กัสกับเขื่อนรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะวันนี้เป็นวันแรก ที่ทั้งสองต้องมาซ้อมบทละครกัน ซึ่งเขื่อนจะรับบทวินส่วนกัสรับบทนิว ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน และได้แอบหลงรักผู้ชายคนเดียวกันคือมีนรับบทโดยพีครุ่นพี่ชมรมละครเวที โดยมีเจนนี่เป็นผู้กำกับส่วนเกรซเป็นแอ็คติ้งโค้ช
“ฉากแรกเป็นฉากพบรัก วินเดินมาชนมีนหน้าคณะวิศวะ เมื่อทั้งสองเดินชนกันปุ๊บ สายตาจะประสานจ้องมองกัน”เจนนี่อธิบายฉากต่างๆ โดยละเอียดให้ฟัง ส่วนเกรซนั้นจะมาสอนการแสดงอินเนอร์ที่ออกมาจากข้างใน
กัสนั่งดูเขื่อนกับพีคอย่างมีนัยแอบแฝง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเป็นการแสดง แต่ในส่วนลึกของจิตใจเขายังแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับการแสดง ยิ่งเห็นพีคประคองร่างไม่ให้เขื่อนล้มลง กัสถึงใจสั่นโดยไม่รู้สาเหตุ
“โอเค ผ่าน”เจนนี่สั่งหยุดทันที เมื่อเขื่อนและพีคเล่นฉากนี้จบ
ในช่วงเวลานี้กัสยังเหม่อลอยมองเขื่อนและพีคด้วยความสับสน กัสยืนนิ่งใจล่องลอยไปไกล จินตนาการว่าถ้าเป็นตัวของเขาเองจะเล่นฉากนี้อย่างไร
“น้องกัส ถึงคิวน้องต้องแสดงแล้วนะ มัวเหม่ออะไรอยู่พี่เรียกตั้งนานแล้วนะ”เจนนี่เดินเข้ามาใกล้ๆกันพร้อมสะกิดที่แขน
“อ่อ กัสขอโทษ”
“ไม่ต้องเกร็งหรือคิดอะไรมาก ทำตัวตามสบายเดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง นี่มันเป็นแค่ซ้อมเฉยๆ”เจนนี้ยิ้มให้กำลังใจ
“ครับ”
“ต่อไปเป็นฉากของนิวกับมีนจะเดินมาชนกันจนหกล้ม หลังจากนั้นมีนจะก้มลงมาประคองร่างของนิวลุกขึ้น ซึ่งแตกต่างจากวินที่ไม่หกล้ม”เจนนี่อธิบายรายละเอียดต่างๆให้กัสฟัง ส่วนเกรซเช่นเดิมสอนการแสดงให้ออกมาจากอินเนอร์ ทว่าเกรซถึงกับประหลาดใจเมื่อเริ่มซ้อมการแสดง กัสทำได้ดีมาก โดยเฉพาะฉากหกล้มแล้วพีคมาช่วยประคองร่าง สายตาของกัสนั้นบ่งบอกความในใจมาหมดสิ้น
“กัส สุดยอดมาก เหมือนรักแรกพบจริงๆ สายตาของกัสนั้นบอกทุกสิ่งทุกอย่าง”เจนนี่พูดขึ้นทันทีเมื่อจบฉากนี้
เขื่อนก็เช่นเดียวกันเขาเห็นสายตาของกัสที่จ้องมองพีคนั้น มันเป็นสายตาแฝงความรู้สึกอะไรบางอย่างไว้ข้างใน จนเขื่อนแอบคิดไม่ได้ว่ากัสนั้นรักพีคจริงๆ
“วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนนะ พีคไปส่งน้องๆหน่อย นี่ก็เย็นมากแล้วด้วย”เจนนี่พูดขึ้น
“อือ เดี๋ยวเราไปส่งเองอยู่ห้องเดียวกันด้วย ส่งรวดเร็วพร้อมกันสองคนเลย”พีคยิ้มทีเดียวให้ทั้งกัสและเขื่อน
เมื่อทั้งสามคนมาถึงรถของพีค กัสและเขื่อนยืนคู่กันด้วยใบหน้านิ่งเฉย ส่วนพีคตัดสินใจไม่ถูกว่าจะให้คนไหนนั่งหน้า ด้วยความที่เขื่อนเป็นคนตรงๆง่ายๆเขาจึงเดินไปเปิดประตูท้ายเข้าไปนั่งข้างหลัง ส่วนกัสเมื่อเห็นเขื่อนนั่งหลังแล้ว เขาจึงเดินอ้อมไปด้านข้างอีกฝั่ง เพื่อนั่งข้างหลังเช่นกัน
“อ้าว ตกลงไม่มีใครนั่งคู่กับพี่เลยเหรอ พี่มันน่ารังเกียจขนาดนั้นเชียว”
“เปล่าหรอกครับ กัสไปนั่งหน้าซิ”เขื่อนเอ่ยขึ้น
กัสมองหน้าเขื่อนแวบหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปยังหน้ารถ พร้อมเปิดประตูรถเข้าไปนั่งหน้ากับพีค
“ต้องแบบนี้ซิ เมื่อกี้พี่เหมือนคนขับรถแท็กซี่เลย”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับพี่”กัสเอ่ยขึ้น
“กัสกับเขื่อนนี่สนิทกันมากดูรักใคร่กันดี พี่เห็นแล้วชื่นใจ รู้จักกันมากี่ปีแล้วล่ะ”
“ตั้งแต่มัธยมแล้วครับ” กัสเอ่ยขึ้น
“ก็หลายปีอยู่นะ”
พีคพยายามคุยกับทั้งสองคน หาเรื่องคุยไปเรื่อยแต่กัสและเขื่อน ถามคำตอบคำ ไม่พูดเหมือนตอนมาส่งทีละคน
“ถึงแล้วนะ น้องๆ”
“ขอบคุณครับ”กัสและเขื่อนพูดพร้อมกัน
กัสและเขื่อนลงจากรถแล้วเดินคู่กันไปยังห้องเช่าของพวกเขา โดยมีสายตาของพีคจ้องมองทั้งสองด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่เขายังไม่สามารถยอมรับความรู้สึกนี้ได้ซักเท่าไรนัก
