วันหยุดนี้เขื่อนได้ออกไปจากห้องเช่าในขณะที่กัสยังไม่ตื่น เมื่อเขารู้สึกตัวก็พบแต่ความว่างเปล่า กัสไม่สามารถดาดเดาได้ว่าเขื่อนนั้นได้ไปไหนกับใคร แต่กัสก็ไม่สนใจอะไรเพราะในวันนี้เขาจะเขียนนิยายต่ออีกหลายตอน กัสจึงเริ่มต้นเขียนช่วงสายๆ
หลังจากยิวและจันเด็กน้อยที่พึ่งรู้จักเดินตามขบวนจนจวบช่วงเวลาเย็น ซึ่งในตอนนี้นี่เองทุกคนต้องออกหาอาหารมากินเพื่อประทังชีวิต
“พี่ชื่ออะไรน่ะ”
“พี่ชื่อ เอ่อ โสภณ”ยิวไม่อยากบอกชื่อจริงออกไป เพราะเขาคิดว่าจันเด็กน้อยคนนี้อาจสงสัยอีกว่าทำไมไหมชื่อแปลก ยิวขึ้เกียจตอบคำตอบจึงเอาชื่อไม่แท้ที่เคยปลอมตัวมาเป็นชื่อของตัวเอง
“ชื่อยังกับองค์ชาย”จันยิ้มร่ามองยิว
“แล้วน้องชื่ออะไรล่ะ”
“จัน”
“จัน แล้วเราจะหาอะไรกินกันดีล่ะเย็นนี้”
“เอาของมีค่าไปแลกก็ได้”
ยิวยืนทำตาปริบๆเพราะเขาอดเสียดายแหวนทองเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ใช่ของเขาก็ตามที และรู้สึกผิดที่เอาของคนอื่นมาขายแลกอาหารประทังชีวิต
“ถ้างั้นพาพี่ไปซื้ออาหารหน่อยได้ไหม แต่ดูของมีค่าของพี่ก่อนได้ไหม”
“ได้”ยิวหยิบแหวนทองให้จันดู
“โอ้โห แหวนทอง”
“ตกใจอะไรขนาดนั้น”ยิวรีบเก็บลงในย่ามทันที
“พี่รู้อะไรไหม แหวนของพี่น่ะสามารถแลกข้าวและเสื้อผ้าของใช้ได้ตั้งหลายอย่างเลยนะ”
“อย่างงั้นเลยเหรอ ถ้าเป็นเช่นนั้นเราไปแลกของกันเถอะ”
“ตามผมมาเลยพี่”
ยิวเดินตามจันเด็กน้อยไปอย่างเร่งรีบ เพราะตอนนี้เขาก็รู้สึกหิวเช่นเดียวกับคนอื่น และอีกอย่างหนี่งที่ยิวอยากรู้ว่าในขบวนเดินทางนี้มีอะไรมาขายบ้าง
“ลุงซื้อข้าวหน่อย”จันเอ่ยขึ้นมา เมื่อเดินมาถึงยังหัวหน้าขบวน
“ไอ้จันมึงจะมาซื้อข้าวกูมีเงินหรือเปล่า”ชายหนุ่มอายุราวสี่สิ่บเอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังหุงข้าวจากกระบอกไม้ไผ่
“มีสิ ถ้าไม่มีผมจะกล้ามาหาลุงเหรอ”
“ไหนล่ะอัฐของเองล่ะ”
“ผมไม่มีอัฐหรอก”
“กูว่าแล้วเชียวน้ำหน้าอย่างมึงจะไปหามาจากที่ไหน”ชายหนุ่มวัยกลางคนหัวเราะเสียงดัง
“ผมมีแต่ทอง”จันเอ่ยขึ้น
“ไอ้นี่พูดไปเรื่อย ไปซะกูรำคาญ”
“นี่พอซื้อข้าวและของใช้ได้ไหม”ยิวยื่นแหวนทองให้ชายหนุ่มดู
ชายหนุ่มผู้นั้นรีบมองไปที่แหวนทันที สายตาของเขาเป็นประกาย เพราะแค่มองชายผู้นี้ก็สัมผัสได้ว่าแหวนวงนี้ต้องมีราคา เขาจึงหยิบมาจากมือของยิว แล้วมาเพ่งพิจารณาอีกที
“ของแท้ด้วย ว่าแต่เอ็งไปเอามาจากไหน”ชายหนุ่มมองหน้ายิว
“ก็เอามาจากบ้านพี่ข้าสิ”จันรีบตอบแทนเมื่อเห็นยิวอึดอัดพูดไม่ออก
“มีงนี่รู้ดีไปหมดนะไอ้จัน แล้วมึงไปรู้จักไอ้หนุ่มนี่ได้อย่างไร”
“อ๋อ เราเป็นญาติห่างๆกัน พอรู้ข่าวว่าจะเดินทางไปเมืองศิลานคร ผมเลยรีบตามมาสมทบทีหลัง”ยิวเอ่ยขึ้น
“ก็ดีไอ้จันมันจะได้มีคนดูแล ว่าแต่มึงสองคนอยากได้อะไรบอกมา”
“อยากได้ข้าวกระบอกนั้น”จันพูดขึ้นก่อน
“ใช่ อยากได้ข่าวและเสื้อผ้า”
“ได้ แต่ข้าวได้เพียงวันนี้วันเดียวนะ ถ้าอยากได้ต้องเอาอะไรมาแลกอีก”
“อะไรกันแหวนทองนั้นมีราคาแพงมากได้ของกินแค่มื้อเดียวเองเหรอ”
“ใช่ เพราะตอนนี้อาหารมีค่ามากกว่าเงินทองหลายเท่านัก”ชายหนุ่มยิ้มอย่างกรุ่มกริ่ม
“พี่โสพลผมหิวข้าว เอาวันนี้ให้รอดก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ถ้าไม่อะไรกินกันจริงๆเราค่อยหาผลไม้เผือกมันมากินก็ได้”
เมื่อยิวได้ยินเสียงขอร้องอันเว้าวอนเขาเลยอดใจอ่อนไม่ได้ ยิวจึงตกลงเอาข้าวสองกระบอกพร้อมเนื้อแห้งย่างสองชิ้น พร้อมเสื้อผ้าและผ้าห่มสองชุด แค่นั้นเองที่ทั้งสองได้ซึ่งเมื่อเทียบราคาของทองแหวนถือว่าได้น้อยมาก
เมื่อทั้งสองได้ของกินของใช้จากชายหนุ่มนั้นแล้ว พวกเขาทั้งสองจึงหาที่นั่งกินข้าวกันตามลำพังสองคน ในระหว่างที่กินข้าวกันนั้นด้วยความเป็นคนช่างพูดของจัน เขาจึงชวนยิวคุยเรื่องต่างๆ
“พี่โสภณพี่จะไปทำไมในเมืองศิลานคร”
