“ทั้งหู่พั่วและเฟ่ยชุ่ยช่วงนี้ต้องเก็บตัวเพื่อรักษาอาการป่วยอยู่ มิอาจให้พบผู้ใดได้” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันกล่าวออกมา “หากพวกนางรักษาตัวจนหายเมื่อใดแล้ว ข้าจักให้หู่พั่วไปที่จวนท่านอ๋องสามเพื่อขอเข้าเฝ้าเจ้าเอง”
หลังจากได้ยินฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยออกมาเช่นนั้น มุมปากของฉินเสวี่ยเย่ว์พลันยกยิ้มได้ใจขึ้นมาในทันที
นางได้ทำการติดสินบนผู้ขนส่งสินค้าของจวนท่านอ๋องเจ็ดเอาไว้ ให้นำร่างที่จะหมดหายใจอยู่รอมร่อของหู่พั่วมาส่งที่เรือนแห่งนี้ โดยห้ามมิให้ผู้ใดพบเห็น
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่เพิ่งยอมรับว่าหู่พั่วอยู่ในเรือนนั้น
เช่นนี้ ขอแค่มีคนเข้าไปพบเห็นร่างของหู่พั่วที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลทั่วร่าง แผนการของนางก็จักสำเร็จเสียที
“หู่พั่วและเฟ่ยชุ่ยป่วยทั้งคู่เลยหรือ? หู่พั่วที่มีร่างกายแข็งแรง มักไม่ค่อยเจ็บไม่ค่อยป่วยนั้น เหตุใดจู่ ๆ ก็ล้มป่วยลงได้เล่า?” ฉินเสวี่ยเย่ว์กล่าวออกมาด้วยท่าทีใสซื่อ “เอ๋ ข้างกายท่านมีสาวใช้คอยรับใช้อยู่ข้างกายเพียงแค่สองคนงั้นหรือ เช่นนั้นผู้ใดเป็นผู้มาดูแลอาหารการกินและคอยปรนนิบัติรับใช้ท่านกัน?”
“เจ้ามิจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตอบกลับ
“ท่าน ให้ข้าได้พบหน้าหู่พั่วหน่อยได้หรือไม่?” ฉินเสวี่ยเย่ว์ขอร้องอ้อนวอนออกมา “จวนท่านอ๋องสามมีหมอหลวงมากฝีมืออยู่จำนวนมาก หากสิ่งใดที่ข้าช่วยได้ข้าก็อยากจะช่วย ท่านพี่เอาแต่ลีลามากท่าเช่นนี้ หรือว่ามีอะไรที่ปิดบังมิอยากให้พวกเรารับรู้งั้นหรือ? หรือว่า ท่านพี่จงใจมิอยากให้พวกเราพบหน้าหู่พั่ว?”
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้แต่ลอบหัวเราะอยู่ภายในใจ
สตรีนางนี้ ค่อยก้าวเข้ามากดดันนางทีละขั้น คงจะอยากบีบบังคับนางให้ไร้หนทางสู้กระมัง
หากเป็นผู้อื่นละก็ เกรงว่าคงเผยความลับและตกไปอยู่ในแผนการของนางแล้ว
น่าเสียดาย ที่คนที่ฉินเสวี่ยเย่ว์ต้องมาเจอนั้นคือนาง!