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงห้องก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เพราะมีความรู้สึกบางอย่างมาขวางกั้นไว้ เขื่อนหลังจากอาบน้ำเสร็จเขานอนในทันที ส่วนกัสยังมีงานเขียนนิยายต่อ เขาจึงนั่งหน้าโน๊คบุ๊ดอีกครั้ง พร้อมใส่จินตนาการดำเนินเรื่องราวในนิยายไปข้างหน้าเรื่อยๆ
แม่ทัพวิศรุฒพายิวล่องเรือเพื่อมายังเมืองศิลานคร ส่วนบรรดาทหารในกองทัพนั้นได้ล่วงหน้าไปก่อนเขาหลายวันแล้ว สาเหตุที่แม่ทัพวิศรุฒมาช้าเพราะมัวแต่ช่วยยิวจากเสือเข้ม ในช่วงเวลาที่ทั้งสองอยู่เรือมีแต่กินแล้วก็นอนจนมืดอีกครั้ง
“เมื่อไรจะถึงบ้านเมืองนายซะที”ยิวเอ่ยขึ้น
“ถามทำไมอยากเป็นเมียข้าใจจะขาดแล้วรึ”
“นายนี่มันจริงๆเลยคิดแต่เรื่องนี้แหละ”
“ข้าพาเอ็งมาก็เรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้อย่าหวังข้าจะลำบากลำบนไปช่วยเอ็งมาทำไม”
“นายคิดดีแล้วเหรอ จะเอาเราเป็นเมียไม่อายคนอื่นเขาหรือไง”
“ใครบอกข้าจะเอาเอ็งออกหน้าออกตาล่ะ ข้ามีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว เอ็งก็เป็นเมียลับๆของข้าก่อนที่ข้าแต่งงานแค่นั้นเอง”
“ท่านแม่ทัพเห็นข้าเป็นอะไรคิดจะย่ำยีอะไรก็ได้งั้นเหรอ”
“ใช่ เอ็งเป็นเชลยศึก ข้าจะทำอะไรเอ็งก็ได้”
“ดีแต่พูดไม่เห็นทำอะไรซะที ทำเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้”ยิวบ่นพึมพำ
“ข้าทำไม่เป็นไง ข้าเลยอยากลองให้เอ็งสอนข้าหน่อย”
“พูดค่อยๆยังได้ยินอีก”
“ข้าเป็นทหารหูข้าดี”
“ดีแต่หูไม่ว่า”
“ดีแต่หูอะไร ข้าไม่เข้าใจเอ็งช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจทีซิ”
“หูดีปากดีจมูกดีทุกอย่าง”
“ใช่ ข้าดีทุกอย่าง”แม่ทัพวิศรุฒอมยิ้ม
“รำคาญนอนดีกว่า”ยิวล้มตัวลงนอน
“พึ่งจะมืดเองจะรีบนอนไปไหน มาเล่าเรื่องบ้านเมืองของเอ็งให้ข้าฟังหน่อย”
“อยากฟังเรื่องอะไรล่ะ มานอนฟังก็ได้เราเจ็บหัว เอาแขนมาให้เราหนุนหน่อย”
“เรื่องมากจริงเชลยคนนี้”แม่ทัพวิศรุมล้มตัวลงนอนหงาย พร้อมกับกางแขนออก
ยิวยกศีรษะขึ้นหนุนแขนท่อนใหญ่ มีแต่มัดกล้ามแต่เวลาหนุนศีรษะแล้ว ยิวรู้สึกได้ว่านุ่มกว่าหมอนเสียอีก
“เล่าได้หรือยัง”แม่ทัพวิศรุฒเอ่ยขึ้น
“มีตั้งหลายเรื่อง นายอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ”
“เอ็งไม่น่าถาม ข้าอยากรู้ว่าที่บ้านเมืองของเอ็ง ผู้ชายกับผู้ชายเขารักกันได้ด้วยเหรอ แล้วเขาอยู่กันฉันสามีภรรยาด้วยไหม เอ่อ เวลามีอะไรกันเขาทำกันอย่างไร ข้อนี้ข้าสงสัยมากที่สุด”
“หึ หึ หึ”ยิวหัวเราะเบาๆ
“เอ็งหัวเราะอะไร”
“ก็หัวเราะความไร้เดียงสาของท่านแม่ทัพนั้นแหละ”
“เอ็งเล่ามาเลยไม่ต้องหัวเราะข้าหรอก ข้าอยากรู้จะแย่แล้วว่าบ้านเมืองเอ็งเป็นเช่นไร”
“บ้านเมืองเรานะ รักไม่จำกัดเพศ รักคือรัก ไม่ว่าจะเพศไหนก็รักกันได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายรักกับผู้ชาย ผู้หญิงรักกับผู้หญิง ไม่เฉพาะแต่ผู้ชายกับผู้หญิงหรอก แต่ก็ต้องยอมรับความจริงส่วนหนึ่งว่า เป็นส่วนน้อยนะที่ผู้ชายกับผู้ชายรักกัน ส่วนใหญ่ก็เหมือนบ้านเมืองท่านแม่ทัพนี่แหละ ชายหญิงรักกันมีลูกมีครอบครัว”
“ไม่มีใครว่าอะไรเหรอผู้ชายกับผู้ชายรักกัน”
“มันก็มีบ้างนิดหน่อย แต่สวนใหญ่รับกันได้ เพียงแต่อย่าสร้างความเดือนร้อนให้คนอื่น เหมือนเพศชายหญิงทั่วไปนั่นแหละ”
“ข้าสงสัยเอ็งรักผู้ชายหรือผู้หญิง”
“ก็ผู้ชายน่ะสิ”
“แล้วเอ็งจะรักข้าไหมล่ะ”แม่ทัพวิศรุฒหันหน้ามามองยิวด้วยความใคร่สงสัย
ยิวนอนคิดยังไม่พูดอะไรออกมา เพราะตอนนี้เขายังไม่ได้มีความรู้สีกรักแม่ทัพวิศรุฒแต่อย่างใด แต่ถ้าตอบตามความจริงก็กลัวแม่ทัพวิศรุฒจะทิ้งเขาไว้กลางลำน้ำ อีกใจหนึ่งถ้าแกล้งบอกรัก เกิดแม่ทัพคิดว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายฆ่าเขาทิ้งแล้วจะทำไง ยิวคิดไม่ตกบอกท่านแม่ทัพไม่ถูก
“เอ็งยังไม่บอกข้าเลย”
“แม่ทัพถามแต่เรา ตัวแม่ทัพเองจะรักเราไหม”
“ข้าไม่รู้นะตอนนี้ แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก ข้าทำใจไม่ได้แน่ๆ”
“เปลื่ยนเรื่องพูดดีกว่า บ้านเมืองเรายังมีอะไรอีกเยอะนะ ที่ท่านแม่ทัพยังไม่รู้”
