คอนโดณัฐชา
เสียงเบรกดังเอี๊ยดทำลายความเงียบในลานจอดรถ หัสนัยน์รีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ รัวนิ้วกดหมายเลขชั้นของณัฐชาอย่างไม่รอช้า ในใจเขาสับสนวุ่นวาย คำพูดมากมายผุดขึ้นแต่ไม่มีคำไหนที่รู้สึกว่าเหมาะสมจะเอ่ยออกไปเมื่อพบเธอ
เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของณัฐชา เขายกมือกดกริ่ง เสียงเรียกดังสะท้อนอยู่ในโถงเงียบสงัด เขายืนรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หัสนัยน์ถอนหายใจ รู้สึกถึงน้ำหนักของความเงียบที่กดทับหัวใจ เขาพึมพำกับตัวเองว่าเธออาจโกรธเขาและไม่อยากพบหน้า แต่เขาไม่อาจรอได้นานไปกว่านี้
ภายในห้อง เสียงกริ่งดังมาถึงในขณะที่ณัฐชากำลังอาบน้ำอยู่ เธอไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าคนที่มาอาจเป็นพ่อแม่ ซึ่งมีคีย์การ์ดเปิดห้องอยู่แล้ว เธอค่อยๆ ปล่อยให้น้ำอุ่นชะล้างความเหนื่อยล้าของวัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเขา
หัสนัยน์มองประตูที่เงียบงัน ก่อนหยิบคีย์การ์ดจากกระเป๋าออกมา เขามองมันชั่วครู่ด้วยความลังเล ก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องยังคงอบอุ่นและมีกลิ่นหอมจางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เขากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ
เขาคลึงฝ่ามือของตัวเองพลางพยายามรวบรวมความคิด เขาต้องขอโทษเธอ ต้องอธิบาย แต่เขาจะเริ่มยังไงดี? ทุกคำพูดดูจะไม่เพียงพอที่จะลบล้างความผิดของเขา
ไม่นานเสียงประตูห้องน้ำเปิดออกเบาๆ ณัฐชาเดินออกมาพร้อมผ้าขนหนูที่กระชับร่างกายไว้ เธอชะงักเมื่อเห็นร่างของเขานั่งอยู่บนโซฟา หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความตกใจและความประหลาดใจ สายตาของเธอประสานกับของเขาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
"นี่คุณ..."
ณัฐชายกมือขึ้นปิดหน้าออกจากผ้าขนหนูทันที ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตกใจปนโกรธ เธอก้าวถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะตะโกนออกมาเสียงแข็ง
“คุณเข้ามาได้ยังไง ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้!”
หัสนัยน์ถอนหายใจลึก เขายืนตัวตรง มองเธอด้วยสายตาแน่วแน่ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“คุณป้าให้คีย์การ์ดพี่มา...เราต้องคุยกัน” เขากล่าวเสียงหนักแน่น ก่อนจะก้าวเข้าหาเธอ
แต่ณัฐชาชูมือขึ้นห้ามไว้ทันที
“ไม่ต้องเข้ามา! เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว เรื่องของเรา...มันจบไปแล้ว”
เสียงเธอสั่นไหวเล็กน้อย แต่สายตาแข็งกร้าว เธอหมุนตัววิ่งเข้าไปในห้องนอนทันที ทิ้งเสียงประตูที่ปิดลงอย่างแรงใส่หน้าของเขา
“ณัฐชา ฟังพี่ก่อน!”
