“หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!” ลัลน์สะบัดหน้าพรืด ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะเดินหนีคนตัวโตให้พ้นสายตา แต่ยังไม่ทันพ้นแขนยาวของคิณณ์เขาก็เอื้อมมาจับข้อมือเธอไว้ ก่อนจะดึงตัวเธอเบาๆ ให้นั่งลงบนตักของเขา
“ฮึๆ พี่ล้อเล่นน่ะตัวเล็ก พี่ขอมอบสิ่งนี้ให้หนูนะ ไว้หนูเรียนเนจบทำตามความฝันของหนูได้แล้วเราค่อยมาแต่งงานกัน” เขาจับมือเรียวของเธอแล้วค่อยๆ สวมแหวนเพชรวงงามเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างมั่นใจ แหวนวงนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ทว่าแววตาของชายหนุ่มที่มองเธอกลับส่องประกายอบอุ่นมากกว่า ก่อนจะคิณณ์ก้มหน้าลงจุมพิตหลังมือบางอย่างแสนรักใคร่และนุ่มนวล ทุกสัมผัสส่งผ่านความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจน ลัลน์เบะปากเล็กน้อย แม้พยายามจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ความอบอุ่นและความรักที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้เธออดไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่ทันรู้ตัว เธอโผเข้ากอดเขาเต็มแรง ซบหน้ากับไหล่กว้างของคนรัก “ขอบคุณนะคะพี่คิณณ์ หนูรักพี่ที่สุดเลย” เสียงหวานสั่นเครือออกมาเบาๆ “พี่ก็รักหนูมากเหมือนกัน” คิณณ์กระซิบด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา พร้อมใช้มือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที่สะท้อนความรักใคร่ของเขา ราวกับโลกทั้งใบมีเพียงเธออยู่ในนั้นนิ้วโป้งหนาเกลี่ยน้ำตาที่เปื้อนแก้มใสอย่างอ่อนโยน ก่อนมือหนาจะเลื่อนไปโอบหลังคอหญิงสาวกระชับเธอเข้ามาใกล้ จนร่างบางแนบสนิทกับร่างเขา ริมฝีปากหนาของชายหนุ่มโฉบลงมาไล้เลียริมฝีปากอวบอิ่มของเธอเบา ๆ ราวกับต้องการซึมซับทุกความรู้สึก ลิ้นร้อนของเขาสอดลึกเข้าไปในโพรงปากหวาน สัมผัสลิ้นนุ่มของเธออย่างชำนาญ สองลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันจนความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเพลิงพิศวาสที่โหมกระหน่ำ จูบที่เริ่มต้นด้วยความอ่อนโยนค่อย ๆ ร้อนแรงขึ้น ริมฝีปากหนาขบเม้มกลีบปากบางกระจับสีชมพูจนแดงระเรื่อ บวมเจ่อเล็กน้อย ลัลน์หน้าแดงก่ำด้วยความขวยเขิน แต่ดวงตาของเธอกลับพร่ามัวด้วยความรู้สึกที่ยากจะต้านทาน คิณณ์อุ้มร่างบางขึ้นแนบอก ก้าวเท้ายาวตรงไปยังเตียงคิงไซส์โดยไม่ละสายตาจากเธอ ทิ้งร่างเธอลงบนเตียงนุ่มอย่างแผ่วเบา ก่อนจะโน้มตัวลงมาหา โรมรันจูบอีกครั้งอย่างร้อนแรงและลึกซึ้งราวกับต้องการตราตรึงทุกความรู้สึกนี้ไว้ในหัวใจของทั้งสองคนตลอดไป ชายหนุ่มบดขยี้ปากนุ่มพลางขบเม้มตามปากอิ่มกระจับจนแดงก่ำจนบวมเจ่อ ก่อนจะผละตัวออกมามองใบหน้าหวานที่หน้าแดงก่ำอย่างขวยเขิน คิณณ์อุ้มร่างบางขึ้นแนบอกก่อนจะสาวเท้ายาวเดินไปที่เตียงคิงไซส์ ทิ้งตัวโรมรันจูบอีกครั้งอย่างร้อนแรง มือหนาไม่อยู่เฉยทำงานสอดประสานเป็นอย่างดี จัดการปลดเปลื้องคนตัวเล็กให้เปลือยเปล่า ก่อนที่มือสากจะเคล้นคลึงปทุมถันอวบใหญ่พลางสะกิดยอดเต้างามจนแข็งไปไตชูชัน ปลุกเร้าอารมณ์สวาทคนใต้ร่างให้ลุกโชนขึ้น คิณณ์ดันตัวออกมาจ้องมองใบหน้างามตรงหน้าที่บัดนี้ดวงตากลมโตกลับหวานเยิ้มด้วยสายตาหวานซึ้ง ความรู้สึกในอกพลุ่งพล่านจนแทบควบคุมไม่อยู่ เขาค่อยๆ โน้มใบหน้าลงไปใกล้ สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดกัน “อ๊ะส์ พี่คิณณ์" คนน้องถึงกับหลุดครางเบาๆ เมื่อริมฝีปากของเขาเลื่อนลงมาที่ซอกคอระหง ปลุกเร้าความรู้สึกให้พุ่งพล่านในกายทั้งสอง ร่างบางสั่นสะท้านเบาๆ ในอ้อมกอดแกร่ง มือบางเกาะไหล่กว้างแน่น รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นรัวในอก ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ริมฝีปากหยักขบเม้มตามซอกคออย่างตีตราจองไล่เลียลงมาจนถึงก้อนเนื้ออวบอิ่มที่ยอดถันแข็งชูชันล่อเขาให้กลืนกินเข้าไป สองมือกุมเต้าสลับกันดูดเลียวนไปอย่างไม่น้อยหน้า ทั่วห้องที่เงียบสนิทเสียงดูดดึงดังสะท้านกลบแม้กระทั่งเสียงแอร์ที่กำลังทำงาน ใบหน้าหล่อเหลาคมคายค่อยๆเคลื่อนตัวลงไปเรื่อยจนสัมผัสได้ถึงแพรขนไหมอ่อนนุ่มกลางกายสาว ตาคมเปล่งประกายวาววับ เมื่อเห็นร่องสวาทที่กลีบนั้นยังคงปิดแน่นดังเช่นที่เขาได้เชยชมในครั้งแรก มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจนิ้วเรียวยาวแหวกกลีบกุหลาบอวบอิ่มสีแดงสด มองปากทางเข้าที่ปิดสนิทก้มหน้าลิ้นสากปาดเลียไปมารอบๆกลีบสาว เน้นหนักขยี้ลิ้นตรงจุดกระสันก่อนจะห่อลิ้นร้อนแทงเข้าไปในช่องทางคับแคบที่บีบรัดสิ่งแปลกปลอมแน่น “อ๊าส์ พะ พี่คิณณ์ขา อ๊ายส์” เสียงร้องครวญครางดังขึ้นอย่างเว้าวอนชายหนุ่มที่ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับกลางกายสาวอันหอมหวาน เขยิบสะโพกหลบหนีลิ้นร้ายที่กำลังจ้วงแทงของสงวนของเธอ แต่มือหนากลับคว้าสะโพกผายยึดตรึงอยู่กับที่ไว้แน่น เมื่อไม่สามารถทนทานและระบายความเสียวซ่านที่เกิดขึ้นได้ ลัลน์จึงทำได้เพียงเอื้อมมือเรียวบางไปขยุ้มกลุ่มผมหนาของเขาอย่างเผลอไผลอย่างระบายอารมณ์ ความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามาทำให้หญิงสาวสติกระเจิงหายไปกับสนามอารมณ์นี้ ร่างกายขาวผ่องแดงก่ำกำลังสั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย ความเสียวที่กระจุกรวมกลางกาย ช่องทางคับแคบตอดถี่ยิบ ท้องน้อยบีบรัดหดเกร็ง ก่อนจะระเบิดน้ำสีใสออกมาเต็มหน้าคมที่ซุกอยู่กลางกายเธอ ร่างกายสาวหอบสะท้านจากความสุขสมที่คนรักเป็นคนประเคนให้เธอ “หวานมากเด็กดี” เสียงดูดกลืนน้ำใสจากกลางกาย ทำให้คนน้องอับอายร่างกายนวลผ่องกลับแดงก่ำไปทั้งตัวอย่างอดกลั้นอารมณ์ เมื่อลิ้นร้อนตวัดลากเลียทั่วกลีบกุหลาบงามหญิงสาวยิ่งร่างกายกระตุกสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้ เสียงถอดเสื้อผ้าดังขึ้นสลัยกับเสียงหอบหายใจของหญิงสาว แต่สติสัมปชัญญะของเธอไม่อาจมีได้ สมองขาวโพลนว่างเปล่า ดวงตากลมโตหวานเยิ้ม ร่างกายเปลือยเปล่านอนแผ่อยู่บนเตียงกว้าง หมดเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านขัดขืนอีกต่อไป คิณณ์จับข้อเท้าเล็กของลัลน์ ดวงตาคมกริบจับจ้องเธอราวกับจะกลืนกินทุกส่วน ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงเธอเบาๆ ลากร่างบางลงมาที่ขอบเตียงด้วยท่าทีที่แฝงไปด้วยความเร่าร้อน ร่างเล็กที่นอนราบกับที่นอนนุ่มขยับตามแรงลากของชายหนุ่มอย่างว่าง่าย ดวงตาเธอสั่นไหวด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ ทั้งความตื่นเต้นและอ่อนหวานที่ลุกโชนในใจ ลมหายใจถี่กระชั้นของเธอบ่งบอกถึงความหวั่นไหวที่ซ่อนอยู่ ถึงแม้ทั้งสองจะร่วมรักกันบ่อยครั้งก็ตาม สวบบ!!! “อ๊าส์” หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างกำยำแทรกตัวเข้าหว่างขา จับเรียวขางามโอบรัดรอบสะโพกของตน ก่อนจะดันส่วนแข็งขืนเข้าโพรงดอกไม้งามสุดลำจนคนตัวเล็กใต้ร่างถึงกับร่างกายสั่นสะทานตาเบิกโพลง กับแรงกระแทกอันหนักหน่วงที่คนตัวโตใส่เข้ามาไม่ยั้ง พลั่บๆๆๆ “แน่นมากเมียพี่” คิณณ์คำรามในลำคออย่างพึงพอใจกับรสรักนี้ ส่วนที่อ่อนไหวที่สุดที่เขากำลังกระแทกอยู่ในตอนนี้ช่างโอบรัดลำกายเขาแน่น สะโพกสอบยังคงทำหน้าที่ใส่แรงไม่ยั้งไม่เหลือความทนุถนอมร่างบางเมื่ออารมณ์สวาทถึงขีดสุด “อ๊ะส์ๆๆ จุก อิ๊ส์ เมียจุก” ร่างบางร้องครวญครางสนั่นห้อง คำพูดห้ามปรามของเธอนั้นฟังไม่ได้ศัพท์ ร่างกายโยกคลอนไปตามแรงกระแทกที่ถาโถมเข้ามาราวกับพายุที่ซัดเข้าหาฝั่ง สองแขนยื่นขึ้นมาหมายจะยึดตัวคนบนตัวเข้ามากอดเพื่อระบายความเสียวซ่านที่กำลังโหมกระหน่ำเธอ คนแก่กว่าโน้มตัวลงไปหาร่างบางที่สะบัดหน้าไปมาจนผมนั้นสยายยุ่งเหยิง เสียงร้องครวญครางกระเส่ายิ่งปลุกเร้าสัญชาตญาณดิบเถื่อนภายในให้ลุกโชนราวกับราดน้ำมันลงบนกองไฟ ปทุมถันอวบใหญ่ล้นมือไปตามง่ามนิ้วตามแรงบีบเคล้นที่กำลังกระเพื่อมไปตามแรงกระแทก ล่อสายตาให้เขาเข้าเชยชมยอดอกสีหวานนั้นอย่างช่วยไม่ได้ จ๊วบๆๆ ปากหนาครอบลงบนยอดถันที่แข็งชูชันเป็นไต ลิ้นร้ายกวาดเลียพลางขบเม้มราวกับดูดนมแม่ก็ไม่ปาน แต่ดูเหมือนว่าแรงดูดนั้นจะมีมากจนก่อให้เกิดเสียงดังจ๊วบจ๊าบในขณะลิ้มรสเต้างาม พลั่บๆๆ “อิ๊ส์ พะ พี่คิณณ์ขา หนูจะ...” ลัลน์อดกลั้นเสียงจนใบหน้าหวานนั้นแดงก่ำ พยายามเปล่งเสียงออกมาแต่ก็ไม่อาจเอ่ยให้จบประโยคได้ ใบหน้าบิดเบี้ยวตามเพลิงอารมณ์พิศวาสกลับยิ่งกระตุ้นอารมณ์ให้คนตัวโตแทงเข้าสุดออกสุดอย่างรัวเร็ว “ว้ายย” เมื่ออารมณ์ของหญิงสาวใกล้จะถึงฝั่งฝัน