กัสกำลังเดินกลับห้องเช่าด้วยอารมณ์ไม่มีความสุขเท่าไร เพราะยังค้างคาอยู่ไม่หายหลังจากหงุดหงิดเมื่อคืน ในระหว่างกำลังออกจากประตูรั้วมหาวิทยาลัย เขาก็ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย
“กัสขึ้นมาบนรถเร็ว พี่จอดได้ไม่นาน”
กัสไม่มีเวลาคิดอะไร เพราะเขามองไปด้านหลังมีรถจอดรถสองสามคัน กัสจึงวิ่งอ้อมไปข้างหน้าขึ้นไปบนรถ หลังจากนั้นพีคก็แล่นรถออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัย
“ทำไมวันนี้เดินคนเดียวล่ะ”พีคเอ่ยขึ้น
“เขื่อนไปทำงานครับ”
“เอ่อ ใช่ พี่ก็ลืมไปเลย ดีเหมือนกันพี่จะได้ส่งกัสที่ห้อง”
“พี่พีคไม่น่าลำบากเลย เพราะกัสขึ้นรถเมล์กลับเป็นประจำอยู่แล้วนี่”
“พี่อยากทำความรู้จักกับกัสให้มากขึ้น เพราะเราต้องเล่นละครด้วยกันอีกหลายเดือน”
“กัสไม่น่ามีอะไรให้รู้จักหรอก กัสเป็นคนแบบนี้แหละ ใครๆเห็นก็รู้ว่าเป็นคนอย่างไง”
“ไม่ได้หรอก พี่ต้องรู้ให้ลึกรู้ให้จริง รู้ให้ถึงใจของกัสว่ากำลังคิดอะไรอยู่”พีคหันมายิ้มให้กัส
“จะรู้ใจของกัสไปทำอะไรกันล่ะครับ”
“ต้องรู้สิ เพราะในละครเวทีเราเล่นเป็นแฟนกันนี่”
“แต่ในละครพี่พีครักทั้งสองคนเลย”
“ละครก็ส่วนละครซิในชีวิตจริงพี่รักคนเดียวเท่านั้นแหละ”
“กัสจะพยายามเชื่อนะครับ”กัสยังมีสีหน้านิ่งอยู่เหมือนเดิม
“ทำไมไม่เชื่อพี่ล่ะ”พีคหันมามองหน้ากัสแว่บหนึ่ง
“สายตาของพี่ดูเจ้าชู้นะ ”
“รู้ขนาดนั้นเชียว ทีแรกพี่ว่าเขื่อนเป็นคนพูดตรงๆ แต่กัสนี่ตรงมากกว่าอีก ตรงแบบไม่กลัวคนฟังจะโกรธเลยนะ”
“กัสขอโทษที่พูดอะไรแบบนั้นไป”
“พี่พูดเล่น อย่าจริงจังเลย เอาเป็นว่าถึงอย่างไรพี่ก็ต้องทำความรู้จักกัส ให้มากกว่านี้อย่างแน่นอน”
กัสไม่พูดอะไรต่อได้แต่นิ่งเงียบ ในส่วนของกัสลึกเขาก็รู้สึกดีที่ได้ใกล้ชิดพีคคนที่เขาแอบชอบ ส่วนพีคนั้นก็พยายามหาเรื่องมาพูดคุยกับกัสต่อ
“พรุ่งนี้แล้วเนาะที่เราต้องซ้อมละครกัน กัสได้เตรียมตัวอะไรบ้าง”
“กัสแค่จำบทให้ได้แค่นั้น ส่วนเรื่องการแสดงต้องให้พวกพี่ๆสอนให้ครับ”
“จำได้หมดเลยเหรอ”
“ครับจำได้หมด”
“กัสคิดว่าจะเล่นได้ไหมล่ะ”
“ได้ บางอย่างมีความใกล้เคียงกัส”
“ใช่ บทนี้ใกล้เคียงกับกัสนะ”
“พี่พีครู้ได้ไงว่าใกล้เคียงกัส เพราะบทนี้ร้ายลึกนะ”
“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น พี่เห็นกัสเรียบร้อยเหมือนอย่างในบทละคร”
“อ่อ ครับ”
“กัสนี่น่าค้นหามากเลย เห็นนิ่งๆแต่พูดออกมาแต่ละคำเด็ดมาก พี่ซักชอบแล้วซิอยากทำความรู้จักให้มากกว่านี้ ไม่รู้ว่ากัสจะยอมหรือเปล่า”
“ไม่ใช่อยู่ที่กัสอยู่ที่พีคมากกว่า”
“ถ้างั้นพี่ลุยเลยนะ พี่อยากรู้จักกันให้มากกว่านี้”
กัสไม่พูดอะไรต่อเพราะเขินอาย ส่วนพีครู้สึกดีที่ได้ทำความรู้จักกัสได้มากขึ้น และเห็นบางมุมของกัสที่ตรงข้ามกับภายนอกที่เขามองเห็น
“ถึงห้องของกัสแล้วครับ”
“ถ้างั้นพี่ส่งแค่นี้นะ พรุ่งนี้เจอกันที่ห้องซ้อมละคร พี่จะรอน้องกัสที่นั่น”
“ขอบคุณครับ”
กัสอมยิ้มลงจากรถไปด้วยใจที่ชุ่มชื่น ส่วนพีคมองกัสที่ดูเรียบร้อยแต่ลึกจนน่าค้นหา เขาอมยิ้มสักพักและขับรถออกไป
กัสเข้ามาในห้องนอนด้วยอารมณ์ดี เขาจึงรีบอาบน้ำและมานั่งหน้าโน๊ตบุ๊ค เพื่อมาเขียนนิยายของเขาต่อทันที และในค่ำคืนนี้ความคิดเขาได้เปลื่ยนไปอีกครั้ง
ในระหว่างที่เสือเข้มโจรหนุ่มกำลังเงื้อมดาบฟันหลังของยิวอยู่นั้น แม่ทัพวิศรุฒได้ปืนขึ้นมาบนหน้าต่างและได้เห็นภาพตรงหน้า เขาจึงรีบลงจากหน้าต่าง แล้วกระโดดถีบเสือเข้มจนกระเด็นดาบหลุดมือ
“ท่านแม่ทัพ”ยิววิ่งเข้าไปหาแม่ทัพวิศรุฒทันที
“ไปกันเร็ว”แม่ทัพวิศรุฒให้ยิวขี่หลัง
“มึงเป็นใคร”เสือเข้มยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้น แม่ทัพวิศรุมถีบล้มลงอีกครั้ง
ในช่วงที่เสือเข้มพลาดท่าล้มลงอยู่นั้น แม่ทัพวิศรุฒจึงพายิวกระโดดลงจากหน้าต่าง โดยมียิวขี่คอกอดไว้แน่น เมื่อถึงพื้นดินเขาจึงวิ่งหายลับเข้าไปในป่าท่ามกลางความมืด ส่วนเสือเข้มลุกยืนวิ่งไปที่หน้าต่างแต่ก็ไม่ทันการณ์ เพราะทั้งสองได้หายไปกับความมืด
เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สร้างความแค้นเคืองแกเสือเข้มอย่างมา เขาไม่สามารถที่จะบอกใครได้ในเรื่องนี้ เรื่องยิวไม่ใช่ผู้หญิงและอีกอย่างเขาพลาดท่าให้ชายหนุ่มที่มาช่วยยิวอีก ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูลูกน้องของเขา เสือเข้มกลัวเสียหน้ามากเขาจึงเก็บงำเป็นความลับ แต่อีกความรู้สึกเขารู้สึกเสียดายความงามของผู้ชายที่เหมือนสตรีไม่ผิดเพี้ยน เสือเข้มพยายามสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ชายจะรักกัน
แม่ทัพวิศรุฒพายิวมายังเรือลำไม่ใหญ่มาก มีเพียงทันทหารคนสนิท และทหารอีกสองคนที่อยู่ท้ายเรือ เมื่อถึงริมน้ำแม่ทัพวิศรุฒจึงก้มลงให้ยิวได้ลงจากหลังของเขา
“ขอบใจนายมากนะ”
“ยังไม่ต้องพูดอะไรหรอก ขึ้นไปบนเรือก่อนเถอะ”
ยิวเดินตามแม่ทัพวิศรุฒขึ้นไปบนเรือ โดยมีหลังคาเป็นใบไม้ขนาดใหญ่ ส่วนด้านข้างเป็นไม้ไผ่ปิดตีล้อมรอบเรือ โดยมีผ้าปิดไว้เป็นประตูเปิดเข้าออก
“ข้าบอกให้เอ็งรออยู่ในถ้ำ แล้วออกไปทำไมข้างนอก”แม่ทัพวิศรุฒเอ่ยขึ้นและนั่งลงกับพื้นเรือ
“เราไม่เห็นนายมาซักที ก็นึกว่าหนีเราไปแล้วไง”
“ข้าจะหนีเอ็งไปทำไม ข้าเป็นทหารพูดคำไหนคำนั้น และอีกอย่างข้าจะเอาเอ็งไปเป็นเมีย ข้าจะทิ้งเอ็งไว้ทำไมแค่นี้เอ็งคิดไม่ได้เหรอ”
“ข้าขอโทษ ข้าใจเร็วไปหน่อย”
“ไอ้โจรนั่นมันจับเอ็งไปทำอะไร”แม่ทัพวิศรุฒถามด้วยความสงสัย
“ตอนแรกมันหาว่าเราเป็นผู้หญิง มันก็เลยจะเอาข้าเป็นเมีย พอรู้ว่าเราเป็นผู้ชายมันเลยจะฆ่าเราไง”
“ทำไมเอ็งไม่บอกว่าผู้ชายก็เป็นเมียได้ เผื่อจะได้เป็นเมียโจร”
“ไม่ทันได้บอก”ยิวพูดไม่ทันคิด
“เอ็งนี่มันคนไร้ยางอาย เห็นเป็นผู้ชายก็จะจับทำผัวหมด”
“ท่านแม่ทัพ นายจะดูถูกเรามากเกินไปแล้วนะ”
“ข้าไม่ได้ดูผิดหรอก คนอย่างเอ็งเพื่อเอาตัวรอดยอมทำได้ทุกอย่าง”แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าที่ครุ่นเคืองไม่พอใจ เขาก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไมเขามีความคิดเช่นนั้น
“นายนี่มันบ้า เรายังไม่ได้เป็นเมียนายซักหน่อย ข้าก็ยังมีสิทธิที่จะไปกับคนอื่น”ยิวพูดขึ้นด้วยความโมโห
“ถ้างั้นก็ไปเลยไปหาไอ้โจรนั่นไปบอกมันเลย ว่าผู้ชายก็เป็นเมียได้ มันจะได้เอาเอ็งทำเมีย”
ยิวมองสีหน้าแม่ทัพวิศรุฒ ซึ่งเขาก็เห็นแววตาเคืองแค้นอยู่ในนั้น ยิวจึงไม่อยากเถียงเปลื่ยนมาตีเนียนเตาะแม่ทัพวิศรุฒแทน
“เราไม่ไปเราจะเป็นเมียท่านแม่ทัพ”
“ข้าไม่อยากได้เอ็งแล้ว คนหลายใจ ยังไม่ทันได้เป็นเมียก็แล่นหาผู้ชายไปทั่ว ถ้าได้เข้าไปในเมืองศิลานคร ซึ่งมีบุรุษเพศมากมาย เอ็งคงจะสมสู่ไม่เลือก”
“เพลี้ยะ”ยิวตบหน้าแม่ทัพวิศรุฒด้วยความโกรธ เพราะยิวอดใจไม่ไหวรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดที่ดูถูกเขา
“เอ็งบังอาจมาตบหน้าข้า ไม่เคยมีใครทำเช่นนี้กับข้า”แม่ทัพวิศรุฒจับมือของยิวบีบแน่น
“เราเจ็บปล่อยนะ”
“เอ็งบังอาจมาตบหน้าข้า ทำแค่นี้ถือว่ายังน้อยไป คืนนี้ข้าจะให้เจ้านอนนอกเรือ”แม่ทัพวิศรุฒลากดึงยิวให้ออกไปนอกห้องในเรือ
“เราไม่ไปข้าจะนอนที่นี่ ข้างนอกหนาวจะตาย”
“เอ็งตบข้า นี่คือการสั่งสอนและบทลงโทษ ไม่ฆ่าเอ็งก็บุญนักหนาแล้ว”
“ถ้านายไม่ปล่อย เราจะจับนายทำผัว”
“หึ”แม่ทัพวิศรุฒหยุดทันที
“อยากซิท่า”
“ใช่ แต่จะมาทำตรงนี้ไม่ได้ เอ็งนี่มันไร้ยางอาย คิดทำการสิ่งใดเลิกคิดได้เลย”
“ก็ได้ นายต้องปล่อยเราก่อน”
แม่ทัพวิศรุมปล่อยมือยิวอย่างเต็มใจ ส่วนยิวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะเขาพ้นจากไปนอนนอกเรือ ยิวพยายามใช้สายตาให้น่าเอ็นดูเข้าไว้ เพื่อให้แม่ทัพวิศรุฒใจอ่อนกับเขา
“นอนเถอะดึกแล้ว ”แม่ทัพวิศรุฒปูเสื่อฟางและล้มตัวลงนอนหนุมหมอนที่ทำจากลูกมะพร้าว แล้วเขาก็หยิบเสื้อที่วางข้างๆหมอนโยนให้ยิว
“หมอนข้าล่ะ”ยิวพูดพลางหยิบเสื้อขึ้นมาใส่
