เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกัน
ณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”
ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”
บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง
“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจ
ภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให้เธอโดดเด่นเหนือใคร
หลังจากทานอาหารเสร็จและใช้เวลาอยู่ในงานได้สักพัก ณัฐชารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาณัฐพล
“พี่พล…พี่อยู่ไหนคะ มารับหนูได้เลย หนูอยากกลับแล้วค่ะ”
เสียงของเธอแฝงด้วยความอ่อนล้า
ปลายสายตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“พี่กำลังทานข้าวอยู่ข้างโรงแรมกับฟ้า เดี๋ยวพี่ไปรับนะ”
ณัฐชายิ้มบางๆ แล้วตอบกลับอย่างเกรงใจ
“อ๋อ งั้นไม่ต้องรีบนะคะ ทานให้เสร็จก่อนก็ได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก รอที่เดิมข้างหน้า เดี๋ยวพี่ไปรับเลย”
ณัฐชาปิดสายแล้วเดินมายืนรอที่ด้านหน้าโรงแรม สายฝนยังคงตกไม่หยุด ทำให้บรรยากาศรอบข้างดูเย็นยะเยือก ผิวของเธอสัมผัสได้ถึงความชื้นของลมที่พัดผ่าน เธอห่อตัวเล็กน้อยพยายามหลบฝนใต้ชายคา
เมื่อรถของพี่ชายเคลื่อนมาจอดตรงหน้า ณัฐชารีบเปิดประตูขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เธอนั่งลง
เสียงฝนที่โปรยปรายไม่หยุดตั้งแต่ต้นค่ำจนดึกดื่น ณัฐชาเงยหน้ามองกระจกข้าง พลางพูดขึ้นเบาๆ แต่ไม่ได้หันไปสบตาพี่ชายว่า
"ฝนตกหนักตั้งแต่พี่มาส่ง จนตอนนี้มารับ ยังไม่หยุดเลยนะคะ แย่จัง"
คำพูดของเธอเจือเสียงเศร้าสร้อยเล็กน้อย ท่ามกลางเสียงเม็ดฝนที่กระทบหลังคารถอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับใดใด มีเพียงรถที่ว่างไปอย่างเงียบเชียบ
"แล้วน้องฟ้าล่ะค่ะ?"
ณัฐชาถามต่อ ดวงตาคล้ายมองหาบางสิ่งในความมืดที่ไหลผ่านหน้าต่าง คำตอบที่ตามมาทำให้เธอชะงักไปในทันที
"ฟ้าอยู่กับณัฐพล"
เสียงนั้นไม่ใช่ของพี่ชาย แต่เป็นเสียงของ หัสนัยน์ ชายที่เธอไม่คาดคิดจะได้พบ ณัฐชาหันขวับไปทันที ดวงตาเบิกกว้าง
"นี่คุณ... ทำไมเป็นคุณ?"
เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยด้วยความตกใจและไม่เข้าใจ
เขายิ้มบาง แต่แววตากลับแฝงไปด้วยความอ้อนวอน
"ผมขอมารับคุณเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีโอกาสได้คุยกับคุณสองต่อสอง"
ณัฐชาขมวดคิ้วแน่น ความขุ่นเคืองจากอดีตยังไม่จางหาย
"ก็วันก่อนคุณบอกเองว่าจะเดินออกไปจากชีวิตฉัน แล้วใครขอให้คุณกลับมา?"
"ก็วันนั้นคุณทำเหมือนรังเกียจผมนี่ ผมน้อยใจเป็น..."
คำพูดของเขาช่างฟังดูเศร้า และดวงตาที่จ้องมาก็สั่นไหว
"เรื่องของคุณเลย ฉันไม่ได้แยแสอะไรอยู่แล้ว"
เธอตอบกลับด้วยท่าทีเย็นชา แต่ลึกลงในใจ เธอเริ่มสับสนกับความรู้สึกที่เขาแสดงออกมา
เสียงฝนยังคงดังเป็นจังหวะ อากาศในรถเย็นจนเธอต้องกอดตัวเองเพื่อสร้างความอบอุ่น หัสนัยน์สังเกตเห็นและถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
"หนาวไหม?"
ณัฐชาไม่ได้ตอบ เพียงพยักหน้าเล็กน้อย เขาตัดสินใจจอดรถข้างทางทันที พลางถอดเสื้อคลุมของเขามาคลุมให้เธออย่างรวดเร็ว
"ใส่ไว้นะ จะได้อุ่น เดี๋ยวไม่สบาย"
ขณะที่เขาโน้มตัวเข้ามาคลุมเสื้อให้ ลมหายใจของเขาแผ่วเบาใกล้ใบหน้าของเธอ ณัฐชารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว แต่ยังคงนิ่งเฉย
"ถ้าเหนื่อย หลับเลยก็ได้นะ ถึงบ้านแล้วเดี๋ยวพี่ปลุกเอง"
เขาพูดอย่างอ่อนโยน สายตาที่มองเธอเต็มไปด้วยความใส่ใจ
ณัฐชาพยายามเมินหลบสายตานั้น แต่ลึกๆ กลับรู้สึกอบอุ่นใจ
เมื่อถึงจุดที่รถเริ่มมีปัญหา หัสนัยน์จอดรถข้างทางในยามดึก ถนนเปลี่ยวว่างเปล่า ไม่มีรถผ่านไปมา เขาลงจากรถทันทีโดยไม่มีร่ม ณัฐชาเห็นเช่นนั้นจึงรีบตามลงไป
"ณัฐชาลงมาทำไม ฝนตกแบบนี้เดี๋ยวเปียกหมด"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
"ก็ลงมาช่วยไง อย่างน้อยก็ส่องไฟให้พี่ทำอะไรได้ถนัด"
คำพูดนั้นเผลอเรียกเขาว่า "พี่" อย่างลืมตัว
"เมื่อกี้เรียกว่าพี่เหรอ?"
