“เหตุใดจึงโบยหงเย้า?” เขาเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง
“นางโบยสาวใช้ของหม่อมฉัน เหตุใดหม่อมฉันจึงโบยเขามิได้เพคะ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์นั่งลง รินชาร้อนถ้วยหนึ่ง ใช้เล็บค่อย ๆ หยิบก้านชาออกมา “เพื่อสาวใช้คนหนึ่ง ท่านผู้เป็นท่านอ๋องถึงกับมาทวงความยุติธรรมด้วยองค์เองหรือเพคะ? ช่างน่าซาบซึ้งพระทัยยิ่งนัก”
ตงฟางหลีได้ยินคำเย้ยหยันที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวของนาง ขมวดคิ้ว ใช้น้ำเสียงควบคุมอารมณ์ที่เย็นเยือก “นางเป็นคนที่เสด็จแม่ส่งตัวมา เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าเยี่ยงไร?”
ฉินเหยี่ยนเย่ว์เท้าคาง “ท่านอ๋องโปรดชี้แจงให้กระจ่างด้วยเพคะ”
“ใช้ศาลเตี้ยลงโทษบ่าวรับใช้ถือเป็นความผิดร้ายแรง แม้ข้ามิคิดหยุมหยิม แต่เจ้าจะอธิบายกับทางเสด็จแม่เช่นไร?”
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ครุ่นคิด พยักหน้า “สาวใช้ที่ชื่อว่าหงเย้าผู้นั้นใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกผู้อื่น แอบอ้างพระนามของพระสนมอวิ๋นกับท่านอ๋องกระทำเรื่องที่ไม่สามารถอภัยได้เพคะ เป็นแค่สาวใช้คนหนึ่งคาดไม่ถึงว่าจะใช้ศาลเตี้ยกับคนข้างกายของหม่อมฉัน ถ้าสืบหาความขึ้นมา เป็นความผิดร้ายแรงจริง ๆ เพคะ”
ตงฟางหลีจ้องมองนางด้วยสายตาล้ำลึกแวบหนึ่ง นับเป็นการเถียงข้าง ๆ คู ๆ ที่สมเหตุสมผล ข้อแก้ต่างเหมือนกันกับตอนที่นางต้องเผชิญหน้ากับพี่สาม
เขาแทบจะสามารถแน่ใจได้ว่า
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตรงหน้า นางไม่ใช่คนโง่เขลาคนนั้นอีกแล้ว
แต่ นางก็ยังเป็นฉินเหยี่ยนเย่ว์คนเดิม
ในระหว่างนี้ เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นกันแน่?
“ใช่แล้ว หม่อมฉันให้พวกองครักษ์นำความไปให้ท่าน ได้แจ้งหรือไม่เพคะ? ถ้าหากท่านอ๋องเข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้น ก็จะต้องทรงทราบว่า หงเย้าผู้นั้นไม่กล้าไปฟ้องเอาความต่อหน้าพระพักตร์พระสนมอวิ๋นอย่างเด็ดขาด ท่านวางใจเถิดเพคะ เรื่องที่ท่านกังวลไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอนเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ย
ตงฟางหลีมองสำรวจนางอย่างละเอียด
ไม่ว่าเขาจะจ้องมองฉินเหยี่ยนเย่ว์อย่างไรนางก็ไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน ยังคงสง่าผ่าเผยเช่นเดิม
สตรีนางนี้ล่วงรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของหงเย้าแล้วจริง ๆ
แม้ไม่รู้ว่านางทราบมาจากที่ใดว่าหงเย้าก็คือหมากที่พี่สามจัดให้มาอยู่ข้างกายของเขา แต่ สิ่งที่สามารถแน่ใจได้ก็คือ นางทราบเรื่อง
ทั้งยัง ใช้โอกาสที่หงเย้ากระทำความผิดครั้งนี้ เอาคืนทุกสิ่งที่นางต้องแบกรับให้แก่พี่สามทั้งหมด
หงเย้าเพื่อให้ได้อยู่ในจวนท่านอ๋องเจ็ดต่อไป ไม่กล้าทำให้เรื่องราวบานปลาย ทำได้แค่เพียงก้มหน้ารับชะตากรรม
การกระทำครั้งนี้ ทั้งอำมหิตทั้งโหดร้าย
“ดูท่าทางของท่านอ๋อง เหมือนกับว่าคิดตกแล้วนะเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์จ้องมองท่าทางที่ไม่ไหวติงของตงฟางหลี จึงวางถ้วยชาลง เลิกคิ้ว “ลงไม้ลงมือกับพระชายาที่อภิเษกอย่างถูกธรรมนองคลองธรรมของท่านเพื่อสาวใช้เพียงคนเดียวไม่คุ้มค่า มา ดื่มชากันเถิดเพคะ”
ตงฟางหลีเยาะหยัน
สตรีผู้นี้ เตือนให้เราระวังสถานะในตอนที่เขากำลังชักแม่น้ำทั้งห้า
นางไม่โง่เขลาเลยจริง ๆ ในทางกลับกัน ยังกลายเป็นคนกล้าหาญมากอีกด้วย
ฉินเหยี่ยนเย่ว์รินน้ำชาถ้วยหนึ่งยื่นให้เขา “น้ำชารสชาติแย่ถ้วยหนึ่ง หวังว่าท่านอ๋องจะทรงให้อภัย”
ตงฟางหลีจ้องมองถ้วยชาที่ทำขึ้นจากดินเหนียว ด้านในถ้วยชามีก้านชานอนเรียงรายอยู่ เนื่องจากชงนานเกินไป น้ำกลายเป็นสีอำพันเข้ม มองดูแล้วน่าคลื่นเหียน
ใบชาชั้นยอดส่วนมากเป็นยอดอ่อนใบชา
ก้านชา มักเป็นที่นิยมใช้ในครอบครัวที่ยากจน เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทราบว่า ภายในจวนอ๋องยังมีใบชาคุณภาพต่ำเช่นนี้อยู่ด้วย
ใบชาคุณภาพต่ำ ถ่านคุณภาพต่ำ ยังมีอาหารเหลือถูกวางไว้ที่หน้าประตูอย่างจงใจอีก...