หัสนัยน์เคาะประตูด้วยความร้อนรน
“ขอโอกาสพี่สักครั้ง...ถ้าพี่ไม่ได้คุยกับณัฐชา วันนี้พี่จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
น้ำเสียงเขามุ่งมั่นและเจือด้วยความเจ็บปวด
ณัฐชาที่อยู่ในห้องนอน เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เธอนั่งเงียบอยู่บนเตียง สายตาจ้องมองผนังห้องเหมือนกำลังพยายามกั้นความคิดที่ปั่นป่วนในใจ เธออยากให้เขาออกไปจากชีวิตเธอ แต่ลึกๆ ในใจกลับรู้สึกปวดร้าวราวถูกหนามตำ
เวลาผ่านไปสักพัก เธอคิดว่าเขาคงกลับไปแล้ว เพราะไม่มีเสียงอะไรอีก เธอลุกขึ้นเปิดประตูออกมาด้วยความหิวที่ทำให้เธอต้องมุ่งหน้าไปยังห้องครัว
ทันทีที่ก้าวออกมา ภาพตรงหน้าทำให้เธอชะงัก อาหารหลายจานถูกจัดเรียงไว้เต็มโต๊ะ พร้อมกับร่างของหัสนัยน์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เขาหันมาสบตาเธอ ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความคาดหวัง
“ทานข้าวก่อนนะ พี่รู้ว่าณัฐชาคงยังไม่ได้ทานอะไรเลย”
เสียงของเขานุ่มนวล แต่กลับแฝงด้วยความสำนึกผิด ณัฐชาแค่นยิ้มเย้ยหยัน
“พี่หรอ? คุณยังมีสิทธิ์ใช้คำนี้อยู่เหรอ? ฉันกับคุณ...มีอะไรกันเกี่ยวข้องกัน ระหว่างเรามันจบไปแล้ว และเราอาจจะเป็นแค่ศัตรูกันด้วยซ้ำ”
คำพูดของเธอเหมือนมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจของเขา หัสนัยน์นิ่งงันชั่วครู่ก่อนจะพยายามพูดออกมาอีกครั้ง
“พี่มาที่นี่เพราะอยากขอโทษกับเรื่องทั้งหมด พี่มันโง่ พี่ปล่อยให้ความแค้นทำลายทุกอย่าง...ทำลายหัวใจของคนที่พี่รักที่สุด”
“รักเหรอ?” ณัฐชาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา น้ำตาเอ่อคลอเบ้าแต่เธอกลั้นไว้ สายตาของเธอจ้องมองเขาราวกับไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น
“คนรักกัน เขาไม่ทำแบบนี้หรอก...สิ่งที่คุณทำมันไม่มีวันลบเลือนได้”
หัสนัยน์ก้าวเข้าหาเธอ สายตาวิงวอน
“พี่รู้ว่ามันสายไป แต่พี่อยากรับผิดชอบ พี่ขอคุณป้าคุณลุงแล้ว พี่อยากแต่งงานกับณัฐชา พี่สัญญา จะไม่มีวันทำให้ณัฐชาเสียใจอีก”
ณัฐชาหัวเราะในลำคอ เสียงเยาะหยันเจือไปด้วยความขมขื่น
“แต่งงาน? คนที่เกลียดกัน เขาแต่งงานกันได้ด้วยเหรอ?”
“พี่ไม่เคยเกลียดณัฐชาเลย พี่รักและคิดถึงณัฐชามาตลอด”
เขากล่าวพร้อมเอื้อมมือไปจับแขนเธอ แต่ณัฐชาสะบัดออกอย่างแรง
“รัก? คุณเรียกสิ่งที่คุณทำว่ารักเหรอ?”
เธอพูดเสียงสั่นเครือ น้ำตาหยดแรกไหลอาบแก้ม แต่เธอยังพยายามรักษาท่าทีที่เยือกเย็น
“ฉันเคยให้โอกาสคุณแล้ว แต่คุณไม่เคยฟัง ไม่เคยสนใจสิ่งที่ฉันพูดเลย แล้วตอนนี้...คุณกลับมาขอร้อง หึ..”