“ตอนนี้ข้ายังไม่อยากรู้ แต่ข้าอยากรู้ว่าเวลาผู้ชายกับผู้ชายเขาแสดงความรักกันเขาทำกันอย่างไร”
“เหมือนทำกับผู้หญิงนั่นแหละ กอดหอมแก้มจูบทำนองเดียวกัน”
“น่าเกลียดตายชักไม่กลัวฟ้าผ่าเหรอ”
“โอ๊ย ไม่ผ่าหรอกลองไหมล่ะ”
“ข้าไม่กล้าหรอกเดี๋ยวฟ้าผ่าขึ้นจะยุ่งไปกันใหญ่”
“มันจะผ่าได้ไงฝนก็ไม่ตกอยู่บนเรือมีหลังอีกต่างหาก ฟ้าไม่เห็นหรอกว่าเราทำอะไรกัน”
“เอ็งจะทำอะไรข้า หรือว่าให้ข้าทำอะไรเอ็ง”
“เดี๋ยวเราทำเองท่านแม่ทัพอืดอาดยึดยาด”
ทันทีที่ยิวพูดจบเขาก็พลิกตัวตะแครงหันหน้ามาหาแม่ทัพวิศรุฒ หลังจากนั้นเขากอดร่างแม่ทัพวิศรุฒตรงเนินอก ยิวยิ้มนิดนึงแล้วยกศีรษะขึ้นโน้มไปจูบแก้มของท่านแม่ทัพวิศรุฒ
“บัดสีบัดเถลิงเอ็งมาทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน”แม่ทัพวิศรุฒพูดอย่างไม่พอใจ แต่ส่วนลีกเขารู้สึกดีอยู่เหมือนกัน
“อ้าว ท่านแม่ทัพให้เราเป็นฝ่ายทำนี่ บ้านเมืองเราเวลาแสดงความรักกันเขาทำกันแบบนี้แหละ ถ้าท่านไม่ชอบเราไม่กอดท่านแม่ทัพก็ได้”ยิวกำลังจะยกแขนออกจากเนินอกของแม่ทัพวิศรุฒ
“เอ็งกอดข้าอย่างนี้ก็ได้ เพราะข้าเรี่มรู้สึกหนาว”แม่ทัพวิศรุฒไม่ได้รู้สึกหนาวแต่อย่างใด แต่ร่างกายของเขานั้นขนลุกด้วยความซ่านไปทั้งเรือนร่าง มันเป็นความรู้สึกที่เขาชอบมาก
“ติดใจซิท่า”ยิวอมยิ้ม
“เปล่าซักหน่อย”
“เปล่าก็เปล่า”ยิวขยับศีรษะให้อยู่บนวงแขนเหมือนเดิม
“ข้าลองหอมแก้มเอ็งได้ไหม”แม่ทัพวิศรุฒหันมามองหน้ายิว
“อยากหอมก็หอมเลย”
“ทำไมเอ็งไม่หวงตัวบ้างเลยล่ะ”
“ทำไมต้องหวง ถ้าทำแล้วสบายใจก็ทำ มัวแต่หวงตัวก็อดกันพอดี”
“เอ็งนี่พูดแปลกๆ”
“อยากทำอะไรก็ทำ เดี๋ยวเราหลับตาไม่มองหรอก”ยิวหลับตาทันที
แม่ทัพวิศรุฒลังเลว่าจะหอมแก้มยิวดีหรือไม่ เพราะยิ่งเขามองใบหน้าอันใสสว่างขาวผ่องดังอิสตรี ใจของเขาอยากจะเข้าไปกอดหอมให้ชื่นใจ แต่อีกใจหนึ่งร่างนี้ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นชายเหมือนอย่างเขา แต่ด้วยความงามของใบหน้ายิว แม่ทัพวิศรุฒไม่สามารถอดใจไหว เขาจึงชะโงกศีรษะขึ้นแล้วค่อยๆก้มลงหอมแก้มอันขาวเป็นยองใย เพียงริมฝีปากของเขาสัมผัสแก้มยิว แม่ทัพวิศรุฒอยากหยุดเวลาไว้แค่นี้ ไม่อยากถอนริมฝีปากออกจากแก้มอันนุ่มนวลของยิว แต่เขาก็ต้องตัดใจถอนใบหน้าออกห่างจากแก้มของยิว
“เอ็งรู้สึกอย่างไงบ้าง”แม่ทัพวิศรุฒมองใบหน้าของยิว ที่กำลังหลับตาพริ้ม
“เอ็ง สงสัยหลับไปซะแล้ว ข้าก็ลืมถามว่าเอ็งชื่ออะไร ข้าจะเรียกเองว่าโสพลก็แล้วกัน เพราะเอ็งบอกข้าตอนที่อยู่เมืองโสรยา”
แม่ทัพวิศรุฒอยากจะหอมแก้มยิวอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะทำ เขาจึงล้มตัวลงนอนครุ่นคิด ถ้าเกิดถึงบ้านเมืองของเขาแล้ว แม่ทัพวิศรุฒยังคิดไม่ออกว่าจะบอกคนอื่นว่าชายผู้นี้คือใคร
กัสหยุดเขียนแล้วอมยิ้มกับตัวละครของเขา วันนี้เขามีความสุขมากจึงเขียนบทให้หวานเข้าไว้ก่อน กัสปิดโน๊ดบุ๊คและหันหน้าไปมองเขื่อนที่กำลังหลับอย่างสบายใจ เขามองหน้าเขื่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมครุ่นคิดว่าเขื่อนนั้นรู้สึกเช่นไรกับพีค
วันนี้กัสไม่มีบทซ้อมละครเพราะเป็นคิวของเขื่อน จึงทำให้ค่ำคืนนี้กัสรู้สึกหงุดหงิด แต่เขาก็ยังมีความหวังในวันพรุ่งนี้ เพราะกัสกับพีคจะซ้อมบทละครกันเพียงสองคน เพราะตามเนื้อเรื่อง นิวกับวินเป็นเพื่อนรัก และรักผู้ชายคนเดียวกัน ต่างคนต่างไม่รู้ว่าผู้ชายที่เขาทั้งสองมอบความรักให้นั้น เป็นคนเดียวกันจึงทำให้ทั้งสองได้แตกหักในเวลาต่อมา อย่างมองหน้ากันไม่ติดทีเดียว เมื่อกัสมาถึงห้องเขาจึงไม่รอช้า ใส่จินตนาการในนิยายของเขาด้วยอารมณ์ในขณะนี้ ก่อนเริ่มลงมือเขียนกัสสองจิตสองใจ กับเนื้อเรื่องที่ร่างไว้กับใส่ใหม่ ในที่สุดกัสตัดบทร่างเดิมทิ้งไปหมด เริ่มต้นเขียนตามอารมณ์ความรู้สึกทันที เสือเข้มผู้โหดเหี้ยมยังไม่หยุดตามราวียิว ผู้ซึ่งทำให้เขาได้รับความอับอายในใจ ที่หลงผิดคิดว่ายิวเป็นหญิงสาวรูปงาม เสือเข้มจึงบุกป่าฝ่าดงจนพบแม่ทัพวิศรุฒกับยิว เมื่อช่วงกลางวันที่ผ่านมา เขาเห็นทั้งสองออกมายืนอยู่หัวเรือ เสือเข้มจึงได้แต่รอเวลาโดยขี่ม้าตามสายน้ำในป่าไม่ลึกมาก จวบจนมืดค่ำเขาก็ได้เห็นเรือจอดริมฝั่ง เพื่อพักผ่อนยามค่ำคืน เสือเข้มผู้อำมหิตและมีเลห์กลเพทุบายหลากหลาย เข