“พระชายาเจ็ดเพคะ” แม่นมที่นิ่งเงียบมาเนิ่นนานพลันโค้งกายทำความเคารพตนในทันที “บ่าวคือแม่นมกงเจิ้งซือเพคะ เป็นพระชายาอ๋องสามที่มาขอร้องให้ทางกงเจิ้งซือมาดูแลเรื่องที่มีสาวใช้ถูกทรมานอย่างทารุณ บ่าวจึงได้มาที่นี่”
“พระชายาอ๋องเจ็ดคงจะรู้เรื่องกฎหมายของราชวงศ์ตงลู่หวังเป็นกระมัง ถึงแม้ว่าสถานะบ่าวในจวนจักต่ำต้อย ทว่า พวกเขาล้วนแต่มีประวัติอยู่ในราชวงศ์แห่งนี้ หากว่าพวกเขามิได้ทำผิดอันใดที่ร้ายแรง เจ้านายมิอาจลงมือทุบตีพวกเขาตามใจตนเองได้ หากว่าพระชายาอ๋องเจ็ดเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ได้โปรดเรียกตัวแม่นางหู่พั่วออกมาด้วยเถิดเพคะ นางปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อใด บ่าวจักกลับวังไปในทันที หากว่าพระชายาอ๋องเจ็ดมิอาจเรียกตัวแม่นางหู่พั่วออกมาได้ละก็ เช่นนี้ก็อย่าได้โกรธเคืองที่บ่าวต้องรายงานเรื่องนี้ให้พระพันปีหลวงได้ทรงทราบเลยนะเพคะ”
ฉินเหยี่ยนเย่ว์เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
กงเจิ้งซือเป็นกรมที่ดูแลและรับผิดชอบของนางในวังหลวง โดยกรมนี้ถูกก่อตั้งขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของพระพันปีหลวงนั่นเอง
ว่ากันว่ายามที่พระพันปีหลวงยังทรงพระเยาว์นั้น เนื่องด้วยครอบครัวที่ยากจนข้นแค้นจึงถูกส่งตัวมาขายให้เป็นทาส ชีวิตในวัยเด็กของพระนางจึงเต็มไปด้วยความยากลำบากยิ่งนัก นับว่าโชคดีที่พระนางมีความกล้าหาญและเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง จึงได้รอดพ้นจากความตายมาได้หลายครั้งหลายครา หลังจากได้พบกับองค์จักรพรรดิผู้สถาปนาแว่นแคว้นนั้น พระนางจึงได้ร่วมมือกันสร้างประเทศราษให้อยู่เหนือจากอริศัตรูทั้งปวง
เนื่องด้วยพระนางมีประสบการณ์ในวัยเยาว์ที่ลำบากยากเข็ญนั้น พระนางจึงเกลียดระบบทาสและต้องการยกเลิกมันเป็นอย่างยิ่ง ทว่า เรื่องนี้กลับทำให้เกิดกระแสต่อต้านขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ยามที่กำลังก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นมานั้น เพื่อที่ต้องการจะสยบคลื่นลมพายุที่จะเกิดขึ้น นางจึงได้ยอมละทิ้งเรื่องการยกเลิกระบบทาสทิ้งไป พร้อมทั้งแต่งตั้งตำแหน่งกงเจิ้งซือขึ้นมา ก่อนจะประกาศกฎหมายขึ้นมาว่า เจ้านายมิอาจทุบตีหรือรังแกบ่าวได้ตามใจชอบ ทั้งยังมิสามารถทารุณกรรมบ่าวไพร่ได้อีก นั่นจึงทำให้มีกฎหมายนี้ไม่ค่อยสอดคล้องกับราชวงศ์ตงลู่หวังมากนัก
กงเจิ้งซือคือกรมที่ความเที่ยงตรงและชอบธรรม หากผู้ใดพบว่ามีเจ้านายทำการสังหารบ่าวไพร่นั้น พวกเขาจักเข้ามาตรวจสอบในทันที
ฉินเหยี่ยนเย่ว์นึกชื่นชมบุคคลในตำนานเช่นพระพันปีหลวงยิ่งนัก อีกทั้งนางหาได้เกลียดกงเจิ้งซือไม่
“แม่นมเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงมีท่าทีให้เกียรติต่อแม่นมขึ้นมา “มิใช่ว่าข้ามิอยากเรียกตัวเฟ่ยชุ่ยกับหู่พั่วให้ออกมาไม่ ทว่า เรื่องนี้อาจกล่าวออกมาได้ยาก สาวใช้นามว่าเฟ่ยชุ่ยนั้นมีอาการไอไม่หยุด หู่พั่วที่อาศัยอยู่กับนางนั้น ก็มีอาการไอตามไปด้วย อีกทั้งพวกนางทั้งสองก็มีร่างกายที่สูบผอมลงไปมาก”
