แชร์

บทที่ 0010

“ฉินเหยี่ยนเย่ว์ มีเพียงเจ้า ที่ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงชื่อนั้น” น้ำเสียงของตงฟางหลีเย็นชา

เขาบีบคอแน่นขึ้น สีหน้าของฉินเหยี่ยนเย่ว์เปลี่ยนเป็นสีม่วงเนื่องจากหายใจไม่ออก

ฉินเหยี่ยนเย่ว์หายใจไม่ออก พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก จนสามารถมองเห็นใบหน้าของเขา ดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน

เธอมองความโศกเศร้าจากนัยน์ตาคู่นั้นออก

มองออกถึงความอดกลั้นและโกรธแค้น จากใบหน้าที่คอยรักษาสีหน้าสบาย ๆ นั้นมาตลอด

“เวลาไม่อาจย้อนคืนได้ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วผู้ใดก็ไม่สามารถแกไขได้ แต่ อนาคตสามารถแก้ไขได้ หม่อมฉันกับท่านอ๋องยังบริสุทธิ์ ภายภาคหน้าก็จะเป็นเช่นนั้น พวกเราแค่จำต้องเล่นละครตบตาบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมแล้วค่อยแยกทางกัน ท่านก็คือท่าน หม่อมฉันก็คือหม่อมฉัน พวกเราต่างคนเลือกชีวิตของตนเอง มีอะไรที่เป็นไปมิได้หรือเพคะ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าว

“สิ่งที่ติดค้างท่าน ข้าจะชดใช้ให้ สิ่งที่ติดค้างหม่อมฉัน หม่อมฉันจะทวงกลับมาแน่นอนเพคะ”

“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?” ตงฟางหลีเอ่ยปากน้ำเสียงจริงจัง

“ฉินเหยี่ยนเย่ว์”

“เจ้ามิใช่นาง” ตงฟางหลีกล่าว

“อันที่จริงคงมิใช่ คนที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งแล้วฟื้นคืนชีพอีกครั้ง หม่อมฉันเป็นฉินเหยี่ยนเย่ว์คนใหม่ คำตอบข้อนี้ท่านพึงใจหรือไม่” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ย

ตงฟางหลีหรี่ดวงตา มือที่บีบคอของฉินเหยี่ยนเย่ว์เอาไว้ยิ่งออกแรงมากกว่าเดิม

เขาเข้ามาใกล้ตัวนาง น้ำเสียงเย็นยะเยือก “อันที่จริงหลังจากงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ข้าก็ได้ครุ่นคิดนับครั้งไม่ถ้วน อยากจะบีบคอเจ้าให้ตายด้วยมือตนเอง”

ความรู้สึกหายใจไม่ออกที่รุนแรงขึ้นมา สีหน้าของฉินเหยี่ยนเย่ว์แย่ลงเรื่อย ๆ ภายใต้สถานการณ์ที่ขาดอากาศถึงขีดสุด หัวสมองของนางเกิดความสับสน

“ตงฟางหลี หม่อมฉันน่าจะบอกกับท่านได้ชัดเจนแล้ว ต่อให้หม่อมฉันติดค้างเรื่องอันใดกับท่าน ก็ไม่ควรกลายเป็นเหตุผลที่ต้องถูกข่มเหงรังแก ปล่อยหม่อมฉัน” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พยายามสุดชีวิตกว่าจะพูดคำเหล่านี้ออกมาได้

“ท่านบีบคอข้าให้ตาย ท่านก็จะมีความผิดฐานฆ่าคนตาย แก้ไขเรื่องใด ๆ มิได้ ในทางกลับกันท่านกับนางก็จะยิ่งห่างกันไปเรื่อย ๆ...แค่กแค่ก”

ตงฟางหลีออกแรงมากเกินไป ตอนแรกเริ่มยังพอฝืนอ้าปากพูดได้ เมื่อถึงตอนหลัง แทบจะไม่สามารถพูดออกมาได้