“เรื่องมาก ถ้างั้นมานอนหนุนแขนข้าก็ได้”แม่ทัพวิศรุฒกางแขนออก
ยิวลังเลและแปลกใจในตัวของแม่ทัพวิศรุฒ ที่ยื่นแขนเพื่อให้เขาได้หนอนหนุนแทนหมอน ยิวยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่หลังจากนั้นเขาก็ทำตามคำพูดของแม่ทัพวิศรุฒ ยิวจึงล้มตัวลงนอนบนแขนของแม่ทัพวิศรุฒ และนอนตะแครงหันหลังให้เขา ส่วนในใจของยิวนั้นคิดถึงหมอนนุ่มๆ ผ้าห่มอุ่นๆในห้องนอนของเขา
“รังเกียจข้าขนาดนั้นเลยเหรอ หันหน้ามาให้ข้าดูหน่อยซิ”
“จะดูทำไม”ยิวพลิกร่างนอนหงายทันที
“ทำไมจะดูหน้าว่าที่เมียข้าไม่ได้เหรอ”
“ได้ อยากดูก็ดูให้สมใจเลย”
“ดูแล้วก็เหมือนเดิม หันกลับไปได้แล้ว ข้าไม่อยากมองเอ็ง”คำพูดกับความรู้สึกของท่านแม่ทัพวิศรุฒนั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง เพียงเขาได้เห็นหน้าของยิวจิตใจของเขาได้หวั่นไหว จนอยากจะโอบกอดร่างของยิว แต่เขาก็ไม่กล้าทำเช่นนั้น
ยิวหันร่างตะแครงให้แม่ทัพวิศรุฒจนเขาหลับไปในที่สุด ส่วนแม่ทัพวิศรุฒนั้นนอนคิดเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไรเมื่อได้กลับบ้านเมืองของเขา และในช่วงเวลาไม่นานเขาก็หลับตามยิวไปในที่สุด
ยามเช้าแสงแดดสาดส่องเข้ามาภายในเรือ แม่ทัพวิศรุฒค่อยๆลืมตาขึ้นทีละนิด เมื่อเขารู้สึกตัว ก็พบกับยิวนอนตะแครงหันหน้ามาโอบกอดร่างของเขา ส่วนใบหน้าของยิวก็อยู่ติดชิดกัน ส่วนในตัวของเขานั้นก็โอบกอดร่างของยิวไว้ด้วยเช่นกัน
แม่ทัพวิศรุฒรู้สีกแปลกใจทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เป็นครั้งแรกที่เขาได้กอดผู้ชายในขณะเดียวกันเขาก็ไม่เคยโดนผู้ชายกอดมาก่อน ความรู้สึกของแม่ทัพวิศรุฒในช่วงเวลานี้ เขาอยากจะผลักร่างของยิวออก แต่เขามีความสุขที่ได้กอดร่างของยิวไว้ แม่ทัพวิศรุฒจึงยังไม่ปล่อยอ้อมกอดนี้ เขาจึงกอดไว้อยู่เช่นเดิม เพื่อรับความสุขที่ไม่เคยได้รับแบบนี้มาก่อน
“ท่านแม่ทัพตื่นได้แล้วมากินข้าวเช้า”ทันทหารคนสนิทเปิดผ้าม่านออกจนเผยเห็นภาพ แม่ทัพวิศรุฒนอนกอดกับยิวอยู่
แม่ทัพวิศรุฒได้สติคลายกอดยิวทันที และผลักร่างของยิวกระเด็นติดขอบเรือ หลังจากนั้นเขารีบลุกขึ้น
“แม่ทัพ”ทันอ้าปากค้าง
“มาผลักข้าทำไม กำลังฝันดีเลย”ยิวลุกขึ้นนั่ง
“ฝันถึงใครเหรอ หรือว่าฝันถึงท่านแม่ทัพ”ทันอมยิ้ม
“หุบปาก เดี๋ยวข้าออกไป”แม่ทัพวิศรุฒมองตาขวาง
“ขอรับ”ทันรับคำอมยิ้มปิดผ้าม่านทันที
แม่ทัพวิศรุมมองยิวด้วยใจที่สับสน เขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่มีให้ยิวนั้นใช่ความรักไหม เพราะแม่ทัพวิศรุฒยังคาใจเรื่องผู้ชายจะรักกันได้อย่างไร
กัสกับเขื่อนรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะวันนี้เป็นวันแรก ที่ทั้งสองต้องมาซ้อมบทละครกัน ซึ่งเขื่อนจะรับบทวินส่วนกัสรับบทนิว ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน และได้แอบหลงรักผู้ชายคนเดียวกันคือมีนรับบทโดยพีครุ่นพี่ชมรมละครเวที โดยมีเจนนี่เป็นผู้กำกับส่วนเกรซเป็นแอ็คติ้งโค้ช “ฉากแรกเป็นฉากพบรัก วินเดินมาชนมีนหน้าคณะวิศวะ เมื่อทั้งสองเดินชนกันปุ๊บ สายตาจะประสานจ้องมองกัน”เจนนี่อธิบายฉากต่างๆ โดยละเอียดให้ฟัง ส่วนเกรซนั้นจะมาสอนการแสดงอินเนอร์ที่ออกมาจากข้างใน กัสนั่งดูเขื่อนกับพีคอย่างมีนัยแอบแฝง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเป็นการแสดง แต่ในส่วนลึกของจิตใจเขายังแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับการแสดง ยิ่งเห็นพีคประคองร่างไม่ให้เขื่อนล้มลง กัสถึงใจสั่นโดยไม่รู้สาเหตุ “โอเค ผ่าน”เจนนี่สั่งหยุดทันที เมื่อเขื่อนและพีคเล่นฉากนี้จบ ในช่วงเวลานี้กัสยังเหม่อลอยมองเขื่อนและพีคด้วยความสับสน กัสยืนนิ่งใจล่องลอยไปไกล จินตนาการว่าถ้าเป็นตัวของเขาเองจะเล่นฉากนี้อย่างไร “น้องกัส ถึงคิวน้องต้องแสดงแล้วนะ มัวเหม่ออะไรอยู่พี่เรียกตั้งนานแล้วนะ”เจนนี่เดินเข้ามาใกล้ๆกัน