“ช่วงนี้ทั้งสองมิค่อยได้มาปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่น เป็นเพราะกลัวว่าจักทำให้ผู้อื่นติดโรคไปกับพวกนางได้เพคะ มีท่านหมอสงสัยว่าอาการของพวกนางทั้งสองคนคล้ายว่าจักเป็นวัณโรค วัณโรคเป็นโรคติดต่อแพร่เชื้อกันได้ง่ายมากนัก หากว่าพวกนางแพร่เชื้อใส่พวกท่านและพวกท่านนำไปแพร่ใส่อื่นละก็ บางทีอาจจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ก็ได้ ข้ามิอยากลองเสี่ยงดวงกับเรื่องเช่นนี้หรอกนะเพคะ”
“วัณโรค?” สีหน้าของฉินเสวี่ยเย่ว์พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นางได้ยินหู่พั่วบ่นมาก่อนว่า เฟ่ยชุ่ยไอตลอดทั้งวันทั้งคืน ทำเอานางนอนไม่หลับเลยสักนิด
วัณโรคเป็นโรคติดต่อ หากผู้ใดได้รับเชื้อมาละก็ มีโทษเท่ากับโทษประหารชีวิตในทันที
“แค่สงสัยว่าเป็นวัณโรค ทว่า ยังมิได้รับการยืนยันจากท่านหมอที่แท้จริงไม่ พวกท่านเข้าไปดูพวกนางเถิด” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เดินไปหยุดที่หน้าห้องที่เฟ่ยชุ่ยอาศัยอยู่ในทันที ก่อนจะผลักให้ประตูถูกเปิดออก
หน้าต่างในห้องนั้นถูกปิดสนิด ม่านสีเข้มพลันถูกดึงปิดลงมา แสงไฟสลัวที่อยู่ภายในห้อง น่าอึดอัดเสียจน แทบจะมิมีอากาศให้หายใจ ดูน่าอึดอันยิ่งนัก
เมื่อประตูถูกเปิดออกนั้น พลันมีกลิ่นเหม็นของเลือดลอยคละคลุ้งออกมาอย่างรุนแรงในทันที
เฟ่ยชุ่ยที่มีรูปร่างผอมบางพลันลุกขึ้นนั่งบนเตียง เสมือนว่าอยากจะออกมาทักทายพวกเขา ทว่า เมื่อนางขยับตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางก็ส่งเสียงไอน่ากลัวออกมาในทันที
ใบหน้าที่ซีดขาดกลับเปลี่ยนมาเป็นแดงก่ำในทันที นางค่อย ๆ ยื่นมือผอมเรียวออกมา เสมือนว่าจะมาจับตัวพวกเขา
ทันใดนั้น นางก็กระอักเลือดออกมาคำโตในทันที
เลือดนั้นกระเด็นหกลงบนพื้นในทันใด ทำเอาผู้ที่ได้พบเห็นนึกหวาดผวายิ่งนัก
ผู้คนที่มายืนออเพื่อดูพวกนางนั้น ต่างก็ตกใจก่อนจะรีบถอยห่างออกไปกันเป็นแถว
“อย่า อย่าไป พวกท่านมาแล้ว ข้า ข้าจักช่วยชงชาให้กับพวกท่าน” เสียงของเฟ่ยชุ่ยคล้ายกับวิญญาณเร่ร่อนก็ไม่ปาน นางพยายามที่จะพาตัวเองขึ้นมาลุกนั่ง ทว่า ขยับเพียงเล็กน้อย นางก็ไอออกมาเสียครึ่งค่อนวันแล้ว
เมื่อทุกคนเห็นเฟ่ยชุ่ยที่มีสภาพเหมือนผีเช่นนี้ ท่าทีของพวกเขาจึงเปลี่ยนไปในทันที
สาวใช้นางนี้ผอมกระหร่อง ทั้งยังไอออกมาเป็นเลือดอีก เก้าส่วนนางเป็นวัณโรคอย่างแน่นอน
หากถูกแพร่เชื้อขึ้นมาละก็ พวกนางก็มีแต่ต้องนอนรอความตายอยู่ในห้องที่ปิดตายที่ไม่มีแม้แต่อากาศให้เข้าไปหายใจได้เป็นแน่
“พวกท่านก็เห็นแล้วว่า สภาพของพวกนางในยามนี้หาได้เหมาะสมออกไปพบหน้าผู้ใดไม่” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันปิดประตูลงในทันที “หู่พั่วและเฟ่ยชุ่ยอยู่ในห้องนั้นทั้งคู่ หากพวกท่านยังไม่เชื่อ จักเข้าไปตรวจสอบดูก็ได้”