หัสนัยน์นิ่งงัน เขามองเธอที่ยืนอย่างเด็ดเดี่ยวตรงหน้า ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ และทั้งรัก หัสนัยน์รู้สึกถึงความเจ็บปวดของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องเจอ
กับเหตุการณ์ที่โหดร้าย กลับกันถ้าเป็นเขาเองจะอดทนได้อย่างเธอหรือไม่ น้ำตาของเขาไหลออกมาด้วยความรู้สึกผิด
“พอเถอะ... เราควรจบเรื่องนี้เสียที”
ณัฐชากล่าวเสียงแข็ง ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
“เรื่องของเรามันเจ็บปวดและวุ่นวายมามากพอแล้ว ต่อจากนี้อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ปล่อยฉันไปเถอะ”
คำพูดนั้นเหมือนมีดที่กรีดลึกลงในหัวใจของหัสนัยน์ เขาทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าเธออย่างหมดหนทาง ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยสง่างามเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“พี่ต้องทำยังไง... ต้องทำยังไงณัฐชาถึงจะให้อภัยพี่”
เขากล่าวเสียงสั่นเครือ ดวงตาคมเต็มไปด้วยน้ำตา
“พี่ยอมทุกอย่าง ขอแค่โอกาส... ขอร้องเถอะ”
มือหนาของเขากุมมือเธอไว้แน่น ดวงตาวิงวอนเหมือนเด็กที่หลงทางและไม่รู้หนทางกลับบ้าน
ณัฐชามองเขาด้วยความรู้สึกที่ยุ่งเหยิง สับสนทั้งรักและเกลียด ความทรงจำในอดีตพัดกลับมา ความสุขครั้งก่อนและความเจ็บปวดที่กัดกินใจ เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกใดควรจะนำทางเธอ
“พี่ขอโอกาสสุดท้าย” หัสนัยน์กล่าวเสียงหนักแน่น
“พี่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพี่เปลี่ยนไปแล้ว ถ้าสุดท้ายณัฐชาไม่รักพี่อีกต่อไป... พี่จะเป็นคนเดินจากไปเอง”
คำพูดนั้นกระแทกใจเธอ เธอหายใจลึกก่อนจะตอบกลับเสียงเย็นชา แต่แฝงด้วยความอ่อนโยนที่ยากจะปิดบัง
“ก็ได้... ฉันจะให้โอกาสคุณพิสูจน์ตัวเอง”
เธอกล่าวเสียงแผ่ว แต่ดวงตายังเฉียบคม
“แต่ฉันไม่สัญญาว่าจะห้ามใจไม่ให้เกลียดคุณได้... ตอนนี้กลับไปเถอะ ฉันต้องการเวลา”
หัสนัยน์เงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความหวัง เขาลุกขึ้นยืนและพยายามดึงเธอเข้ามากอด แต่ณัฐชาสะบัดตัวออกทันที
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” เธอกล่าวเสียงเฉียบพลัน
“แค่โอกาสไม่ได้แปลว่าฉันจะให้อภัยคุณ จำไว้”
เขาพยักหน้าช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวังที่ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง “พี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ณัฐชาให้อภัยพี่”
ณัฐชาไม่ได้ตอบอะไร เธอหันหลังกลับเข้าห้องนอน ทิ้งหัสนัยน์ไว้กับความหวังและความตั้งใจที่หนักแน่น
หลังเสียงประตูปิดลง ณัฐชาแอบมองออกไปนอกห้องเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจากไปแล้ว เธอถอนหายใจยาวเมื่อพบว่าเขาจากไปจริงๆ จากนั้นจึงเดินกลับมานั่งทานอาหารที่เขาเตรียมไว้ให้
อาหารตรงหน้ามีกลิ่นหอมและหน้าตาน่าทาน แต่กลับไม่ได้ทำให้ความรู้สึกวุ่นวายในใจของเธอบรรเทาลง ความทรงจำเก่าๆ พุ่งเข้ามาในหัว ช่วงเวลาที่เขาเคยดูแลเธออย่างดี ทั้งรอยยิ้มและคำพูดอ่อนโยนที่เคยมีให้ แต่ก็มีอีกด้านที่เธอไม่อาจลืมได้ ด้านที่เขารังแกเธอ ไม่สนใจความรู้สึกของเธอ
เธอถอนหายใจอีกครั้ง หัวใจที่เริ่มใจอ่อนกลับรู้สึกหนักอึ้งอีกครั้ง
“ฉันจะให้อภัยเขาได้จริงๆ หรือ?” คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในใจเธอ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้แน่คือเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ความจริงใจของเขา แต่ยังรวมถึงหัวใจของเธอเองด้วย
บ้านหัสนัยน์
ภายในบ้านหลังที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น เสียงของพราวฟ้า, น้องสาวคนเล็กของหัสนัยน์, ดังขึ้นด้วยความดีใจเมื่อเห็นพี่ชายก้าวเข้ามาในบ้าน
“แม่คะ! พี่นัยน์กลับมาแล้ว!”
เธอรีบหันไปบอกศรีสุภา ผู้เป็นแม่ที่กำลังนั่งรอด้วยความหวัง
“เป็นไงบ้างคะพี่นัยน์?”
พราวฟ้ารีบถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“ง้อพี่ณัฐชาสำเร็จไหมคะ?”
