลจะทำอะไรคะ!” พราวฟ้าถามเสียงสั่น ใจเต้นระรัว“พี่ให้โอกาสฟ้าพูดอีกทีว่าฟ้าโกรธอะไร...ทำไมถึงเย็นชากับพี่แบบนี้” ณัฐพลพูดเสียงเข้ม สายตาจริงจัง พราวฟ้าหลบสายตา ก่อนตอบอย่างดื้อดึง“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธอะไรไงคะ”“พูด!
ท่ามกลางป่าลึกในยามค่ำคืน เงาไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมราวกับจะกอดรัดทุกสรรพสิ่ง ความหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบสงบ เสียงของเหล่านกกลางคืนที่ส่งเสียงร้องประสานกับเสียงจิ้งหรีดและแมลงป่าดังรอบทิศทาง ในบ้านหลังนี้ มีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวอาศัยอยู่กันเพียงสองคน“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” หัสนัยถามณัฐชาด้วยน้ำเสียงห่วงใย“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ฉันจะอยู่จองเวรจองกรรมกับคุณไปอีกนาน” เธอจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น“โอเค...เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้ว” เขายิ้มที่มุมปาก“งั้นคืนนี้ก็บำเรอผมต่อแล้วกัน…คุณป่วยตั้งสองวัน ผม…อยาก...” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีความนัย เธอขมวดคิ้ว กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มของเขามีความหมายริมฝีปากของเธอเม้มแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่จะเก็บอารมณ์ไว้ลึกสุดใจ ดวงตาจับจ้องเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะเมินหน้าหนีอย่างไม่แยแส“ฉันจะไปอาบน้ำ หลบ!” เธอมองค้อน ผลักเขาออกจากเตียงทันที“อาบน้ำเสร็จรีบมากินข้าวกินยาด้วย รีบหายเร็วๆ ผมใจจะขาดอยู่แล้ว” หัสนัยพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท“ไอ้บ้าเอ๊ย…ฉันเกลีย
เช้าวันนั้นณัฐชาตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าที่ยังเกาะกุมร่างกาย เธอมองไปรอบห้อง ไม่เห็นวี่แววของหัสนัยน์ ใจคิดว่าเขาคงอยู่ในห้องหนังสือหรือสวนหลังบ้าน เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่าย เมื่อเดินลงมาถึงห้องครัว สายตาของเธอสะดุดกับอาหารเช้าบนโต๊ะ มีโน้ตเล็กๆ วางอยู่ใกล้ๆ“ผมเตรียมอาหารไว้ให้...เดี๋ยวผมกลับมา ไม่ต้องกลัวนะ” ณัฐชาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบ้ปากทันที“คิดจะทำความดีจะทำดีไถ่โทษเหรอ? ...ไม่มีทาง” เธอพึมพำ แต่ลึกๆ ก็แอบคิดว่าเขาอาจเริ่มใจอ่อนลงกับความแค้นที่เขามี เพราะช่วงนี้เขาดูไม่ได้โหดร้ายมาก เว้นแต่ในบางเรื่องที่เขาเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพความทรงจำในวันแรกที่เธอมาที่นี่ผุดขึ้นในหัว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีวิตของเธอช่างน่าเศร้า รักเขา แต่เขากลับมองเธอเหมือนเป็นเพียงที่ระบายอารมณ์ ณัฐชาไม่รู้ว่าควรจะรักหรือเกลียดเขาดี ความสับสนถาโถมเข้ามาในหัวใจจนเธอรู้สึกอึดอัด“ตราบใดที่คุณยังคงมีความแค้น เราทั้งสองก็คงเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้” เธอพึมพำเบาๆ แล้วมองออกไปยังสวนหลังบ