หัสนัยน์ถามกลับด้วยน้ำเสียงล้อเลียน ณัฐชาหน้าแดง รีบเดินกลับไปในรถอย่างรวดเร็ว
เธอมองเขาผ่านกระจก เห็นรอยยิ้มของเขาที่เปียกปอนไปทั้งตัว หัวใจเธอเริ่มยอมรับว่า ความรักที่เธอเคยปฏิเสธอาจยังคงอยู่
เมื่อเขากลับขึ้นรถ ด้วยร่างกายเปียกชุ่ม เขาหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาหมายจะเช็ดผมให้เธอ
"คุณจะทำอะไร?"
เธอถามด้วยท่าทีระแวดระวัง
"พี่จะเช็ดผมให้ไง"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"ไม่!"
ณัฐชารีบปฏิเสธทันที ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น
"คุณดูดีๆ ก่อน ผ้าขนหนูที่คุณถืออยู่ มันคือผ้าเช็ดรถของพี่พล จะเอามาเช็ดหัวฉันได้ยังไง"
หัสนัยน์ชะงัก มองดูผ้าที่ถืออยู่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
"ก็รีบเลยไม่ได้ดู...กลัวณัฐชาเป็นหวัด"
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะไปพร้อมกัน เสียงหัวเราะที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ณัฐชารู้สึกว่าเธอพร้อมจะให้อภัยเขา
"พี่ขอโทษนะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ณัฐชายกโทษให้พี่ได้ไหม?"
เธอมองหน้าเขา นึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และตัดสินใจตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาๆ
"ค่ะ ณัฐชาให้อภัยพี่ แต่ต่อจากนี้พี่ต้องสัญญาว่าจะไม่ทำให้ณัฐชาเสียใจอีก"
คำพูดนั้นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ น้ำตาแห่งความสุขไหลรินออกมาจากทั้งคู่ หัสนัยน์โผกอดเธอแน่นด้วยความดีใจ
"ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมาก"
ณัฐชาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดันเขาออก
"ปล่อยก่อน! ตัวพี่เปียกหมด กอดทำไม เดี๋ยวก็หนาวตายกันพอดี!"
ทั้งสองหัวเราะให้กันด้วยความสบายใจ ก่อนจะขับรถกลับบ้านด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ
เมื่อถึงบ้าน ณัฐชา รพีมองทั้งสองที่ตัวเปียกปอนราวกับลูกหมาตกน้ำ ก่อนจะเอ่ยถาม
"ไปทำอะไรกันมาลูก ตัวเปียกหมดเลย"
"รถเสียนิดหน่อยครับคุณป้า ลงไปดูฝนมันตก"
หัสนัยน์ตอบพร้อมยิ้มเขิน
"งั้นไปอาบน้ำกันก่อน เดี๋ยวคืนนี้นัยน์นอนที่นี่นะ ฝนตกแบบนี้กลับไปอันตราย"
คำพูดของรพีเต็มไปด้วยความเมตตา หัสนัยน์ยิ้มขอบคุณอย่างจริงใจ ขณะที่ณัฐชาแอบยิ้มบางๆ เธอรู้ดีว่า คืนนี้จะเป็นคืนที่เธอสามารถปล่อยวางอดีตทั้งหมดและเริ่มต้นใหม่กับเขาได้อย่างแท้จริง
ห้องพักแขก...
ณัฐชาเคาะประตูห้องพร้อมถือผ้าห่มติดมือมาให้ หัสนัยน์เปิดประตูออกด้วยรอยยิ้ม แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ยื่นผ้าห่มให้ เขาก็ฉุดเธอเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
“อุ๊ย! พี่นัยน์ ปล่อยสิ!”
ณัฐชาร้องบอกด้วยน้ำเสียงตกใจ แต่ใบหน้าของเธอแฝงด้วยความเขินอาย
หัสนัยน์ไม่ฟัง เขาดึงเธอเข้าสู่อ้อมแขนแน่น ใบหน้าของเขาซบอยู่บนศีรษะของเธอราวกับโหยหามาแสนนาน
“พี่คิดถึงณัฐชามาก... ขอกอดให้หายคิดถึงหน่อยนะ”
เสียงกระซิบของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ณัฐชาพยายามดันตัวออก พลางพูดติดขำ
“หยุดก่อนเถอะ ไหนบอกว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง นี่ยังหื่นเหมือนเดิมเลย!”