คิณณ์โอบร่างบางขึ้นมาจากเตียงแรงกระแทกไม่มีตก ลัลน์หวีดร้องขึ้นอย่างตกใจสองแขนโอบรัดรอบคอแกร่ง ขาโอบรัดสะโพกสอบไว้แน่นกันตก ในจังหวะที่ตัวเธอตกลงมาลำเอ็นยักษ์แทงสวนขึ้นไปทำให้หญิงสาวร่างกระตุกน้ำสีใสอาบไล้ทั่วลำลึงค์ “อ๊าส์ อ๊าส์” ท่อนเอ็นยักษ์มุดจ้วงชนปากมดลูกหญิงสาวจนร่างกายสั่นระริกไร้เรี่ยวแรง กลับกันแล้วคนตัวโตกับยังคงซอยกระหน่ำเข้าช่องทางคับแคบ สาวเท้าเดินไปทั่วห้องยิ่งทำให้คนตัวเล็กตาเหลือกค้างร้องครวญครางดังกว่าเดิมอย่างกลั้นไม่อยู่ “ซี้ดด เมียจ๋า” เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบข้างใบหูขาว ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบซอกคอขาวผ่องจนลัลน์เนื้อตัวสั่นระริก บดเบียดริมฝีปากอิ่มอย่างร้อนแรงเมื่อตนเสียวกระสันใกล้สวรรค์รำไร แรงกระแทกสวนขึ้นมาหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม โถมแรงทั้งหมดใส่คนน้องไม่มีถนอม สันกรามขึ้นชัดเมื่อชายหนุ่มขบกรามตนแน่น ก่อนจะระเบิดน้ำร้อนสีขาวขุ่นขลักเขาโพงนุ่มที่ตอดรัดถี่ยิบเสร็จพร้อมกับเขา ร่างกายทั้งสองชาวาบไปทั้งตัวราวกับกระแสไฟแล่นผ่านเส้นประสาทของคนทั้งสอง เสียงลมหายใจหอบกระเส่าของชายหญิงสองคนยังคงดังสอดประสานกันเป็นจังหวะ ราวกับบทเพลงที่บรรเลงด้วยความปรารถนา ภายในห้องนอนกว้างขวางที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำกลับไม่ได้ช่วยดับเพลิงสวาทที่ยังคงลุกโชนและแผดเผาอยู่ภายในร่างของทั้งสองที่ยังคงลุกโชนตลอดทั้งคืนทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกันภายในคอนโดของคิณณ์มานานถึงสามเดือนเต็ม ช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยความสุขที่ค่อยๆ สานสายใยระหว่างพวกเขาให้แน่นแฟ้นขึ้น แต่เมื่อการสอบของลัลน์สิ้นสุดลงทางบ้านก็ตามตัวเธอกลับจนเธอไม่อาจปฏิเสธได้ ทำให้หญิงสาวต้องจำใจเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อเดินทางกลับบ้าน ร่างบางนั่งพับเสื้อผ้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง ใจห่อเหี่ยวกับความจริงที่ว่าเธอจะไม่ได้เจอคนรักเป็นเวลาหลายเดือน ความคิดคำนึงถึงระยะห่างที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้เธอกังวลจนเก็บไว้ไม่อยู่ "หนูไปกันค่ะ" เสียงทุ้มนุ่มของคิณณ์ดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่เดินเข้ามาในห้อง สีหน้าและท่าทีของเขาดูสดใสจนผิดวิสัย เหมือนว่าเรื่องการจากลาครั้งนี้ไม่มีผลกระทบใดๆ ลัลน์ที่นั่งอยู่บนพื้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเบะปาก น้ำตารื้นขอบตาอย่างไม่อาจเก็บความน้อยใจไว้ได้อีก "พี่ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือคะ จะไปส่งหนูท่าเดียว" หญิงสาวเอ่ยเสียงเครือในลำคอ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยใจ คิณณ์ชะงักกึก เขาหยุดยืนนิ่งอยู่กลางห้อง สายตาจับจ้องไปที่แผ่นหลังบางของคนตัวเล็กที่ยังคงนั่งพับเสื้อผ้าอยู่บนเตียง เสื้อผ้าที่เคยกระจัดกระจายอยู่ในตู้ของเขาตลอดสามเดือนที่ผ่าน
รถหรูสีดำเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลเข้ามายังบริเวณบ้านเรือนไทยหลังงาม ตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางแมกไม้หลากหลายชนิด เส้นทางที่ทอดยาวผ่านเขตไร่พาณิชยกิจเต็มไปด้วยความร่มรื่น ความสงบของธรรมชาติและกลิ่นหอมอ่อนของดินหลังฝนตก ทำให้บรรยากาศยิ่งน่าประทับใจ โดยเฉพาะสำหรับคนเมืองกรุงที่ไม่ค่อยได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ โฮ่ง! โฮ่ง! เสียงสุนัขเห่าก้องดังขึ้นทันทีที่รถคันใหญ่ปรากฏตัว บรรดาหมาฝูงเล็กที่อยู่ในลานบ้านวิ่งกรูกันมาที่ประตูรั้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและท่าทีระแวดระวัง ราวกับกำลังปกป้องถิ่นฐานของตนเองจากผู้มาเยือน “บ้านหนูร่มรื่นมากเลยนะ” “สนใจมาอยู่ไหมคะท่านคิณณ์” ลัลน์เอ่ยสัพยอกพลางเหลือบมองสีหน้าคนรักที่ดูเหมือนหลงเสน่ห์ธรรมชาติในชนบทเข้าแล้ว “เลี้ยงพี่ไหมคะ” คิณณ์ยิ้มมุมปาก ตอบกลับด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “เดี๋ยวให้พ่อหนูเลี้ยงด้วยลำแข้งแทนดีไหมคะ” ยกคิ้วทิ้งท้ายคำพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “หยอกเล่นแค่นี้ต้องเอาพ่อมาขู่” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ เขยิบตัวเข้ามาใกล้ ก่อนใช้นิ้วดีดหน้าผากคนตัวเล็กอย่างหยอกล้อ “ก็หนูกลัวพี่ไม่กลัวอะไรนี่คะ” หญิงสาวหัวเราะคิกคักย่นจมูกใส่อย่างน่าร