“พี่จะไปหาเพื่อนพี่ไง”ยิวยิ้มให้จันพร้อมควักข้าวจากระบอกไม้ไผ่มากิน หลังจากนั้นต่อด้วยเนื้อย่าง ซึ่งไมได้อร่อยเลยแต่ยิวต้องกินเพื่อประทังชีวิตให้ถึงเมืองศิลานคร
“เพื่อนพี่เป็นใครเหรอ”
“เป็นแม่ทัพไง”
“ไม่หลอกผมใช่ไหม แต่ถ้าคิดอีกทีน่าจะใช่ เพราะพี่มีแหวนทองได้ ทำไมจะมีเพื่อนเป็นแม่ทัพนายกองไม่ได้”
“อือ”
“ถ้างั้น ผมขอเข้าไปในเมืองกับพี่ด้วยได้ไหม”
“ได้สิ”
“ทำไมพี่ช่างใจดีจังเลย”จันแท่บกันน้ำตาไว้ไม่อยู่
“เด็กน้อยไม่ต้องร้องไห้หรอก รับรองถ้าได้เข้าไปในเมืองแล้ว เพื่อนของพี่จะดูแลเป็นอย่างดี”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีเลยผมอยากให้ไปถึงไวๆจังเลย”
“เหมือนกันพี่ก็ไม่อยากอยู่กลางดินกินกลางป่าอย่างนี้หรอก ถ้าได้เข้าไปในเมืองไวๆคงจะดีกว่านี้อย่างแน่นอน”
“ใช่ ผมจะได้เรียนหนังสือไหม”
“อยากเรียนหนังสือเหรอ”
“ใช่ เพราะตอนอยู่ที่บ้านไม่ได้เรียน ผมต้องช่วยพ่อแม่ทำงานหลายอย่าง เลยไม่มีเวลาไปเรียนที่วัดน่ะ”
“เรียนที่วัดด้วย ถ้าไปถึงเมืองศิลาก่อน พี่กับท่านแม่ทัพจะสอนจัน”
“ดีใจจังเลย”จันวาดฝันวิมานทันที
ยิวนั่งมองจันยิ้มอยู่ตั้งสองนาน เพราะความน่ารักและไร้เดียงสาของจัน จึงทำให้ยิวพอคลายเศร้าคลายความคิดถึงบ้านได้บ้าง
เมื่อทั้งสองได้กินข้าวอิ่มก็มืดพอดี จันจึงจัดแจงเตรียมหาที่นอนให้ตัวเองและยิวในทันที ซึ่งจันได้เลือกตรงต้นไม่ใหญ่อันห่างไกลผู้คนพอสมควร
“พี่รีบนอนกันเถอะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้ารีบออกเดินทาง”
“อือ”ยิวล้มตัวลงนอนใกล้ๆกองไฟที่จันเป็นก่อไว้ให้กันยุงและแมลงต่างๆ
“พี่โสภณรู้ไหมว่าผมได้นอนห่มผ้าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกเดินทางมา”
“จริงเหรอ”
“จริงสิพี่ คืนนี้ผมเลยอุ่นมาก ขอบใจพี่โสภณมากนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เพราะถึงอย่างไงพี่ก็ต้องอาศัยจันอยู่ด้วยเหมือนกัน”
“พี่ไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าอยู่กับผมสบายไปแปดอย่าง”
“อย่างเดียวก็พอแล้วมั้ง นอนได้แล้วไม่ต้องพูดอะไรอีก เดี๋ยวคนอื่นเขาจะรำคาญเอาได้”
“ก็ได้”
เพียงจันหลับตาเขาก็สู่ภวังค์ในทันที เฉกเช่นเดียวกับยิวเพราะวันนี้ทั้งวันเขาเดินทางไม่ได้หยุดพักจึงอ่อนเพลีย จนหลับเหมือนอย่างคนเป็นลมสลบ
เสียงเอะอะโวยวายดังลั่น เพราะบรรดากลุ่มคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน กำลังเก็บข้าวของพร้อมออกเดินทางต่อไปยังเหมือนศิลานคร จึงทำให้ทั้งจันและยิวตกใจตื่นขึ้นมาในทันที
“สว่างไวจัง”จันรีบลุกขึ้นและเก็บข้าวของ
“ใช่”ยิวลุกขึ้นนั่งและบิดขี้เกียจอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็มองหาถุงย่ามที่วางไว้ข้างตัว แต่เขาก็ไม่เห็นเสียแล้ว ยิวมองไปรอบๆและลุกขึ้นยืนเดินหาถุงย่ามนั้น ที่มีทั้งพระเครื่องของขลังรวมทั้งมีดของเสือเข้ม
“พี่หาอะไร”จันเอยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ถุงย่ามพี่หายไปไหน”ยิวมองรอบๆอีกครั้งแต่ก็ไม่เจอ
“เป็นความผิดผมเอง ผมลืมไปได้ไง ผมลืมบอกพี่ให้ระวังของหาย เพราะทุกคนต่างต้องการขอมีค่าทั้งนั้น”จันมีสีหน้าที่วิตกกังวลยิ่งกว่ายิวอีก เพราะถ้าถุงย่ามนั้นหายจริง ทั้งเขาและยิวต้องออกหาอาหารกินกันเอง
“บ้าจริงพี่ก็ลืม”
จันรีบมองไปยังกลุ่มคนที่อยู่รายล้อมเขาหลายกลุ่ม ด้วยสายตาอันปราดเปรียวจึงทำให้จันเห็นถุงย่ามของยิว อยู่กับชายหนุ่มรุ่นเดียวกับยิว
“นั่นใช่ไหมพี่โสภณ”จันชี้มือไปยังชายหนุ่มผู้นั้น
“ใช่”
“ถ้างั้นเราไปทวงคืนกันเลย”
ยิวและจันรีบไปยังชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันในทันที เมื่อไปถึงจันพูดก่อนยิวเสียอีก เพื่อทวงถุงย่ามให้ยิว
“พี่ขอถุงย่ามพี่ชายของผมคืนด้วย”
“ไอ้เด็กน้อยช่างกล้า ย่ามใบนี้มันเป็นของกู ก็ในเมื่อมันอยู่ที่กูจะเป็นพี่มึงได้ไง”ชายหนุ่มมีสีหน้าที่เริ่มดุดัน
“แต่ถุงย่ามใบนั้นมันเป็นของเราจริงๆนะ นายต้องเอามาให้เราเดี๋ยวนี้”
