“หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!” ลัลน์สะบัดหน้าพรืด ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะเดินหนีคนตัวโตให้พ้นสายตา แต่ยังไม่ทันพ้นแขนยาวของคิณณ์เขาก็เอื้อมมาจับข้อมือเธอไว้ ก่อนจะดึงตัวเธอเบาๆ ให้นั่งลงบนตักของเขา
“ฮึๆ พี่ล้อเล่นน่ะตัวเล็ก พี่ขอมอบสิ่งนี้ให้หนูนะ ไว้หนูเรียนเนจบทำตามความฝันของหนูได้แล้วเราค่อยมาแต่งงานกัน” เขาจับมือเรียวของเธอแล้วค่อยๆ สวมแหวนเพชรวงงามเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างมั่นใจ แหวนวงนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ทว่าแววตาของชายหนุ่มที่มองเธอกลับส่องประกายอบอุ่นมากกว่า ก่อนจะคิณณ์ก้มหน้าลงจุมพิตหลังมือบางอย่างแสนรักใคร่และนุ่มนวล ทุกสัมผัสส่งผ่านความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจน ลัลน์เบะปากเล็กน้อย แม้พยายามจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ความอบอุ่นและความรักที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้เธออดไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่ทันรู้ตัว เธอโผเข้ากอดเขาเต็มแรง ซบหน้ากับไหล่กว้างของคนรัก “ขอบคุณนะคะพี่คิณณ์ หนูรักพี่ที่สุดเลย” เสียงหวานสั่นเครือออกมาเบาๆ “พี่ก็รักหนูมากเหมือนกัน” คิณณ์กระซิบด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา พร้อมใช้มือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที่สะท้อนความรักใคร่ของเขา ราวกับโลกทั้งใบมีเพียงเธออยู่ในนั้นนิ้วโป้งหนาเกลี่ยน้ำตาที่เปื้อนแก้มใสอย่างอ่อนโยน ก่อนมือหนาจะเลื่อนไปโอบหลังคอหญิงสาวกระชับเธอเข้ามาใกล้ จนร่างบางแนบสนิทกับร่างเขา ริมฝีปากหนาของชายหนุ่มโฉบลงมาไล้เลียริมฝีปากอวบอิ่มของเธอเบา ๆ ราวกับต้องการซึมซับทุกความรู้สึก ลิ้นร้อนของเขาสอดลึกเข้าไปในโพรงปากหวาน สัมผัสลิ้นนุ่มของเธออย่างชำนาญ สองลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันจนความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเพลิงพิศวาสที่โหมกระหน่ำ จูบที่เริ่มต้นด้วยความอ่อนโยนค่อย ๆ ร้อนแรงขึ้น ริมฝีปากหนาขบเม้มกลีบปากบางกระจับสีชมพูจนแดงระเรื่อ บวมเจ่อเล็กน้อย ลัลน์หน้าแดงก่ำด้วยความขวยเขิน แต่ดวงตาของเธอกลับพร่ามัวด้วยความรู้สึกที่ยากจะต้านทาน คิณณ์อุ้มร่างบางขึ้นแนบอก ก้าวเท้ายาวตรงไปยังเตียงคิงไซส์โดยไม่ละสายตาจากเธอ ทิ้งร่างเธอลงบนเตียงนุ่มอย่างแผ่วเบา ก่อนจะโน้มตัวลงมาหา โรมรันจูบอีกครั้งอย่างร้อนแรงและลึกซึ้งราวกับต้องการตราตรึงทุกความรู้สึกนี้ไว้ในหัวใจของทั้งสองคนตลอดไป ชายหนุ่มบดขยี้ปากนุ่มพลางขบเม้มตามปากอิ่มกระจับจนแดงก่ำจนบวมเจ่อ ก่อนจะผละตัวออกมามองใบหน้าหวานที่หน้าแดงก่ำอย่างขวยเขิน คิณณ์อุ้มร่างบางขึ้นแนบอกก่อนจะสาวเท้ายาวเดินไปที่เตียงคิงไซส์ ทิ้งตัวโรมรันจูบอีกครั้งอย่างร้อนแรง มือหนาไม่อยู่เฉยทำงานสอดประสานเป็นอย่างดี จัดการปลดเปลื้องคนตัวเล็กให้เปลือยเปล่า ก่อนที่มือสากจะเคล้นคลึงปทุมถันอวบใหญ่พลางสะกิดยอดเต้างามจนแข็งไปไตชูชัน ปลุกเร้าอารมณ์สวาทคนใต้ร่างให้ลุกโชนขึ้น คิณณ์ดันตัวออกมาจ้องมองใบหน้างามตรงหน้าที่บัดนี้ดวงตากลมโตกลับหวานเยิ้มด้วยสายตาหวานซึ้ง ความรู้สึกในอกพลุ่งพล่านจนแทบควบคุมไม่อยู่ เขาค่อยๆ โน้มใบหน้าลงไปใกล้ สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดกัน “อ๊ะส์ พี่คิณณ์" คนน้องถึงกับหลุดครางเบาๆ เมื่อริมฝีปากของเขาเลื่อนลงมาที่ซอกคอระหง ปลุกเร้าความรู้สึกให้พุ่งพล่านในกายทั้งสอง ร่างบางสั่นสะท้านเบาๆ ในอ้อมกอดแกร่ง มือบางเกาะไหล่กว้างแน่น รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นรัวในอก ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ริมฝีปากหยักขบเม้มตามซอกคออย่างตีตราจองไล่เลียลงมาจนถึงก้อนเนื้ออวบอิ่มที่ยอดถันแข็งชูชันล่อเขาให้กลืนกินเข้าไป สองมือกุมเต้าสลับกันดูดเลียวนไปอย่างไม่น้อยหน้า