หัสนัยน์ถอนหายใจยาวก่อนตอบ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและหวังในเวลาเดียวกัน
“เขายังคงโกรธพี่อยู่... แต่เขาก็ให้โอกาสพี่ได้พิสูจน์ตัวเอง”
เขาก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนพูดต่อ
“แต่เขาไม่ได้รับปากว่าจะกลับมาดีกับพี่หรือเปล่า”
พราวฟ้ายิ้มบางๆ พลางตบบ่าพี่ชายเบาๆ
“ในเมื่อพี่ณัฐชาให้โอกาสพี่แล้ว พี่ก็ต้องทำให้เต็มที่นะคะ ยังไงพี่ก็ยังมีโอกาสอยู่... อย่ายอมแพ้นะ”
“ใช่”
ศรีสุภาที่นั่งฟังอยู่เอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความหนักแน่นและความอบอุ่น
“ลูกต้องอดทนและทำให้เห็นว่าลูกเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ไปหาน้องบ่อยๆ ไปขอโทษเขา แสดงความจริงใจให้เขาเห็น... น้ำหยดลงหินทุกวันยังกร่อนได้ แล้วทำไมใจคนจะไม่อ่อนลง”
รพี ผู้เป็นแม่ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบแต่เปี่ยมไปด้วยพลัง
“ไม่มีอะไรที่ความพยายามจะเอาชนะไม่ได้ ลูกต้องสู้ให้ถึงที่สุด รักครั้งนี้มันไม่ง่าย แต่มันก็ไม่ควรจบลงด้วยความเสียใจ ถ้าลูกยังรักเขา ก็ต้องแสดงให้เขาเห็นว่าลูกคู่ควร”
หัสนัยน์รับฟังทุกคำพูดของครอบครัวอย่างตั้งใจ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นที่เริ่มลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
เขายิ้มออกมาเล็กน้อย พลางพยักหน้าช้าๆ
“ขอบคุณครับแม่... ขอบคุณแม่ และพราวด้วย”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ต่อจากนี้ไป พี่จะทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง พี่จะไม่ยอมให้ความผิดพลาดในอดีตทำให้พี่ต้องเสียคนที่พี่รักไปอีก”
พราวฟ้ายิ้มให้พี่ชายอย่างภาคภูมิใจ ขณะที่ศรีสุภามองลูกชายด้วยความหวังลึกๆ ว่า ความพยายามของเขาจะทำให้ความรักครั้งนี้กลับมาเหมือนเดิมได้อีกครั้ง
ในใจของหัสนัยน์ตอนนี้ เขารู้ดีว่าทุกย่างก้าวนับจากนี้จะไม่ง่าย
เช้าตรู่วันใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนโยน หัสนัยน์ถือถุงขนมเดินเข้ามาในบ้านของณัฐชา เขาพยายามรวบรวมความกล้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า วันนี้แม่ทำขนมมาให้ ผมเลยเอามาฝากครับ”เขากล่าวเสียงนุ่มนวลพลางยื่นถุงขนมไปวางบนโต๊ะ รพีหันมายิ้มรับด้วยท่าทางใจดี“ของโปรดณัฐชาเลย ขอบคุณมากนะ ฝากขอบคุณแม่เราด้วยล่ะนัยน์”“ได้เลยครับ”หัสนัยน์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาก็ยังมองหาณัฐชาอย่างลุ้นๆ“แล้วณัฐชาอยู่ไหนเหรอครับ?”อาคม ผู้เป็นพ่อของณัฐชา เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ พลางพยักหน้าไปทางสวนหลังบ้าน“น่าจะอยู่ที่สวนข้างบ้านนะ”“ขอบคุณครับคุณลุง”หัสนัยน์โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนหยิบขนมที่ถูกจัดใส่จานแล้วเดินตรงไปยังสวนทันทีที่สวนข้างบ้านในสวนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ณัฐชากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เธอเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของหัสนัยน์ดังใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วทันที“แม่พี่ทำขนมที่ณัฐชาชอบมาให้ ลองทานหน่อยนะ”เสียงของหัสนัยน์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาพยายามยื่นจานขนมไปตรงหน้าเธอ ณัฐชาลุกข
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