วันนี้กัสไม่มีบทซ้อมละครเพราะเป็นคิวของเขื่อน จึงทำให้ค่ำคืนนี้กัสรู้สึกหงุดหงิด แต่เขาก็ยังมีความหวังในวันพรุ่งนี้ เพราะกัสกับพีคจะซ้อมบทละครกันเพียงสองคน เพราะตามเนื้อเรื่อง นิวกับวินเป็นเพื่อนรัก และรักผู้ชายคนเดียวกัน ต่างคนต่างไม่รู้ว่าผู้ชายที่เขาทั้งสองมอบความรักให้นั้น เป็นคนเดียวกันจึงทำให้ทั้งสองได้แตกหักในเวลาต่อมา อย่างมองหน้ากันไม่ติดทีเดียว เมื่อกัสมาถึงห้องเขาจึงไม่รอช้า ใส่จินตนาการในนิยายของเขาด้วยอารมณ์ในขณะนี้ ก่อนเริ่มลงมือเขียนกัสสองจิตสองใจ กับเนื้อเรื่องที่ร่างไว้กับใส่ใหม่ ในที่สุดกัสตัดบทร่างเดิมทิ้งไปหมด เริ่มต้นเขียนตามอารมณ์ความรู้สึกทันที เสือเข้มผู้โหดเหี้ยมยังไม่หยุดตามราวียิว ผู้ซึ่งทำให้เขาได้รับความอับอายในใจ ที่หลงผิดคิดว่ายิวเป็นหญิงสาวรูปงาม เสือเข้มจึงบุกป่าฝ่าดงจนพบแม่ทัพวิศรุฒกับยิว เมื่อช่วงกลางวันที่ผ่านมา เขาเห็นทั้งสองออกมายืนอยู่หัวเรือ เสือเข้มจึงได้แต่รอเวลาโดยขี่ม้าตามสายน้ำในป่าไม่ลึกมาก จวบจนมืดค่ำเขาก็ได้เห็นเรือจอดริมฝั่ง เพื่อพักผ่อนยามค่ำคืน เสือเข้มผู้อำมหิตและมีเลห์กลเพทุบายหลากหลาย เข
เย็นนี้เป็นคิวของกัสที่รับบทวิน ซึ่งเป็นฉากมีนพาวินไปเที่ยว มีความคล้ายคลึงเมื่อวานที่มีนพานิวไปเที่ยว โดยความเป็นคนเจ้าชู้และมนุษย์สัมพันธ์ดีของมีน เขาจึงเริ่มคบทีเดียวสองคนทั้งวินและนิว เมื่อกัสและพีคซ้อมฉากไปเที่ยวเสร็จ พีคจึงต้องมาส่งกัสเช่นเดิมเหมือนอย่างที่มาส่งเขื่อนเมื่อคืน แต่มีสิ่งที่ไม่เหมือนกันคือพีคไม่ได้พากัสไปกินข้าว ในระหว่างที่อยู่ในรถกัสนั่งนิ่งเงียบ และรู้สึกแปลกใจทำไมพีคถึงไม่ทำเช่นเดียวกันเหมือนอย่างเขื่อน “วันนี้น้องกัสเก่งมากเลยนะ เล่นดีมากพี่เกรซไม่ต้องสอนเท่าไร พี่เจนนี่ยังชมกัสไม่ขาดปากเลย” “คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”กัสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะรู้สึกเคืองพีคเล็กน้อย “อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย พี่ว่าถ้าเรียนจบกัสไปเป็นนักแสดงได้นะ” “ไม่หรอกครับ กัสมีงานที่อยากทำอยู่แล้วครับ” “งานอะไรล่ะ” “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ครับ รอให้กัสทำสำเร็จก่อนเดี๋ยวจะบอกพี่พีคเป็นคนแรก” “พี่ก็นึกว่าจะบอกเขื่อนเป็นคนแรกซะอีก” “เขื่อนเขารู้อยู่แล้วว่ากัสทำอะไร แต่พี่พีค
วันหยุดนี้เขื่อนได้ออกไปจากห้องเช่าในขณะที่กัสยังไม่ตื่น เมื่อเขารู้สึกตัวก็พบแต่ความว่างเปล่า กัสไม่สามารถดาดเดาได้ว่าเขื่อนนั้นได้ไปไหนกับใคร แต่กัสก็ไม่สนใจอะไรเพราะในวันนี้เขาจะเขียนนิยายต่ออีกหลายตอน กัสจึงเริ่มต้นเขียนช่วงสายๆ หลังจากยิวและจันเด็กน้อยที่พึ่งรู้จักเดินตามขบวนจนจวบช่วงเวลาเย็น ซึ่งในตอนนี้นี่เองทุกคนต้องออกหาอาหารมากินเพื่อประทังชีวิต “พี่ชื่ออะไรน่ะ” “พี่ชื่อ เอ่อ โสภณ”ยิวไม่อยากบอกชื่อจริงออกไป เพราะเขาคิดว่าจันเด็กน้อยคนนี้อาจสงสัยอีกว่าทำไมไหมชื่อแปลก ยิวขึ้เกียจตอบคำตอบจึงเอาชื่อไม่แท้ที่เคยปลอมตัวมาเป็นชื่อของตัวเอง “ชื่อยังกับองค์ชาย”จันยิ้มร่ามองยิว “แล้วน้องชื่ออะไรล่ะ” “จัน” “จัน แล้วเราจะหาอะไรกินกันดีล่ะเย็นนี้” “เอาของมีค่าไปแลกก็ได้” ยิวยืนทำตาปริบๆเพราะเขาอดเสียดายแหวนทองเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ใช่ของเขาก็ตามที และรู้สึกผิดที่เอาของคนอื่นมาขายแลกอาหารประทังชีวิต “ถ้างั้นพาพี่ไปซื้ออาหารหน่อยได้ไหม แต่ดูของมีค่าของพี่ก่อนได้