ทั่วห้องที่เงียบสนิทเสียงดูดดึงดังสะท้านกลบแม้กระทั่งเสียงแอร์ที่กำลังทำงาน ใบหน้าหล่อเหลาคมคายค่อยๆเคลื่อนตัวลงไปเรื่อยจนสัมผัสได้ถึงแพรขนไหมอ่อนนุ่มกลางกายสาว ตาคมเปล่งประกายวาววับ เมื่อเห็นร่องสวาทที่กลีบนั้นยังคงปิดแน่นดังเช่นที่เขาได้เชยชมในครั้งแรก มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจนิ้วเรียวยาวแหวกกลีบกุหลาบอวบอิ่มสีแดงสด มองปากทางเข้าที่ปิดสนิทก้มหน้าลิ้นสากปาดเลียไปมารอบๆกลีบสาว เน้นหนักขยี้ลิ้นตรงจุดกระสันก่อนจะห่อลิ้นร้อนแทงเข้าไปในช่องทางคับแคบที่บีบรัดสิ่งแปลกปลอมแน่น “อ๊าส์ พะ พี่คิณณ์ขา อ๊ายส์” เสียงร้องครวญครางดังขึ้นอย่างเว้าวอนชายหนุ่มที่ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับกลางกายสาวอันหอมหวาน เขยิบสะโพกหลบหนีลิ้นร้ายที่กำลังจ้วงแทงของสงวนของเธอ แต่มือหนากลับคว้าสะโพกผายยึดตรึงอยู่กับที่ไว้แน่น เมื่อไม่สามารถทนทานและระบายความเสียวซ่านที่เกิดขึ้นได้ ลัลน์จึงทำได้เพียงเอื้อมมือเรียวบางไปขยุ้มกลุ่มผมหนาของเขาอย่างเผลอไผลอย่างระบายอารมณ์ ความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามาทำให้หญิงสาวสติกระเจิงหายไปกับสนามอารมณ์นี้ ร่างกายขาวผ่องแดงก่ำกำลังสั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย ความเสียวที่กระจุกรวมกลางกาย ช่องทางคับแคบตอดถี่ยิบ ท้องน้อยบีบรัดหดเกร็ง ก่อนจะระเบิดน้ำสีใสออกมาเต็มหน้าคมที่ซุกอยู่กลางกายเธอ ร่างกายสาวหอบสะท้านจากความสุขสมที่คนรักเป็นคนประเคนให้เธอ “หวานมากเด็กดี” เสียงดูดกลืนน้ำใสจากกลางกาย ทำให้คนน้องอับอายร่างกายนวลผ่องกลับแดงก่ำไปทั้งตัวอย่างอดกลั้นอารมณ์ เมื่อลิ้นร้อนตวัดลากเลียทั่วกลีบกุหลาบงามหญิงสาวยิ่งร่างกายกระตุกสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้ เสียงถอดเสื้อผ้าดังขึ้นสลัยกับเสียงหอบหายใจของหญิงสาว แต่สติสัมปชัญญะของเธอไม่อาจมีได้ สมองขาวโพลนว่างเปล่า ดวงตากลมโตหวานเยิ้ม ร่างกายเปลือยเปล่านอนแผ่อยู่บนเตียงกว้าง หมดเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านขัดขืนอีกต่อไป คิณณ์จับข้อเท้าเล็กของลัลน์ ดวงตาคมกริบจับจ้องเธอราวกับจะกลืนกินทุกส่วน ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงเธอเบาๆ ลากร่างบางลงมาที่ขอบเตียงด้วยท่าทีที่แฝงไปด้วยความเร่าร้อน ร่างเล็กที่นอนราบกับที่นอนนุ่มขยับตามแรงลากของชายหนุ่มอย่างว่าง่าย ดวงตาเธอสั่นไหวด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ ทั้งความตื่นเต้นและอ่อนหวานที่ลุกโชนในใจ ลมหายใจถี่กระชั้นของเธอบ่งบอกถึงความหวั่นไหวที่ซ่อนอยู่ ถึงแม้ทั้งสองจะร่วมรักกันบ่อยครั้งก็ตาม สวบบ!!! “อ๊าส์” หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างกำยำแทรกตัวเข้าหว่างขา จับเรียวขางามโอบรัดรอบสะโพกของตน ก่อนจะดันส่วนแข็งขืนเข้าโพรงดอกไม้งามสุดลำจนคนตัวเล็กใต้ร่างถึงกับร่างกายสั่นสะทานตาเบิกโพลง กับแรงกระแทกอันหนักหน่วงที่คนตัวโตใส่เข้ามาไม่ยั้ง พลั่บๆๆๆ “แน่นมากเมียพี่” คิณณ์คำรามในลำคออย่างพึงพอใจกับรสรักนี้ ส่วนที่อ่อนไหวที่สุดที่เขากำลังกระแทกอยู่ในตอนนี้ช่างโอบรัดลำกายเขาแน่น สะโพกสอบยังคงทำหน้าที่ใส่แรงไม่ยั้งไม่เหลือความทนุถนอมร่างบางเมื่ออารมณ์สวาทถึงขีดสุด “อ๊ะส์ๆๆ จุก อิ๊ส์ เมียจุก” ร่างบางร้องครวญครางสนั่นห้อง คำพูดห้ามปรามของเธอนั้นฟังไม่ได้ศัพท์ ร่างกายโยกคลอนไปตามแรงกระแทกที่ถาโถมเข้ามาราวกับพายุที่ซัดเข้าหาฝั่ง สองแขนยื่นขึ้นมาหมายจะยึดตัวคนบนตัวเข้ามากอดเพื่อระบายความเสียวซ่านที่กำลังโหมกระหน่ำเธอ คนแก่กว่าโน้มตัวลงไปหาร่างบางที่สะบัดหน้าไปมาจนผมนั้นสยายยุ่งเหยิง เสียงร้องครวญครางกระเส่ายิ่งปลุกเร้าสัญชาตญาณดิบเถื่อนภายในให้ลุกโชนราวกับราดน้ำมันลงบนกองไฟ ปทุมถันอวบใหญ่ล้นมือไปตามง่ามนิ้วตามแรงบีบเคล้นที่กำลังกระเพื่อมไปตามแรงกระแทก ล่อสายตาให้เขาเข้าเชยชมยอดอกสีหวานนั้นอย่างช่วยไม่ได้ จ๊วบๆๆ ปากหนาครอบลงบนยอดถันที่แข็งชูชันเป็นไต