“ไอ้นี่ก็อีกคน หน้าตาก็แปลกการพูดจายิ่งฟังยิ่งพิลึก แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะกูไม่สนพวกมึงสองคนโว้ย”
“ทำไมนายหน้าด้านหน้าทนอย่างนี้เอาของคนอื่นไป”
“ใครว่าถุงย่ามนี้เป็นของมึงล่ะ มันของกูต่างหาก”ชายหนุ่มผู้นั้นหัวเราลั่นจนคนรอบข้างหันมามอง
“พี่มันขี้โกง”จันโมโหเลยกระชากถุงย่าม พร้อมกันนั้นยิวช่วยอีกแรง จนสุดท้ายได้ถุงย่ามมา แต่พอจันเปิดดูก็พบกับความว่างเปล่า เพราะมีแค่ถุงย่ามของภายในไม่มีเหลือสักชิ้น
“ของไปไหนหมด”ยิวเอ่ยถาม
“กูยกให้พวกมึงก็แล้วกันอยากได้นักไม่ใช่เหรอ”ชายหนุ่มผู้นั้นเดินหนีไปในทันที
“เดี๋ยวก่อน”จันอดรนทนไม่ไหววิ่งเข้าไปหาชายหนุ่มและกัดที่แขนของเขา
“ไอ้เด็กนี่มันอย่างไงวะวอนเจ็บตัวนี่หว่า”
ชายหนุ่มผู้นั้นจึงจับศีรษะของจันและดึงออก หลังจากนั้นเหวี่ยงจันจนล้มกระแทกก้อนหินและกิ่งไม้ที่ยังไม่ดับสนิท แต่ชายหนุ่มยังไม่พอแค่นั้นเขาเดินเข้าไปหาจันและกระทืบซ้ำอีกหลายที
ยิวอดรนทนไม่ไหวที่เห็นจันโดนทำร้าย เขาจึงหยิบท่อนไม้ข้างเท้าของเขา หลังจากนั้นยิวเดินไปข้างหลังของชายหนุ่มและฟาดอย่างแรง ชายหนุ่มจึงหยุดกระทืบจันทันที
“ไอ้นี่อีกคน”ชายหนุ่มจับท่อนไม้ที่ยิวกำลังฟาดดึงกระชากแล้วขว้างทิ้ง หลังจากนั้นรัวหมัดต่อยยิวอยู่หลายครั้ง จนหัวหน้าขบวนที่เห็นเหตุการณ์เข้ามาห้ามปรามไว้
“หยุด ถ้ายังไม่หยุดทะเลาะกัน พวกมึงก็ออกไปจากขบวนของกูได้เลย”
“ก็คนนี้มันขโมยถุงย่ามไปน่ะ”ยิวใช้มือเช็ดปากเพราะมีเลือดไหลออกมา
“ไอ้นั้นมันเรื่องของพวกมึงกูไม่สน ตอนนี้กูจะเดินทางแล้ว ถ้ายังชักช้าก็อยู่นี่แหละ” เมื่อชายหนุ่มวัยกลางคนพูดจบเขาก็เดินจากไปในทันที สาเหตุที่ชายหนุ่มวัยกลางคนไม่พูดเรื่องถุงย่าม เพราะเขาก็มีส่วนได้ส่วนเสียเหมือนกัน เพราะหลังจากชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับยิวขโมยมาได้ เขาก็ได้เอาไปซื้อข้าวของเครื่องใช้พร้อมอาหารการกินจนหมดสิ้น เหลือเพียงถุงย่ามเปล่าๆใบเดียวที่ยิวกำไว้อยู่ในมือ
เมื่อชายหนุ่มทั้งสองได้เดินจากไป ยิวรีบไปหาจันทันที พอเขาเห็นจันแค่นั้นแหละยิวแท่บน้ำตาไหล เพราะร่างกายของจันฟกซ้ำดำเขียว แล้วยังมีรอยผิวหนังไหม้เกรียมอยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นท่อนแขนและขา “จันเจ็บมากไหม”ยิวกอดร่างของจันไว้อย่างเอ็นดู “พี่ก็เจ็บด้วยใช่ไหม”จันร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ใช่พี่ก็เจ็บ แต่พี่โตแล้วและไม่ได้โดนหนักอย่างจัน แต่จันไม่ต้องกลัวนะอดทนเข้าไว้ พอไปถึงเมืองศิลานคร พี่จะให้ท่านแม่ทัพวิศรุฒหาหมอเก่งๆมารักษาจันเอง” “ขอบคุณพี่โสพลมากเลยครับ” ยิวไม่รู้จะจัดการกับแผลของจันอย่างไร เขาได้เพียงแต่หาผ้ามาพันแผลไว้ และในช่วงเวลาเดียวกันยิวต้องพาจันเดินทางไปยังเมืองศิลานครกับกลุ่มคนพวกนี้ด้วย ถึงแม้จะหิวปานใดทั้งสองก็ต้องอดทนเพื่อความอยู่รอดให้ได้ และเมื่อยิวได้ยินว่าอีกสองวันก็ถึงเมืองศิลานคร เขาดีใจอย่างมาก แต่ยิวก็ไม่รู้จะทนความหิวได้นานแค่ไหน เพราะตอนนี้เขาไม่มีอะไรเหลือที่พอจะขายได้เลย “ออกเดินทางได้แล้ว”หัวหน้าขบวนตะโกนเสียงดัง “เดินไหวไหมจัน” “ข้าเดินไหวอยู่แผลแค่
ในวันนี้กัสต้องอยู่ในมหาวิทยาลัย เพื่อซ้อมบทละครสองฉากสำคัญ ซึ่งซ้อมเฉพาะฉากของกัสกับพีคแค่นั้น ส่วนเขื่อนได้ซ้อมไปทุกฉากแล้วที่เข้าคู่กับพีค “น้องกัสวันนี้เป็นซ้อมใหญ่ฉากของนิวและมีนไหวไหม”เจนนี่ผู้กำกับละครเวทีพูดขึ้นด้วยความมั่นใจในความสามารถของกัส “ไหวครับ” “พีคล่ะ ไหวไหมซ้อมหนักทุกวัน”เจนนี่อมยิ้มนิดๆให้กับพีคเพื่อนหนุ่ม “โอ๊ย สบายมากยิ่งได้เล่นกับกัสเข้าขากันดี” กัสฟังคำพูดของพีคแล้วรู้สึกทะแม่งในใจ เพราะเขาและพีคไม่ได้สนิทกันเลย แค่ไปส่งที่ห้องเช่าอย่างเดียว ไม่เคยไปไหนมาไหนกับพีคเหมือนเขื่อน “เอาล่ะ เริ่มเลยนะ เอาตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเลย” “ครับกัสรับคำ” นิวนักศึกษาหนุ่มกำลังเดินตามหาวินที่คณะ เขาจึงไม่ได้มองทางเดินเท่าไรนัก เพราะใจของเขาอยากจะไปเจอเพื่อนไวๆ นิวจึงไม่ทันระวังจนไปชนนักศึกษาหนุ่ม จนร่างของขาเซล้มลงกับพื้น “โอ๊ย”นิวร้องด้วยตกใจและเจ็บก้นกบ “ผมขอโทษไม่ได้ตั้งใจ”มีนนักศึกษาหนุ่มนั่งยองๆยื่นมือให้นิว เพียงนิวเงยหน้ามองมีนเขาถึ