เมื่อชายหนุ่มทั้งสองได้เดินจากไป ยิวรีบไปหาจันทันที พอเขาเห็นจันแค่นั้นแหละยิวแท่บน้ำตาไหล เพราะร่างกายของจันฟกซ้ำดำเขียว แล้วยังมีรอยผิวหนังไหม้เกรียมอยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นท่อนแขนและขา “จันเจ็บมากไหม”ยิวกอดร่างของจันไว้อย่างเอ็นดู “พี่ก็เจ็บด้วยใช่ไหม”จันร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ใช่พี่ก็เจ็บ แต่พี่โตแล้วและไม่ได้โดนหนักอย่างจัน แต่จันไม่ต้องกลัวนะอดทนเข้าไว้ พอไปถึงเมืองศิลานคร พี่จะให้ท่านแม่ทัพวิศรุฒหาหมอเก่งๆมารักษาจันเอง” “ขอบคุณพี่โสพลมากเลยครับ” ยิวไม่รู้จะจัดการกับแผลของจันอย่างไร เขาได้เพียงแต่หาผ้ามาพันแผลไว้ และในช่วงเวลาเดียวกันยิวต้องพาจันเดินทางไปยังเมืองศิลานครกับกลุ่มคนพวกนี้ด้วย ถึงแม้จะหิวปานใดทั้งสองก็ต้องอดทนเพื่อความอยู่รอดให้ได้ และเมื่อยิวได้ยินว่าอีกสองวันก็ถึงเมืองศิลานคร เขาดีใจอย่างมาก แต่ยิวก็ไม่รู้จะทนความหิวได้นานแค่ไหน เพราะตอนนี้เขาไม่มีอะไรเหลือที่พอจะขายได้เลย “ออกเดินทางได้แล้ว”หัวหน้าขบวนตะโกนเสียงดัง “เดินไหวไหมจัน” “ข้าเดินไหวอยู่แผลแค่
ในวันนี้กัสต้องอยู่ในมหาวิทยาลัย เพื่อซ้อมบทละครสองฉากสำคัญ ซึ่งซ้อมเฉพาะฉากของกัสกับพีคแค่นั้น ส่วนเขื่อนได้ซ้อมไปทุกฉากแล้วที่เข้าคู่กับพีค “น้องกัสวันนี้เป็นซ้อมใหญ่ฉากของนิวและมีนไหวไหม”เจนนี่ผู้กำกับละครเวทีพูดขึ้นด้วยความมั่นใจในความสามารถของกัส “ไหวครับ” “พีคล่ะ ไหวไหมซ้อมหนักทุกวัน”เจนนี่อมยิ้มนิดๆให้กับพีคเพื่อนหนุ่ม “โอ๊ย สบายมากยิ่งได้เล่นกับกัสเข้าขากันดี” กัสฟังคำพูดของพีคแล้วรู้สึกทะแม่งในใจ เพราะเขาและพีคไม่ได้สนิทกันเลย แค่ไปส่งที่ห้องเช่าอย่างเดียว ไม่เคยไปไหนมาไหนกับพีคเหมือนเขื่อน “เอาล่ะ เริ่มเลยนะ เอาตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเลย” “ครับกัสรับคำ” นิวนักศึกษาหนุ่มกำลังเดินตามหาวินที่คณะ เขาจึงไม่ได้มองทางเดินเท่าไรนัก เพราะใจของเขาอยากจะไปเจอเพื่อนไวๆ นิวจึงไม่ทันระวังจนไปชนนักศึกษาหนุ่ม จนร่างของขาเซล้มลงกับพื้น “โอ๊ย”นิวร้องด้วยตกใจและเจ็บก้นกบ “ผมขอโทษไม่ได้ตั้งใจ”มีนนักศึกษาหนุ่มนั่งยองๆยื่นมือให้นิว เพียงนิวเงยหน้ามองมีนเขาถึ
กัสผิดหวังพอสมควรที่พีคไม่ได้ชวนเขาไปเที่ยวไหน ตอนอยู่บนรถพีคก็ชวนกัสคุยตลอดทาง เป็นการคุยที่ไม่ใช่คนรักกันหรือแอบชอบแต่อย่างใด จึงสร้างความผิดหวังให้แก่กัสอย่างมาก เมื่อเขามาถึงห้องจึงรีบเขียนนิยายต่อทันที เช้าวันใหม่ยิวได้เห็นสภาพของจันที่หนาวจนตัวสั่น เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับจันในช่วงเวลานี้ เขาจึงเดินไปหาผู้คนมากมายที่อยู่ในขบวนเพื่อขอยา ก็ยังพอมีคนที่มีน้ำใจให้มาซึ่งยิวไม่รู้ว่ายานั้นจะได้ผลหรือไม่ ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่ปั้นเป็นยาลูกกลอน แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกยิวจึงรีบเอามาให้จันได้กินเดี๋ยวนั้นทันที “กินยาซะ” “ขอบคุณพี่มากเลย” “ไม่เป็นไรหรอกเราเป็นพี่น้องกัน เดี๋ยวตอนเย็นถึงเมืองศิลานครแล้ว พี่รับรองท่านแม่ทัพจะหาหมอเก่งๆมารักษาจันอย่างแน่นอน “ข้าจะรอ” ยิวมองจันกินยาอย่างยากเย็นเพราะเม็ดค่อนข้างใหญ่พอสมควร เมื่อจันได้กินยาเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังเมืองศิลานคร เพราะหัวหน้าขบวนได้ตะโกนบอกทุกคนให้ได้รับรู้ และเตรียมตัวเพื่อที่จะเดินทางต่อไป ความรู้สึกนึกคิดของยิวตอนนี้เขาไม่มั่นใจเล
กัสหยุดนิ่งไปยอมเขียนต่อ เพราะช่วงนี้จิตใจของเขายังว้าวุ่นอยู่มาก กัสจึงหยิบบทละครมาอ่านและทบทวน เพื่อจะได้เล่นให้ดีเป็นที่พึ่งพอใจแกพีค คนที่เขาแอบรักและฝันใฝ่หาอยู่ตลอดเวลาทุกเช้าบ่าย กัสจึงเริ่มอ่านตอนต่อจากเมื่อวานที่ได้ทำการซ้อมกัน นิวได้ตอบรับคำชวนของมีนไปดูหนังในค่ำคืนนี้ ทีแรกเขาก็ไม่กล้าไปแต่ในเมื่อใจของเขาต้องการจึงไม่ยากที่จะปฏิเสธความต้องการของตัวเองได้ ซึ่งในส่วนตัวของนิวก็ไม่ได้ชอบดูหนังเท่าไร แต่เมื่อได้ไปดูกับคนที่แอบปลื้มนั้น ชอบหรือไม่ชอบก็ไม่ได้มีความหมายอีกต่อไป เป็นครั้งแรกที่นิวต้องมาดูหนังสยองขวัญในช่วงเวลากลางคืน เขามีความกลัวอยู่บ้างแต่อย่างน้อยยังมีคนข้างกายเป็นชายหนุ่มที่เขามีความรู้สึกดีๆให้ นิวจึงคลายความหวาดกลัวไปได้พอสมควร “ปิดหน้าทำไม”มีนเอ่ยถามเมื่อหันมาเห็นวินปิดหน้าเพราะกลัวฉากหวาดเสียว “กลัวนิดหน่อย” “อยู่ใกล้ๆผมไม่ต้องกลัวหรอก” มีนดึงมือของนิวมาจับไว้บนต้นขาของเขา เพื่อเพิ่มความอุ่นใจและไว้ใจว่าไม่ต้องกลัวสิ่งใดทั้งนั้นในช่วงเวลานี้ มืออันใหญ่หยาบเล็กน้อยที่ได้สัมผัสมื