“ไม่ต้องพิสูจน์ ฉันไม่อนุญาต!” พงษ์ทวีเอ่ยปฏิเสธเสียงเข้ม น้ำเสียงแข็งกร้าวของเขาทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันทันที ไม่มีช่องว่างให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้เอ่ยคำใดโต้กลับ “คุณน้าครับ ผมจริงจังกับลัลน์นะครับ ผมไม่ได้อยากทิ้งขว้างอะไรลูกคุณน้าเลย ผมแค่อยากดูแลเธอตลอดไปเท่านั้น” คิณณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงความอ่อนน้อม ทำให้พงษ์ทวีเงียบไปดวงตาคมจ้องมองชายหนุ่มนิ่งงัน ราวกับพยายามอ่านความนัยในคำพูดเหล่านั้น แต่ท่าทีของเขายังคงตึงเครียด “พ่อคะ หนูรักพี่คิณณ์จริงๆนะคะพ่อ” ลัลน์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือปนความเว้าวอน จ้องมองพ่อด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทั้งหวังให้เขาเข้าใจและยอมเปิดใจสักครั้ง “ลูกน่ะรักเขาพ่อรู้ แต่เขาน่ะรักลูกเหมือนที่ลูกรักเขาไหม” “รักสิคะ ที่ผ่านมาพี่เขาดูแลหนูมาตลอด ทั้งเรื่องฝึกงานและการสอบ พี่เขาช่วยเหลือหนูทุกอย่างเลยนะคะ” “แกจะบอกสิ่งที่เขาทำแค่นั้นคือเขารักแกแล้วงั้นเหรอ” พงษ์ทวีขมวดคิ้วเข้ม จ้องมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “ยามเจ็บป่วยพี่เขาก็ดูแลหนูนะคะพ่อ” หญิงสาวเขยิบตัวไปนั่งใกล้ๆพ่อของตน พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนมาให้ “งั้นเขาเคยพาล
“แค่นี้ก็ลุกมากินเองไม่เป็นรึไง” พงษ์ทวีอดกระแนะกระแหนชายหนุ่มกำยำตรงหน้าไม่ได้ “ขอโทษด้วยครับ” ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบโต้อะไรไปนอกเสียจากขอโทษผู้ใหญ่ที่ทำให้ต้องรอเสียมากกว่า คำขอโทษของเขามีความจริงใจ ไม่ใช่เพียงเพราะมารยาท แต่เพราะเขารู้สึกผิดจริงที่ทำให้พ่อของลัลน์ต้องรอ ตามปกติทุกวันเขาเป็นคนตื่นเช้าเสมอ ทว่าค่ำคืนที่ผ่านมากว่าที่เขาจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบย่ำรุ่ง จึงไม่แปลกที่วันนี้เขาจะตื่นสายจนผิดวิสัย “ไม่เป็นไรหรอก แม่ก็พึ่งทำกับข้าวเสร็จเองไม่ช้าไปหรอก” มุกลดาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเอ็นดูช่วยปลอบใจว่าที่ลูกเขยคนนี้ “มาค่ะพี่คิณณ์ ข้าวต้มฝีมือคุณแม่อร่อยไม่แพ้เมื่อวานเลยนะคะ” หญิงสาวอวดสรรพคุณโชว์ฝีมือแม่เสร็จสรรพพร้อมฉีกยิ้มอย่างน่ารักให้คนข้างกาย “อวดเหมือนตัวเองทำเลยนะ” “พี่คิณณ์อ่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว” คนน้องสะบัดหน้าหนีอย่างน่าเอ็นดู ตักข้าวต้มปลาร้อนๆ เข้าปากอย่างแง่งอน พลางทำเป็นไม่สนใจคนตัวโตข้างกาย คิณณ์มองหญิงสาวตักข้าวเข้าปากด้วยสายตาเอ็นดู อดยิ้มบางๆ กับท่าทางน่ารักของเธอไม่ได้ ก่อนจะจับช้อนคนข้าวในชามของตัวเองให้เย็นลง แล้
กว่าคิณณ์จะเลื่อยไผ่เสร็จและช่วยคนงานขนขึ้นรถก็เป็นเวลาเย็นย่ำพอดี แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันสาดส่องลอดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่ ที่ใต้ร่มเงานั้นมีหญิงสาวคนรักของเขายืนส่งยิ้มหวานให้กำลังใจไม่ห่าง ชายหนุ่มที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นไม้รีบปรี่ตรงไปหาคนน้องทันทีเมื่อเสร็จงาน “ทานน้ำหวานสักหน่อยนะคะ” ลัลน์ส่งแก้วน้ำแดงเย็นชื่นใจให้เขาทันที แต่คิณณ์กลับยกมือหนากุมมือนุ่มนิ่มของเธอไว้ พร้อมป้อนเข้าปากตัวเองอย่างอารมณ์ดี “น้ำหวานเหมือนเมียพี่เลย” เขายิ้มกริ่มหยอกล้อ ทำให้คนตรงหน้าเขินจนต้องหลบสายตา ใบหน้าเนียนขึ้นสีระเรื่อก่อนจะก้มหน้างุดไปกับคำหวานของคนรัก “เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ พี่คงเหนียวตัวแย่” ลัลน์พูดรัวเร็วราวกับจะหาทางเปลี่ยนเรื่อง ก่อนรีบชวนเขากลับบ้านโดยไม่รอฟังคำตอบ คิณณ์ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่เดินหนีเขาไปยืนรออยู่ที่รถ ดวงตาคมทอดมองด้วยสายตาเอ็นดูและอบอุ่น ก่อนจะก้าวขาตามเธอไปเงียบๆ วันนี้ทั้งเหนื่อยล้าและร่างกายเมื่อยล้ามาทั้งวัน เขาก็หวังเพียงให้มีเรื่องดีๆ ที่ช่วยเติมเต็มหัวใจเขาสักหน่อย เมื่อถึงบ้านหนุ่มสาวสองคนขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา เสียงหมาในบ้านเห่าเตือนใน
เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้วที่คิณณ์เทียวไปมาระหว่างที่ทำงานกับบ้านของลัลน์จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ทุกวันศุกร์เขาจะขับรถมาบ้านลัลน์และกลับไปในเช้าวันจันทร์ เขายังคงรับหน้าที่ช่วยงานในสวนตามปกติ เพราะครอบครัวของลัลน์ทำสวนหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก หรือพืชไร่ ทำให้เขาได้เรียนรู้งานใหม่ๆ พลอยสนุกไปด้วย สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลานี้คือ คิณณ์ไม่ได้พักที่กระท่อมท้ายสวนอีกต่อไป เขาได้ย้ายขึ้นมานอนในบ้านของครอบครัวลัลน์แล้ว วันนี้เขาเข้าสวนมะพร้าวเพื่อทำการเก็บเกี่ยวมะพร้าวน้ำหอม คิณณ์ทำการใช้ตะขอสอยทะลายมะพร้าวให้ลงกับร่องคูน้ำที่ขุดไว้เพื่อลดความเสียหายจากการกระแทกอีกทั้งยังทุ่นแรงในการขนย้ายด้วย “เดี๋ยวนี้ทำคล่องเชียวนะครับ” ลุงสมชัยซึ่งคอยสอนงานเขาเอ่ยแซวเมื่อเห็นว่าที่ลูกเขยนายของตนขยันขันแข็งหัวไวเช่นนี้ “คนเราต้องมีพัฒนาบ้างครับ” คิณณ์ยกยิ้มรับคำชมของลุงสมชัย ขณะวางตะขอลงแล้วใช้ผ้าขนหนูที่พาดไหล่เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้า "ดีครับดี อย่างนี้สิถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งลูกเขยนายหัว" ลุงสมชัยหัวเราะเสียงดัง พลางตบไหล่คิณณ์เบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “น้ำเย็นๆมาแล้วค่า” เสียง
เมื่อมาถึงคอนโดของชายหนุ่ม เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสามทุ่ม การจราจรที่ติดขัดทำให้ทั้งสองทำได้เพียงสั่งอาหารมากินแทนการออกไปทานข้างนอก หญิงสาวใช้ปลายนิ้วบรรจงแกะเนื้อปลานิลทอดออกจากก้างอย่างประณีต ก่อนวางลงบนจานของชายหนุ่มพลางเอ่ยเสียงใส“ปลานิลทอดอร่อยดีนะคะพี่คิณณ์” “หนูชอบก็กินเยอะๆสิคะ” คิณณ์ละสายตาจากจานอาหาร มองคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน“ของดีต้องแบ่งกันชิมสิคะ” รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความสุข“ถ้าอย่างนั้นเราต้องผลัดกันชิมแล้วล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมพราวระยับอย่างสื่อความหมาย“เหนื่อยขนาดนี้ยังมีแรงหื่นอีกหรือคะ”“พี่อดมาสามเดือนแล้วนะคนดี” เสียงทุ้มเอ่ยอ้อน พลางส่งสายตาเว้าวอน คนน้องหน้าแดงซ่าน รีบตักข้าวใส่ปากเหมือนตั้งใจจะกลบเกลื่อนความรู้สึก แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เขายิ่งจ้องเธอไม่วางตา“ทานข้าวค่ะ พูดเรื่องนั้นเวลาทานข้าวได้ยังไงคะ”“พี่พูดได้ทุกตอนเลยนะ ไม่กินข้าวแล้วทำตอนนี้ยังได้เลย” เขากระซิบหยอกเสียงพร่า แต่ยังไม่ทันจะขยับเข้าใกล้ คนตัวเล็กก็ส่งสายตาดุมาให้ราวกับเตือนว่าอย่าคิดลองดี ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
คืนวันผันผ่าน ลัลน์เริ่มต้นเข้าเรียนที่เน พร้อมเตรียมสอบตั๋วทนายควบคู่ไปด้วย แต่กระนั้น เธอก็ยังคงพักอยู่กับคิณณ์เช่นเดิม กิจวัตรประจำวันของทั้งสองไม่เปลี่ยนแปลง ในยามเช้า ชายหนุ่มจะเป็นผู้ไปส่งเธอ ส่วนยามเย็น เขาก็ไปรับเธอกลับ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาราวกับเป็นความเคยชินที่อบอุ่นเช้าวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันก่อน ๆ คิณณ์ขับรถมาส่งลัลน์ที่เนตามปกติ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะก้าวลงจากรถ เธอหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มซุกซน ก่อนยกนิ้วเรียวยาวแตะที่แก้มสากของเขาเป็นเชิงบอกใบ้“ที่รัก ลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ?”ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มบางจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า ขณะที่ลัลน์โน้มตัวเข้าไปใกล้ จรดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา สูดดมกลิ่นอายอันแสนคุ้นเคย“ขับรถดี ๆ ตั้งใจทำงานนะคะ” เธอกระซิบเบา ๆ ราวกับจะส่งมอบพลังใจให้เขาตลอดทั้งวัน“ตั้งใจเรียนนะคะ เรียนไม่ไหวก็นอนเลย” คิณณ์หัวเราะในลำคอ ก่อนเอื้อมมือไปลูบศีรษะคนรักเบา ๆ“นี่คือคำแนะนำของผู้พิพากษางั้นหรือคะ” หญิงสาวเบ้ปาก ขยับถอยเล็กน้อยก่อนเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจ“ถ้าไม่มีสมาธิจะเรียนสู้ไปหลับให้สมองปลอดโปร่งไม่ดีกว่าเหรอ”“จะเก็บคำแนะนำนี