เย็นนี้เป็นคิวของกัสที่รับบทวิน ซึ่งเป็นฉากมีนพาวินไปเที่ยว มีความคล้ายคลึงเมื่อวานที่มีนพานิวไปเที่ยว โดยความเป็นคนเจ้าชู้และมนุษย์สัมพันธ์ดีของมีน เขาจึงเริ่มคบทีเดียวสองคนทั้งวินและนิว เมื่อกัสและพีคซ้อมฉากไปเที่ยวเสร็จ พีคจึงต้องมาส่งกัสเช่นเดิมเหมือนอย่างที่มาส่งเขื่อนเมื่อคืน แต่มีสิ่งที่ไม่เหมือนกันคือพีคไม่ได้พากัสไปกินข้าว ในระหว่างที่อยู่ในรถกัสนั่งนิ่งเงียบ และรู้สึกแปลกใจทำไมพีคถึงไม่ทำเช่นเดียวกันเหมือนอย่างเขื่อน “วันนี้น้องกัสเก่งมากเลยนะ เล่นดีมากพี่เกรซไม่ต้องสอนเท่าไร พี่เจนนี่ยังชมกัสไม่ขาดปากเลย” “คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”กัสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะรู้สึกเคืองพีคเล็กน้อย “อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย พี่ว่าถ้าเรียนจบกัสไปเป็นนักแสดงได้นะ” “ไม่หรอกครับ กัสมีงานที่อยากทำอยู่แล้วครับ” “งานอะไรล่ะ” “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ครับ รอให้กัสทำสำเร็จก่อนเดี๋ยวจะบอกพี่พีคเป็นคนแรก” “พี่ก็นึกว่าจะบอกเขื่อนเป็นคนแรกซะอีก” “เขื่อนเขารู้อยู่แล้วว่ากัสทำอะไร แต่พี่พีค
วันหยุดนี้เขื่อนได้ออกไปจากห้องเช่าในขณะที่กัสยังไม่ตื่น เมื่อเขารู้สึกตัวก็พบแต่ความว่างเปล่า กัสไม่สามารถดาดเดาได้ว่าเขื่อนนั้นได้ไปไหนกับใคร แต่กัสก็ไม่สนใจอะไรเพราะในวันนี้เขาจะเขียนนิยายต่ออีกหลายตอน กัสจึงเริ่มต้นเขียนช่วงสายๆ หลังจากยิวและจันเด็กน้อยที่พึ่งรู้จักเดินตามขบวนจนจวบช่วงเวลาเย็น ซึ่งในตอนนี้นี่เองทุกคนต้องออกหาอาหารมากินเพื่อประทังชีวิต “พี่ชื่ออะไรน่ะ” “พี่ชื่อ เอ่อ โสภณ”ยิวไม่อยากบอกชื่อจริงออกไป เพราะเขาคิดว่าจันเด็กน้อยคนนี้อาจสงสัยอีกว่าทำไมไหมชื่อแปลก ยิวขึ้เกียจตอบคำตอบจึงเอาชื่อไม่แท้ที่เคยปลอมตัวมาเป็นชื่อของตัวเอง “ชื่อยังกับองค์ชาย”จันยิ้มร่ามองยิว “แล้วน้องชื่ออะไรล่ะ” “จัน” “จัน แล้วเราจะหาอะไรกินกันดีล่ะเย็นนี้” “เอาของมีค่าไปแลกก็ได้” ยิวยืนทำตาปริบๆเพราะเขาอดเสียดายแหวนทองเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ใช่ของเขาก็ตามที และรู้สึกผิดที่เอาของคนอื่นมาขายแลกอาหารประทังชีวิต “ถ้างั้นพาพี่ไปซื้ออาหารหน่อยได้ไหม แต่ดูของมีค่าของพี่ก่อนได้
เมื่อชายหนุ่มทั้งสองได้เดินจากไป ยิวรีบไปหาจันทันที พอเขาเห็นจันแค่นั้นแหละยิวแท่บน้ำตาไหล เพราะร่างกายของจันฟกซ้ำดำเขียว แล้วยังมีรอยผิวหนังไหม้เกรียมอยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นท่อนแขนและขา “จันเจ็บมากไหม”ยิวกอดร่างของจันไว้อย่างเอ็นดู “พี่ก็เจ็บด้วยใช่ไหม”จันร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ใช่พี่ก็เจ็บ แต่พี่โตแล้วและไม่ได้โดนหนักอย่างจัน แต่จันไม่ต้องกลัวนะอดทนเข้าไว้ พอไปถึงเมืองศิลานคร พี่จะให้ท่านแม่ทัพวิศรุฒหาหมอเก่งๆมารักษาจันเอง” “ขอบคุณพี่โสพลมากเลยครับ” ยิวไม่รู้จะจัดการกับแผลของจันอย่างไร เขาได้เพียงแต่หาผ้ามาพันแผลไว้ และในช่วงเวลาเดียวกันยิวต้องพาจันเดินทางไปยังเมืองศิลานครกับกลุ่มคนพวกนี้ด้วย ถึงแม้จะหิวปานใดทั้งสองก็ต้องอดทนเพื่อความอยู่รอดให้ได้ และเมื่อยิวได้ยินว่าอีกสองวันก็ถึงเมืองศิลานคร เขาดีใจอย่างมาก แต่ยิวก็ไม่รู้จะทนความหิวได้นานแค่ไหน เพราะตอนนี้เขาไม่มีอะไรเหลือที่พอจะขายได้เลย “ออกเดินทางได้แล้ว”หัวหน้าขบวนตะโกนเสียงดัง “เดินไหวไหมจัน” “ข้าเดินไหวอยู่แผลแค่