บ้านณัฐชา…บรรยากาศภายในบ้านของณัฐชานั้นอบอุ่นและน่าอยู่ เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบง่ายเข้ากับผนังสีครีม สายลมเย็นจากหน้าต่างที่เปิดรับวิวสวน พัดพากลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่น ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่รู้สึกผ่อนคลาย“สวัสดีจ้ะ รพี อาคม ไม่ได้เจอกันนานพวกเธอเลยนะ” ศรีสุภาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มที่แม้จะพยายามปกปิดความกังวลไว้ แต่ก็มองออกได้จากดวงตาที่ฉายแววร้อนใจ หัสนัยน์และพราวฟ้ารีบยกมือไหว้ทั้งสองตามมารยาท“สบายดีจ้ะ... เข้ามาๆ” รพีตอบกลับอย่างใจเย็น แต่แววตาของเขาไม่ได้หลุดพ้นจากความครุ่นคิดขณะผายมือเชิญแขกเข้ามานั่ง เมื่อทุกคนประจำที่นั่ง ศรีสุภาก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความหนักแน่น“คือฉันจะมาขอโทษทั้งสองที่ลูกชายของฉันทำผิดต่อลูกสาวของพวกเธอ พวกเราพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง พวกเรารู้สึกผิดจริงๆ” คำพูดของเธอเรียบง่ายแต่กดดัน หัสนัยน์นั่งตัวตรง ขณะที่พราวฟ้ากุมมือแม่แน่นเพื่อให้กำลังใจบรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด อาคมที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่ก่อนหน้านี้โน้มตัวมาข้างหน้า ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาจ้องมองไปยังหัสนัยน์ราวกับค้นหาคำตอ
คอนโดณัฐชาเสียงเบรกดังเอี๊ยดทำลายความเงียบในลานจอดรถ หัสนัยน์รีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ รัวนิ้วกดหมายเลขชั้นของณัฐชาอย่างไม่รอช้า ในใจเขาสับสนวุ่นวาย คำพูดมากมายผุดขึ้นแต่ไม่มีคำไหนที่รู้สึกว่าเหมาะสมจะเอ่ยออกไปเมื่อพบเธอเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของณัฐชา เขายกมือกดกริ่ง เสียงเรียกดังสะท้อนอยู่ในโถงเงียบสงัด เขายืนรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หัสนัยน์ถอนหายใจ รู้สึกถึงน้ำหนักของความเงียบที่กดทับหัวใจ เขาพึมพำกับตัวเองว่าเธออาจโกรธเขาและไม่อยากพบหน้า แต่เขาไม่อาจรอได้นานไปกว่านี้ภายในห้อง เสียงกริ่งดังมาถึงในขณะที่ณัฐชากำลังอาบน้ำอยู่ เธอไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าคนที่มาอาจเป็นพ่อแม่ ซึ่งมีคีย์การ์ดเปิดห้องอยู่แล้ว เธอค่อยๆ ปล่อยให้น้ำอุ่นชะล้างความเหนื่อยล้าของวัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเขาหัสนัยน์มองประตูที่เงียบงัน ก่อนหยิบคีย์การ์ดจากกระเป๋าออกมา เขามองมันชั่วครู่ด้วยความลังเล ก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องยังคงอบอุ่นและมีกลิ่นหอมจางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เขากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้
เช้าตรู่วันใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนโยน หัสนัยน์ถือถุงขนมเดินเข้ามาในบ้านของณัฐชา เขาพยายามรวบรวมความกล้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า วันนี้แม่ทำขนมมาให้ ผมเลยเอามาฝากครับ”เขากล่าวเสียงนุ่มนวลพลางยื่นถุงขนมไปวางบนโต๊ะ รพีหันมายิ้มรับด้วยท่าทางใจดี“ของโปรดณัฐชาเลย ขอบคุณมากนะ ฝากขอบคุณแม่เราด้วยล่ะนัยน์”“ได้เลยครับ”หัสนัยน์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาก็ยังมองหาณัฐชาอย่างลุ้นๆ“แล้วณัฐชาอยู่ไหนเหรอครับ?”อาคม ผู้เป็นพ่อของณัฐชา เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ พลางพยักหน้าไปทางสวนหลังบ้าน“น่าจะอยู่ที่สวนข้างบ้านนะ”“ขอบคุณครับคุณลุง”หัสนัยน์โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนหยิบขนมที่ถูกจัดใส่จานแล้วเดินตรงไปยังสวนทันทีที่สวนข้างบ้านในสวนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ณัฐชากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เธอเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของหัสนัยน์ดังใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วทันที“แม่พี่ทำขนมที่ณัฐชาชอบมาให้ ลองทานหน่อยนะ”เสียงของหัสนัยน์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาพยายามยื่นจานขนมไปตรงหน้าเธอ ณัฐชาลุกข