กัสผิดหวังพอสมควรที่พีคไม่ได้ชวนเขาไปเที่ยวไหน ตอนอยู่บนรถพีคก็ชวนกัสคุยตลอดทาง เป็นการคุยที่ไม่ใช่คนรักกันหรือแอบชอบแต่อย่างใด จึงสร้างความผิดหวังให้แก่กัสอย่างมาก เมื่อเขามาถึงห้องจึงรีบเขียนนิยายต่อทันที เช้าวันใหม่ยิวได้เห็นสภาพของจันที่หนาวจนตัวสั่น เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับจันในช่วงเวลานี้ เขาจึงเดินไปหาผู้คนมากมายที่อยู่ในขบวนเพื่อขอยา ก็ยังพอมีคนที่มีน้ำใจให้มาซึ่งยิวไม่รู้ว่ายานั้นจะได้ผลหรือไม่ ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่ปั้นเป็นยาลูกกลอน แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกยิวจึงรีบเอามาให้จันได้กินเดี๋ยวนั้นทันที “กินยาซะ” “ขอบคุณพี่มากเลย” “ไม่เป็นไรหรอกเราเป็นพี่น้องกัน เดี๋ยวตอนเย็นถึงเมืองศิลานครแล้ว พี่รับรองท่านแม่ทัพจะหาหมอเก่งๆมารักษาจันอย่างแน่นอน “ข้าจะรอ” ยิวมองจันกินยาอย่างยากเย็นเพราะเม็ดค่อนข้างใหญ่พอสมควร เมื่อจันได้กินยาเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังเมืองศิลานคร เพราะหัวหน้าขบวนได้ตะโกนบอกทุกคนให้ได้รับรู้ และเตรียมตัวเพื่อที่จะเดินทางต่อไป ความรู้สึกนึกคิดของยิวตอนนี้เขาไม่มั่นใจเล
กัสหยุดนิ่งไปยอมเขียนต่อ เพราะช่วงนี้จิตใจของเขายังว้าวุ่นอยู่มาก กัสจึงหยิบบทละครมาอ่านและทบทวน เพื่อจะได้เล่นให้ดีเป็นที่พึ่งพอใจแกพีค คนที่เขาแอบรักและฝันใฝ่หาอยู่ตลอดเวลาทุกเช้าบ่าย กัสจึงเริ่มอ่านตอนต่อจากเมื่อวานที่ได้ทำการซ้อมกัน นิวได้ตอบรับคำชวนของมีนไปดูหนังในค่ำคืนนี้ ทีแรกเขาก็ไม่กล้าไปแต่ในเมื่อใจของเขาต้องการจึงไม่ยากที่จะปฏิเสธความต้องการของตัวเองได้ ซึ่งในส่วนตัวของนิวก็ไม่ได้ชอบดูหนังเท่าไร แต่เมื่อได้ไปดูกับคนที่แอบปลื้มนั้น ชอบหรือไม่ชอบก็ไม่ได้มีความหมายอีกต่อไป เป็นครั้งแรกที่นิวต้องมาดูหนังสยองขวัญในช่วงเวลากลางคืน เขามีความกลัวอยู่บ้างแต่อย่างน้อยยังมีคนข้างกายเป็นชายหนุ่มที่เขามีความรู้สึกดีๆให้ นิวจึงคลายความหวาดกลัวไปได้พอสมควร “ปิดหน้าทำไม”มีนเอ่ยถามเมื่อหันมาเห็นวินปิดหน้าเพราะกลัวฉากหวาดเสียว “กลัวนิดหน่อย” “อยู่ใกล้ๆผมไม่ต้องกลัวหรอก” มีนดึงมือของนิวมาจับไว้บนต้นขาของเขา เพื่อเพิ่มความอุ่นใจและไว้ใจว่าไม่ต้องกลัวสิ่งใดทั้งนั้นในช่วงเวลานี้ มืออันใหญ่หยาบเล็กน้อยที่ได้สัมผัสมื
บ่ายนี้อีกฉากหนึ่งซึ่งจะมีเลิฟซีนระหว่างนิวกับมีน จึงทำให้กัสตื่นเต้นอย่างมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เข้าจะได้ใกล้ชิดพีคแบบถึงเนื้อโดนตัว นิวนั่งรอการมาของมีนในห้องเพียงลำพัง เพราะวินได้กลับบ้านไปในช่วงวันหยุดทีแรกนิวไม่อยากให้มีนมา แต่โดยลูกตื้อของมีนไม่ไหวเขาจึงจำใจให้มีนเข้ามาในห้องของเขา เมื่อถึงเวลาที่นัดหมายมีนได้มาถึงไม่ขาดไม่เกินเวลาพอดีประจวบเหมาะ “รอนานไหม”สายตาดุจพญาเสือของมีนพุ่งมุ่งไปยังร่างของนิว พร้อมยืนองอาจอยู่หน้าของนิว ซึ่งในขณะนี้นิวนั่งอยู่บนเก้าพลาสติกสีขาว “ไม่รู้นะ เพราะว่าเราอยู่ในห้องเป็นปกติ”นิวหลบตาต่ำมองพื้นห้องด้วยแพ้สายตาของมีน “อือ เราว่านิวจัดห้องได้สวยมากเลยนะ แล้วเพื่อนของนิวไปไหนล่ะ เราก็กะว่าจะได้มาเจอกันที่นี่” “กลับบ้านมาน่าจะมาพรุ่งนี้” “ดีเลย”รอยยิ้มของมีนจัดจ้านดั่งพริกหลายสิบเม็ด “ดีอะไร”แววตาของนิวเคลือบแคลงสงสัยในคำพูดของมีน “ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่จะไม่ชวนให้เรานั่งซักหน่อยเหรอ” “นั่งสิ เดี๋ยวเราเอาน้ำมาให้”นิวลุกขึ้นยืนพร้อมก้า