ในวันนี้กัสต้องอยู่ในมหาวิทยาลัย เพื่อซ้อมบทละครสองฉากสำคัญ ซึ่งซ้อมเฉพาะฉากของกัสกับพีคแค่นั้น ส่วนเขื่อนได้ซ้อมไปทุกฉากแล้วที่เข้าคู่กับพีค “น้องกัสวันนี้เป็นซ้อมใหญ่ฉากของนิวและมีนไหวไหม”เจนนี่ผู้กำกับละครเวทีพูดขึ้นด้วยความมั่นใจในความสามารถของกัส “ไหวครับ” “พีคล่ะ ไหวไหมซ้อมหนักทุกวัน”เจนนี่อมยิ้มนิดๆให้กับพีคเพื่อนหนุ่ม “โอ๊ย สบายมากยิ่งได้เล่นกับกัสเข้าขากันดี” กัสฟังคำพูดของพีคแล้วรู้สึกทะแม่งในใจ เพราะเขาและพีคไม่ได้สนิทกันเลย แค่ไปส่งที่ห้องเช่าอย่างเดียว ไม่เคยไปไหนมาไหนกับพีคเหมือนเขื่อน “เอาล่ะ เริ่มเลยนะ เอาตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเลย” “ครับกัสรับคำ” นิวนักศึกษาหนุ่มกำลังเดินตามหาวินที่คณะ เขาจึงไม่ได้มองทางเดินเท่าไรนัก เพราะใจของเขาอยากจะไปเจอเพื่อนไวๆ นิวจึงไม่ทันระวังจนไปชนนักศึกษาหนุ่ม จนร่างของขาเซล้มลงกับพื้น “โอ๊ย”นิวร้องด้วยตกใจและเจ็บก้นกบ “ผมขอโทษไม่ได้ตั้งใจ”มีนนักศึกษาหนุ่มนั่งยองๆยื่นมือให้นิว เพียงนิวเงยหน้ามองมีนเขาถึ
กัสผิดหวังพอสมควรที่พีคไม่ได้ชวนเขาไปเที่ยวไหน ตอนอยู่บนรถพีคก็ชวนกัสคุยตลอดทาง เป็นการคุยที่ไม่ใช่คนรักกันหรือแอบชอบแต่อย่างใด จึงสร้างความผิดหวังให้แก่กัสอย่างมาก เมื่อเขามาถึงห้องจึงรีบเขียนนิยายต่อทันที เช้าวันใหม่ยิวได้เห็นสภาพของจันที่หนาวจนตัวสั่น เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับจันในช่วงเวลานี้ เขาจึงเดินไปหาผู้คนมากมายที่อยู่ในขบวนเพื่อขอยา ก็ยังพอมีคนที่มีน้ำใจให้มาซึ่งยิวไม่รู้ว่ายานั้นจะได้ผลหรือไม่ ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่ปั้นเป็นยาลูกกลอน แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกยิวจึงรีบเอามาให้จันได้กินเดี๋ยวนั้นทันที “กินยาซะ” “ขอบคุณพี่มากเลย” “ไม่เป็นไรหรอกเราเป็นพี่น้องกัน เดี๋ยวตอนเย็นถึงเมืองศิลานครแล้ว พี่รับรองท่านแม่ทัพจะหาหมอเก่งๆมารักษาจันอย่างแน่นอน “ข้าจะรอ” ยิวมองจันกินยาอย่างยากเย็นเพราะเม็ดค่อนข้างใหญ่พอสมควร เมื่อจันได้กินยาเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังเมืองศิลานคร เพราะหัวหน้าขบวนได้ตะโกนบอกทุกคนให้ได้รับรู้ และเตรียมตัวเพื่อที่จะเดินทางต่อไป ความรู้สึกนึกคิดของยิวตอนนี้เขาไม่มั่นใจเล
กัสหยุดนิ่งไปยอมเขียนต่อ เพราะช่วงนี้จิตใจของเขายังว้าวุ่นอยู่มาก กัสจึงหยิบบทละครมาอ่านและทบทวน เพื่อจะได้เล่นให้ดีเป็นที่พึ่งพอใจแกพีค คนที่เขาแอบรักและฝันใฝ่หาอยู่ตลอดเวลาทุกเช้าบ่าย กัสจึงเริ่มอ่านตอนต่อจากเมื่อวานที่ได้ทำการซ้อมกัน นิวได้ตอบรับคำชวนของมีนไปดูหนังในค่ำคืนนี้ ทีแรกเขาก็ไม่กล้าไปแต่ในเมื่อใจของเขาต้องการจึงไม่ยากที่จะปฏิเสธความต้องการของตัวเองได้ ซึ่งในส่วนตัวของนิวก็ไม่ได้ชอบดูหนังเท่าไร แต่เมื่อได้ไปดูกับคนที่แอบปลื้มนั้น ชอบหรือไม่ชอบก็ไม่ได้มีความหมายอีกต่อไป เป็นครั้งแรกที่นิวต้องมาดูหนังสยองขวัญในช่วงเวลากลางคืน เขามีความกลัวอยู่บ้างแต่อย่างน้อยยังมีคนข้างกายเป็นชายหนุ่มที่เขามีความรู้สึกดีๆให้ นิวจึงคลายความหวาดกลัวไปได้พอสมควร “ปิดหน้าทำไม”มีนเอ่ยถามเมื่อหันมาเห็นวินปิดหน้าเพราะกลัวฉากหวาดเสียว “กลัวนิดหน่อย” “อยู่ใกล้ๆผมไม่ต้องกลัวหรอก” มีนดึงมือของนิวมาจับไว้บนต้นขาของเขา เพื่อเพิ่มความอุ่นใจและไว้ใจว่าไม่ต้องกลัวสิ่งใดทั้งนั้นในช่วงเวลานี้ มืออันใหญ่หยาบเล็กน้อยที่ได้สัมผัสมื
บ่ายนี้อีกฉากหนึ่งซึ่งจะมีเลิฟซีนระหว่างนิวกับมีน จึงทำให้กัสตื่นเต้นอย่างมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เข้าจะได้ใกล้ชิดพีคแบบถึงเนื้อโดนตัว นิวนั่งรอการมาของมีนในห้องเพียงลำพัง เพราะวินได้กลับบ้านไปในช่วงวันหยุดทีแรกนิวไม่อยากให้มีนมา แต่โดยลูกตื้อของมีนไม่ไหวเขาจึงจำใจให้มีนเข้ามาในห้องของเขา เมื่อถึงเวลาที่นัดหมายมีนได้มาถึงไม่ขาดไม่เกินเวลาพอดีประจวบเหมาะ “รอนานไหม”สายตาดุจพญาเสือของมีนพุ่งมุ่งไปยังร่างของนิว พร้อมยืนองอาจอยู่หน้าของนิว ซึ่งในขณะนี้นิวนั่งอยู่บนเก้าพลาสติกสีขาว “ไม่รู้นะ เพราะว่าเราอยู่ในห้องเป็นปกติ”นิวหลบตาต่ำมองพื้นห้องด้วยแพ้สายตาของมีน “อือ เราว่านิวจัดห้องได้สวยมากเลยนะ แล้วเพื่อนของนิวไปไหนล่ะ เราก็กะว่าจะได้มาเจอกันที่นี่” “กลับบ้านมาน่าจะมาพรุ่งนี้” “ดีเลย”รอยยิ้มของมีนจัดจ้านดั่งพริกหลายสิบเม็ด “ดีอะไร”แววตาของนิวเคลือบแคลงสงสัยในคำพูดของมีน “ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่จะไม่ชวนให้เรานั่งซักหน่อยเหรอ” “นั่งสิ เดี๋ยวเราเอาน้ำมาให้”นิวลุกขึ้นยืนพร้อมก้า