หัสนัยน์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“พี่เป็นแบบนี้กับณัฐชาคนเดียวนะ”
ว่าแล้วก็อุ้มเธอมานั่งลงบนตักอย่างรวดเร็ว
“พี่รักณัฐชามากนะ...”
เสียงกระซิบอ่อนหวานดังขึ้นใกล้ใบหู ณัฐชาหลบสายตา พลางยิ้มเขินก่อนตอบเบา ๆ
“ณัฐชาก็รักพี่เหมือนกันค่ะ”
ดวงตาของหัสนัยน์เป็นประกาย
“แต่งงานกับพี่นะ... พี่อยากใช้ชีวิตร่วมกับณัฐชา อยากดูแล อยากรับผิดชอบในสิ่งที่พี่ทำ และที่สำคัญ... พี่อยากรักณัฐชาคนเดียวตลอดไป”
คำพูดนั้นทำให้หัวใจของณัฐชาพองโต เขาจูบหน้าผากเธอเบา ๆ ด้วยความรักที่เอ่อล้น เธอยิ้มรับพร้อมตอบว่า
“แต่งค่ะ... แต่...”
หัสนัยน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัย
“แต่อะไรครับ”
เขาถาม พร้อมใช้ปลายนิ้วแตะจมูกเธออย่างอ่อนโยน
“แต่ต้องรีบแต่งเลยค่ะ เพราะถ้าท้องโตกว่านี้ จะใส่ชุดแต่งงานไม่สวยแล้ว”
คำตอบนั้นทำให้หัสนัยน์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะปรากฏบนใบหน้า
“ณัฐชาท้อง...”
เสียงของเขาดังขึ้นด้วยความดีใจ ณัฐชายิ้มบาง ๆ ก่อนตอบ
“ใช่ค่ะ... 3 สัปดาห์แล้ว”
เขารวบตัวเธอเข้ามากอดแน่น ราวกับว่าหัวใจเขาไม่อาจเก็บความสุขนี้ไว้ได้อีกต่อไป
“พี่ดีใจที่สุดในชีวิต!”
“พี่กินยาแล้วนอนได้แล้วค่ะ ดึกมากแล้ว ณัฐชาจะกลับไปนอนเหมือนกัน”
เธอบอกพลางดันตัวเขาออกเบา ๆ
“นอนด้วยกันที่นี่ไม่ได้เหรอ?”
เขาอ้อน น้ำเสียงเจือความหวังเล็ก ๆ
ณัฐชาส่ายหน้าพร้อมยิ้มบาง
“ไม่ได้ค่ะ ยังไม่ได้แต่งงานห้ามนอนห้องเดียวกัน เกรงใจคุณพ่อคุณแม่”
“ทำอย่างกับเราไม่เคย...”
คำพูดยังไม่ทันจบ ณัฐชาก็ยกมือขึ้นปิดปากเขาทันที
“ห้ามพูดนะคะ! นอนเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” เธอพูดพร้อมทำหน้าดุ
หัสนัยน์ยอมเชื่อฟังอย่างว่าง่าย
“ครับ... ฝันดีนะครับ พรุ่งนี้พี่จะให้แม่มาพูดเรื่องแต่งงาน”
เขาตะโกนบอกก่อนที่ประตูจะปิดลง ณัฐชายิ้มขณะเดินกลับห้อง หัวใจเต็มไปด้วยความสุขและความหวังในอนาคตที่จะมาถึง
เช้าวันใหม่ที่บ้านณัฐชา อากาศสดชื่นและอบอุ่นเหมือนกับบรรยากาศภายในบ้านที่เต็มไปด้วยความรักและความหวังใหม่ของหนุ่มสาวที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน บ้านที่ใกล้จะมีงานมงคลในเร็วๆ นี้ บรรยากาศในห้องรับแขกเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการพูดคุยอย่างอบอุ่น
“รพีวันนี้วันดี ฉันอยากขอหนูณัฐชาให้กับหัสนัยน์ลูกชายของฉัน พอจะยกลูกสาวให้ฉันได้ไหม”
ศรีสุภาถามด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความดีใจ
“ฉันยกให้ได้ แต่ลูกสาวฉันเขาเต็มใจแต่งกับลูกชายเธอหรือเปล่า?”
รพียิ้มแล้วมองไปที่ณัฐชาอย่างอ่อนโยน
“ยังไงดีลูก เขามาขอแต่งงานแล้วนะ จะตกลงแต่งกับเขาไหม?”
อาคมถามลูกสาวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“แต่งค่ะ”
ณัฐชายิ้มตอบอย่างเขินอาย รอยยิ้มของเธอสะท้อนถึงความสุขที่แอบซ่อนอยู่ในใจ หัสนัยน์จับมือเธอไว้อย่างอ่อนโยนและมองตากันด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่
“ขอสะใภ้แถมหลานตัวเล็กนะศรีสุภา”
รพียิ้มขึ้น เมื่อได้ยินคำนี้ ศรีสุภาถึงกับตาโตและตกใจ
“แสดงว่าหนูณัฐชาท้องเหรอ… ขอบคุณมากที่มีหลานให้แม่”
ศรีสุภาดีใจสุด หัวใจของเธอเต้นแรง เพราะเฝ้ารอวันนี้มานาน
“คุณย่าคุณยายมาช่วยกันเลี้ยงเลยนะพวกเรา”
รพีพูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักและความภาคภูมิใจ
“อาทิตย์หน้าเราแต่งเลยนะครับ”
หัสนัยน์พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ รอยยิ้มของเขายิ่งเติมเต็มบรรยากาศแห่งความสุข
“โห เจ้าบ่าวใจร้อนจริงๆ ให้น้องแต่งก่อนเลย แต่ปีหน้าคิวผมแล้วนะ”
ณัฐพลกล่าวพร้อมยิ้มอย่างขบขัน ทุกคนหัวเราะอย่างมีความสุข และบรรยากาศอบอุ่นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากทั้งสองครอบครัวที่พูดคุยกันเรื่องงานแต่งงานอย่างยินดี
วันแต่งงานมาถึง...
ณัฐชาขอจัดงานแต่งเล็กๆ ที่บ้าน ภายในงานเต็มไปด้วยความเรียบง่ายแต่ดูอบอุ่นและน่ารัก โต๊ะสีขาวพร้อมม่านขาว ประดับด้วยแสงไฟและดอกไม้ขาวที่สร้างบรรยากาศโรแมนติก เวทีไม้ทำให้พิธีดูเรียบง่ายแต่ทรงพลัง
เจ้าบ่าวเดินไปยังห้องแต่งตัว เมื่อเขาเห็นณัฐชาจากด้านหลัง เธอสวยสง่าตามที่เขาจินตนาการไว้ในความฝัน ชุดเจ้าสาวเกาะอกสีขาวที่เข้ารูปกระโปรงยาวหางปลา ปักด้วยเพชรระยิบระยับระยิบ ร้อยดอกไม้ขาวประดับอยู่บนผมอย่างลงตัว และเครื่องเพชรที่คอทำให้เธอดูเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยาย
เขาเดินเข้าใกล้เธอ เขามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความชื่นชม เธอมองเขาในชุดสูทสีดำ รอยยิ้มของเขาทำให้โลกทั้งใบหยุดนิ่ง ช่วงเวลานี้เหมือนมีแค่พวกเขาสองคน เขาคุกเข่าต่อหน้าเธอและจับมือเธอมาจูบเบาๆ
“ขอบคุณที่ทำให้ผมมีวันนี้ ขอบคุณที่เข้ามาเติมเต็มในชีวิตผม ขอบคุณที่คุณพร้อมให้กำเนิดหัวใจเล็กๆ ที่เชื่อมความสัมพันธ์ของเรา และขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างนะครับณัฐชา”
หัสนัยน์พูดด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยความรู้สึกจากใจจริง ณัฐชายิ้มและดึงเขายืนขึ้น
“ขอบคุณเช่นกันค่ะ ขอบคุณที่พี่พยายามทำให้เราได้รักกันอีกครั้ง”
เธอพูดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสุขและความรักที่เอ่อล้นออกมา เขากอดเธอแน่นและจูบเบาๆ บนหน้าผาก
“พี่รักณัฐชามาก และจะรักเธอตลอดไป” เขากระซิบข้างหู เธอยิ้มอย่างมีความสุข
“ไปกันเถอะค่ะ แขกในงานรอเราอยู่”
ณัฐชาพูดพร้อมจับมือเขา เดินออกไปยังห้องจัดงาน เสียงปรบมือดังกระหึ่มทั่วสวนทุกคนกล่าวคำยินดีให้กับบ่าวสาว
ทั้งคู่ยิ้มให้กันในขณะที่เดินเคียงข้างกัน ความรักที่มีกำลังส่องสว่างเหนือทุกความขัดแย้งและความเจ็บปวดที่เคยผ่านไปแล้ว สัญญาที่พวกเขาทั้งคู่มีต่อกันคือการรักกันตลอดไป แม้ในยามที่ทุกอย่างดูมืดมน แต่ในที่สุดความรักก็จะคอยลบเลือนทุกความแค้นไป
จบบริบูรณ์.....