ตอนที่16 ซ่อนรักเมียลับๆ ยิวเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวสูงวัยพร้อมกับยกมือไหว้ แต่เขาไม่ได้ก้มกราบแต่อย่างใด ยิ่งสายตาของหญิงสาวสูงวัยมองอย่างไม่กระพริบตาแม้แต่วินาทีเดียว ใจของยิวสั่นระรัวกลัวความร้ายจะเข้าตัวในไม่ช้า “เอ็งชื่ออะไรมาจากไหนบอกข้ามาซิ”หญิงสาวปาดสายตามองตั้งแต่ศีรษะยันปลายเท้าไม่เว้นแม้แต่ส่วนเดียว “คือ เอ่อ อ่า คือ”ยิวไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดอะไรดี “หรือว่าเอ็งเป็นหญิงสาวชาวป่าชาวเขา” “ไม่ใช่นะ คือ อ่า คือ หนูเป็น เอ่อ อ่า อู” “ภาษาอะไรของเอ็ง อู อ่า อ่า อู อยู่นั่นแหละ เมื่อไรข้าจะทราบว่าเอ็งชื่ออะไร” “หนูชื่อโสภี อ่า”ยิวคิดไม่ออกว่าจะบอกมาจากที่ไหนดี ตอนแรกกะจะบอกว่ามาจากเมืองโสรยา แต่ก็กลัวจะมองดูไม่ดีเพราะเป็นเมืองศัตรูของศิลานคร “เอ็งมาจากที่ไหนลูกเต้าเหล่าใคร” “หนูมาจากเมือง อะไรล่ะ” “เอ๊ะ ข้าถามเอ็งนะว่ามาจากไหน ยังมีหน้ามาย้อนข้าอีก” “อ่อ หนูมาจากเมือง เอ่อ”ยิวพยายามคิดถึงชื่อเมืองที่เขาดูในละครตอนเด็กๆ “เอ้าบอกมาเร็วๆข้าอยากรู้ว่
ฉากสำคัญของละครเวทีเรื่องนี้ได้เริ่มต้นขึ้น ก่อนเล่นจริงมีการซ้อมคร่าวๆอยู่หลายครั้ง ซึ่งเป็นเวลาที่สำคัญมากสำหรับกัสและเขื่อนรวมทั้งพีคด้วย “ให้เรารีบกลับมาห้องมีธุระอะไรเหรอหรือว่าจะเซอร์ไพร์สอะไรเรา”วินมาถึงเขาก็นั่งลงข้างๆนิวทันที “ก็นายอยากรู้จักแฟนเราไม่ใช่เหรอ”นิวอายนิดๆทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ตอบรับรักมีนเท่าไร เพราะตั้งแต่วันที่มีนไปหาถึงห้องแล้วได้มีอะไรกัน นิวจึงยอมรับรักและมอบใจให้มีนอย่างสุดหัวใจ “ใช่ มาหรือยังเราก็อยากจะรู้จักเหมือนกัน แล้วชื่ออะไรเราคิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนกับแฟนเราอย่างแน่นอน ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอแฟนเราด้วย เพราะเรากลับบ้านบ่อย แม้แต่นายเรายังไม่ค่อยได้เจอเท่าไรเลย เราก็เลยลืมๆไปบ้าง” “ไม่เป็นไรหรอกวันนี้นายก็จะเจอแล้วค่อยแนะนำทีเดียวจบเลยดีกว่า” “อือ” ทั้งสองนั่งอย่างระทึกด้วยความอยากรู้ว่าแฟนคนแรกของนิวเป็นใคร ส่วนวินก็อยากรู้ว่าแฟนของนิวเป็นเพื่อนกับแฟนของเขาหรือเปล่า “มาแล้ว”นิวเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู นิวจึงรีบไปเปิดประตูห้องแล้วพามีนเดิ
ตอนที่18 ความรักที่เกิดขึ้น nc25 นิวนั่งนิ่งๆสงบสติอารมณ์และควบคุมความรู้สึกที่ปวดร้าวภายในจิตใจ กัสพยายามแสดงออกมาจากภายใน รวมทั้งความรู้สึกส่วนตัวที่เขาแอบเห็นเขื่อนและพีค ที่ออกจากฉากไปแล้วกำลังจ้องมองเขาด้วยสีหน้าลุ้นให้ผ่านซีนนี้ไปให้ได้ ยิ่งกัสเห็นเขื่อนกับพีคใกล้ชิดกันเขาต้องเก็บความริษยาไว้ภายในใจอย่างสุดยั้ง “คัท เก่งมากน้องกัส”เจนนี่ผู้กำกับสาวปรบมือด้วยความยินดี หลังจากนั้นก็มีเสียงปรบมือคนอื่นตามมา กัสยังไม่สามารถที่จะออกจากความรู้สึกนี้ได้ เขายังนั่งนิ่งอยู่เหมือนเดิม จนหลายคนอดเป็นห่วงไม่ได้ โดยเฉพาะเจนนี่และเกรซต้องวิ่งเข้ามาหากัส “กัส กัส กัส”เจนนี่เขย่าตัวของกัสอย่างแรง “กัส”เกรซอีกคนที่มาเขย่าตัวของกัสด้วยความเป็นห่วงเช่นเดียวกัน ด้วยแรงและเสียงจึงทำให้กัสได้สติขึ้นมา หลังจากดำดิ่งอยู่พักใหญ่ เมื่อกัสได้สติเขาจึงมองไปรอบๆซึ่งมีแต่คนมองเขาเป็นตาเดียว “เป็นอะไรมากหรือเปล่า”เกรซเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรหรอกครับ”กัสพยายามสลัดความรู้สึกที่ไม่อยากได้รับรู้นั้นทิ้งไป “กัสไห