เป็กผู้ช่ำชองในยามราตรี เขาไม่เคยพลาดแม้แต่ศุกร์เสาร์ทุกค่ำคืน เป็นนักเที่ยวตัวยงที่ใครเห็นก็ต้องจำได้ นอกจากพ่อรวยรูปหล่อสายเปย์อีกต่างหาก จึงมีหลายคนเข้ามาพัวพันไม่ขาดสาย เมื่อเป็กพายิวมาเที่ยว จึงมีสายตาหลายคู่จ้องมองด้วยความอิจฉา แต่ยิวหาสนใจไม่ถึงแม้จะไม่ค่อยคุ้นชินในโลกปัจจุบันเท่าไรนัก แต่เขาก็ไม่หวาดหวั่นอะไรทั้งสิ้น“เป็นไงบ้างมาเปิดหูเปิดตา” เป็กยื่นแก้วเพื่อชน“ก็โอเคนะ เป็นครั้งแรกที่เราได้มา รู้สึกว่าน่าสนใจกว่าเมืองโบราณอีก” ยิวเผลอคำพูดที่ไม่พึงประสงค์ออกมา“เมืองโบราณอะไร” เป็กมีสีหน้าที่มึนงง“อ่อ เปล่า สนุกดีเราไปเต้นกันไหม”“อะไรนะ เราไม่อยากเชื่อเลยนายจะชวนเราไปเต้น นายเปลื่ยนไปหรือว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของนายว่ะ” เป็กหัวเราะ“ไม่ได้เปลื่ยนนี่แหละตัวจริง ที่เห็นก่อนหน้านี้ตัวปลอม แอ๊บไว้ไงแต่ไม่เห็นมีใครชอบเลย เป็นตัวของตัวเองดีกว่า” ยิวเสแสร้งแกล้งพูดเพราะในความจริงเป็นร่างของคนอื่น เพียงแต่เขาแค่มาอาศัยอยู่ในร่างนี้เท่านั้น“ร้ายนะ แกล้งเงียบถ้ารู้ว่านายเป็นแบบนี้เราจีบตั้งนานแล้ว”“อะไรนะ” ยิวรู้สึกมึนงงและสับสนกับคำพูดของเป็ก“ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วยล่ะ เ
กัสนั่งนิ่งๆ ก่อนที่จะไปท้องพระโรง เขาคิดย้อนเหตุการณ์เมื่อเสือเข้มพามาถึงยังหมู่บ้านกองโจร ซึ่งคนละที่กับซุ้มเสือเข้ม เพียงแค่เข้าไปถึงแม้จะไม่ประหลาดใจ แต่ก็ต้องอึ้งกับผู้คนในที่แห่งนี้ ที่มีหลากหลายอายุคละกันไป และมีการฝีกปรือฝีดาบอย่างขะมักเขม้น แต่เขาก็พยายามมองผ่านและเดินตามเสือเข้าไปข้างใน“แม่นมข้ากลับมาแล้ว” เสือเข้มวิ่งเข้าไปกราบแท่บเท้าของ มัณฑนานางกำนัลเก่าแห่งเมืองเมฆาบุรี“หายไปนายมากเลยนะ แม่อดคิดถึงเอ็งไม่ได้เลย เอ้า แล้วพาใครมาด้วยล่ะนะ” มัณฑนามองมายังกัสที่ยืนนิ่ง แต่แล้วเมื่อเห็นสายตาของมัณฑนาเขาก็ต้องนั่งลงแต่โดยดี“เพื่อนข้าเอง” เสือเข้มอมยิ้ม“เพื่อนเอ็งเป็นใครกัน ทำไมผิวพรรณยังกับคนในรั้วในวัง รูปร่างก็บอบบางยังกับอิสตรี เอ็งไปรู้จักกับเขาได้อย่างไรกัน”“ข้าเจอโดยบังเอิญชื่อโสภณ เป็นโอรสลับๆ ของสนมแห่งเมืองโสรยานคร”กัสรู้สึกประดักประเด่อพอสมควร เพราะเขากับเสือเข้มได้ตกลงตอนเดินทางมาที่แห่งนี้ ความคิดเช่นเดิมได้เกิดครั้งแรกที่เขาได้เจอแม่ทัพวิศรุฒ แต่ได้ปดมดเท็จว่าเป็นองค์ชายโสภณ กัสจึงทำตามเช่นเคยซึ่งเสือเข้มก็เห็นพ้องไม่ทัดทาน“อ่อ องค์ชายตกยาก คงจะเป็นคนองค์ชา
ยิวหยิบโน้ตบุ๊คมาเปิดดูแต่เป็นที่น่าเสียดาย มันสามารถที่จะติดได้เนื่องจากวันนั้นล้มกระแทกจนเสียหาย ยิวถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเขาต้องทำงานส่งอาจารย์ และอีกอย่างหนึ่งด้วยความอยากรู้ว่ากัสได้บันทึกหรือทำอะไรไว้ในนี้บ้างยิวจึงพับโน๊ดบุ๊คไว้ตามเดิม และกะว่าช่วงเย็นจะเอาไปซ่อม แต่ติดปัญหาคือเขาไม่มีเงินพอที่จะนำไปซ่อม เขาจึงหยิบโทรศัท์มือถือของกัสมาเปิดดู ซึ่งได้ล็อครหัสไว้จึงทำให้ไม่สามารถเปิดได้ มีเพียงรับสายอย่างเดียวแค่นั้น ยิวจึงลองนำวันเดือนปีเกิดของกัสมาใส่ ซึ่งก็ได้ผลทันทีมือถือเครื่องนี้ปลดรหัสได้ แต่นั่นไม่เท่ากับภาพหน้าปกเป็นรูปของพีค ยิวจึงเกิดความอยากรู้ต่อไปเขาจึงเปิดดูในแกเลอรี่ ซึ่งในนั้นมีแต่ภาพพีคเต็มไปหมดดวงตาอันกลมโตของยิวได้หลับลง พร้อมจินตนาการเรื่องราวของกัสว่าเป็นอย่างไรบ้างก่อนหน้านี้ ซึ่งในหัวของเขาก็เห็นแต่หน้าพีคอยู่เพียงผู้เดียว พอเขาลืมตาขึ้นมาก็ได้ยินเสียงมือถือดังขึ้น เขารีบดูทันทีซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นพีคนั่นเอง“อยู่ห้องไหมน้องกัส”“อยู่พี่พีคมีอะไรหรือเปล่า”“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่โทรถามเฉยๆ ถ้าอยู่พี่จะไปหา”“พี่มีธุระอะไรเหรอ”“จะไปหาต้องมีธุระด้วยใช่ไหม”“เป