ความรู้สึกเกือบใกล้ความตายโจมตีมาเป็นระลอก ๆ หัวใจของนางกำลังบีบรัดแน่น ในมือกำมีดเล่มหนึ่งเอาไว้แน่น

มีดเล่มนั้นเป็นมีดนางหาเจอจากด้านในกล่องสินสมรส บางและคมมาก สามารถใช้ป้องกันตัวได้

คิดไม่ถึงว่าจะได้นำออกมาใช้ประโยชน์ในสถานการณ์แบบนี้

จุดที่มีดไปถึง ก็คือเส้นชีพจรของตงฟางหลี เพียงแค่กรีดเบา ๆ ทีหนึ่ง เขาก็จะไปสู่สุขคติทันที

ในช่วงเวลาคับขัน ทันใดนั้นมือของตงฟางหลีก็คายออก

อาการสดชื่นพลั่งพรูเข้ามา ฉินเหยี่ยนเย่ว์ไอสองสามที ออกแรงสูดอากาศที่หายไปนาน

เดิมทีร่างกายนี้มีภาวะบกพร่องแต่กำเนิด ผ่านการทรมานติดต่อกันหลายรอบ จึงอ่อนระโหยโรยแรงเป็นอย่างยิ่ง ล้มนอนบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง

ตงฟางหลีกลับมามีท่าทีที่เย็นชาตามปกติ ความอำมหิตและโหดร้ายเมื่อครู่นี้ ราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เขาจ้องมองนางที่หายใจโรยแรงหลายครั้ง ทันทีที่สะบัดแขนเสื้อ ก็สาวเท้ายาวเดินมุ่งหน้าไปที่ประตู

ตอนที่เดินใกล้ถึงประตู น้ำเสียงเบาของฉินเหยี่ยนเย่ว์ก็ลอยมา “ยินดีกับท่านอ๋องที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ครั้งหนึ่งนะเพคะ”

ตงฟางหลีหันหน้ากลับไปมองเห็นมีดลักษณะคล้ายใบหลิวเล่มหนึ่งในมือของนางกำลังส่องประกายแวววาว เขาหรี่ดวงตาลง “เมื่อครู่นี้เจ้า คิดจะสังหารข้าอย่างนั้นรึ?”

“ช่างน่าขัน ท่านอ๋องก็คิดจะสังหารหม่อมฉันเช่นกันมิใช่รึเพคะ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าว

“ท่านสังหารหม่อมฉัน อาจจะสบายใจ แต่เรื่องราวรังแต่จะเลวร้ายลง นี่มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาด” น้ำเสียงของนางแหบแห้ง “หม่อมฉันกล่าวตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้วว่า สิ่งที่หม่อมฉันติดค้างท่าน จะต้องชดใช้ให้ท่านด้วยวิธีที่ท่านพึงพอใจแน่นอนเพคะ หม่อมฉันขอรับรอง แต่ ในช่วงเวลานี้ มิควรมีผู้ใดใช้เหตุผลใดก็ตามแต่เพื่อมารังแกหม่อมฉัน แม้แต่ท่านอ๋องก็มิใช่ข้อยกเว้นเพคะ”

ตงฟางหลีไม่ตอบโต้ สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป

หลังจากที่เขาเดินออกไป แจกันดอกไม้ที่มุมกำแพงก็เกิดเสียงดังเพล้งขึ้น จากนั้น แจกันดอกไม้ที่เคยอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก็แตกละเอียด เศษกระเบื้องกระจายเต็มพื้น

ไม่เพียงแจกันดอกไม้เท่านั้น ยังมีของตกแต่งที่เป็นกระเบื้องภายในห้อง ต่างมีรอยแตกร้าวที่ต่างระดับกันไป

ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกเสียใจเล็กน้อย

ตงฟางหลีไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่แจกันดอกไม้กลับแตกเสียได้ เกรงว่าจะเป็นคลื่นความอาฆาตแค้นของเขา