ศีรษะที่กระแทกลงบนโน๊ตบุ๊ค ทำให้ได้แรงกระเทือนสลบวูบไปชั่วครู่ เมื่อได้สติดวงตาคู่นี้จึงลืมขึ้นทันที พร้อมหันไปมองเสียงประตูที่เปิดออก ซึ่งเห็นชายหนุ่มที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนคนรู้จัก แต่แล้วเขาก็ไม่ได้คิดอะไรนาน เพราะผู้ชายตรงหน้าหันมามอง และรู้ได้ทันทีว่าเป็นเป็ก“ถึงเราจะโกรธนาย แต่สิ่งที่นายให้เราทำ เราก็จะทำให้นายเป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อเป็กพูดจบเขาก็เดินออกจากประตูไปในทันใด พร้อมปิดประตูจนเสียงดังลั่นสนั่นมือน้อยๆ กำที่ศีรษะสายตามองไปรอบๆ ดวงตาคู่นั้นถึงกับเบิกโพลงทันใด เพราะสิ่งที่เห็นเป็นห้องนอนอันคุ้นเคย มือนั้นรีบมาจับศีรษะและบริเวณลำคอทันใด“เรายังไม่ตาย” ยิวพูดขึ้นลอยๆ แล้วความแปลกใจและตื่นตระหนกยิวคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ตอนอยู่ลานประหาร สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือแค่รับสัมผัสจากคมดาบเพียงชั่ววินาที หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้แม้แต่นิด ยิวคิดวนมาวนไปหลายรอบพร้อมหันหน้าไปมา จนเห็นโน๊คบุ๊คเปิดอยู่เขาจึงจับเม้าท์คลิกเปิดดูทันใด และสิ่งที่เขาเห็นเป็นคลิปวีดีโอตัวเขาเองกับพีคกำลังนอนกอดกัน“อะไรกันนี่ มันไม่ใชเรานี่หน่า” ยิวปิดวีดีโอนั้นทันทีเมื่อปิดวีดีโอเสร็จเขาได้เห็นเว็บเขี
ข่าวทำสงครามของแม่ทัพวิศรุฒรบชนะดังไปทั่วแคว้นแดนดิน ทั้งสองเมืองต่างเฉลิมฉลองอึกทึกครึกโครม เพราะในช่วงเวลานี้ได้เป็นพันธมิตรกัน หลังจากงานอันเป็นมงคลได้ผ่านไป แม่ทัพวิศรุฒซึ่งในเวลานี้เป็นราชาวิศรุฒ ได้ทราบข่าวร้ายในทันใด เมื่อจอมได้รีบมาบอกข่าวนี้ทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวไม่ดี“พระองค์ ราชาศิลาจะประหารชีวิตองค์ชายเมธีพระเจ้าค่ะ” จอมหน้านิ่วคิ้วขมวด“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุผลใดเล่า” แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าวิตกกังวลยิ่งนัก“ได้ข่าวมาองค์ชายเมธีได้ฆ่าองค์ชายศิธาตายพระเจ้าค่ะ”“ไม่น่าใช่ อ่อนแอขนาดนั้น”“กระหม่อมก็ไม่รู้ แต่สายรายงานข่าวมาเช่นนี้พระเจ้าค่ะ พระองค์จะทำเช่นไรข้าอดเป็นห่วงองค์ชายเมธีไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวจริงอย่างน้อยพระองค์ท่านก็มีบุญแก่กระหม่อม”“ไม่ต้องห่วงข้าจะกลับเมืองศิลานคร แต่ข้าจะขี่ม้าไปคนเดียว เพราะจะได้ไวขึ้นกว่าไปเป็นกองทัพ”“กระหม่อมขอเสด็จตามไปด้วยนะพระเจ้าค่ะ”“ได้ ออกเดินทางวันนี้เลยเดี๋ยวไม่ทันการณ์” ราชาวิศรุฒถอนหายใจเฮือกใหญ่“พระเจ้าค่ะ กระหม่อมไปเตรียมม้าและข้าวของจำเป็นก่อนนะพระเจ้าค่ะ”“อืม”“กระหม่อมทูลลา”ราชาวิศรุฒยืนนิ่งครุ่นคิดและหวาดหวั่
กัสหยุดเขียนนิยายไปหลายวัน และเริ่มตีตัวออกห่างเป็กแล้วเข้าหาพีคในช่วงเวลาเดียวกัน ค่ำคืนนี้จึงเป็นแผนเผด็จศึกและเสร็จศึกให้จบสิ้น เขาจึงรีบโทรหาพีคในทันใด“ฮัลโหลมีอะไรหรือเปล่าน้องกัส”“พี่พีค” กัสร้องสะอื้นไห้ออกมา“เป็นอะไรบอกพี่มา”“เป็กเขาทิ้งกัสไปแล้ว เขาบอกเบื่อกัสไม่อยากคบเป็นแฟนอีกต่อไป”มีแต่เสียงสะอื้นไห้ของกัสแต่ไร้เสียงใดๆ ของพีค จนกัสรู้สึกใจหายและผิดหวังในสิ่งที่ทำลงไปไม่เกิดผล“ใจเย็นๆ ในเมื่อเขาไม่รักเราแล้ว ก็ปล่อยเขาไปเหมือนอย่างพี่กับเขื่อนไง อย่าเสียใจไปเลย”“แต่ อืม กัสยังคิดอดไม่ได้ครับ” กัสกลับมาดีใจอีกครั้ง“ไม่ต้องคิดอะไรมาก เอาอย่างนี้พี่จะไปอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเป็กเลิกกับกัสกันไปแล้ว พี่ไปอยู่ด้วยคงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก ถ้างั้นรอพี่อยู่ที่ห้องนะอย่าคิดอะไรมาก พี่จะรีบไปเดี่ยวนี้ ทำใจดีๆ ไว้นะน้องกัส”“ครับ ขอบใจพี่พีคมากที่คอยดูแลกัสตลอดมา”“อืม ไม่เป็นไร”เมื่อพีคได้วางหูโทรศัพท์มือถือ กัสถึงกับอมยิ้มและเตรียมแผนการต่อไว้อย่างดี หลังจากนั้นกัสนิ่งรอพีคมายังห้องอย่างใจจดใจจ่ออย่างมีความหวัง และคาดฝันในสิ่งที่วางแผนไว้ ซึ่งเวลาที่เฝ้ารอไม่ได้นานมา