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
"นัยน์ ลูกไม่ต้องห่วงแม่กับน้องนะ เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน..."เสียงศรีสุภาสั่นเครือ เธอกุมมือลูกชายแน่น น้ำตาคลอเต็มดวงตา แต่ใจรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการที่สูญเสียสามีไปอย่างกะทันหัน ไม่มีใครรู้ได้ว่าสามีของเธอจะตัดสินใจเลือกจบชีวิตตัวเองแบบนี้“ครับแม่” เราจะผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ ผมสัญญา....มันจะต้องได้ชดใช้ให้กับครอบครัวของเราอย่างสาสม"หัสนัยน์เขาต้องรับหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัวทันทีหลังจากพ่อของเขาจากไป ทิ้งหนี้สินกว่า 20 ล้านบาทให้เขาและครอบครัวต้องเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้ายหัสนัยน์หนุ่มวัย 29 ปี สูงโปร่งด้วยความสูงประมาณ 180-190 เซนติเมตร ผิวขาวเนียน รูปร่างสมาร์ต ใบหน้าหล่อคม จมูกโด่งสันคมชัดเหมือนรูปสลัก มีเคราบาง ๆ แลดูมีเสน่ห์ บวกกับมีบุคลิกที่ดูมั่นใจ ดีกรีการศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศด้วยความเก่งและมุ่งมั่นของเขาจึงเป็นที่จับตามองในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ความรู้ที่เขาได้เรียนรู้มาผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และความกล้าหาญ ทำให้เขากล้าตัดสินใจ ใช้เงินก้อนสุดท้ายตั้งบริษัทเล็กๆ เป็นของตัวเอง แม้จะเป็นการเริ่มต้นที่เสี่ยง แต่ในเวลาเพียง
บ้านณัฐชา...ในบ้านหลังใหญ่สองชั้นที่แสนเงียบสงบ ห้องรับแขกกว้างขวางอบอุ่นด้วยแสงแดดอ่อนที่สาดลอดหน้าต่างเข้ามา อาคม ชายวัย 60 ปีนั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดมือหนึ่งถือแก้วกาแฟอุ่น ๆ อีกมือวางอยู่บนเข่าพลางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างดวงตาเขาเปี่ยมไปด้วยความคิดคำนึง ย้อนนึกถึงวันวานและเพื่อนรักผู้ล่วงลับ ความทรงจำยังชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน เขาจำได้ทุกคำพูด ทุกเสียงหัวเราะ และทุกช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันกับเพื่อนคนนั้นเพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ จนถึงวันนี้ก็ครบรอบสามปีพอดีที่เพื่อนรักของเขาลาจากโลกนี้ไปขณะที่อาคมกำลังจมอยู่ในห้วงอดีตหัวใจของเขาเต็มไปด้วยทั้งความคิดถึงและความว่างเปล่า เสียงเรียกเบา ๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ขัดจังหวะความคิดของเขา“พ่อค่ะ...” ณัฐชา...หญิงสาวในวัย 25 กว่า ๆ หน้ารูปไข่ได้รูป ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงตากลมโตแฝงเสน่ห์ดึงดูด ราวกับมีแสงดาวสะท้อนในแววตา จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่ม มีสีชมพูเหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้มผมยาวสลวยเงางาม ดุจเส้นไหม เธอมีรูปร่างอรชร เป็นที่ฮือฮาของหนุ่มๆ เธอเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง และกำลังจะเข้าไปเรียนรู้งานในบริษัทใหม่ของ
หัสนัยน์เริ่มวางแผนอย่างแยบยลเพื่อเข้าใกล้ณัฐชา เขาตระหนักว่าการทำลายนายนิคมไม่ใช่แค่เรื่องเงินทองเท่านั้น แต่เป็นการทลายทุกสิ่งที่เขาหวงแหน นี่สิที่จะทำให้นายนิคมทรมารเหมือนตกนรกที่จอดรถคอนโดณัฐชาสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านช่องตึกในยามค่ำคืน สร้างบรรยากาศอันน่าวังเวง หัสนัยน์ยืนพิงรถยนต์สีดำสนิทที่จอดนิ่งอยู่ในลานจอดรถของคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านในเมืองเขายืนที่นี่มาสักพักใหญ่ ๆ ในใจเขาแฝงไปด้วยไฟแค้นที่ไม่อาจดับได้ แสงไฟส่องกระทบไปยังตัวเขา เผยให้เห็นสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาเย็นชา ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นไม่นานนัก รถยนต์อีกคันแล่นเข้ามาก่อนจะจอดที่ตำแหน่งใกล้เคียงเอี๊ยด!เสียงประตูรถถูกเปิดดัง แอ๊ด เผยให้เห็นเงาหญิงสาว รองเท้าส้นสูงของเธอสัมผัสพื้นปูน ดังกึก.. กึก.. ก่อนที่ประตูจะถูกปิดดัง ปัง!เธอหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ท่ามกลางความเงียบงัน หัสนัยน์ขยับตัวไปข้างหน้า เปิดประตูรถของเขา และฉุดเธอขึ้นไปอย่างรวดเร็ว“ช่วยด้วย”“คุณจะทำอะไร! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงของเธอสั่นเครือด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เธอพยายามดิ้นรนสุดกำลัง เพื่อหลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่าหวาดกลัว แ