ลิ้นร้ายกวาดเลียพลางขบเม้มราวกับดูดนมแม่ก็ไม่ปาน แต่ดูเหมือนว่าแรงดูดนั้นจะมีมากจนก่อให้เกิดเสียงดังจ๊วบจ๊าบในขณะลิ้มรสเต้างาม พลั่บๆๆ “อิ๊ส์ พะ พี่คิณณ์ขา หนูจะ...” ลัลน์อดกลั้นเสียงจนใบหน้าหวานนั้นแดงก่ำ พยายามเปล่งเสียงออกมาแต่ก็ไม่อาจเอ่ยให้จบประโยคได้ ใบหน้าบิดเบี้ยวตามเพลิงอารมณ์พิศวาสกลับยิ่งกระตุ้นอารมณ์ให้คนตัวโตแทงเข้าสุดออกสุดอย่างรัวเร็ว “ว้ายย” เมื่ออารมณ์ของหญิงสาวใกล้จะถึงฝั่งฝัน คิณณ์โอบร่างบางขึ้นมาจากเตียงแรงกระแทกไม่มีตก ลัลน์หวีดร้องขึ้นอย่างตกใจสองแขนโอบรัดรอบคอแกร่ง ขาโอบรัดสะโพกสอบไว้แน่นกันตก ในจังหวะที่ตัวเธอตกลงมาลำเอ็นยักษ์แทงสวนขึ้นไปทำให้หญิงสาวร่างกระตุกน้ำสีใสอาบไล้ทั่วลำลึงค์ “อ๊าส์ อ๊าส์” ท่อนเอ็นยักษ์มุดจ้วงชนปากมดลูกหญิงสาวจนร่างกายสั่นระริกไร้เรี่ยวแรง กลับกันแล้วคนตัวโตกับยังคงซอยกระหน่ำเข้าช่องทางคับแคบ สาวเท้าเดินไปทั่วห้องยิ่งทำให้คนตัวเล็กตาเหลือกค้างร้องครวญครางดังกว่าเดิมอย่างกลั้นไม่อยู่ “ซี้ดด เมียจ๋า” เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบข้างใบหูขาว ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบซอกคอขาวผ่องจนลัลน์เนื้อตัวสั่นระริก บดเบียดริมฝีปากอิ่มอย่างร้อนแรงเมื่อตนเสียวกระสันใกล้สวรรค์รำไร แรงกระแทกสวนขึ้นมาหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม โถมแรงทั้งหมดใส่คนน้องไม่มีถนอม สันกรามขึ้นชัดเมื่อชายหนุ่มขบกรามตนแน่น ก่อนจะระเบิดน้ำร้อนสีขาวขุ่นขลักเขาโพงนุ่มที่ตอดรัดถี่ยิบเสร็จพร้อมกับเขา ร่างกายทั้งสองชาวาบไปทั้งตัวราวกับกระแสไฟแล่นผ่านเส้นประสาทของคนทั้งสอง เสียงลมหายใจหอบกระเส่าของชายหญิงสองคนยังคงดังสอดประสานกันเป็นจังหวะ ราวกับบทเพลงที่บรรเลงด้วยความปรารถนา ภายในห้องนอนกว้างขวางที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำกลับไม่ได้ช่วยดับเพลิงสวาทที่ยังคงลุกโชนและแผดเผาอยู่ภายในร่างของทั้งสองที่ยังคงลุกโชนตลอดทั้งคืนท่ามกลางร่มไม้เขียวขจีข้างริมสระน้ำ ใต้ร่มไม้มีหญิงสาวร่างท้วมคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อน หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาตัวโคร่งใส่กระโปรงพลีทยาวคลุมข้อเท้า ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหนากำลังสอดส่องเหมือนหาใครอยู่ “ลัลน์จ๋าาา ฉันมาแล้วขอโทษนะที่มาช้าพอดีว่าติดธุระ ขอโทษที่ทำให้แกรอนานนะ” สาวเจ้าร่างบางหน้าตาคมสวย ใส่ชุดนักศึกษาวิ่งกระหืดกระหอบพลางตะโกนเรียกหาเพื่อนรักซึ่งกำลังนั่งรออยู่ “หนูนานี่นะตลอดเลย น่าน้อยใจชะมัด” “โอ๋ๆๆๆ ไม่โกรธนะจ๊ะลัลน์จ๋า ทำแก้มป่องๆแบบนี้เดี๋ยวพี่มาร์คจะไม่รักนะ” หนูนากล่าวไปพลางหยิกแก้มลัลน์ไปด้วยความเอ็นดู “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่มาร์คเขาเล่า” ลัลน์ว่าพลางหน้าแดงขวยเขินเมื่อหนูนาเอ่ยถึงแฟนหนุ่มของตน “แหมๆๆ อิจฉาคนรักกันหวานชื่นเนอะ เมื่อไหร่ฟ้าจะส่งผู้ชายหน้าตาดีแบบพี่มาร์คมาให้ฉันซักคนบ้าง” “ไม่ต้องมาทำแซวเลยมาคุยธุระของเรากันดีกว่า เราไปติดต่อกับทางคณะเรื่องฝึกงานแล้ว เห็นว่าให้ส่งเอกสารฝึกงานภายในอาทิตย์หน้า ว่าแต่หนูนาจะไปฝึกสำนักงานอัยการจังหวัดจริงใช่ไหม แกไม่คิดเปลี่ยนใจไปสำนักงานทนายความกั
เมื่อหญิงสาวมาถึงหน้าห้องแฟนหนุ่มแล้วจึงกดรหัสเข้าห้องไปในห้อง แต่เมื่อลัลน์เปิดประตูห้องเข้าไปกลับเจอรองเท้าส้นสูงสีแดงของผู้หญิงวางระเกะระกะ เมื่อไล่สายตาไปตามทางเดินกลับมีเสื้อผ้าชายหญิงที่ถอดทิ้งไว้อย่างไม่ไยดี เสียงเนื้อกระทบเนื้อปนกับเสียงครางของชายหญิงดังลั่นห้อง หญิงสาวกลั้นใจเดินไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อให้เห็นถึงความจริง“อ๊าส์ อ๊าส์ อื้อออ มาร์คขาา อ๊ะส์ ญดาเสียวจังเลย อ๊าส์ๆๆ”พลั่บๆๆๆๆๆ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้อง“ฮึม ซี๊ดดด ตอดอีกดา อืมม แม่งเอามันชิบ”หญิงสาวผมยาวสีทองกำลังขึ้นขี่ขย่มมาร์คอย่างเมามัน