เวลาที่แม่ทัพวิศรุฒรอคอยได้มาถึง เมื่อถึงเวลาเขาบุกเข้าไปในเมืองเมฆาบุรีทันที แต่ยังไปไม่ถึงป้อมปราการ ทัพเสือเข้มวิ่งกรู่เข้ามาอย่างรวดเร็ว สองกองทัพต่างวิ่งถือดาบธนูเข้าหากัน เหมือนกับเคืองแค้นกันมาหลายภพหลายชาติเหล่าทหารกองทัพเมืองศิลานครนำทัพโดย แม่ทัพวิศรุฒนั้นร่างกายค่อนข้างแกร่งฝีมือดี เพราะผ่านศึกสงครามและฝึกฝนอย่างหนัก ในทางกลับกันฝีมือของกองทัพเสือเข้มร่างกายได้หาแข็งแกร่งไม่ ฝีมือใช่ว่าจะดีมากมาย แต่ที่ชนะกองทัพของราชาวิหคเพราะรบแบบกองโจร และแผนการอันแยบยล ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีทหารโดยแท้ปะปนมาด้วย แต่หาเทียบเหล่าทหารแม่ทัพวิศรุฒได้ โดยการครั้งนี้มีเสือเข้มนำกองทัพออกรบ แต่บรรดาทหารไม่ได้ออกมาทั้งหมดแม่ทัพวิศรุฒก็รู้ดีเช่นกัน เพราะทราบข่าวจากการสู้รบของเสือเข้มจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาจึงเตรียมการไว้อย่างดี เมื่อเขาได้นำทัพมาถึงกลางสนามรบ แต่ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ในทันที เพราะเสือเข้มออกมาสู้ประจันหน้า และพร้อมกับสองข้างฝั่งมีกองโจรดักอยู่ คอยยิ่งธนูไม่ขาดสายถึงเป็นเช่นนั้นแม่ทัพวิศรุฒหากลัวไม่ เพราะสองฝั่งเขาให้จอมและทันเดินทัพออกห่างออกไปไกล เมื่อถึงเวลารบจ
กัสยังไม่ได้เริ่มเขียนนิยายแม้แต่คำเดียว เป็กก็มาถึงยังห้องนอนอย่างรวดเร็ว จึงมีความจำเป็นต้องหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น“เราทำให้นายทุกอย่างเลยนะ ว่าแต่นายจะทำอะไรให้เราบ้างล่ะในคืนนี้” เป็กกอดร่างของยิวไว้แน่นพร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้า ไม่ว่างเว้นแม้แต่ส่วนเดียว“ไปอดอยากมาจากไหน” กัสยังนิ่งเฉยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด“ใช่ อดอยาก อมให้หน่อย” เป็กหยุดสัมผัสเรือนกายของกัสและปลดอาภรณ์ทุกชิ้นออกไม่มีเหลือ พร้อมกับล้มตัวลงนอนข้างๆ กัสที่นั่งยิ้มแต่ใจนั้นแสนเบื่อหน่ายกัสไม่สามารถที่จะปฏิเสธการนี้ได้ เขาจึงจับท่อนเอ็นของเป็กที่กำลังแข็งตั้งตระหง่าชูชัน พร้อมกับก้มใบหน้า ใช้ริมฝีปากสัมผัสท่อนเอ็นส่วนปลายสีชมพูอ่อนๆ จากทีแรกรู้สึกเบื่อหน่ายแต่เมื่อเห็นท่อนเอ็น ทำให้มีอารมณ์ร่วมมากขึ้นกัสจึงใช้ปลายลิ้นสัมผัสไล้เลียวนมาวนไปอย่างใคร่กระหาย“อืม อืม อืม” เป็กครางออกมาด้วยความเสียวซ่านอย่างถึงใจ“จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ” เสียงอมรูดท่อนเอ็นดังอย่างต่อเนื่องริมฝีปากอันเล็กรูดท่อนเอ็นขึ้นลงอย่างช้าๆ และใช้ปลายลิ้นตวัดเลียไปมา พร้อมกับเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของเป็กสั่นสะท้าน ความรู้สึกสยิวท่อนเอ็นอย่างต่อเนื่อง
ยิวนั่งหมดอะไรตายอยากในห้องบรรทมอย่างเงียบเหงา ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ หมดสิ้นหนทางอย่างไร้ที่หมาย เขาถึงกับถอนหายใจถี่ก้มมองลงพื้นด้วยความกลัดกลุ้มในใจอย่างรวดร้าว แต่แล้วเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูเปิดออก ความรู้สึกนั้นได้จางหายไปในทันที เมื่อร่างขององค์ชายศิธาปรากฏ“นั่งเหงาเลยนะองค์ชายเมธี”“ถ้ามาพูดแค่นี้ไม่น่าต้องเสด็จมาก็ได้”“ข้ามีเรื่องจะบอกองค์ชายถึงมานี่ เรื่องนี้ข้าเท่านั้นที่ต้องบอก จะได้สมน้ำสมเนื้อกับองค์ชาย”“เรื่องอะไร” ยิวให้ไปทั้งใบหน้ามององค์ชายศิธาที่ยืนยิ้มอย่างเย้ยหยัน“แม่ทัพวิศรุฒออกเดินทางไปยังเมืองเมฆาบุรีแล้ว”ยิวไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเขารู้สึกใจหายหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เพราะนั่นเท่ากับเขาอยู่ที่นี่อย่างไร้ความหมาย“รู้ไหม ทำไมแม่ทัพวิศรุฒถึงไปยังเมฆาบุรี”“ข้าไม่รู้”“เพราะที่เมฆาบุรีเกิดการกบฏอีกครั้ง และคนก่อกบฏก็เป็นเสือเข้ม องครักษ์ขององค์ชายนี่ใช่ไหม”ดวงตาของยิวเบิกโตตื่นเต้นไม่คาดคิดว่าเสือเข้มจะทำได้จริงๆ และนั่นเขาก็หวั่นๆ ว่าจะเกิดร้ายไม่ดีกับแม่ทัพวิศรุฒ“เพลานี้เมืองเมฆาบุรีกำลังวุ่นวาย เสด็จพ่อของข้าจึงสั่งจัดการให้สิ้นซาก”“บอกข้าทำไม” ยิว