เวลานี้ดึกมากแล้ว ณัฐชาสูญเสียพลังงานจากการทำงานทั้งวัน เธอหิวและง่วงมากจนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหลับไปในทุกๆ นาทีร่างกายเหนื่อยล้า แต่ความคิดถึงอาหารยังคงรบกวนสมอง เธอทานขนมชิ้นเดียวตอนกลางวัน และมันไม่อาจเติมเต็มความหิวได้เลย"ฉันหิวมาก...เราหาอะไรทานก่อนได้ไหมคะ" เสียงของเธอดังขึ้นอย่างเบาๆ แต่ในนั้นก็มีความออดอ้อนเล็กน้อย เหมือนจะคอยทวงความเอาใจใส่จากเขาแต่คำพูดของเธอก็หายไปในอากาศที่เย็นและเงียบสงบ เขายังคงเงียบ ไม่ตอบอะไรเขาเอื้อมมือไปข้างหลังเบาะรถหยิบขนมปังออกมาจากกระเป๋า แล้วมันก็ถูกโยนลงบนตักของเธออย่างไม่แยแส"เอ้านี่...กินสะ;" เสียงเขาห้วน ๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คำสั่งที่มาจากความโกรธ หรือความไม่พอใจจริงๆ มากนัก เธอมองขนมปังที่อยู่บนตัก รู้สึกเหมือนมันเป็นสัญลักษณ์ของความปรานีที่เขามอบให้แม้คำพูดของเขาจะไม่สุภาพนัก แต่มันก็ช่วยให้เธอรู้สึกว่าความใจร้ายของเขาไม่ได้ครอบงำเขาไปทั้งหมดเธอยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยน มันเป็นรอยยิ้มที่สะท้อนความรู้สึกขอบคุณที่เธอไม่อยากให้เขาเห็น แต่เธอก็พูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยประชด"ขอบคุณค่ะ... ที่ยังปรานีฉัน"แต่ทันทีที่พูดจบ เขา
บ้านไม้กลางป่าภาคเหนือเวลา 02.30 น. รถหยุดนิ่งที่ลานกว้างของบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่ง ล้อมรอบด้วยความมืดสนิท มีเพียงเสียงจิ้งหรีดและลมพัดใบไม้ที่ให้บรรยากาศชวนสะพรึงหัสนัยน์เปิดประตูรถก่อนจะเดินอ้อมมาด้านข้างเพื่อเปิดประตูรถและปลุกณัฐชาให้ตื่นทันที เสียงของเขาทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที"ลงมา" เขาสั่งเสียงเรียบ แต่หนักแน่นเธอลังเล...แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก ขณะก้าวลงจากรถ ความหนาวเย็นของลมกลางคืนทำให้เธอตัวสั่น มือของเขาจับต้นแขนเธอไว้แน่นเหมือนจะย้ำว่าเธอหนีไม่พ้นเนื้อมือเขาแน่นอนเขาลากเธอไปยังประตูบ้านพัก แสงไฟสลัวจากดวงไฟเก่าๆ ที่ติดอยู่หน้าบ้านเผยให้เห็นบ้านหลังใหญ่ที่เหมือนถูกทอดทิ้งมานาน แต่บ้านเหมือนพึ่งผ่านการทำความสะอาด พื้นไม้ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปข้างใน พาเธอเข้าไปในห้องนอนในห้องที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหอบหายใจของณัฐชาที่สั่นไหว ร่างกายของเธอแทบไร้เรี่ยวแรงหลังจากที่เขาผลักเธออย่างแรง เธอเซถลาไปข้างหน้าร่างบอบบางแทบจะปลิวตามแรงเหวี่ยง หากไม่ใช่เพราะเตียงนุ่ม ๆ คอยรับไว้ เธอคงลงไปกองกับพื้นอย่างน่าสังเวชดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้าง สั่นสะท้านด้
“เลิกร้องไห้สักที... รำคาญ” เขาพูดลมหายใจอุ่นร้อนรดต้นคอ ของเธอ เธอมองค้อนไปที่เขา และดึงผ้าห่มมาพันร่างกายเพื่อปิดบังเรือนร่าง แล้วลุกขึ้นทันที“โอ๊ย!” เธอเกือบล้มลงเพราะรู้สึกเจ็บหน่วงท้องน้อยอย่างรุนแรง ทำให้แทบจะทรงตัวไม่ได้ เขาตกใจมากที่เห็นเธอมีอาการแบบนี้“ณัฐชา... เป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหน” เขาเผลอเรียกชื่อเธอด้วยความห่วงใย หญิงสาวทำหน้าบึ้งตึงใส่เขาเขารู้สึกเขิน เลยทำหน้านิ่งเข้มขรึม เบี่ยงเบนสายตาไปอื่น“เรื่องของฉัน...คุณไม่ต้องยุ่ง” เขารู้สึกได้ว่าที่เธอเป็นแบบนี้ เพราะการกระทำที่รุนแรงของเขา“ไปอาบน้ำไป...จะได้กินข้าวกินยา” เสียงห้วนของเขาดังขึ้นเหมือนคำสั่งณัฐชาได้แต่เบ้ปากน้อย ๆ ด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเลี่ยงไม่ได้เขายิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ขณะมองกิริยาน่ารักแต่ดื้อรั้นของหญิงสาว แต่ลึก ๆ ในใจยังคงมีความขัดแย้งระหว่างความแค้นและความรู้สึกอื่นที่ไม่อาจยอมรับได้“ยิ้มทำไมวะ เจ้านัยน์... นั่นมันลูกศัตรูนะเว้ย” เขาพึมพำกับตัวเองในครัว...ณัฐชามองสำรวจภายในตู้เย็น เธอแทบไม่เคยเข้าครัวทำอาหารมาก่อนเลยในชีวิต เธอหยิบขนมปัง แฮม และน้ำสลัด จากตู้เย็นออก