"นัยน์ ลูกไม่ต้องห่วงแม่กับน้องนะ เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน..."เสียงศรีสุภาสั่นเครือ เธอกุมมือลูกชายแน่น น้ำตาคลอเต็มดวงตา แต่ใจรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการที่สูญเสียสามีไปอย่างกะทันหัน ไม่มีใครรู้ได้ว่าสามีของเธอจะตัดสินใจเลือกจบชีวิตตัวเองแบบนี้“ครับแม่” เราจะผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ ผมสัญญา....มันจะต้องได้ชดใช้ให้กับครอบครัวของเราอย่างสาสม"หัสนัยน์เขาต้องรับหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัวทันทีหลังจากพ่อของเขาจากไป ทิ้งหนี้สินกว่า 20 ล้านบาทให้เขาและครอบครัวต้องเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้ายหัสนัยน์หนุ่มวัย 29 ปี สูงโปร่งด้วยความสูงประมาณ 180-190 เซนติเมตร ผิวขาวเนียน รูปร่างสมาร์ต ใบหน้าหล่อคม จมูกโด่งสันคมชัดเหมือนรูปสลัก มีเคราบาง ๆ แลดูมีเสน่ห์ บวกกับมีบุคลิกที่ดูมั่นใจ ดีกรีการศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศด้วยความเก่งและมุ่งมั่นของเขาจึงเป็นที่จับตามองในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ความรู้ที่เขาได้เรียนรู้มาผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และความกล้าหาญ ทำให้เขากล้าตัดสินใจ ใช้เงินก้อนสุดท้ายตั้งบริษัทเล็กๆ เป็นของตัวเอง แม้จะเป็นการเริ่มต้นที่เสี่ยง แต่ในเวลาเพียง
บ้านณัฐชา...ในบ้านหลังใหญ่สองชั้นที่แสนเงียบสงบ ห้องรับแขกกว้างขวางอบอุ่นด้วยแสงแดดอ่อนที่สาดลอดหน้าต่างเข้ามา อาคม ชายวัย 60 ปีนั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดมือหนึ่งถือแก้วกาแฟอุ่น ๆ อีกมือวางอยู่บนเข่าพลางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างดวงตาเขาเปี่ยมไปด้วยความคิดคำนึง ย้อนนึกถึงวันวานและเพื่อนรักผู้ล่วงลับ ความทรงจำยังชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน เขาจำได้ทุกคำพูด ทุกเสียงหัวเราะ และทุกช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันกับเพื่อนคนนั้นเพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ จนถึงวันนี้ก็ครบรอบสามปีพอดีที่เพื่อนรักของเขาลาจากโลกนี้ไปขณะที่อาคมกำลังจมอยู่ในห้วงอดีตหัวใจของเขาเต็มไปด้วยทั้งความคิดถึงและความว่างเปล่า เสียงเรียกเบา ๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ขัดจังหวะความคิดของเขา“พ่อค่ะ...” ณัฐชา...หญิงสาวในวัย 25 กว่า ๆ หน้ารูปไข่ได้รูป ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงตากลมโตแฝงเสน่ห์ดึงดูด ราวกับมีแสงดาวสะท้อนในแววตา จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่ม มีสีชมพูเหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้มผมยาวสลวยเงางาม ดุจเส้นไหม เธอมีรูปร่างอรชร เป็นที่ฮือฮาของหนุ่มๆ เธอเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง และกำลังจะเข้าไปเรียนรู้งานในบริษัทใหม่ของ
หัสนัยน์เริ่มวางแผนอย่างแยบยลเพื่อเข้าใกล้ณัฐชา เขาตระหนักว่าการทำลายนายนิคมไม่ใช่แค่เรื่องเงินทองเท่านั้น แต่เป็นการทลายทุกสิ่งที่เขาหวงแหน นี่สิที่จะทำให้นายนิคมทรมารเหมือนตกนรกที่จอดรถคอนโดณัฐชาสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านช่องตึกในยามค่ำคืน สร้างบรรยากาศอันน่าวังเวง หัสนัยน์ยืนพิงรถยนต์สีดำสนิทที่จอดนิ่งอยู่ในลานจอดรถของคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านในเมืองเขายืนที่นี่มาสักพักใหญ่ ๆ ในใจเขาแฝงไปด้วยไฟแค้นที่ไม่อาจดับได้ แสงไฟส่องกระทบไปยังตัวเขา เผยให้เห็นสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาเย็นชา ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นไม่นานนัก รถยนต์อีกคันแล่นเข้ามาก่อนจะจอดที่ตำแหน่งใกล้เคียงเอี๊ยด!เสียงประตูรถถูกเปิดดัง แอ๊ด เผยให้เห็นเงาหญิงสาว รองเท้าส้นสูงของเธอสัมผัสพื้นปูน ดังกึก.. กึก.. ก่อนที่ประตูจะถูกปิดดัง ปัง!เธอหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ท่ามกลางความเงียบงัน หัสนัยน์ขยับตัวไปข้างหน้า เปิดประตูรถของเขา และฉุดเธอขึ้นไปอย่างรวดเร็ว“ช่วยด้วย”“คุณจะทำอะไร! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงของเธอสั่นเครือด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เธอพยายามดิ้นรนสุดกำลัง เพื่อหลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่าหวาดกลัว แ