ชายหนุ่มครางในลำคอยึดสะโพกญดาแทงเอ็นตอกสวนร่องฉ่ำ ปากจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่มโดยไม่รู้เลยว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญกำลังรับชมหนังสดนี้อยู่“พะ พะ พี่มาร์คคะ” ลัลน์เรียกมาร์คด้วยเสียงอันสั่นเครือ น้ำตาไหลเต็มนองหน้าสาว ทำให้กิจกรรมเข้าจังหวะระหว่างมาร์คกับญดาพลันชะงักลง“ว้ายยย นังบ้าแกเข้ามาในห้องของคนอื่นได้ยังไง ไม่มีมารยาท!!!” ญดากรีดร้องเสียงดัง มือขาวควานหาผ้ามาคลุมร่างกายขาวผ่องไว้“ละ ลัลน์ ” ชายผู้ก่อเรื่องสร้างปัญหาเรียกแฟนสาวของตนเสียงค่อย พลางอ้ำอึ้งน้ำล
ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน “พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!!“ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว“เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็
ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน “พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!!“ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว“เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็
ภายใต้แสงอาทิตย์สีส้มยามพระอาทิตย์อัสดง หญิงสาวผิวขาว ใบหน้าซูบตอบ ดวงตากลมโตยังคงบวมช้ำถึงแม้เวลาจะผ่านมาได้เดือนหนึ่งแล้วก็ตาม เธอก็ยังคงเสียใจกับการโดนทิ้งนั้นอยู่ ลัลน์ซึ่งนอนพักอยู่ในคอนโดของหนูนา สายตาเหม่อยลอยออกไปยังหน้าต่าง จ้องมองแสงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าเห็นเพียงแต่แสงสีส้มด้วยจิตใจเศร้าหมอง เมื่อไหร่กันนะที่เธอจะลืมความรักครั้งนี้ได้คิดแล้วน้ำตาก็เอ่อรื้นที่ขอบตา ก๊อกๆๆๆ เสียงเคาะประตูห้องพลันดึงสติหญิงสาวให้อยู่กับความเป็นจริง แล้วเปล่งเสียงดังเล็กน้อยบอกเพื่อนเธอให้เปิดประตูเข้ามาได้ “ลัลน์จ๋า คืนนี้ไปเปิดหูเปิดตากันหน่อยไหม เขาว่าอกหักต้องใช้เหล้าย้อมใจนะ” หนูนาวิ่งถลามาที่เตียง แล้วเอ่ยปากชวนเพื่อนไปเที่ยวอย่างออดอ้อนพร้อมกับเอาหน้าถือแขนลัลน์พลางทำตาปริบๆ ให้เพื่อนเอ็นดู “พาเพื่อนไปย้อมใจหรืออยากไปเที่ยวเองคะ” ลัลน์พูดดักคอหนูนาอย่างรู้ทัน “ก็แหมม อยากไปเที่ยวด้วยแล้วก็อยากพาลัลน์ไปด้วย นะๆลัลน์นะ ไปด้วยกันนะๆๆ” หนูนาทำหน้าตาอ้อนเพื่อนอย่างสุดฤทธิ์หวังว่าเพื่อนจะใจอ่อนยอมไปเที่ยวกับเธอ ที่ชวนลัลน์ไปนั้นเธอก็ไม่ได้หวังให้เพื่อนเธอเมาหัวราน้ำหรือได้ผู้ชายกลับมาหรอ
ท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม หญิงสาวร่างกายอ่อนระทวยเคลิบเคลิ้มไปกับจูบแสนหวานที่ชายหนุ่มเป็นคนชักจูง ลัลน์จูบตอบชายหนุ่มอย่างเงอะงะไม่ประสีประสาแต่กลับเป็นฉนวนปลุกเร้าอารมณ์คิณณ์ได้เป็นอย่างดี ร่างกายสาวสั่นสะท้านแขนแกร่งจึงโอบรอบเอวพลางบีบขยำสะโพกประคองไม่ให้ล้มลง มือหนาขยำหน้าอกที่ใหญ่เกินตัวของลัลน์ชายหนุ่มยังคงตักตวงความหวานจากปากหญิงสาว ร่างบางในอ้อมแขนของคิณณ์ไม่อาจปรับลมหายใจให้ทันกับจุมพิตที่ดูดดื่มราวกับดูดชีวิตของตนไปด้วย หญิงสาวจึงส่งเสียงร้องคราง ทุบอกของชายหนุ่มให้ถอนจูบออกไปเสียที“ต่อไหม?” คิณณ์ถามหญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังหอบสูดอากาศหายใจเข้าปอดอย่างเอ็นดู แต่ทว่าชายหนุ่มไม่รอฟังคำตอบของเธอดันร่างหญิงสาวให้เข้าไปในห้องน้ำแล้วล็อกประตูก่อนที่จะตะโบมจูบเธออีกครั้งชายหนุ่มดันร่างลัลน์ชิดกำแพงแล้วสอดลิ้นร้อนเข้ามาสำรวจภายในโพรงปากหวานอีกครั้ง จูบครั้งนี้ร้อนแรงกว่าในตอนแรก ลิ้นหนาสอดเข้ามาในปากลากเลียสำรวจทั่วปากสาว ดูดดุนลิ้นเล็กอย่างแนบแน่นสลับกับการดูดขบริมฝีปาก มือข้างหนึ่งคิณณ์เลื่อนมาปลดสายชุดเดรสที่คล้องคอลัลน์อย่างง่ายดาย ถลกชุดเดรสลงให้กองใต้ราวนม