คิดว่านางคงจงใจนำออกมาเพื่อให้เขาเห็น
“เจ้ากำลังตำหนิที่ข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างโหดร้ายอย่างนั้นรึ?” ตงฟางหลีถาม
ฉินเหยี่ยนเย่ว์เลิกคิ้ว “อยู่ดี ๆ เหตุใดท่านอ๋องจึงกล่าวถึงเรื่องพวกนี้เพคะ?”
นางจิบชาอึกหนึ่ง แล้วถอนหายใจ “อาหารหนึ่งจาน น้ำหนึ่งขัน มิได้ทำให้ความสุขเปลี่ยนไป ท่านอ๋องอย่าทรงคิดมากไปเลยเพคะ”
“อย่างนั้นรึ?” ตงฟางหลียิ้มเยาะ
“ท่านอ๋องก็เป็นเหมือนกับท่านเทพ มิดื่มกินอาหารของโลกมนุษย์ ย่อมไม่เข้าใจความทุกข์ยากของโลกมนุษย์ สิ่งของบางอย่างที่ท่านอ๋องคิดว่าคุณภาพต่ำ แต่อันที่จริงแล้วล้ำค่ายิ่ง อย่างเช่นน้ำชากานี้อย่างไรล่ะเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ชี้ไปที่ถ้วยชา “น้ำร้อนนี้ สาวใช้ของหม่อมฉันเป็นผู้ลากร่างกายที่เจ็บป่วยมานานไปรออยู่หลายชั่วยามถึงจะได้มาเพคะ”
“ตอนที่ท่านอ๋องเดินเข้าประตูมาคงจะมองเห็นอาหารเหลือที่วางอยู่หน้าประตูแล้วเช่นกัน สุนัขภายในจวนอ๋องส่วนมากถูกเลี้ยงอย่างประคบประหงม เมื่อเห็นอาหารพวกนั้นยังคร้านที่จะมาดมเลยเพคะ แต่นั่นเป็นอาหารที่สาวใช้ของหม่อมฉันไปขอร้องอ้อนวอนอยู่นานแสนนานถึงจะได้มา เพื่อให้ได้ทานอาหารร้อน นางถึงกับต้องเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องครัว จนถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย ถูกคนทุบตีจนมีรอยฟกช้ำดำเขียวไปทั่วทั้งตัวเลยเพคะ”
“ของพวกนี้ มีค่าแค่ไม่กี่สตางค์ แต่มันแฝงไปด้วยน้ำใจที่มีค่าที่สุด เป็นของล้ำค่าที่ประเมินค่ามิได้เพคะ”
ตงฟางหลีมองสำรวจนางอย่างละเอียด เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ในเมื่อเจ้าคิดว่านี่เป็นของล้ำค่าที่ประเมินค่ามิได้ ก็ควรต้องเห็นคุณค่าให้มาก วันข้างหน้าก็จงเพิ่มความทะนุถนอมให้มาก ๆ”
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตะลึงงันไปทันที
นางคิดไม่ถึงว่าตงฟางหลีจะหน้าทนเช่นนี้ นางอธิบายสถานการณ์ ก็เพียงอยากจะเตือนเขา ให้เขาเข้าใจว่าบ่าวรับใช้ในจวนอ๋องปฏิบัติต่อนางผู้ซึ่งเป็นพระชายาอย่างไรเท่านั้น
เพียงแค่ตงฟางหลียังพอมีเกียรติอยู่บ้าง ก็ควรจะทำอะไรบ้าง ยกระดับค่าใช้จ่ายในเรื่องอาหารและเสื้อผ้า นางค่อยฉวยโอกาสทวงคืนสิทธิและประโยชน์บางส่วนที่พระชายาพึงมี ให้เฟ่ยชุ่ยทรมานน้อยลงบ้าง
ผู้ชายคนนี้ตอกคำนางกลับด้วยท่าทีสบาย ๆ
“ท่านอ๋องมิต้องเตือน หม่อมฉันก็เห็นคุณค่าอยู่แล้วเพคะ อันที่จริงหม่อมฉันก็มิได้คิดเล็กคิดน้อย เกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายของอาหารและเสื้อผ้าเช่นนี้มากนัก กินอิ่มท้องมีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ให้ใส่ก็เพียงพอแล้ว แต่ ถ้าหากมีบางคนรังแกกันมากเกินไป บีบบังคับหม่อมฉัน ไม่แน่ว่าหม่อมฉันอาจจะทำเรื่องอะไรบ้า ๆ ขึ้นมาก็ได้เพคะ”
“อย่างเช่น เหตุการณ์นองเลือดส่วนด้านหลังของจวนอ๋อง ท่านอ๋องจะต้องสั่งสอนพวกเขาให้ดี ๆ ชีวิตของคนมีเพียงชีวิตเดียวเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เลียนแบบท่าทางของเขา ใช้น้ำเสียงที่เย็นชาแต่ท่าทีสบาย ๆ
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอย่างนั้นรึ?”