เป็กผู้ช่ำชองในยามราตรี เขาไม่เคยพลาดแม้แต่ศุกร์เสาร์ทุกค่ำคืน เป็นนักเที่ยวตัวยงที่ใครเห็นก็ต้องจำได้ นอกจากพ่อรวยรูปหล่อสายเปย์อีกต่างหาก จึงมีหลายคนเข้ามาพัวพันไม่ขาดสาย เมื่อเป็กพายิวมาเที่ยว จึงมีสายตาหลายคู่จ้องมองด้วยความอิจฉา แต่ยิวหาสนใจไม่ถึงแม้จะไม่ค่อยคุ้นชินในโลกปัจจุบันเท่าไรนัก แต่เขาก็ไม่หวาดหวั่นอะไรทั้งสิ้น“เป็นไงบ้างมาเปิดหูเปิดตา” เป็กยื่นแก้วเพื่อชน“ก็โอเคนะ เป็นครั้งแรกที่เราได้มา รู้สึกว่าน่าสนใจกว่าเมืองโบราณอีก” ยิวเผลอคำพูดที่ไม่พึงประสงค์ออกมา“เมืองโบราณอะไร” เป็กมีสีหน้าที่มึนงง“อ่อ เปล่า สนุกดีเราไปเต้นกันไหม”“อะไรนะ เราไม่อยากเชื่อเลยนายจะชวนเราไปเต้น นายเปลื่ยนไปหรือว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของนายว่ะ” เป็กหัวเราะ“ไม่ได้เปลื่ยนนี่แหละตัวจริง ที่เห็นก่อนหน้านี้ตัวปลอม แอ๊บไว้ไงแต่ไม่เห็นมีใครชอบเลย เป็นตัวของตัวเองดีกว่า” ยิวเสแสร้งแกล้งพูดเพราะในความจริงเป็นร่างของคนอื่น เพียงแต่เขาแค่มาอาศัยอยู่ในร่างนี้เท่านั้น“ร้ายนะ แกล้งเงียบถ้ารู้ว่านายเป็นแบบนี้เราจีบตั้งนานแล้ว”“อะไรนะ” ยิวรู้สึกมึนงงและสับสนกับคำพูดของเป็ก“ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วยล่ะ เ
กัสนั่งนิ่งๆ ก่อนที่จะไปท้องพระโรง เขาคิดย้อนเหตุการณ์เมื่อเสือเข้มพามาถึงยังหมู่บ้านกองโจร ซึ่งคนละที่กับซุ้มเสือเข้ม เพียงแค่เข้าไปถึงแม้จะไม่ประหลาดใจ แต่ก็ต้องอึ้งกับผู้คนในที่แห่งนี้ ที่มีหลากหลายอายุคละกันไป และมีการฝีกปรือฝีดาบอย่างขะมักเขม้น แต่เขาก็พยายามมองผ่านและเดินตามเสือเข้าไปข้างใน“แม่นมข้ากลับมาแล้ว” เสือเข้มวิ่งเข้าไปกราบแท่บเท้าของ มัณฑนานางกำนัลเก่าแห่งเมืองเมฆาบุรี“หายไปนายมากเลยนะ แม่อดคิดถึงเอ็งไม่ได้เลย เอ้า แล้วพาใครมาด้วยล่ะนะ” มัณฑนามองมายังกัสที่ยืนนิ่ง แต่แล้วเมื่อเห็นสายตาของมัณฑนาเขาก็ต้องนั่งลงแต่โดยดี“เพื่อนข้าเอง” เสือเข้มอมยิ้ม“เพื่อนเอ็งเป็นใครกัน ทำไมผิวพรรณยังกับคนในรั้วในวัง รูปร่างก็บอบบางยังกับอิสตรี เอ็งไปรู้จักกับเขาได้อย่างไรกัน”“ข้าเจอโดยบังเอิญชื่อโสภณ เป็นโอรสลับๆ ของสนมแห่งเมืองโสรยานคร”กัสรู้สึกประดักประเด่อพอสมควร เพราะเขากับเสือเข้มได้ตกลงตอนเดินทางมาที่แห่งนี้ ความคิดเช่นเดิมได้เกิดครั้งแรกที่เขาได้เจอแม่ทัพวิศรุฒ แต่ได้ปดมดเท็จว่าเป็นองค์ชายโสภณ กัสจึงทำตามเช่นเคยซึ่งเสือเข้มก็เห็นพ้องไม่ทัดทาน“อ่อ องค์ชายตกยาก คงจะเป็นคนองค์ชา
ยิวหยิบโน้ตบุ๊คมาเปิดดูแต่เป็นที่น่าเสียดาย มันสามารถที่จะติดได้เนื่องจากวันนั้นล้มกระแทกจนเสียหาย ยิวถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเขาต้องทำงานส่งอาจารย์ และอีกอย่างหนึ่งด้วยความอยากรู้ว่ากัสได้บันทึกหรือทำอะไรไว้ในนี้บ้างยิวจึงพับโน๊ดบุ๊คไว้ตามเดิม และกะว่าช่วงเย็นจะเอาไปซ่อม แต่ติดปัญหาคือเขาไม่มีเงินพอที่จะนำไปซ่อม เขาจึงหยิบโทรศัท์มือถือของกัสมาเปิดดู ซึ่งได้ล็อครหัสไว้จึงทำให้ไม่สามารถเปิดได้ มีเพียงรับสายอย่างเดียวแค่นั้น ยิวจึงลองนำวันเดือนปีเกิดของกัสมาใส่ ซึ่งก็ได้ผลทันทีมือถือเครื่องนี้ปลดรหัสได้ แต่นั่นไม่เท่ากับภาพหน้าปกเป็นรูปของพีค ยิวจึงเกิดความอยากรู้ต่อไปเขาจึงเปิดดูในแกเลอรี่ ซึ่งในนั้นมีแต่ภาพพีคเต็มไปหมดดวงตาอันกลมโตของยิวได้หลับลง พร้อมจินตนาการเรื่องราวของกัสว่าเป็นอย่างไรบ้างก่อนหน้านี้ ซึ่งในหัวของเขาก็เห็นแต่หน้าพีคอยู่เพียงผู้เดียว พอเขาลืมตาขึ้นมาก็ได้ยินเสียงมือถือดังขึ้น เขารีบดูทันทีซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นพีคนั่นเอง“อยู่ห้องไหมน้องกัส”“อยู่พี่พีคมีอะไรหรือเปล่า”“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่โทรถามเฉยๆ ถ้าอยู่พี่จะไปหา”“พี่มีธุระอะไรเหรอ”“จะไปหาต้องมีธุระด้วยใช่ไหม”“เป