แรงอาฆาตแค้นที่เอ่อล้นมาจากบนร่างกายของยอดฝีมือสามารถทำลายสิ่งของที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ให้เสียหายได้ สรรพคุณพิเศษเหนือทั่วไปเช่นนี้ นางได้เห็นมากับตาตนเองแล้ว

นี่ก็หมายความว่า เมื่อครู่นี้คนผู้นั้นมิได้อยากจะฆ่านางเลยสักนิด เพียงแค่กำลังข่มขวัญนางเท่านั้น

ไม่เช่นนั้น ด้วยฝีมือของเขา บี้นางให้ตายก็ง่ายดายเฉกเช่นเดียวกันบี้มดตัวหนึ่งให้ตาย!

ตงฟางหลีกลับมายังตำหนักหมิงอวี้ด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

หลังจากกลับมาถึง ก็ปิดประตูห้องสนิท พวกองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกห้องต่างมองหน้ากัน ผู้ใดก็ไม่กล้าเข้าใกล้

ลู่ซิวนายทหารที่ปรึกษาแห่งจวนอ๋องเดินมาจากด้านนอก เมื่อเห็นพวกองครักษ์ที่เดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูไม่หยุด จึงเลิกคิ้ว “เกิดเรื่องอันใดขึ้น? พวกเจ้าแต่ละคนยืนทำอะไรอยู่ด้านนอก?”

“คุณชายลู่” องครักษ์ทำท่าทางให้เบาเสียง “ท่านอ๋องไม่ค่อยเป็นปกติขอรับ ราวกับว่ากำลังโมโหอยู่”

“หา?” ลู่ซิวเกิดความสนใจขึ้นมา

ท่านอ๋องเจ็ดผู้ขึ้นชื่อเรื่องใบหน้าไร้อารมณ์ น้อยมากที่จะแสดงอาการอย่างชัดเจน ลักษณะนิสัยก็คือสบาย ๆ

เขารู้จักท่านอ๋องมานานเช่นนี้ น้อยครั้งที่จะเห็นเขาไม่ปกติ

“กระหม่อมก็มิทราบขอรับ” องครักษ์กล่าว “หลังจากที่ท่านอ๋องเสด็จกลับมาจากเรือนโยวหลาน นั่นก็คือสถานที่พำนักของพระชายาอ๋องเจ็ดก็ขังพระองค์ไว้ในห้อง ราวกับว่าท่านทรงกริ้วเล็กน้อยด้วยขอรับ”

ตอนที่เขาเอ่ยถึงฉินเหยี่ยนเย่ว์ ก็รู้สึกตัวสั่นอย่างประหลาด

เขาเคยเจอสตรีที่โหดร้ายมาก่อน แต่ไม่เคยเจอสตรีที่โหดร้ายมากเช่นนี้

“ถูกพระชายาทำให้ทรงกริ้วอย่างนั้นรึ?” ลู่ซิวรู้สึกน่าขัน “ท่านอ๋องของพวกเราไม่แม้แต่จะชายตามองคนโง่เขลาผู้นั้น จะถูกทำให้ทรงกริ้วได้อย่างไรกัน?”

“อย่าว่าแต่คุณชายลู่ไม่เชื่อ พวกกระหม่อมก็ยังไม่เชื่อเลยขอรับ” องครักษ์เอ่ยอย่างอึดอัดใจ “แต่ว่าเกี่ยวข้องกับพระชายาจริง ๆ ขอรับ หรือไม่อย่างนั้นอีกประเดี๋ยวท่านค่อยมาใหม่ไหมขอรับ”

ลู่ซิวจับคาง “ข้ามีธุระด่วน จำเป็นต้องพบท่านอ๋อง”