บ้านณัฐชา...“พลลูก... หลายวันมานี้ทำไมน้องไม่กลับบ้านเลย” รพีเอ่ยถาม น้ำเสียงเคร่งเครียดณัฐพลที่นั่งอยู่บนโซฟา วางโทรศัพท์ลง แล้วหันไปมองมารดา“น้องน่าจะอยู่คอนโดนั่นแหละครับแม่... ช่วงนี้ผมงานยุ่งมาก ๆ ไม่ค่อยได้ติดต่อน้องเลยครับ”คำตอบของลูกชายไม่ได้ช่วยให้หัวใจแม่เบาใจลงเลย สีหน้าของเธอยังคงแสดงถึงความไม่สบายใจอย่างมาก“แต่ปกติแล้วน้องจะโทรหาแม่ตลอดนะพล นี่ก็หลายวันแล้ว... ทำไมไม่โทรมาบ้าง เหลวไหลใหญ่แล้ว เจ้าลูกคนนี้”ณัฐพลถอนหายใจเบา ๆ “อย่าห่วงเลยครับแม่ ขานั้นถ้าไม่นอนอยู่ห้อง... ก็คงหนีไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ของเขาครับ”รพีกัดริมฝีปากแน่น มือที่จับผ้าพันคอที่ถักอยู่เริ่มบิดเบี้ยวไปมา “แต่มันแปลกนะลูก แม่มีลางสังหรณ์ไม่ดีเลย... พลลองโทรไปหาน้องหน่อยได้ไหม?”ณัฐพลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเบอร์ของน้องสาวทันที เสียงสัญญาณดังอยู่พักใหญ่ แต่ไม่มีใครรับสาย เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย“แปลกแฮะ น้องทำไมไม่รับสายเลย”“แม่ก็พยายามโทรหลายครั้งแล้วก็ไม่รับสายแม่...”แม่ยิ่งดูเป็นกังวล เธอลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมาในห้องอย่างร้อนใจ“พลลูก แม่ว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆ ... เราลองไปที่คอนโดน้องดูเถอะ
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
เช้าตรู่วันใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนโยน หัสนัยน์ถือถุงขนมเดินเข้ามาในบ้านของณัฐชา เขาพยายามรวบรวมความกล้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า วันนี้แม่ทำขนมมาให้ ผมเลยเอามาฝากครับ”เขากล่าวเสียงนุ่มนวลพลางยื่นถุงขนมไปวางบนโต๊ะ รพีหันมายิ้มรับด้วยท่าทางใจดี“ของโปรดณัฐชาเลย ขอบคุณมากนะ ฝากขอบคุณแม่เราด้วยล่ะนัยน์”“ได้เลยครับ”หัสนัยน์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาก็ยังมองหาณัฐชาอย่างลุ้นๆ“แล้วณัฐชาอยู่ไหนเหรอครับ?”อาคม ผู้เป็นพ่อของณัฐชา เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ พลางพยักหน้าไปทางสวนหลังบ้าน“น่าจะอยู่ที่สวนข้างบ้านนะ”“ขอบคุณครับคุณลุง”หัสนัยน์โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนหยิบขนมที่ถูกจัดใส่จานแล้วเดินตรงไปยังสวนทันทีที่สวนข้างบ้านในสวนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ณัฐชากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เธอเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของหัสนัยน์ดังใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วทันที“แม่พี่ทำขนมที่ณัฐชาชอบมาให้ ลองทานหน่อยนะ”เสียงของหัสนัยน์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาพยายามยื่นจานขนมไปตรงหน้าเธอ ณัฐชาลุกข
คอนโดณัฐชาเสียงเบรกดังเอี๊ยดทำลายความเงียบในลานจอดรถ หัสนัยน์รีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ รัวนิ้วกดหมายเลขชั้นของณัฐชาอย่างไม่รอช้า ในใจเขาสับสนวุ่นวาย คำพูดมากมายผุดขึ้นแต่ไม่มีคำไหนที่รู้สึกว่าเหมาะสมจะเอ่ยออกไปเมื่อพบเธอเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของณัฐชา เขายกมือกดกริ่ง เสียงเรียกดังสะท้อนอยู่ในโถงเงียบสงัด เขายืนรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หัสนัยน์ถอนหายใจ รู้สึกถึงน้ำหนักของความเงียบที่กดทับหัวใจ เขาพึมพำกับตัวเองว่าเธออาจโกรธเขาและไม่อยากพบหน้า แต่เขาไม่อาจรอได้นานไปกว่านี้ภายในห้อง เสียงกริ่งดังมาถึงในขณะที่ณัฐชากำลังอาบน้ำอยู่ เธอไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าคนที่มาอาจเป็นพ่อแม่ ซึ่งมีคีย์การ์ดเปิดห้องอยู่แล้ว เธอค่อยๆ ปล่อยให้น้ำอุ่นชะล้างความเหนื่อยล้าของวัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเขาหัสนัยน์มองประตูที่เงียบงัน ก่อนหยิบคีย์การ์ดจากกระเป๋าออกมา เขามองมันชั่วครู่ด้วยความลังเล ก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องยังคงอบอุ่นและมีกลิ่นหอมจางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เขากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้