ภายใต้แสงแดดยามเช้าอ่อน ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกพุดซ้อนลอยล่องไปตามสายลม อากาศแจ่มใสเป็นใจให้กับฤกษ์งามยามดี คิณณ์ในชุดสูทสีครีมเข้าชุดกับกางเกงขายาว ผมถูกเซตขึ้นอย่างประณีต ยิ่งขับให้บุคลิกดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มแห่งความสุข มือหนากอบกุมพานธูปเทียนแพไว้แน่นขณะก้าวเดินนำขบวนขันหมากไปยังบ้านเรือนไทยของเจ้าสาวเสียงดนตรีบรรเลงแห่ขันหมากดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นและรอยยิ้มแห่งความยินดี ไอย์ลดาและวินตรัยก้าวตามลูกชายมาอย่างสง่างามเตรียมพร้อมสำหรับค่าผ่านทางของประตูเงินประตูทอง ซึ่งมีหนูนาและรินทร์ในชุดไทยห่มสไบสีชมพูกลีบบัว ยืนรอเป็นด่านแรก“จะผ่านด่านนี้ได้เจ้าบ่าวต้องตะโกนบอกรักเจ้าสาวนะคะ ยิ่งดังมากแสดงว่ารักมาก” รินทร์เอ่ยเสียงทะเล้น ดวงตาพราวระยับ ในเมื่อนี่คือโอกาสเธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสแกล้งพี่ชายในวันสำคัญของเขาอย่างเต็มที่!“ยัยรินทร์ให้มันน้อยๆหน่อย” เสียงลอดไรฟันเอ่ยกระซิบน้องสาวที่แกล้งเขาไม่เข้าเรื่อง“ทำสิคะเจ้าบ่าวหรือไม่รักเจ้าสาว” รินทร์หาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจยั่วโมโห“แกรับเงินไปแล้วปล่อยพี่เข้าไปเดี๋ยวนี้!”“ไม
“หนูคะเดี๋ยววันนี้ไปบ้านพี่กันนะ” คิณณ์ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังสาละวนกับการเก็บเสื้อผ้าอยู่ “ตอนไหนหรือคะ” ร่างบางถึงชะงักมือ หันไปถามอย่างแปลกใจ“เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วไปเลยค่ะ เดี๋ยวไปค้างที่บ้านพี่เลย”“มัดมือชกเหลือเกินนะคะ”“ฮึๆ ไม่ทำแบบนี้หนูก็บ่ายเบี่ยงอีก”“พี่ไปแต่งตัวเลยค่ะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะรอนาน” หญิงสาวรีบไล่คนพี่ที่ยังคงเปลือยอก สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว อวดมัดกล้ามแน่นที่เจ้าตัวตั้งใจฟิตมาเป็นอย่างดี ลัลน์เผลอมองเพียงครู่ก่อนจะเบือนหน้าหนี ภาพล่อตาล่อใจแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเธอเลย“หนูเก็บของไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่รีบอาบแล้วเราไปบ้านกัน” คำว่าบ้านทำให้คนน้องหัวใจพองโต ทั้งหวั่นเกรงเมื่อต้องไปบ้านคนรักพบเจอพ่อแม่ของเขา ถึงแม้เธอจะเจอพ่อแม่ของเขาแล้วก็ตามแต่นั่นก็เพียงชั่วครู่ไม่ถึงวัน อีกทั้งวันนี้เธอต้องไปบ้านของเขาอีกต่างหากหญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านที่พักนี้มักจะก่อตัวขึ้นได้ง่ายเหลือเกิน ก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นด้วยใจสั่นไหว พลางเงยหน้ามองนาฬิการอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อแม่ของคิณณ์อีกครั้งเมื่อรถหรูเคลื่อ
1 ปีผ่านไปลัลน์เรียนจบเนติบัณฑิตและได้ใบอนุญาตว่าความมาภายในหนึ่งปีสร้างความภาคภูมิใจให้ทั้งครอบครัวของหญิงสาว และแน่นอนว่าคนคอยติวคอยดูแลตลอดมาภาคภูมิใจในเมียเด็กของเขาเป็นอย่างยิ่ง ทุกความสำเร็จของตัวเล็กมีเขาอยู่เคียงข้างเธอเสมอแต่ความสงบไม่อาจคงอยู่ได้นานปัญหาเข้ามาแทรกแซง คิณณ์นั้นถึงเวลาย้ายเวียนศาลไปจังหวัดอื่นซึ่งความกังวลของเขานั้น คือเขาคงไปมาระหว่างที่ทำงานกับคอนโดได้ยากเป็นเหตุให้เขาต้องห่างจากคนรัก ความกังวลที่ก่อตัวทำให้เขาเริ่มคิดถึงอนาคตของเธอมากขึ้น และสุดท้ายจึงตัดสินใจถามออกไป“หนูว่าหนูจะไปทำอะไรต่อหลังเรียนจบนะคะ”“หนูจะไปเก็บคดี แล้วเตรียมสอบผู้ช่วยต่อค่ะ”“อ้องั้นเหรอ” คิณณ์ตอบรับเสียงเรียบ แต่แววตากลับดูเคร่งเครียดจนลัลน์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม“มีอะไรหรือเปล่าคะ”“พี่ต้องย้ายศาลน่ะ คราวนี้พี่ต้องไปประจำที่ศาลพิจิตร”“ย้ายศาลงั้นหรือคะ” เสียงหวานแผ่วลงจนแทบกลืนหายไปในลำคอ“อืม พี่คงต้องไปอยู่ที่นั่นสักระยะอาจมาหาเราได้น้อยลง”ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศทันที ลัลน์เม้มริมฝีปากแน่น เธอเข้าใจดีว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา หน้าที่ที่เขาต้องทำตลอดและสิ่งนี้คือความฝันของเข