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
เช้าตรู่วันใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนโยน หัสนัยน์ถือถุงขนมเดินเข้ามาในบ้านของณัฐชา เขาพยายามรวบรวมความกล้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า วันนี้แม่ทำขนมมาให้ ผมเลยเอามาฝากครับ”เขากล่าวเสียงนุ่มนวลพลางยื่นถุงขนมไปวางบนโต๊ะ รพีหันมายิ้มรับด้วยท่าทางใจดี“ของโปรดณัฐชาเลย ขอบคุณมากนะ ฝากขอบคุณแม่เราด้วยล่ะนัยน์”“ได้เลยครับ”หัสนัยน์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาก็ยังมองหาณัฐชาอย่างลุ้นๆ“แล้วณัฐชาอยู่ไหนเหรอครับ?”อาคม ผู้เป็นพ่อของณัฐชา เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ พลางพยักหน้าไปทางสวนหลังบ้าน“น่าจะอยู่ที่สวนข้างบ้านนะ”“ขอบคุณครับคุณลุง”หัสนัยน์โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนหยิบขนมที่ถูกจัดใส่จานแล้วเดินตรงไปยังสวนทันทีที่สวนข้างบ้านในสวนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ณัฐชากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เธอเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของหัสนัยน์ดังใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วทันที“แม่พี่ทำขนมที่ณัฐชาชอบมาให้ ลองทานหน่อยนะ”เสียงของหัสนัยน์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาพยายามยื่นจานขนมไปตรงหน้าเธอ ณัฐชาลุกข
คอนโดณัฐชาเสียงเบรกดังเอี๊ยดทำลายความเงียบในลานจอดรถ หัสนัยน์รีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ รัวนิ้วกดหมายเลขชั้นของณัฐชาอย่างไม่รอช้า ในใจเขาสับสนวุ่นวาย คำพูดมากมายผุดขึ้นแต่ไม่มีคำไหนที่รู้สึกว่าเหมาะสมจะเอ่ยออกไปเมื่อพบเธอเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของณัฐชา เขายกมือกดกริ่ง เสียงเรียกดังสะท้อนอยู่ในโถงเงียบสงัด เขายืนรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หัสนัยน์ถอนหายใจ รู้สึกถึงน้ำหนักของความเงียบที่กดทับหัวใจ เขาพึมพำกับตัวเองว่าเธออาจโกรธเขาและไม่อยากพบหน้า แต่เขาไม่อาจรอได้นานไปกว่านี้ภายในห้อง เสียงกริ่งดังมาถึงในขณะที่ณัฐชากำลังอาบน้ำอยู่ เธอไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าคนที่มาอาจเป็นพ่อแม่ ซึ่งมีคีย์การ์ดเปิดห้องอยู่แล้ว เธอค่อยๆ ปล่อยให้น้ำอุ่นชะล้างความเหนื่อยล้าของวัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเขาหัสนัยน์มองประตูที่เงียบงัน ก่อนหยิบคีย์การ์ดจากกระเป๋าออกมา เขามองมันชั่วครู่ด้วยความลังเล ก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องยังคงอบอุ่นและมีกลิ่นหอมจางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เขากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้
บ้านณัฐชา…บรรยากาศภายในบ้านของณัฐชานั้นอบอุ่นและน่าอยู่ เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบง่ายเข้ากับผนังสีครีม สายลมเย็นจากหน้าต่างที่เปิดรับวิวสวน พัดพากลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่น ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่รู้สึกผ่อนคลาย“สวัสดีจ้ะ รพี อาคม ไม่ได้เจอกันนานพวกเธอเลยนะ” ศรีสุภาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มที่แม้จะพยายามปกปิดความกังวลไว้ แต่ก็มองออกได้จากดวงตาที่ฉายแววร้อนใจ หัสนัยน์และพราวฟ้ารีบยกมือไหว้ทั้งสองตามมารยาท“สบายดีจ้ะ... เข้ามาๆ” รพีตอบกลับอย่างใจเย็น