เสียงสบถของคิณณ์ทำให้หญิงสาวได้สติออกจากภวังค์อันแสนวาบหวาม ผลักชายหนุ่มออกห่างให้พ้นตัว อีกนิดเดียวเธอเกือบมีความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าสะแล้ว ดวงตากลมโตเบิกถลนเมื่อเห็นลำเอ็นเขื่องขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าข้อมือเสียอีก เขาเป็นลูกครึ่งรึยังไงตรงนั้นถึงได้ใหญ่โตขนาดนี้!!!หญิงสาวพลันเห่อร้อนใบหน้าเมื่อเห็นของสงวนของเขาเต็มตา รีบหันหลังจัดการตนเองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เมื่อลัลน์หันไปแล้วพบว่าชายหนุ่มได้ยัดเก็บเจ้านั่นแล้ว แต่ทว่าตรงเป้ากางเกงแสล็คนั้นยังคงนูนเด่นชัดอยู่"เอ่อ ขะ ขอโทษด้วยนะคะ จบเรื่องกันเพียงเท่านี้แล้วต่างคนต่างแยกย้ายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะคะ" ก้มหน้าหงุดอย่างสำนึกผิดต่อชายหนุ่มตรงหน้าที่เธอไปลวนลามเขาก่อน รีบจ้ำอ้าวเดินออกไปจากห้องน้ำหลีกหนีให้พ้นสถานการณ์น่าอึดอัดนี้"เดี๋ยว" เสียงเย็นเยียบของชายหนุ่มต่างจากเสียงตอนเขากระเซ้าเย้าแหย่เธอที่ดูจะร้อนแรงอบอุ่นราวกับเปลี่ยนไปคนละคน คิณณ์คว้าข้อมือลัลน์ไว้ คิ้วหนาขมวดเป็นปม สายตาคมกริบจ้องมองดวงหน้าหวานซึ้งอย่างจับผิด"ถะ ถือว่าให้มันจบตรงนี้จะดีกว่านะคะ ถ้าคุณไม่ยินยอมหนูคงได้แต่แจ้งความเอาผิดกับคุณ" เมื่อเ
วันนี้เป็นวันเริ่มฝึกงานวันแรกของลัลน์ ประจวบเหมาะที่พี่ทนายมีคดีที่ศาลในวันนี้ จึงให้เธอติดตามเข้าไปดูการพิจารณาคดีในศาลได้ หญิงสาวตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อจะได้เข้าห้องพิจารณาคดี ไปดูการว่าความของทนายว่าแต่ละคนมีชั้นเชิงอย่างไร ฝึกงานตลอด 3 เดือนนี้เธอจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ ไปต่อยอดในการสอบใบอนุญาตทนายความในวันข้างหน้า"ลัลน์ เดี๋ยวหนูเข้าไปบัลลังก์ 3 ขอสำนวนมาจากหน้าบัลลังก์แล้วรอพี่ข้างในก่อน พี่ไปยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีก่อน เดี๋ยวพี่มา" เจษฎาหันมาชี้แจ้งงานหญิงสาวพยักหน้าตอบรับ ก่อนที่เขานั้นจะเดินไปอีกบัลลังก์ 5 ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของชั้นหญิงสาวรับคำแล้วจึงเดินเข้าไปไหว้สวัสดีเจ้าหน้าที่สาวหน้าบัลลังก์ขอสำนวนคดีของพี่ทนายมาไว้ที่ตน ก่อนที่จะไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทางด้านหลัง ซึ่งจัดไว้สำหรับคู่ความที่มาศาล ก่อนขึ้นมาพี่เจษชี้ให้เธอดูตารางนัดความที่แสดงรายการคดีของวันนี้ทั้งหมด ห้องพิจารณา รวมทั้งผู้พิพากษาเจ้าของคดี เห็นว่าคดีในวันนี้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจะเป็นของท่านคิณณ์ณภัทร ที่เธอเคยได้ยินจากพี่ทนายในสำนักงานช่วงที่เธอขอไปติดต่อฝึกงานถึงสมญานามความเฮี้ยบและน่ากลัว
“หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!” ลัลน์สะบัดหน้าพรืด ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะเดินหนีคนตัวโตให้พ้นสายตา แต่ยังไม่ทันพ้นแขนยาวของคิณณ์เขาก็เอื้อมมาจับข้อมือเธอไว้ ก่อนจะดึงตัวเธอเบาๆ ให้นั่งลงบนตักของเขา“ฮึๆ พี่ล้อเล่นน่ะตัวเล็ก พี่ขอมอบสิ่งนี้ให้หนูนะ ไว้หนูเรียนเนจบทำตามความฝันของหนูได้แล้วเราค่อยมาแต่งงานกัน” เขาจับมือเรียวของเธอแล้วค่อยๆ สวมแหวนเพชรวงงามเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างมั่นใจ แหวนวงนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ทว่าแววตาของชายหนุ่มที่มองเธอกลับส่องประกายอบอุ่นมากกว่า ก่อนจะคิณณ์ก้มหน้าลงจุมพิตหลังมือบางอย่างแสนรักใคร่และนุ่มนวล ทุกสัมผัสส่งผ่านความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจนลัลน์เบะปากเล็กน้อย แม้พยายามจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ความอบอุ่นและความรักที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้เธออดไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่ทันรู้ตัว เธอโผเข้ากอดเขาเต็มแรง ซบหน้ากับไหล่กว้างของคนรัก“ขอบคุณนะคะพี่คิณณ์ หนูรักพี่ที่สุดเลย” เสียงหวานสั่นเครือออกมาเบาๆ“พี่ก็รักหนูมากเหมือนกัน” คิณณ์กระซิบด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา พร้อมใช้มือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที
“อ้าว พี่คิณณ์มาได้ไงคะ” ลัลน์ยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นไปหาคนรัก ความน้อยใจที่สะสมมาตลอดวันมลายหายไปในพริบตาเมื่อเห็นหน้าเขา“ทำไมถึงมานั่งกินกับมัน” คิณณ์เอ่ยเสียงต่ำขณะขมวดคิ้วมองหญิงสาว น้ำเสียงที่ลอดไรฟันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ใครคะ พี่เจษงั้นเหรอ” ลัลน์เอ่ยอย่างงุนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม เธอไม่เข้าใจว่าเขาโกรธอะไร จะว่าหึงที่เธอมานั่งกับผู้ชายคนอื่นก็ไม่น่าใช่ เพราะคนที่นั่งด้วยคือเพื่อนสนิทของเขาเองมิใช่หรือ“มึงใจเย็น เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว วันนี้วันเกิดเมียมึงอย่าทำให้เป็นเรื่องเลย” เจษฎากระซิบเสียงเบา พลางดึงแขนคิณณ์ที่ดูเหมือนจะระเบิดอารมณ์อยู่รอมร่อคิณณ์ยังคงขบฟันแน่น กรามขึ้นเป็นสันชัดเจน แววตาเย็นชาจ้องตรงไปยังคณาภัทรที่นั่งอยู่ตรงข้าม สายตานั้นราวกับจะส่งคำเตือนไปในตัว ลัลน์ที่อยู่ในเหตุการณ์รับรู้ถึงความตึงเครียดในทันที เห็นดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าคนรักเธอกับอัยการหนุ่มคนนี้คงไม่ถูกกันเสียแล้ว เธอพยายามฝืนยิ้มและขยับตัวเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา มือหนาของคิณณ์ก็กอบกุมมือเธอไว้แน่นก่อนจะจูงไปนั่งบนโต๊ะทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ไหนว่าเข้าเวรไงคะ” ลัลน์เอ่ยถามด้วยน
ชายสูงวัยเดินออกมาจากคอกพยาน ใบหน้าของเขาแสดงความอ่อนล้าและเศร้าหมอง สายตาของเขากวาดมองไปที่ลูกชายจะปรี่ไปหาลูกชาย ภาพนั้นสะท้อนสู่สายตาของทุกคนในห้องพิจารณาคดี เสียงสะอื้นของชายสูงวัยดังขึ้นทันทีเมื่อเขาถึงตัวลูกชาย แขนทั้งสองข้างของเขาสวมกอดลูกชายแน่นราวกับกลัวว่าจะเสียไปอีกครั้ง น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ขณะที่จำเลยยืนนิ่งเฉยราวกับไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว“แล้วเขาจะฟ้องลูกชายเขาทำไมกัน” ลัลน์ขมวดคิ้วสีหน้าฉายความสับสนและไม่เข้าใจ บ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นคนพ่อร้องไห้วิ่งเข้าไปกอดลูกชาย“อารมณ์ชั่ววูบนั่นแหละ ตอนนั้นคงโมโห ตอนนี้ก็ไม่อยากให้ลูกติดคุกหรอก แต่ทำไงได้ตอนนั้นแจ้งความไปแล้ว เป็นคดีอาญาแผ่นดินอีกเลยต้องปล่อยเลยตามเลย” หนูนากระซิบบอกเพื่อนสาวเมื่อเธอเริ่มงงดังเช่นที่เธอเคยสงสัย“แล้วแค่เงิน 30 บาทนี่นะ ถึงขั้นต้องตีพ่อตัวเองเลยเหรอ” หญิงสาวยังคงจ้องมองภาพชายสูงวัยที่กอดลูกชายทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกหนักใจ ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมพึมพำถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ“คาดเดากันว่าน่าจะเมายาแหละ ไม่งั้นคงไม่มีคนปกติที่ไหนตีพ่อแม่จนบาดเจ็บหนักขนาดนี้” หนูนาหันไปมองเพื่อนสาว ก่อนจะกระซ
ปัง!เมื่อหญิงสาวเปิดประตูเข้ามาเสียงประทัดดังลั่นไปทั่วสำนักงาน ทำให้ลัลน์ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในห้องหยุดชะงัก หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เศษพลาสติกหลากสีปลิวว่อนเต็มอากาศราวกับฝนทำให้ทั้งสำนักงานเลอะเทอะอย่างช่วยไม่ได้“เฮ้! สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะลัลน์!” เสียงทักดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างจากพี่ๆทั้งสาม ตรงกลางห้องมีเนตรนภาเดินถือเค้กวันเกิดเดินตรงเข้ามาหาเธอ น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาของลัลน์อย่างห้ามไม่อยู่ เธอรู้สึกซาบซึ้งใจกับความตั้งใจของพี่ๆ หญิงสาวยืนนิ่งมองเค้กวันเกิดตรงหน้า เค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีมขนาด 2 ปอนด์ ประดับด้วยเฟอร์เรโร รอชเชอร์เรียงรายอย่างสวยงาม และบนยอดเค้กยังมีสตรอว์เบอร์รีสดสีแดงเพิ่มความหรูหรายืนมองเค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีม “เป่าสิลัลน์ ก็อย่าลืมอธิษฐานด้วยล่ะ” กุลธิดาเมื่อเห็นน้องเล็กยืนนิ่ง เพลงจบแล้วก็ยังไม่เป่าเค้กเสียที เนตรนภาส่งเค้กให้นานแล้วจนกล้ามจะขึ้นจึงเอ่ยเตือนให้หญิงสาวเป่าเค้ก“ขอบพระคุณพี่ๆมากเลยนะคะ ไม่เห็นต้องลำบากกันเลย” ลัลน์หลุดจากภวังค์ ยิ้มบางๆ ก้มหน้าเป่าเทียนบนเค้กที่พี่ๆเตรียมมาให้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้ม