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
เช้าตรู่วันใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนโยน หัสนัยน์ถือถุงขนมเดินเข้ามาในบ้านของณัฐชา เขาพยายามรวบรวมความกล้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า วันนี้แม่ทำขนมมาให้ ผมเลยเอามาฝากครับ”เขากล่าวเสียงนุ่มนวลพลางยื่นถุงขนมไปวางบนโต๊ะ รพีหันมายิ้มรับด้วยท่าทางใจดี“ของโปรดณัฐชาเลย ขอบคุณมากนะ ฝากขอบคุณแม่เราด้วยล่ะนัยน์”“ได้เลยครับ”หัสนัยน์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาก็ยังมองหาณัฐชาอย่างลุ้นๆ“แล้วณัฐชาอยู่ไหนเหรอครับ?”อาคม ผู้เป็นพ่อของณัฐชา เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ พลางพยักหน้าไปทางสวนหลังบ้าน“น่าจะอยู่ที่สวนข้างบ้านนะ”“ขอบคุณครับคุณลุง”หัสนัยน์โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนหยิบขนมที่ถูกจัดใส่จานแล้วเดินตรงไปยังสวนทันทีที่สวนข้างบ้านในสวนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ณัฐชากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เธอเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของหัสนัยน์ดังใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วทันที“แม่พี่ทำขนมที่ณัฐชาชอบมาให้ ลองทานหน่อยนะ”เสียงของหัสนัยน์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาพยายามยื่นจานขนมไปตรงหน้าเธอ ณัฐชาลุกข
คอนโดณัฐชาเสียงเบรกดังเอี๊ยดทำลายความเงียบในลานจอดรถ หัสนัยน์รีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ รัวนิ้วกดหมายเลขชั้นของณัฐชาอย่างไม่รอช้า ในใจเขาสับสนวุ่นวาย คำพูดมากมายผุดขึ้นแต่ไม่มีคำไหนที่รู้สึกว่าเหมาะสมจะเอ่ยออกไปเมื่อพบเธอเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของณัฐชา เขายกมือกดกริ่ง เสียงเรียกดังสะท้อนอยู่ในโถงเงียบสงัด เขายืนรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หัสนัยน์ถอนหายใจ รู้สึกถึงน้ำหนักของความเงียบที่กดทับหัวใจ เขาพึมพำกับตัวเองว่าเธออาจโกรธเขาและไม่อยากพบหน้า แต่เขาไม่อาจรอได้นานไปกว่านี้ภายในห้อง เสียงกริ่งดังมาถึงในขณะที่ณัฐชากำลังอาบน้ำอยู่ เธอไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าคนที่มาอาจเป็นพ่อแม่ ซึ่งมีคีย์การ์ดเปิดห้องอยู่แล้ว เธอค่อยๆ ปล่อยให้น้ำอุ่นชะล้างความเหนื่อยล้าของวัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเขาหัสนัยน์มองประตูที่เงียบงัน ก่อนหยิบคีย์การ์ดจากกระเป๋าออกมา เขามองมันชั่วครู่ด้วยความลังเล ก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องยังคงอบอุ่นและมีกลิ่นหอมจางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เขากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้