นางกำนัลสาลินีได้นำพาพระโอรสของราชาเมษากับราชินีสีวิกา เดินลัดเลาะหลบมุมตลอดทาง จนมาถึงข้างๆ ตำหนักของชายามาริสา เธอรออยู่พักหนึ่งมันฑนานางกำนัลร่วมรุ่นมาพร้อมพระโอรสของอนุชาเมฆากับชายามาริสา“ข้ารอตั้งนานนึกว่าเอ็งไม่มาแล้ว ยังดีที่พระโอรสไม่ร้องเลย” นางกำนัลสาลินีเอ่ยขึ้นด้วยใจระทึกมองซ้ายมองขวา แล้วมององค์ชายแสนอาภัพที่เธออุ้มมา“เอาน่าอย่าพูดมากเลยเอาเด็กมาสลับกัน” นางกำนัลนำพระโอรสที่ซ่อนมาในตะกร้าผ้าออกมานางกำนัลสาลินีและนางกำนัลมัฑนาต่างสลับพระโอรสกันตรงนั้น แต่สายตาทั้งสองก็ไมวายมองรอบๆ บริเวณ ด้วยความกลัวใครจะมาพบเห็น“เอ่อ เอ็งออกมาได้อย่างไงไม่มีทหารเหรอ” นางกำนันสาลินีถาม“มี แต่ทหารที่เฝ้ารู้จักกันก็เลยพอเอาออกมาได้”“เอ้านี่ คือแหวนที่มเหสีสีวิกามอบไว้ให้องค์ชาย”“อือ”มัณฑรับแหวนไว้แล้วรีบพาองค์ชายเข้าไปในพระตำหนักอย่างทันท่วงที ส่วนสาลินีไม่รอช้ารีบน้ำองค์ชายที่สลับเปลื่ยนไปยังตำหนักราชินีสีวิกาเช่นเดียวกัน ซึ่งกว่าจะไปถึงก็ใช้เวลานานพอสมควร เพราะต้องหลบเหล่าทหารที่กำลังออกตระเวนเมื่อสาลินีมาถึงยังตำหนักของราชินีสาลินี เธอรีบน้ำพระโอรสของอนุชาเมฆากับชายามาริสาวางไว้ข
หนึ่งหนุ่มกับสาวอีกคนนั่งมองหน้ากันในห้องชมรมละคร หลังจากนักศึกษาในชมรมนี้ออกไปไปหมดแล้ว เจนนี่ผู้กำกับสาวนั่งนิ่งมองหน้ายิวอยู่พักหนึ่ง ซึ่งในช่วงเวลาที่มองอยู่นั้น ได้เห็นแววตาอันเปลื่ยนแปลงไป เพราะมีความสู้คนและเปิดเผยออกมาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด“วันนี้น้องกัสเป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไมการแสดงของน้องแปลกไป และไม่เข้ากับบมที่ได้รับ”“เปล่าครับ ผมก็ยังเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง”“พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องนะ แต่พี่อยากบอกว่าอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับการแสดงให้มาก คือเมื่อก่อนกัสอินกับละครจนไม่สามารถที่จะออกจากบทนั้นได้ แต่ทำไมตอนนี้กัสไม่อินเหมือนเดิมกลับกันเป็นคนละคนเลย”ยิวอยากจะเถียงแต่เขาก็ต้องเก็บกลั้นอามรมณ์นั้นไว้ เพราะในตอนนี้เขาได้เขามาอยู่ในร่างของกัน ซึ่งจากการคาดคะเนของยิวนั้น กัสน่าจะมีนิสัยที่แตกต่างจากเขาอย่างมาก“ครับ” ยิวรับคำแต่โดยดีและไม่พูดสิ่งใดออกมา“ดีแล้ว พี่จะให้กัสพักสองวันนะเพื่อลองทบทวนอะไรบางอย่าง กลับได้แล้วเดี๋ยวมืดค่ำจะอันตราย”“ขอบคุณพี่มากครับ” ยิวยกมือไหว้พร้อมกับศีรษะให้เจนนี่ หลังจากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว และไม่หันหรือหยุถเดินแต่อย
กัสเดินเข้ามาในตำหนักว่างเปล่าที่มีผู้คนคอยรับใช้อย่างมากมาย ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าต่อไปนี้ไม่น่าจะลำบากกาย แต่อันตรายนั้นน่าจะอยู่รอบตัวเขาอย่างแน่นอน กัสจึงหวั่นผวากลัวอยู่เนืองๆ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอนกจากทนและจำยอมมาในที่แห่งนี้ พร้อมกับเสือเข้มผู้องอาจ และท่านอำมาตย์มงคลผู้มีแผนการอันแยบยล“เอ็งจำไว้นะว่าชื่อเมธี เป็นรัชทายาทแห่งเมืองเมฆาบุรี เป็นพระราชโอรสของอดีตราชาเมษากับราชินีสีวิกา” อำมาตย์มงคลพูดจบก็หันไปมองกัสที่นั่งนิ่งๆ สีหน้าราบเรียบ“ส่วนองค์ชายตัวจริง กระหม่อมต้องขออภัยด้วยที่ต้องเรียกว่าองครักษ์เข้ม”“ไม่เป็นไรหรอกข้าแค่อยากมาแก้แค้นให้เสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้าเท่านั้น”“ดีมากพระองค์ แต่พระองค์ต้องลำบากลำบนเป็นโจรก็เพราะราชาเมฆาที่พึ่งสิ้นพระชนม์ไปนี่พระเจ้าค่ะ”“ท่านอำมาตย์ลืมไปแล้วเหรอว่าข้าเป็นองครักษ์เข้ม ท่านอย่าพูดกับข้าเป็นองค์ชายอย่างนั้น องค์ชายตัวจริงอยู่โน่น” เสือเข้มโบ้ยปากไปทางกัสที่กำลังนั่งนิ่งๆ“เอ่อ ขอโทษข้าลืมไป ถ้าอย่างขอตัวก่อนก็แล้วกัน เอาไปว่าคืนนี้คุยกันดีๆ และเตรียมตัวอย่างที่เราตกลงกันไว้” เมื่ออำมาตย์มงคลพูดจบเขาก็เดินจากไปในทันทีกัสครุ่นคิด