“มิบังอาจเพคะ”
นัยน์ตาของตงฟางหลีเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “ฉินเหยี่ยนเย่ว์ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจตำแหน่งและสถานการณ์ของตนเองอย่างชัดแจ้ง อยู่ในจวนอ๋องแห่งนี้ อย่าได้ทำเรื่องที่เลยเถิดมากเกินไป”
สีหน้าของฉินเหยี่ยนเย่ว์เย็นชา “ตงฟางหลี เรื่องสมัยก่อนเป็นข้าที่ทำผิดต่อท่าน ลากท่านเข้ามาในบ่อโคลน กลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวง ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ท่านถูกบังคับแต่งงานกับหม่อมฉันเพื่อรักษาชื่อเสียงของราชวงศ์ หม่อมฉันรู้สถานการณ์และสถานะของตนเองดี แต่ นี่มิใช่เหตุผลที่หม่อมฉันจะต้องได้รับการข่มเหงรังแกตอนอยู่ในจวนอ๋อง”
เป็นครั้งแรกที่ตงฟางหลีได้ยินนางเป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องนั้น ภายในใจสั่นสะท้านทันที สีหน้าแย่ลงเล็กน้อย
“ไม่ว่าจะพูดจากด้านใด พวกเราล้วนเป็นเหยื่อ หลังจากที่หม่อมฉันทราบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนงานเลี้ยงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์เป็นฝีมือของฉินเสวี่ยเย่ว์ หม่อมฉันได้ไปตามหาตัวนางเพื่อคิดบัญชีที่จวนท่านอ๋องสามด้วยความโกรธแค้น แต่ถูกสาวใช้ของนางกดน้ำจนจมน้ำตาย อาจจะเป็นเพราะดวงของหม่อมฉันยังไม่ถึงฆาต ยมบาลจึงไม่กล้ารับตัวไป หม่อมฉันจึงได้ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เป็นความโชคดีในความโชคร้าย หม่อมฉันเริ่มมีสติ และสมองปลอดโปร่งชัดเจนขึ้นแล้วเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าวทีเล่นทีจริง
“หม่อมฉันติดค้างบุญคุณของท่านอ๋องหนึ่งครั้ง บุญคุณครั้งนี้ หม่อมฉันจะชดใช้ให้แน่นอนเพคะ” นางกล่าว
“ชดใช้อย่างนั้นรึ?” ตงฟางหลียิ้มเยาะ เขาหลุบตาลง ขนตายาวสั่นเครือ มีความโศกเศร้าที่ขัดกับบุคลิคของเขาเอ่อล้นมาจากบนตัว “เจ้าจะชดใช้อย่างไร?”
ฉินเหยี่ยนเย่ว์กัดริมฝีปาก “รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม หม่อมฉันจะขอหย่าเพคะ”
นางจ้องตาของตงฟางหลี “หม่อมฉันจะเตรียมการเป็นอย่างดี ไม่มีทางทำให้ท่านต้องอับอายแม้แต่น้อยอีก หลังจากที่หย่ากับหม่อมฉัน ท่านสามารถแต่งงานกับ...”
ตอนที่นางเอ่ยชื่อนั้นออกมา สีหน้าของตงฟางหลีเปลี่ยนไปทันที
ท่าทางที่สบาย ๆ มลายหายไป แทนที่ด้วยความโมโหโกรธเกรี้ยว
เพลิงโกรธแผ่ซ่าน เต็มไปทั่วทั้งภายในห้องทันที
ไม่รอให้ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้ปฏิกิริยาตอบโต้ นิ้วที่เรียวยาวของเขาก็บีบที่บริเวณลำคอของนางทันที