เขาเคาะประตู

รออยู่ครู่หนึ่ง ตงฟางหลีถึงให้เขาเข้าไป

หลังจากลู่ซิวเข้าไป ตงฟางหลีก็กลับมามีท่าทีตามปกติโดยสมบูรณ์แล้ว

“ท่านอ๋อง” ลู่ซิวประสานมือคำนับ

“นั่งลง ดื่มน้ำชา” ตงฟางหลีส่งสัญญาณให้เขานั่งลง

“กระหม่อมได้สืบแน่ชัดแล้ว แม่นางหงเย้าเป็นคนที่ท่านอ๋องสามส่งให้มาอยู่ข้างพระวรกายของพระสนมอวิ๋น แล้วใช้มือพระสนมอวิ๋นเพื่อมาอยู่ข้างกายของท่าน” ลู่ซิวกล่าว “หน้าที่หลักของนาง ก็คือจดบันทึกช่วงเวลาที่ท่านอาการกำเริบ อาการของโรค อาการหนักเบาขอรับ”

เขาหรี่ดวงตา “นางเป็นสาวใช้ของท่าน บางที ที่อาการป่วยของท่านรุนแรงขึ้นอาจจะเกี่ยวข้องกับนาง พวกเราควรใช้มาตรการอะไรบางอย่างหรือไม่ขอรับ?”

ตงฟางหลีขมับกระตุก “นางได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจ”

ลู่ซิวตกใจ “บาดเจ็บสาหัส? ท่านลงมือหรือขอรับ? หรือว่าพวกเราแหวกหญ้าให้งูตื่น?”

“มิใช่ทั้งสิ้น” ตงฟางหลีหลุบตาลง “ถูกฉินเหยี่ยนเย่ว์โบย ข้าได้กำชับหมอหลวงแล้ว ให้อาการของหงเย้าคงสภาพแบบนี้ต่อไปอย่างน้อยสักสามเดือน ตอนนี้นางไม่เป็นภัยคุกคาม ไม่ต้องสนใจ”

ลู่ซิวกระตุกมุมปากเล็กน้อย พระชายาโบยอย่างนั้นรึ?

ฉินเหยี่ยนเย่ว์ชื่อเสียงฉาวโฉ่ผู้นั้น จะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้จริง ๆ

นี่นับว่าช่วยพวกเขาได้มาก

“ต่อให้หงเย้าไม่เป็นภัยคุกคาม สถานการณ์ของพวกเราก็ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก” ลู่ซิวกล่าว “ท่านอ๋อง วันมงคลใกล้เข้ามา วันอาการกำเริบครั้งถัดไปของท่าน ตรงกับวันมงคลพอดีขอรับ”

ตงฟางหลีกำหมัดแน่น

ลู่ซิวสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านอ๋อง ถ้าไม่อย่างนั้นทูลฝ่าบาทเสียหน่อยหรือไม่ขอรับ? ว่าครั้งนี้ไม่สามารถเข้าร่วมได้”

“ไม่ได้” ตงฟางหลีกล่าว “หากข้าไม่ปรากฏตัว ก็จะเข้าทางพวกเขาพอดี ลู่ซิว เจ้าไม่คิดว่านี่มันไม่บังเอิญเกินไปหน่อยรึ? วันงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นวันที่อาการกำเริบ วันที่เป็นวันมงคลก็เป็นวันที่อาการกำเริบอีก”

ลู่ซิวเลิกคิ้ว พยักหน้า “น่าจะมีคนจงใจจัดการขอรับ”

ตงฟางหลีจ้องมองใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วยชา ใช้น้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา “ทั้งหมดดำเนินการตามปกติ ข้าอยากจะดูว่า ที่จริงแล้วพวกเขาคิดจะทำเรื่องอันใดกันแน่”
ความคิดเห็น (2)
goodnovel comment avatar
Chatree Sedakum
ขอขคุณครับ
goodnovel comment avatar
Issayaporn Surateekosol
เสียเงินซื้อแล้วจะเทผู้อ่าน เหมือนกับหลายๆเรื่องมั้ยอ่ะ
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status