ค่ำคืนที่หาบทละครเวที พีคกำลังขะมักเขม้นทำอย่างจริงใจ แต่ในช่วงเวลาเดียวกันพีคได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อดูชื่อที่ปรากฏเป็นกัส พีคจึงรีบรับทันทีเพราะปกติไม่เคยโทรมาแต่อย่างใด “ฮัลโหล น้องกัสมีอะไรหรือเปล่า” “มี แต่ กัสไม่อยากบอกพี่เลยครับ” “เรื่องอะไร บอกมาเลยถ้าไม่บอกพี่โกรธจริงๆนะ” “ก็เรื่องของเขื่อนไงครับ คือ ว่า เอ่อ อ่า อืม” “พูดมาเลยว่าเรื่องอะไร” “คือ เรื่องเด็กคนนั้นน่ะของเขื่อน เท่าที่กัสสังเกตหน้าจะมีอะไรมากกว่าเพื่อนร่วมงานอย่างแน่นอน” “พี่ก็สงสัยแต่พี่ไม่มีหลักฐานอะไร” “คือ คืนนี้พี่ลองไปหาเขื่อนที่ห้องพักแบบไม่ให้รู้ตัวสิครับ” “น้องกัสรู้อะไรมาเหรอ” “อืม กัสไม่พูดดีกว่าพี่พีคไปดูเองเถอะ” “อืม ก็ได้ ขอบใจกัสมากนะ” “ไม่เป็นไรครับ” เมื่อพีคกดวางโทรศัพท์มือถือ ก็ขับรถไปหาเขื่อนในทันที โดยไม่บอกกล่าวอะไรทั้งนั้น เพราะตอนนี้ค่อนข้างให้ความเชื่อใจกัสมากกว่าเขื่อนเสียอีก พีคขับรถไปอย่างกระวนกระวายยิ่งนัก ด
เสือเข้มผู้โหดเหี้ยมได้มีความรักโดยอย่างไม่ตั้งใจ จากเมื่อก่อนอยากอยู่ไปเรื่อยๆแต่ในปัจจุบันความคิดนั้นได้เปลื่ยนไปอย่างมาก เพราะยิวได้สร้างห้องแห่งรักไว้ในหัวใจ จึงทำให้เสือเข้มเกิดความทะเยอะทะยานอยากได้ยิวมาครอบครองเขาจึงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อจะทวงราชบัลลังก์คืนแกตัวเขาและยิว การรวบรวมกำลังพลในค่ายเสือ ถึงจะไม่ได้มากมายเท่ากับกองทัพแห่งเมืองเมฆาบุรี ที่ตอนนี้เปลื่ยนชื่อเป็นเมืองวิหค กว่าที่เสือเข้มจะระดมบรรดาโจรทั่วเมืองเมฆาบุรีได้ใช้เวลานานพอสมควร และได้ติดต่อจากเมืองอื่นๆอีกมากมายเพื่อมาช่วยในครั้งนี้ โดยมีผลตอบแทนพื้นที่บางส่วนให้ไว้อาศัยอยู่ และทรัพย์สินในวังอันมีค่าบางส่วน ในที่สุดวันที่เสือเข้มรอคอยก็มาถึง เขาได้บุกเข้าเมืองเมฆาบุรีแบบกองโจร ไม่ได้ปะชิดสู้ตรงๆ เพราะขืนทำอย่างนั้นไม่มีทางที่จะชนะแม่ทัพวิหคและอำมาตย์มงคลได้อย่างแน่นอน โดยการครั้งนี้เสือเข้มเป็นผู้วางแผนและสั่งการเองทุกอย่าง โดยเริ่มต้นยามค่ำคืนอันเงียบสงัดและเผลอไผลไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์อันร้ายแรงเกิดขึ้น “พี่น้องทุกคนพร้อมกันหรือยัง”เสือเข้มประกาศก้องใกล้ๆเมืองชั
เมื่อไม่ได้มีการซ้อมละครเวทีเขื่อนจนมีเวลาให้กับงานที่ทำมากขึ้น ไม่ว่าจะหลังเลิกงานหรือแม้แต่วันเสาร์อาทิตย์เขื่อนทุ่มเวลานั้นอย่างเต็มที่ จนทำให้ไม่มีเวลาไปมาหาสู่กับพีคอย่างเช่นแต่ก่อน และมีอยู่อีกเหตุหนึ่งนั้นเขื่อนได้มีความใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานคนใหม่มากขึ้น ตอนกลับห้องหรือไปไหนหลังจากเลิกงาน ก็ไปด้วยกันตลอดเวลา จึงทำให้ความสัมพันธ์ของพีคกับเขื่อนได้จืดจางลงไปอย่างไม่ค่อยรู้ตัวหลังจากเลิกงานวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขื่อนได้กลับพร้อมกับหนุ่มรุ่นน้อง ที่ได้พึ่งได้มาทำงานได้ไม่นานแต่ความสนิทสนมกันนั้นแสนมาก“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นพี่พีคมารับพี่เขื่อนเลยครับ” เจษเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าใคร่สงสัย และมีความดีใจอยู่พอสมควร“พี่พีคไม่ค่อยว่าง เพราะตั้งแต่ไม่ได้แสดงละครด้วยกัน พี่พีคเขาต้องหาบทละครมาสร้างอีก ช่วงนี้เลยห่างๆ กันไป”“อ่อ ถึงว่าสิทำไมไม่ค่อยเห็นพี่พีค แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับเพราะถึงอย่างไงพี่เขื่อนยังมีผมอยู่เป็นเพื่อน” เจษอมยิ้มนิดๆ“อืม” เขื่อนไม่ได้พูดอะไรต่อจากนี้ ได้แต่ยืนรอรถเมล์เที่ยวสุดท้ายที่จะกลับห้อง“โชคดีนะ ที่เราสองคนอยู่ใกล้ๆ ขึ้นรถสายเดียวกัน” เจษยังยืนยิ้มอยู่ไม่วาย“พ