“อย่างไรก็ตาม ห้องนั้นถูกปิดเอาไว้ตลอด รวมไปถึงคนไข้สองคนที่นอนอยู่ในนั้น หากคนปกติเข้าไป ก็มีความเป็นไปได้มากที่จะได้รับเชื้อของวัณโรคออกมาด้วย พวกท่านจักทำอันใดก็ควรคิดให้รอบคอบเสียก่อนเล่า”
"เชิญ"
ทุกคนต่างก็ลอบมองหน้ากันในทันที หาได้มีผู้ใดกล้าออกไปไม่ มิมีผู้ใดอยากจะเสี่ยงชีวิตของตนเองเข้าไปตรวจสอบอันตรายในนั้นหรอก
ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันยืนอยู่ข้างประตู ก่อนจะจ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าที่ดูเฉยเมย
“พระชายาอ๋องสามเพคะ”แม่นมกงเจิ้งซือนั้น รีบเข้าไปกล่าวคำอวยพรกับฉินเสวี่ยเย่ว์ในทันที “บ่าวออกจากวังมานานแล้ว ได้เวลากลับไปรายงานตัวแก่พระพันปีหลวงแล้วเพคะ เรื่องราวในวันนี้ ท่านลอง…”
"พวกเจ้า เข้าไปตรวจสอบดูเสีย" ฉินเสวี่ยเย่ว์โบกไม้โบกมือ ก่อนจะร้องเสียงดังขึ้นมา
หลังจากที่นางพูดจบนั้น หาได้มีผู้ใดกล้าออกตัวไม่
"พวกเจ้ามิได้ยินคำสั่งของข้างั้นหรือ?" ฉินเสวี่ยเย่ว์มีท่าทีร้อนใจขึ้นมาในทันที หากว่าวันนี้มิอาจหาตัวหู่พั่วได้พบนั้น มิใช่ว่าที่ผ่านมานางลงมือไปโดยสูญเปล่าหรอกหรือ
ทุกคนต่างพากันก้มหน้าก้มตา มิตอบอันใดออกมาเลยแม้แต่น้อย
"พระชายาเพคะ" หญิงชราที่อยู่ข้างกายฉินเสวี่ยเย่ว์นั้น พลางโน้มตัวเข้าไปกระวิบที่ข้างหูของนางเสียสองสามคำ
สีหน้าของฉินเสวี่ยเย่ว์จึงเปลี่ยนไปในทันที ก่อนจะปิดสายตาที่ฉายแววดุร้ายของตนเองลงไป
ฉินเสวี่ยเย่ว์พลางเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแย้มยิ้มกับฉินเหยี่ยนเย่ว์ว่า “ท่านพี่อย่าได้ถือสาเรื่องนี้เลยนะเพคะ น้องแค่เป็นกังวลมากไปเท่านั้น จึงได้เอ่ยวาจาออกไปเช่นนี้ น้องหาได้มีความหมายเป็นอื่นไม่ ในเมื่อท่านพี่กล่าวว่าหู่พั่วไม่สบายเช่นนี้ เช่นนั้นน้องย่อมเชื่อใจท่านพี่เพคะ”
“เวลามิคอยท่าแล้ว นางสกุลเฉิน เจ้ารีบนำอาภรณ์และเครื่องประดับมากมายที่เราเตรียมมาให้หู่พั่วนั้น มอบให้กับท่านพี่เร็วเข้า ท่านพี่ นี่คือสิ่งของที่ข้ามอบให้นางในฐานะนายบ่าวและแสดงถึงความเมตตาที่ข้ามีต่อนาง”
นางสกุลเฉินพลางเดินเข้ามาหาฉินเหยี่ยนเย่ว์ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นสัมภาระมาให้ “พระชายาอ๋องเจ็ดเพคะ รบกวนท่านช่วยมอบของสิ่งนี้ให้กับแม่นางหู่พั่วด้วยเพคะ”
ฉินเหยี่ยนเย่ว์หาได้เอื้อมมือออกไปรับไม่ นางทำเสมือนกลับมิได้ยินเสียงของนางสกุลเฉินเลยแม้แต่น้อย
นางสกุลเฉินที่ถือเป็นผู้อาวุโสที่น่าเคารพภายในจวนท่านอ๋องสามนั้น เมื่อเห็นว่าตนเองถูกเมินเช่นนี้ สีหน้าก็มิอาจกักเก็บอารมณ์ของตนเองเอาไว้ได้ในทันที ทั้งยังมิสบอารมณ์อีก ก่อนจะนำห่อสัมภาระโยนใส่ในอ้อมอกของฉินเหยี่ยนเย่ว์ในทันที
นางจงใจทำให้ฉินเหยี่ยนเย่ว์ขายหน้า พร้อมกับใช้แรงผลักนางลงไป
ฉินเหยี่ยนเย่ว์มิคิดเลยว่า หญิงชรามีร่างกายแข็งแกร่งมากขนาดนี้ ในตอนที่นางถูกผลักนั้น ตัวของนางพลันเซจะล้มลงไปบนพื้นหิมะทว่า ฉินเยี่ยนเย่ว์กลับจับที่กรอบประตูไว้ได้ทัน
เมื่อฉินเสวี่ยเย่ว์เห็นฉากนี้ แววตาของนางก็ฉายแววได้ใจออกมาในทันที พร้อมทั้งผู้คนด้านหลังที่ส่งเสียงคิกคักออกมากับภาพตรงหน้า