คืนวันผันผ่าน ลัลน์เริ่มต้นเข้าเรียนที่เน พร้อมเตรียมสอบตั๋วทนายควบคู่ไปด้วย แต่กระนั้น เธอก็ยังคงพักอยู่กับคิณณ์เช่นเดิม กิจวัตรประจำวันของทั้งสองไม่เปลี่ยนแปลง ในยามเช้า ชายหนุ่มจะเป็นผู้ไปส่งเธอ ส่วนยามเย็น เขาก็ไปรับเธอกลับ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาราวกับเป็นความเคยชินที่อบอุ่นเช้าวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันก่อน ๆ คิณณ์ขับรถมาส่งลัลน์ที่เนตามปกติ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะก้าวลงจากรถ เธอหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มซุกซน ก่อนยกนิ้วเรียวยาวแตะที่แก้มสากของเขาเป็นเชิงบอกใบ้“ที่รัก ลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ?”ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มบางจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า ขณะที่ลัลน์โน้มตัวเข้าไปใกล้ จรดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา สูดดมกลิ่นอายอันแสนคุ้นเคย“ขับรถดี ๆ ตั้งใจทำงานนะคะ” เธอกระซิบเบา ๆ ราวกับจะส่งมอบพลังใจให้เขาตลอดทั้งวัน“ตั้งใจเรียนนะคะ เรียนไม่ไหวก็นอนเลย” คิณณ์หัวเราะในลำคอ ก่อนเอื้อมมือไปลูบศีรษะคนรักเบา ๆ“นี่คือคำแนะนำของผู้พิพากษางั้นหรือคะ” หญิงสาวเบ้ปาก ขยับถอยเล็กน้อยก่อนเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจ“ถ้าไม่มีสมาธิจะเรียนสู้ไปหลับให้สมองปลอดโปร่งไม่ดีกว่าเหรอ”“จะเก็บคำแนะนำนี
เมื่อมาถึงคอนโดของชายหนุ่ม เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสามทุ่ม การจราจรที่ติดขัดทำให้ทั้งสองทำได้เพียงสั่งอาหารมากินแทนการออกไปทานข้างนอก หญิงสาวใช้ปลายนิ้วบรรจงแกะเนื้อปลานิลทอดออกจากก้างอย่างประณีต ก่อนวางลงบนจานของชายหนุ่มพลางเอ่ยเสียงใส“ปลานิลทอดอร่อยดีนะคะพี่คิณณ์” “หนูชอบก็กินเยอะๆสิคะ” คิณณ์ละสายตาจากจานอาหาร มองคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน“ของดีต้องแบ่งกันชิมสิคะ” รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความสุข“ถ้าอย่างนั้นเราต้องผลัดกันชิมแล้วล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมพราวระยับอย่างสื่อความหมาย“เหนื่อยขนาดนี้ยังมีแรงหื่นอีกหรือคะ”“พี่อดมาสามเดือนแล้วนะคนดี” เสียงทุ้มเอ่ยอ้อน พลางส่งสายตาเว้าวอน คนน้องหน้าแดงซ่าน รีบตักข้าวใส่ปากเหมือนตั้งใจจะกลบเกลื่อนความรู้สึก แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เขายิ่งจ้องเธอไม่วางตา“ทานข้าวค่ะ พูดเรื่องนั้นเวลาทานข้าวได้ยังไงคะ”“พี่พูดได้ทุกตอนเลยนะ ไม่กินข้าวแล้วทำตอนนี้ยังได้เลย” เขากระซิบหยอกเสียงพร่า แต่ยังไม่ทันจะขยับเข้าใกล้ คนตัวเล็กก็ส่งสายตาดุมาให้ราวกับเตือนว่าอย่าคิดลองดี ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้วที่คิณณ์เทียวไปมาระหว่างที่ทำงานกับบ้านของลัลน์จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ทุกวันศุกร์เขาจะขับรถมาบ้านลัลน์และกลับไปในเช้าวันจันทร์ เขายังคงรับหน้าที่ช่วยงานในสวนตามปกติ เพราะครอบครัวของลัลน์ทำสวนหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก หรือพืชไร่ ทำให้เขาได้เรียนรู้งานใหม่ๆ พลอยสนุกไปด้วย สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลานี้คือ คิณณ์ไม่ได้พักที่กระท่อมท้ายสวนอีกต่อไป เขาได้ย้ายขึ้นมานอนในบ้านของครอบครัวลัลน์แล้ว วันนี้เขาเข้าสวนมะพร้าวเพื่อทำการเก็บเกี่ยวมะพร้าวน้ำหอม คิณณ์ทำการใช้ตะขอสอยทะลายมะพร้าวให้ลงกับร่องคูน้ำที่ขุดไว้เพื่อลดความเสียหายจากการกระแทกอีกทั้งยังทุ่นแรงในการขนย้ายด้วย “เดี๋ยวนี้ทำคล่องเชียวนะครับ” ลุงสมชัยซึ่งคอยสอนงานเขาเอ่ยแซวเมื่อเห็นว่าที่ลูกเขยนายของตนขยันขันแข็งหัวไวเช่นนี้ “คนเราต้องมีพัฒนาบ้างครับ” คิณณ์ยกยิ้มรับคำชมของลุงสมชัย ขณะวางตะขอลงแล้วใช้ผ้าขนหนูที่พาดไหล่เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้า "ดีครับดี อย่างนี้สิถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งลูกเขยนายหัว" ลุงสมชัยหัวเราะเสียงดัง พลางตบไหล่คิณณ์เบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “น้ำเย็นๆมาแล้วค่า” เสียง