ยิวนั่งมองเขื่อนขนของย้ายห้องออกไปอย่างไม่ใคร่สนใจ เพราะเขาไม่ได้รู้สึกสนิทด้วยแต่อย่างใด ยิวจึงมีแต่ความเย็นชาใส่เขื่อน เมื่อเขื่อนขนของเสร็จเขาไม่ได้ยินแม้แต่คำลาสักคำ เช่นเดียวกับตัวเขาที่ไม่พูดอะไรออกมาให้เขื่อนได้อย่างยินเช่นกัน พออยู่คนเดียวภาวะจิตใจของยิวนั้นเริ่มว้าวุ่นคิดวนมาวนไปอยู่หลายครั้ง เขาคิดอะไรไม่ออกนอกจากเรียนอยู่คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ พอกับจากมหาวิทยาลัยเขาก็นอนอ่านนิยายแล้วหลับไปตื่นมาอีกทีก็อยู่ในเหตุการณ์นิยายเรื่องนักรักบันลือโลกไปแล้ว นักเขียนไม่ได้ใส่รายละเอียดตัวเขาให้มากพอ ยิวจึงมีความทรงจำในยุคปัจจุบันอยู่แค่นี้ แต่เรื่องราวต่างๆในโลกปัจจุบันยิวกับรู้ทำได้ทุกอย่างได้หมด เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ยิวเริ่มค้นห้องและตรวจสอบทุกอย่างในความเป็นตัวกัส เขาจึงรู้ว่ากัสเป็นนักศึกษานิเทศศาสตร์ซึ่งคนละคณะกับเขาเลย เพราะยิวเรียนคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ยิวยิ่งคิดยิ่งกลัดกลุ้มเขาไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปอย่างไรกับชีวิตที่อยู่ในร่างกัส แต่เขาคิดว่ายังดีกว่าไปอยู่นิยายเมืองโบราณที่ไม่มีความทันสมัย ซึ่งเขาได้พบความอยากลำบากมาแล้ว ยิวจึง
ตอนที่24 ตัวเราลิขิตเอง น้ำกระเด็นทั่วเรือนร่างและโดนหนักตรงบริเวณใบหน้า จึงทำให้กัสได้สติเขาค่อยๆลืมตาขึ้นทีละน้อย และภาพตรงหน้าที่เขาได้พบเห็น เป็นชายหนุ่มสูงใหญ่มีหนาวดเคราหนาจนกัสรู้สึกหวั่นกลัวอย่างหนัก เขาจึงรีบลุกขึ้นนั่งทันทีพร้อมกับมองไปรอบๆบริเวณ ซึ่งมีแต่ต้นไม้ขนาดใหญ่และหญ้าสูงเคียงเอว “มึงเป็นบ้าอะไรใส่ชุดใหญ่ผู้หญิงไอ้ยิว”เสือเข้มผู้ช่วยชีวิตกัสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขมึงตึง “เราไม่ได้ชื่อยิวเราชื่อกัส”เมื่อกัสได้ยินชื่อยิวเขาก็ใคร่สงสัยและครุ่นคิดอย่างหนัก ยิ่งเห็นสภาพแวดล้อมแบบนี้ด้วย ทำให้กัสถึงกับพอจะรู้อะไรบ้างแต่ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร “มึงพูดดีๆว่ามึงชื่ออะไร” กัสมองไปรอบๆอีกครั้งและหยิกตัวเองซึ่งเขาก็รู้สึกเจ็บพอสมควร ในช่วงเวลานี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ เท่าที่เขาจำได้ก่อนหน้านี้กำลังทะเลาะอยู่กับเขื่อน และก็โดนผลักจนล้มลงบนโน๊ตบุ๊ค หลังจากนั้นกัสไม่สามารถที่จะจำอะไรได้อีกเลย “ที่นี่ที่ไหน”กัสพูดด้วยความมึนงง “ศิลานคร” “แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เมื่อเขียนนิยายได้หนึ่งตอนกัสจึงรู้สึกง่วงอย่างมาก จึงหยุดเขียนและนั่งอ่านซ้ำจนเกือบจะจบตอน จูจู่เขาก็ได้ยินเสียงจากด้านหลัง “กัสพีคมานอนนี่ได้อย่างไง” กัสได้ยินเสียงห้วนและดังมาก เขาจึงหันหน้ามองด้วยความตกใจ กัสทำอะไรไม่ถูกถึงแม้สิ่งที่เขาทำก้ำกึ่งไม่ตั้งใจก็ตาม “ไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะเขื่อน” “ไม่ใช่แล้วพี่พีคมานอนอยู่ที่ห้องได้ไง” “ก็พี่พีคเขาเมาตามหานายไม่เจอ เขาก็มานอนรอนายอยู่นี่ไม่เห็นเหรอนะ” “ทำไมต้องถอดเสื้อผ้านอนด้วย”เขื่อนจ้องหน้ากัสเขม็ง “เหล้ามันหกเปื้อนเสื้อผ้าเขา โน้น เสื้อกางเกงของพีคเราซักตากไว้ให้”กัสชี้ไปยังที่ตากเสื้อกางเกงของพีค “เราไม่เชื่อหรอกนายสองคนต้องมีอะไรกัน” “ไม่เชื่อก็ถามพี่พีคสิ” “พี่พีค”เขื่อนตะโกนอย่างดัง พีคตกใจตื่นด้วยเสียงอันดังของเขื่อน เมื่อเขาลืมตาขึ้นและหันมามองตามเสียง ภาพที่ได้เห็นคือเขื่อนยืนนิ่งๆมองเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ พีครู้สึกแปลกใจเขาจึงลุกขึ้นแล้วลงมาจากเตียง “มีอะไรเหรอเรียกพ