นางกำนัลสาลินีได้นำพาพระโอรสของราชาเมษากับราชินีสีวิกา เดินลัดเลาะหลบมุมตลอดทาง จนมาถึงข้างๆ ตำหนักของชายามาริสา เธอรออยู่พักหนึ่งมันฑนานางกำนัลร่วมรุ่นมาพร้อมพระโอรสของอนุชาเมฆากับชายามาริสา“ข้ารอตั้งนานนึกว่าเอ็งไม่มาแล้ว ยังดีที่พระโอรสไม่ร้องเลย” นางกำนัลสาลินีเอ่ยขึ้นด้วยใจระทึกมองซ้ายมองขวา แล้วมององค์ชายแสนอาภัพที่เธออุ้มมา“เอาน่าอย่าพูดมากเลยเอาเด็กมาสลับกัน” นางกำนัลนำพระโอรสที่ซ่อนมาในตะกร้าผ้าออกมานางกำนัลสาลินีและนางกำนัลมัฑนาต่างสลับพระโอรสกันตรงนั้น แต่สายตาทั้งสองก็ไมวายมองรอบๆ บริเวณ ด้วยความกลัวใครจะมาพบเห็น“เอ่อ เอ็งออกมาได้อย่างไงไม่มีทหารเหรอ” นางกำนันสาลินีถาม“มี แต่ทหารที่เฝ้ารู้จักกันก็เลยพอเอาออกมาได้”“เอ้านี่ คือแหวนที่มเหสีสีวิกามอบไว้ให้องค์ชาย”“อือ”มัณฑรับแหวนไว้แล้วรีบพาองค์ชายเข้าไปในพระตำหนักอย่างทันท่วงที ส่วนสาลินีไม่รอช้ารีบน้ำองค์ชายที่สลับเปลื่ยนไปยังตำหนักราชินีสีวิกาเช่นเดียวกัน ซึ่งกว่าจะไปถึงก็ใช้เวลานานพอสมควร เพราะต้องหลบเหล่าทหารที่กำลังออกตระเวนเมื่อสาลินีมาถึงยังตำหนักของราชินีสาลินี เธอรีบน้ำพระโอรสของอนุชาเมฆากับชายามาริสาวางไว้ข
หนึ่งหนุ่มกับสาวอีกคนนั่งมองหน้ากันในห้องชมรมละคร หลังจากนักศึกษาในชมรมนี้ออกไปไปหมดแล้ว เจนนี่ผู้กำกับสาวนั่งนิ่งมองหน้ายิวอยู่พักหนึ่ง ซึ่งในช่วงเวลาที่มองอยู่นั้น ได้เห็นแววตาอันเปลื่ยนแปลงไป เพราะมีความสู้คนและเปิดเผยออกมาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด“วันนี้น้องกัสเป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไมการแสดงของน้องแปลกไป และไม่เข้ากับบมที่ได้รับ”“เปล่าครับ ผมก็ยังเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง”“พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องนะ แต่พี่อยากบอกว่าอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับการแสดงให้มาก คือเมื่อก่อนกัสอินกับละครจนไม่สามารถที่จะออกจากบทนั้นได้ แต่ทำไมตอนนี้กัสไม่อินเหมือนเดิมกลับกันเป็นคนละคนเลย”ยิวอยากจะเถียงแต่เขาก็ต้องเก็บกลั้นอามรมณ์นั้นไว้ เพราะในตอนนี้เขาได้เขามาอยู่ในร่างของกัน ซึ่งจากการคาดคะเนของยิวนั้น กัสน่าจะมีนิสัยที่แตกต่างจากเขาอย่างมาก“ครับ” ยิวรับคำแต่โดยดีและไม่พูดสิ่งใดออกมา“ดีแล้ว พี่จะให้กัสพักสองวันนะเพื่อลองทบทวนอะไรบางอย่าง กลับได้แล้วเดี๋ยวมืดค่ำจะอันตราย”“ขอบคุณพี่มากครับ” ยิวยกมือไหว้พร้อมกับศีรษะให้เจนนี่ หลังจากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว และไม่หันหรือหยุถเดินแต่อย
กัสเดินเข้ามาในตำหนักว่างเปล่าที่มีผู้คนคอยรับใช้อย่างมากมาย ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าต่อไปนี้ไม่น่าจะลำบากกาย แต่อันตรายนั้นน่าจะอยู่รอบตัวเขาอย่างแน่นอน กัสจึงหวั่นผวากลัวอยู่เนืองๆ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอนกจากทนและจำยอมมาในที่แห่งนี้ พร้อมกับเสือเข้มผู้องอาจ และท่านอำมาตย์มงคลผู้มีแผนการอันแยบยล“เอ็งจำไว้นะว่าชื่อเมธี เป็นรัชทายาทแห่งเมืองเมฆาบุรี เป็นพระราชโอรสของอดีตราชาเมษากับราชินีสีวิกา” อำมาตย์มงคลพูดจบก็หันไปมองกัสที่นั่งนิ่งๆ สีหน้าราบเรียบ“ส่วนองค์ชายตัวจริง กระหม่อมต้องขออภัยด้วยที่ต้องเรียกว่าองครักษ์เข้ม”“ไม่เป็นไรหรอกข้าแค่อยากมาแก้แค้นให้เสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้าเท่านั้น”“ดีมากพระองค์ แต่พระองค์ต้องลำบากลำบนเป็นโจรก็เพราะราชาเมฆาที่พึ่งสิ้นพระชนม์ไปนี่พระเจ้าค่ะ”“ท่านอำมาตย์ลืมไปแล้วเหรอว่าข้าเป็นองครักษ์เข้ม ท่านอย่าพูดกับข้าเป็นองค์ชายอย่างนั้น องค์ชายตัวจริงอยู่โน่น” เสือเข้มโบ้ยปากไปทางกัสที่กำลังนั่งนิ่งๆ“เอ่อ ขอโทษข้าลืมไป ถ้าอย่างขอตัวก่อนก็แล้วกัน เอาไปว่าคืนนี้คุยกันดีๆ และเตรียมตัวอย่างที่เราตกลงกันไว้” เมื่ออำมาตย์มงคลพูดจบเขาก็เดินจากไปในทันทีกัสครุ่นคิด