แต่แววตาของเขาไม่ได้หลุดพ้นจากความครุ่นคิดขณะผายมือเชิญแขกเข้ามานั่ง เมื่อทุกคนประจำที่นั่ง ศรีสุภาก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความหนักแน่น“คือฉันจะมาขอโทษทั้งสองที่ลูกชายของฉันทำผิดต่อลูกสาวของพวกเธอ พวกเราพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง พวกเรารู้สึกผิดจริงๆ” คำพูดของเธอเรียบง่ายแต่กดดัน หัสนัยน์นั่งตัวตรง ขณะที่พราวฟ้ากุมมือแม่แน่นเพื่อให้กำลังใจบรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด อาคมที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่ก่อนหน้านี้โน้มตัวมาข้างหน้า ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาจ้องมองไปยังหัสนัยน์ราวกับค้นหาคำตอ
เช้าวันนั้นณัฐชาตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าที่ยังเกาะกุมร่างกาย เธอมองไปรอบห้อง ไม่เห็นวี่แววของหัสนัยน์ ใจคิดว่าเขาคงอยู่ในห้องหนังสือหรือสวนหลังบ้าน เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่าย เมื่อเดินลงมาถึงห้องครัว สายตาของเธอสะดุดกับอาหารเช้าบนโต๊ะ มีโน้ตเล็กๆ วางอยู่ใกล้ๆ“ผมเตรียมอาหารไว้ให้...เดี๋ยวผมกลับมา ไม่ต้องกลัวนะ” ณัฐชาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบ้ปากทันที“คิดจะทำความดีจะทำดีไถ่โทษเหรอ? ...ไม่มีทาง” เธอพึมพำ แต่ลึกๆ ก็แอบคิดว่าเขาอาจเริ่มใจอ่อนลงกับความแค้นที่เขามี เพราะช่วงนี้เขาดูไม่ได้โหดร้ายมาก เว้นแต่ในบางเรื่องที่เขาเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพความทรงจำในวันแรกที่เธอมาที่นี่ผุดขึ้นในหัว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีวิตของเธอช่างน่าเศร้า รักเขา แต่เขากลับมองเธอเหมือนเป็นเพียงที่ระบายอารมณ์ ณัฐชาไม่รู้ว่าควรจะรักหรือเกลียดเขาดี ความสับสนถาโถมเข้ามาในหัวใจจนเธอรู้สึกอึดอัด“ตราบใดที่คุณยังคงมีความแค้น เราทั้งสองก็คงเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้” เธอพึมพำเบาๆ แล้วมองออกไปยังสวนหลังบ
ท่ามกลางป่าลึกในยามค่ำคืน เงาไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมราวกับจะกอดรัดทุกสรรพสิ่ง ความหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบสงบ เสียงของเหล่านกกลางคืนที่ส่งเสียงร้องประสานกับเสียงจิ้งหรีดและแมลงป่าดังรอบทิศทาง ในบ้านหลังนี้ มีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวอาศัยอยู่กันเพียงสองคน“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” หัสนัยถามณัฐชาด้วยน้ำเสียงห่วงใย“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ฉันจะอยู่จองเวรจองกรรมกับคุณไปอีกนาน” เธอจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น“โอเค...เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้ว” เขายิ้มที่มุมปาก“งั้นคืนนี้ก็บำเรอผมต่อแล้วกัน…คุณป่วยตั้งสองวัน ผม…อยาก...” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีความนัย เธอขมวดคิ้ว กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มของเขามีความหมายริมฝีปากของเธอเม้มแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่จะเก็บอารมณ์ไว้ลึกสุดใจ ดวงตาจับจ้องเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะเมินหน้าหนีอย่างไม่แยแส“ฉันจะไปอาบน้ำ หลบ!” เธอมองค้อน ผลักเขาออกจากเตียงทันที“อาบน้ำเสร็จรีบมากินข้าวกินยาด้วย รีบหายเร็วๆ ผมใจจะขาดอยู่แล้ว” หัสนัยพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท“ไอ้บ้าเอ๊ย…ฉันเกลีย