การอยู่ที่คอนโดของคิณณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลัลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ห้องที่เคยดูเรียบง่ายและเป็นระเบียบตามสไตล์ชายหนุ่ม กลับมีสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาวแทรกซึมอยู่ทุกมุมอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอใช้ประจำเติมเต็มบรรยากาศในห้องให้ดูอบอุ่นและสดใส ตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่ที่เธอนำมาตั้งไว้บนเตียงนอน กลายเป็นความคุ้นเคยที่เจ้าของไม่อาจปฏิเสธได้ในห้องน้ำที่เคยมีแค่ของใช้พื้นฐาน กลับมีชุดขวดแชมพูและครีมนวดกลิ่นหวานวางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่ผ้าเช็ดตัวที่เธอเลือกใช้ยังเป็นสีพาสเทลที่แตกต่างจากโทนสีเข้มเรียบง่ายของเขาลัลน์ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องนอน แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบเส้นผมสีดำดัดลอนคลาย ๆ ที่จัดทรงอย่างมีวอลลุ่ม ผมของเธอถูกรวบครึ่งหัวอย่างเรียบร้อย ติดโบน่ารักสีขาวที่เพิ่มความสดใสให้ใบหน้าหวานซึ้งที่ดูเปล่งประกาย ใบหน้าหวานซึ้งที่เคยดูซูบซีดจากความทุกข์ใจในอดีต บัดนี้กลับเปล่งปลั่งสดใส พวงแก้มใสที่เคยตอบแห้งกลับอิ่มเอิบจนดูน่าหยิก ร่างกายมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชุดนักศึกษาที่กระชับพอดีตัว จนเผยให้เห็นความอวบอิ่มเกินตัว กระโปรงทรงเอ
“ถ้าหนูอยาก หนูควบมันเลยค่ะ”สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหู ความนุ่มนวลของคำพูดเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่กลับทิ้งร่องรอยไว้ให้หัวใจเต้นระรัว คำพูดของเขายังคงดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวลัลน์ไม่หยุดราวกับต้องการย้ำเตือนถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ดวงหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นปมอย่างฉงนใจว่าคนรักต้องการจะสื่ออะไร ก่อนที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อสมองเริ่มประมวลผลช้าๆ จนเข้าใจความหมายของคำพูดเขาได้ในที่สุด ใบหน้าสวยหวานที่ปกติขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อร้อนผ่าว แผ่ซ่านไปจนถึงใบหู“หืมม ว่าไงคะไม่อยากลองหรือคะ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหู พร้อมกับลมหายใจร้อนที่ปัดผ่านแก้มเธอเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงคลอเคลีย สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากกายสาวที่ทำให้เขาเหมือนถูกมนตร์สะกดทุกครั้งที่ได้กลิ่น“หนูทำไม่เป็น” ลัลน์ตัวแข็งทื่อ สติที่พยายามรวบรวมเหมือนกำลังละลายหายไปกับความใกล้ชิด เสียงของเธอสั่นไหวและแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์“แค่หนูโยกเอวเหมือนหนูเต้นเอง” ใบหน้าคมคายผละออกมาเล็กน้อยเพียงเพื่อจับจ้องใบหน้าหญิงสาวที่บิดเบี้ยวเพราะแรงเสียวซ่าน เมื่อเขาแกล้งขยับสะโพกกระตุ้นความรู้สึกของเธอ“อ๊ะ
คิณณ์เลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอโดยยืดตัวเอนพิงขอบอ่างในท่าทางสบายๆ แต่ทว่าการมาของเขาทำให้อ่างน้ำที่เคยกว้างพอสำหรับเธอเพียงคนเดียวกลับเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดถนัดตา น้ำในอ่างพลันเอ่อล้นออกมาทันทีที่ร่างกายสูงใหญ่ของชายหนุ่มแทรกตัวลงไป หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วครู่ทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ล่อแหลมนี้ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยอย่างลังเล แล้วค่อยๆ หดขาเรียวของตัวเองเข้าหากันพร้อมกับกอดเข่าไว้แน่น ราวกับจะสร้างพื้นที่เล็กๆของตัวเองในอ่างน้ำที่ตอนนี้ดูเล็กลงกว่าเดิม เพื่อเปิดทางให้ชายหนุ่มได้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับร่างกายใหญ่โตของเขามากขึ้น แม้ว่าในความเป็นจริง เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้องการพื้นที่สักเท่าไรก็ตามชายหนุ่มเอนตัวอย่างสบายๆ พิงขอบอ่างน้ำ สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามวางแขนทอดบนขอบอ่างราวกับสัตว์กางอาณาเขตดึงดูดให้ลัลน์เผลอจ้องมองตาไม่กระพริบ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจกลับไม่ใช่ท่วงท่าเหล่านั้น หากแต่เป็นสายตาคมดุที่จับจ้องมายังร่างเล็กตรงหน้าสายตาที่หนักแน่นและเร่าร้อน ราวกับนักล่าที่กำลังจดจ้องเหยื่ออันล้ำค่า ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหายที่ไม่คิดจะปิดบัง ราวกับเธอเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องก
ภายใต้แสงไฟสีวอร์มโทนที่ช่วยเติมเต็มความอบอุ่นให้ห้องอาหารที่ยังคงตกแต่งด้วยโทนสีดำซึ่งยังคงเอกลักษณ์ความเย็นชาของคิณณ์ ห้องที่ควรให้บรรยากาศอึมครึมแต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงถึงมืดมนเลยสักนิด กลับกันแล้วอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นอายแห่งความรักที่แผ่ซ่านจากคนทั้งสองบนโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย มีต้มยำทะเลร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ผัดสายบัวที่ดูสดใหม่ ปลาทอดกรอบสีเหลืองทอง แต่อาหารแทบทั้งหมดบนโต๊ะนั้นยังคงวางอยู่อย่างไม่พร่องไปสักนิด เหตุเพราะหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าเขานี้ตักเพียงข้าวต้มถ้วยเล็กที่เขาสั่งเพิ่มมาใหม่เข้าปากเท่านั้น“สั่งมาเยอะแบบนี้พี่จะกินหมดเองหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอดจะเย้าแหย่คนตรงหน้ามิได้ เมื่อเห็นอาหารที่ชายหนุ่มตั้งใจสั่งมให้เธอแต่กลับลืมไปเสียว่าเธอนั้นเจ็บกรามจนไม่สามารถทานของต้องใช้กำลังในการขบเคี้ยวได้“พี่ขอโทษค่ะ ตัวเล็กจะอิ่มไหมกินแต่ข้าวต้ม” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเมื่อคนรักไม่อาจทานของชอบได้“อิ่มสิคะข้าวต้มเยอะขนาดนี้ หนูทายไม่หมดหรอกค่ะ” ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะอยากลองชิมอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะอาหารที่เรียงรายตรงหน้าล้วนเป็นของโปรดของเธอทั้งสิ้
ชายหนุ่มเหลือบมองเห็นปลายสายวางโทรศัพท์คนตัวเล็กของเขากลับนิ่งเงียบทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยิ่งสายตากลมโตของเธอเหม่อลอยไปตามท้องถนนฉายชัดถึงความกังวลใจจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือรู้สึกไม่ดีที่ผิดนัดกับเพื่อน” คิณณ์เอ่ยปากถามไถ่หญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เสียงของหนูนาดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร” น้ำเสียงของเธอแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด ถึงแม้หนูนาจะพยายามปกปิดอย่างไรคนเป็นเพื่อนแบบเธอก็อดกังวลไม่ได้จริงๆ“หนูโทรหาเพื่อนไปคุยให้เคลียร์ดีไหมคะ” ตาคมเหลือบมองหญิงสาวข้างกายพร้อมเอ่ยให้คำแนะนำ ก่อนละสายตากลับมาที่ถนน“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ให้หนูนาอยู่กับตัวเองไปก่อนถ้ายังไม่ดีขึ้นไว้หนูจะไปนอนกับหนูนา” “หนูถามพี่รึยังคะ ว่าพี่จะให้ไปไหม” คนแก่กว่ายกยิ้มมุมปาก ประคองพวงมาลัยขับรถอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ“เราเป็นอะไรกันคะถึงต้องขออนุญาตพี่” คนตัวเล็กเอียงคอมองคนตัวโต ตาเปล่งประกายอย่างหยอกเย้าคนข้างกายถึงแม้ในใจจะรู้คำตอบของคำถามแล้วก็ตาม“เป็นเมียพี่ไงคะ” ไม่ว่าเปล่าดึงมือเรียวมากุมไว้ก่อนจะจุมพิตหลังมือขาวนวลเนียน แววตาคมส่งสายตาหาเด็กน้อย