ยิวนั่งมองเขื่อนขนของย้ายห้องออกไปอย่างไม่ใคร่สนใจ เพราะเขาไม่ได้รู้สึกสนิทด้วยแต่อย่างใด ยิวจึงมีแต่ความเย็นชาใส่เขื่อน เมื่อเขื่อนขนของเสร็จเขาไม่ได้ยินแม้แต่คำลาสักคำ เช่นเดียวกับตัวเขาที่ไม่พูดอะไรออกมาให้เขื่อนได้อย่างยินเช่นกัน พออยู่คนเดียวภาวะจิตใจของยิวนั้นเริ่มว้าวุ่นคิดวนมาวนไปอยู่หลายครั้ง เขาคิดอะไรไม่ออกนอกจากเรียนอยู่คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ พอกับจากมหาวิทยาลัยเขาก็นอนอ่านนิยายแล้วหลับไปตื่นมาอีกทีก็อยู่ในเหตุการณ์นิยายเรื่องนักรักบันลือโลกไปแล้ว นักเขียนไม่ได้ใส่รายละเอียดตัวเขาให้มากพอ ยิวจึงมีความทรงจำในยุคปัจจุบันอยู่แค่นี้ แต่เรื่องราวต่างๆในโลกปัจจุบันยิวกับรู้ทำได้ทุกอย่างได้หมด เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ยิวเริ่มค้นห้องและตรวจสอบทุกอย่างในความเป็นตัวกัส เขาจึงรู้ว่ากัสเป็นนักศึกษานิเทศศาสตร์ซึ่งคนละคณะกับเขาเลย เพราะยิวเรียนคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ยิวยิ่งคิดยิ่งกลัดกลุ้มเขาไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปอย่างไรกับชีวิตที่อยู่ในร่างกัส แต่เขาคิดว่ายังดีกว่าไปอยู่นิยายเมืองโบราณที่ไม่มีความทันสมัย ซึ่งเขาได้พบความอยากลำบากมาแล้ว ยิวจึง
ตอนที่24 ตัวเราลิขิตเอง น้ำกระเด็นทั่วเรือนร่างและโดนหนักตรงบริเวณใบหน้า จึงทำให้กัสได้สติเขาค่อยๆลืมตาขึ้นทีละน้อย และภาพตรงหน้าที่เขาได้พบเห็น เป็นชายหนุ่มสูงใหญ่มีหนาวดเคราหนาจนกัสรู้สึกหวั่นกลัวอย่างหนัก เขาจึงรีบลุกขึ้นนั่งทันทีพร้อมกับมองไปรอบๆบริเวณ ซึ่งมีแต่ต้นไม้ขนาดใหญ่และหญ้าสูงเคียงเอว “มึงเป็นบ้าอะไรใส่ชุดใหญ่ผู้หญิงไอ้ยิว”เสือเข้มผู้ช่วยชีวิตกัสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขมึงตึง “เราไม่ได้ชื่อยิวเราชื่อกัส”เมื่อกัสได้ยินชื่อยิวเขาก็ใคร่สงสัยและครุ่นคิดอย่างหนัก ยิ่งเห็นสภาพแวดล้อมแบบนี้ด้วย ทำให้กัสถึงกับพอจะรู้อะไรบ้างแต่ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร “มึงพูดดีๆว่ามึงชื่ออะไร” กัสมองไปรอบๆอีกครั้งและหยิกตัวเองซึ่งเขาก็รู้สึกเจ็บพอสมควร ในช่วงเวลานี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ เท่าที่เขาจำได้ก่อนหน้านี้กำลังทะเลาะอยู่กับเขื่อน และก็โดนผลักจนล้มลงบนโน๊ตบุ๊ค หลังจากนั้นกัสไม่สามารถที่จะจำอะไรได้อีกเลย “ที่นี่ที่ไหน”กัสพูดด้วยความมึนงง “ศิลานคร” “แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เมื่อเขียนนิยายได้หนึ่งตอนกัสจึงรู้สึกง่วงอย่างมาก จึงหยุดเขียนและนั่งอ่านซ้ำจนเกือบจะจบตอน จูจู่เขาก็ได้ยินเสียงจากด้านหลัง “กัสพีคมานอนนี่ได้อย่างไง” กัสได้ยินเสียงห้วนและดังมาก เขาจึงหันหน้ามองด้วยความตกใจ กัสทำอะไรไม่ถูกถึงแม้สิ่งที่เขาทำก้ำกึ่งไม่ตั้งใจก็ตาม “ไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะเขื่อน” “ไม่ใช่แล้วพี่พีคมานอนอยู่ที่ห้องได้ไง” “ก็พี่พีคเขาเมาตามหานายไม่เจอ เขาก็มานอนรอนายอยู่นี่ไม่เห็นเหรอนะ” “ทำไมต้องถอดเสื้อผ้านอนด้วย”เขื่อนจ้องหน้ากัสเขม็ง “เหล้ามันหกเปื้อนเสื้อผ้าเขา โน้น เสื้อกางเกงของพีคเราซักตากไว้ให้”กัสชี้ไปยังที่ตากเสื้อกางเกงของพีค “เราไม่เชื่อหรอกนายสองคนต้องมีอะไรกัน” “ไม่เชื่อก็ถามพี่พีคสิ” “พี่พีค”เขื่อนตะโกนอย่างดัง พีคตกใจตื่นด้วยเสียงอันดังของเขื่อน เมื่อเขาลืมตาขึ้นและหันมามองตามเสียง ภาพที่ได้เห็นคือเขื่อนยืนนิ่งๆมองเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ พีครู้สึกแปลกใจเขาจึงลุกขึ้นแล้วลงมาจากเตียง “มีอะไรเหรอเรียกพ