บ้านณัฐชา…บรรยากาศภายในบ้านของณัฐชานั้นอบอุ่นและน่าอยู่ เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบง่ายเข้ากับผนังสีครีม สายลมเย็นจากหน้าต่างที่เปิดรับวิวสวน พัดพากลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่น ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่รู้สึกผ่อนคลาย“สวัสดีจ้ะ รพี อาคม ไม่ได้เจอกันนานพวกเธอเลยนะ” ศรีสุภาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มที่แม้จะพยายามปกปิดความกังวลไว้ แต่ก็มองออกได้จากดวงตาที่ฉายแววร้อนใจ หัสนัยน์และพราวฟ้ารีบยกมือไหว้ทั้งสองตามมารยาท“สบายดีจ้ะ... เข้ามาๆ” รพีตอบกลับอย่างใจเย็น แต่แววตาของเขาไม่ได้หลุดพ้นจากความครุ่นคิดขณะผายมือเชิญแขกเข้ามานั่ง เมื่อทุกคนประจำที่นั่ง ศรีสุภาก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความหนักแน่น“คือฉันจะมาขอโทษทั้งสองที่ลูกชายของฉันทำผิดต่อลูกสาวของพวกเธอ พวกเราพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง พวกเรารู้สึกผิดจริงๆ” คำพูดของเธอเรียบง่ายแต่กดดัน หัสนัยน์นั่งตัวตรง ขณะที่พราวฟ้ากุมมือแม่แน่นเพื่อให้กำลังใจบรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด อาคมที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่ก่อนหน้านี้โน้มตัวมาข้างหน้า ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาจ้องมองไปยังหัสนัยน์ราวกับค้นหาคำตอ
เช้าวันนั้นณัฐชาตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าที่ยังเกาะกุมร่างกาย เธอมองไปรอบห้อง ไม่เห็นวี่แววของหัสนัยน์ ใจคิดว่าเขาคงอยู่ในห้องหนังสือหรือสวนหลังบ้าน เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่าย เมื่อเดินลงมาถึงห้องครัว สายตาของเธอสะดุดกับอาหารเช้าบนโต๊ะ มีโน้ตเล็กๆ วางอยู่ใกล้ๆ“ผมเตรียมอาหารไว้ให้...เดี๋ยวผมกลับมา ไม่ต้องกลัวนะ” ณัฐชาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบ้ปากทันที“คิดจะทำความดีจะทำดีไถ่โทษเหรอ? ...ไม่มีทาง” เธอพึมพำ แต่ลึกๆ ก็แอบคิดว่าเขาอาจเริ่มใจอ่อนลงกับความแค้นที่เขามี เพราะช่วงนี้เขาดูไม่ได้โหดร้ายมาก เว้นแต่ในบางเรื่องที่เขาเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพความทรงจำในวันแรกที่เธอมาที่นี่ผุดขึ้นในหัว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีวิตของเธอช่างน่าเศร้า รักเขา แต่เขากลับมองเธอเหมือนเป็นเพียงที่ระบายอารมณ์ ณัฐชาไม่รู้ว่าควรจะรักหรือเกลียดเขาดี ความสับสนถาโถมเข้ามาในหัวใจจนเธอรู้สึกอึดอัด“ตราบใดที่คุณยังคงมีความแค้น เราทั้งสองก็คงเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้” เธอพึมพำเบาๆ แล้วมองออกไปยังสวนหลังบ
ท่ามกลางป่าลึกในยามค่ำคืน เงาไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมราวกับจะกอดรัดทุกสรรพสิ่ง ความหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบสงบ เสียงของเหล่านกกลางคืนที่ส่งเสียงร้องประสานกับเสียงจิ้งหรีดและแมลงป่าดังรอบทิศทาง ในบ้านหลังนี้ มีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวอาศัยอยู่กันเพียงสองคน“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” หัสนัยถามณัฐชาด้วยน้ำเสียงห่วงใย“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ฉันจะอยู่จองเวรจองกรรมกับคุณไปอีกนาน” เธอจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น“โอเค...เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้ว” เขายิ้มที่มุมปาก“งั้นคืนนี้ก็บำเรอผมต่อแล้วกัน…คุณป่วยตั้งสองวัน ผม…อยาก...” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีความนัย เธอขมวดคิ้ว กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มของเขามีความหมายริมฝีปากของเธอเม้มแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่จะเก็บอารมณ์ไว้ลึกสุดใจ ดวงตาจับจ้องเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะเมินหน้าหนีอย่างไม่แยแส“ฉันจะไปอาบน้ำ หลบ!” เธอมองค้อน ผลักเขาออกจากเตียงทันที“อาบน้ำเสร็จรีบมากินข้าวกินยาด้วย รีบหายเร็วๆ ผมใจจะขาดอยู่แล้ว” หัสนัยพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท“ไอ้บ้าเอ๊ย…ฉันเกลีย