บ้านณัฐชา…บรรยากาศภายในบ้านของณัฐชานั้นอบอุ่นและน่าอยู่ เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบง่ายเข้ากับผนังสีครีม สายลมเย็นจากหน้าต่างที่เปิดรับวิวสวน พัดพากลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่น ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่รู้สึกผ่อนคลาย“สวัสดีจ้ะ รพี อาคม ไม่ได้เจอกันนานพวกเธอเลยนะ” ศรีสุภาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มที่แม้จะพยายามปกปิดความกังวลไว้ แต่ก็มองออกได้จากดวงตาที่ฉายแววร้อนใจ หัสนัยน์และพราวฟ้ารีบยกมือไหว้ทั้งสองตามมารยาท“สบายดีจ้ะ... เข้ามาๆ” รพีตอบกลับอย่างใจเย็น แต่แววตาของเขาไม่ได้หลุดพ้นจากความครุ่นคิดขณะผายมือเชิญแขกเข้ามานั่ง เมื่อทุกคนประจำที่นั่ง ศรีสุภาก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความหนักแน่น“คือฉันจะมาขอโทษทั้งสองที่ลูกชายของฉันทำผิดต่อลูกสาวของพวกเธอ พวกเราพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง พวกเรารู้สึกผิดจริงๆ” คำพูดของเธอเรียบง่ายแต่กดดัน หัสนัยน์นั่งตัวตรง ขณะที่พราวฟ้ากุมมือแม่แน่นเพื่อให้กำลังใจบรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด อาคมที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่ก่อนหน้านี้โน้มตัวมาข้างหน้า ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาจ้องมองไปยังหัสนัยน์ราวกับค้นหาคำตอ
เช้าวันนั้นณัฐชาตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าที่ยังเกาะกุมร่างกาย เธอมองไปรอบห้อง ไม่เห็นวี่แววของหัสนัยน์ ใจคิดว่าเขาคงอยู่ในห้องหนังสือหรือสวนหลังบ้าน เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่าย เมื่อเดินลงมาถึงห้องครัว สายตาของเธอสะดุดกับอาหารเช้าบนโต๊ะ มีโน้ตเล็กๆ วางอยู่ใกล้ๆ“ผมเตรียมอาหารไว้ให้...เดี๋ยวผมกลับมา ไม่ต้องกลัวนะ” ณัฐชาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบ้ปากทันที“คิดจะทำความดีจะทำดีไถ่โทษเหรอ? ...ไม่มีทาง” เธอพึมพำ แต่ลึกๆ ก็แอบคิดว่าเขาอาจเริ่มใจอ่อนลงกับความแค้นที่เขามี เพราะช่วงนี้เขาดูไม่ได้โหดร้ายมาก เว้นแต่ในบางเรื่องที่เขาเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพความทรงจำในวันแรกที่เธอมาที่นี่ผุดขึ้นในหัว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีวิตของเธอช่างน่าเศร้า รักเขา แต่เขากลับมองเธอเหมือนเป็นเพียงที่ระบายอารมณ์ ณัฐชาไม่รู้ว่าควรจะรักหรือเกลียดเขาดี ความสับสนถาโถมเข้ามาในหัวใจจนเธอรู้สึกอึดอัด“ตราบใดที่คุณยังคงมีความแค้น เราทั้งสองก็คงเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้” เธอพึมพำเบาๆ แล้วมองออกไปยังสวนหลังบ
ท่ามกลางป่าลึกในยามค่ำคืน เงาไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมราวกับจะกอดรัดทุกสรรพสิ่ง ความหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบสงบ เสียงของเหล่านกกลางคืนที่ส่งเสียงร้องประสานกับเสียงจิ้งหรีดและแมลงป่าดังรอบทิศทาง ในบ้านหลังนี้ มีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวอาศัยอยู่กันเพียงสองคน“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” หัสนัยถามณัฐชาด้วยน้ำเสียงห่วงใย“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ฉันจะอยู่จองเวรจองกรรมกับคุณไปอีกนาน” เธอจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น“โอเค...เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้ว” เขายิ้มที่มุมปาก“งั้นคืนนี้ก็บำเรอผมต่อแล้วกัน…คุณป่วยตั้งสองวัน ผม…อยาก...” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีความนัย เธอขมวดคิ้ว กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มของเขามีความหมายริมฝีปากของเธอเม้มแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่จะเก็บอารมณ์ไว้ลึกสุดใจ ดวงตาจับจ้องเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะเมินหน้าหนีอย่างไม่แยแส“ฉันจะไปอาบน้ำ หลบ!” เธอมองค้อน ผลักเขาออกจากเตียงทันที“อาบน้ำเสร็จรีบมากินข้าวกินยาด้วย รีบหายเร็วๆ ผมใจจะขาดอยู่แล้ว” หัสนัยพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท“ไอ้บ้าเอ๊ย…ฉันเกลีย