กว่าคิณณ์จะเลื่อยไผ่เสร็จและช่วยคนงานขนขึ้นรถก็เป็นเวลาเย็นย่ำพอดี แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันสาดส่องลอดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่ ที่ใต้ร่มเงานั้นมีหญิงสาวคนรักของเขายืนส่งยิ้มหวานให้กำลังใจไม่ห่าง ชายหนุ่มที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นไม้รีบปรี่ตรงไปหาคนน้องทันทีเมื่อเสร็จงาน “ทานน้ำหวานสักหน่อยนะคะ” ลัลน์ส่งแก้วน้ำแดงเย็นชื่นใจให้เขาทันที แต่คิณณ์กลับยกมือหนากุมมือนุ่มนิ่มของเธอไว้ พร้อมป้อนเข้าปากตัวเองอย่างอารมณ์ดี “น้ำหวานเหมือนเมียพี่เลย” เขายิ้มกริ่มหยอกล้อ ทำให้คนตรงหน้าเขินจนต้องหลบสายตา ใบหน้าเนียนขึ้นสีระเรื่อก่อนจะก้มหน้างุดไปกับคำหวานของคนรัก “เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ พี่คงเหนียวตัวแย่” ลัลน์พูดรัวเร็วราวกับจะหาทางเปลี่ยนเรื่อง ก่อนรีบชวนเขากลับบ้านโดยไม่รอฟังคำตอบ คิณณ์ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่เดินหนีเขาไปยืนรออยู่ที่รถ ดวงตาคมทอดมองด้วยสายตาเอ็นดูและอบอุ่น ก่อนจะก้าวขาตามเธอไปเงียบๆ วันนี้ทั้งเหนื่อยล้าและร่างกายเมื่อยล้ามาทั้งวัน เขาก็หวังเพียงให้มีเรื่องดีๆ ที่ช่วยเติมเต็มหัวใจเขาสักหน่อย เมื่อถึงบ้านหนุ่มสาวสองคนขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา เสียงหมาในบ้านเห่าเตือนใน
“แค่นี้ก็ลุกมากินเองไม่เป็นรึไง” พงษ์ทวีอดกระแนะกระแหนชายหนุ่มกำยำตรงหน้าไม่ได้ “ขอโทษด้วยครับ” ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบโต้อะไรไปนอกเสียจากขอโทษผู้ใหญ่ที่ทำให้ต้องรอเสียมากกว่า คำขอโทษของเขามีความจริงใจ ไม่ใช่เพียงเพราะมารยาท แต่เพราะเขารู้สึกผิดจริงที่ทำให้พ่อของลัลน์ต้องรอ ตามปกติทุกวันเขาเป็นคนตื่นเช้าเสมอ ทว่าค่ำคืนที่ผ่านมากว่าที่เขาจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบย่ำรุ่ง จึงไม่แปลกที่วันนี้เขาจะตื่นสายจนผิดวิสัย “ไม่เป็นไรหรอก แม่ก็พึ่งทำกับข้าวเสร็จเองไม่ช้าไปหรอก” มุกลดาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเอ็นดูช่วยปลอบใจว่าที่ลูกเขยคนนี้ “มาค่ะพี่คิณณ์ ข้าวต้มฝีมือคุณแม่อร่อยไม่แพ้เมื่อวานเลยนะคะ” หญิงสาวอวดสรรพคุณโชว์ฝีมือแม่เสร็จสรรพพร้อมฉีกยิ้มอย่างน่ารักให้คนข้างกาย “อวดเหมือนตัวเองทำเลยนะ” “พี่คิณณ์อ่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว” คนน้องสะบัดหน้าหนีอย่างน่าเอ็นดู ตักข้าวต้มปลาร้อนๆ เข้าปากอย่างแง่งอน พลางทำเป็นไม่สนใจคนตัวโตข้างกาย คิณณ์มองหญิงสาวตักข้าวเข้าปากด้วยสายตาเอ็นดู อดยิ้มบางๆ กับท่าทางน่ารักของเธอไม่ได้ ก่อนจะจับช้อนคนข้าวในชามของตัวเองให้เย็นลง แล้
“ไม่ต้องพิสูจน์ ฉันไม่อนุญาต!” พงษ์ทวีเอ่ยปฏิเสธเสียงเข้ม น้ำเสียงแข็งกร้าวของเขาทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันทันที ไม่มีช่องว่างให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้เอ่ยคำใดโต้กลับ “คุณน้าครับ ผมจริงจังกับลัลน์นะครับ ผมไม่ได้อยากทิ้งขว้างอะไรลูกคุณน้าเลย ผมแค่อยากดูแลเธอตลอดไปเท่านั้น” คิณณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงความอ่อนน้อม ทำให้พงษ์ทวีเงียบไปดวงตาคมจ้องมองชายหนุ่มนิ่งงัน ราวกับพยายามอ่านความนัยในคำพูดเหล่านั้น แต่ท่าทีของเขายังคงตึงเครียด “พ่อคะ หนูรักพี่คิณณ์จริงๆนะคะพ่อ” ลัลน์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือปนความเว้าวอน จ้องมองพ่อด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทั้งหวังให้เขาเข้าใจและยอมเปิดใจสักครั้ง “ลูกน่ะรักเขาพ่อรู้ แต่เขาน่ะรักลูกเหมือนที่ลูกรักเขาไหม” “รักสิคะ ที่ผ่านมาพี่เขาดูแลหนูมาตลอด ทั้งเรื่องฝึกงานและการสอบ พี่เขาช่วยเหลือหนูทุกอย่างเลยนะคะ” “แกจะบอกสิ่งที่เขาทำแค่นั้นคือเขารักแกแล้วงั้นเหรอ” พงษ์ทวีขมวดคิ้วเข้ม จ้องมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “ยามเจ็บป่วยพี่เขาก็ดูแลหนูนะคะพ่อ” หญิงสาวเขยิบตัวไปนั่งใกล้ๆพ่อของตน พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนมาให้ “งั้นเขาเคยพาล