“อ้าว พี่คิณณ์มาได้ไงคะ” ลัลน์ยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นไปหาคนรัก ความน้อยใจที่สะสมมาตลอดวันมลายหายไปในพริบตาเมื่อเห็นหน้าเขา
“ทำไมถึงมานั่งกินกับมัน” คิณณ์เอ่ยเสียงต่ำขณะขมวดคิ้วมองหญิงสาว น้ำเสียงที่ลอดไรฟันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ใครคะ พี่เจษงั้นเหรอ” ลัลน์เอ่ยอย่างงุนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม เธอไม่เข้าใจว่าเขาโกรธอะไร จะว่าหึงที่เธอมานั่งกับผู้ชายคนอื่นก็ไม่น่าใช่ เพราะคนที่นั่งด้วยคือเพื่อนสนิทของเขาเองมิใช่หรือ “มึงใจเย็น เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว วันนี้วันเกิดเมียมึงอย่าทำให้เป็นเรื่องเลย” เจษฎากระซิบเสียงเบา พลางดึงแขนคิณณ์ที่ดูเหมือนจะระเบิดอารมณ์อยู่รอมร่อ คิณณ์ยังคงขบฟันแน่น กรามขึ้นเป็นสันชัดเจน แววตาเย็นชาจ้องตรงไปยังคณาภัทรที่นั่งอยู่ตรงข้าม สายตานั้นราวกับจะส่งคำเตือนไปในตัว ลัลน์ที่อยู่ในเหตุการณ์รับรู้ถึงความตึงเครียดในทันที เห็นดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าคนรักเธอกับอัยการหนุ่มคนนี้คงไม่ถูกกันเสียแล้ว เธอพยายามฝืนยิ้มและขยับตัวเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา มือหนาของคิณณ์ก็กอบกุมมือเธอไว้แน่นก่อนจะจูงไปนั่งบนโต๊ะทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไหนว่าเข้าเวรไงคะ” ลัลน์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกึ่งสงสัยกึ่งแปลกใจ “หลอกเด็กแถวนี้เฉยๆน่ะ แต่กว่าจะเคลียร์งานเสร็จเลยมาช้าไปนิด” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พลางจัดเตรียมถ้วยชามพร้อมหมูย่างให้คนรักของเธอ “กินเสร็จมึงไปเอาของขวัญเมียมึงที่รถกูด้วย” เจษฎาที่นั่งอยู่ไม่ไกลมองภาพนั้นก่อนจะเอ่ยขัดอย่างไม่จริงจังนัก “ขนซื้ออะไรให้เมียกูอีก” คิณณ์หันไปมองเพื่อนด้วยคิ้วขมวด “มึงอย่าว่าอย่างนี้ ทั้งสำนักงานเขาก็ให้กันหมด” พูดพลางยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “แต่ว่าพี่เจษให้ตัวใหญ่มากเลยนะคะ” เสียงของหญิงสาวเหมือนจุดฉนวนอารมณ์ให้ปะทุไม่อย่างตั้งใจ “มึงซื้อตุ๊กตาให้เมียกู?” “ก็เมียมึงชอบ กูไม่รู้จะซื้อออะไรให้” เจษฎายักคิ้วตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “เมียกูเป็นภูมิแพ้ มึงก็ขยันสรรหา” คิณณ์พูดพลางถอนหายใจ แต่สายตายังคงจับจ้องเจษฎาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “แต่หนูชอบนะคะ” ลัลน์ยิ้มหวานพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส พลางทำตาโตจ้องคิณณ์ตาแป๋วอย่างอ้อนวอน ทำเอาคิณณ์ส่ายหน้าอย่างจำยอม “ลัลน์แกก็อย่าลืมไปเอาของขวัญที่รถของฉันนะ” หนูนาเองที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ให้อะไรเหรอ” หญิงสาวเอียงคอถามอย่างสงสัย ดวงตาเป็นประกายด้วยความอยากรู้ “เปิดดูเอาสิ เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์หรอก” “เชอะ” ลัลน์ทำหน้ามู่ทู่เมื่อเพื่อนสาวไม่ยอมเฉลย ปล่อยให้เธอคาใจ “กินเยอะๆ” คิณณ์รับบททำหน้าที่ย่างหมูและผักวางใส่จานของคนตัวเล็กข้างกายไม่หยุด ทำให้ลัลน์ยิ้มแก้มปริอย่างมีความสุขกับการดูแลที่อบอุ่นของคนรัก ในขณะที่บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คณาภัทรกลับนิ่งเงียบ อาการอึ้งงันของเขาทำให้ดูเหมือนแปลกแยกจากกลุ่มไปโดยปริยาย ราวกับทุกสิ่งรอบตัวเขาถูกปิดเสียงลง “กลับดีๆนะหนูนา” หลังจากทุกคนอิ่มหนำสำราญ ลัลน์เอ่ยบอกลาครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกย้ายกันกลับ “จ้า ลัลน์ก็เหมือนกันนะสุขสันต์วันเกิด” หนูนาหันมาอวยพรด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับคณาภัทรเนื่องจากทั้งสองติดรถมาด้วยกัน หญิงสาวหันกลับมาพบว่าคิณณ์คนรักของเธอกำลังมองตามคณาภัทรด้วยสายตาแข็งกร้าว เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ขณะที่เจษฎาเองก็ไม่ต่างกัน เขายืนนิ่ง สีหน้าแสดงถึงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ "พี่คิณณ์..." ลัลน์เรียกเบาๆ เพื่อเตือนสติ แต่คนรักยังคงไม่ละสายตาจากทางที่คณาภัทรเดินไป "มึงจะจ้องให้มันพรุนหรือไง" เจษฎาพูดพร้อมกับเหลือบมองคิณณ์ที่ยังคงจับจ้องไปทางเดิม สีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด แต่ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ตอบ สูดลมหายใจลึกข่มอารมณ์เอาไว้ “พวกพี่ไม่ชอบอัยการคณาภัทรหรือคะ” “คู่อริเก่าเลยล่ะ” เจษฎาละสายตามามองใบหน้าสาวรุ่นน้องที่คิ้วผูกกันจนแทบเป็นโบว์ "เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?" ลัลน์มองหน้าคิณณ์และเจษฎาสลับกันด้วยความสับสน “ไม่ใช่อริพี่หรอก อริเก่าไอ้คิณณ์มันโน่น แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะเป็นอริกับพี่ด้วย” ว่าพลางยักไหล่อย่างไม่หยีระอะไร “ไร้สาระ” เสียงเรียบเย็นเอ่ยออกมาหลังจากนิ่งมานาน “ขอบพระคุณพี่เจษนะคะสำหรับทุกอย่าง” ลัลน์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มเล็กๆ และเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัด “พี่ก็คงไม่ได้เจอหน้าเราแล้วงั้นสิ” ว่าแล้วพลางยื่นตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่ส่งให้เพื่อนรักถือไว้ จนตุ๊กตานั้นเล็กลงถนัดตา และยังขัดกับบุคลิกอันเยือกเย็นของเขาที่ใบหน้าติดเคร่งขรึมกลับตัดกันอย่างสิ้นเชิงกับตุ๊กตาน่ารักในมือ จนลัลน์เผลอหลุดขำออกมา “หัวเราะอะไร” คิณณ์เลิกคิ้วถาม “เปล่าค่ะ แค่คิดว่าพี่คิณณ์กับตุ๊กตานี่ดูน่ารักดี” คิณณ์ถอนหายใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม ส่วนเจษฎาแอบหัวเราะขำในใจที่เห็นภาพนั้น “หนูว่าคงต้องเจอกันแหละค่ะ ไว้ฝึกงานตอนตั๋วทนายจะมาขอฝากตัวอีกครั้งนะคะ” “ยินดีต้อนรับเสมอ พี่ไปก่อน ไปล่ะมึง” เจษฎายิ้มพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงใจ ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้คิณณ์ “เออ” “เดินทางปลอดภัยนะคะ” เจษฎาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินไปขึ้นรถ ทิ้งให้ลัลน์กับคิณณ์ยืนอยู่ด้วยกัน “เราไปกันเถอะ” เอ่ยพร้อมจูงมือคนตัวเล็กไปด้วยท่าทางเคร่งขรึม ภายในรถเงียบงันจนลัลน์รู้สึกอึดอัดใจ ความนิ่งของคิณณ์ทำให้เธอเริ่มไม่สบายใจ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบ “พี่คิณณ์คะ พี่ไม่พอใจอะไรหนูหรือเปล่า” เธอเอ่ยเสียงเบา พลางเหลือบมองสีหน้าของคนรักที่ตอนนี้สายตาจับจ้องอยู่บนท้องถนน “เปล่าหรอก” ชายหนุ่มตอบสั้น ๆ แต่เสียงของเขานั้นนิ่งจนยากจะจับความรู้สึก “งั้นพี่เป็นอะไรก็บอกหนูสิ” “ต่อไปนี้อย่าไปยุ่งกับไอ้แดนอีกนะ” เสียงแอร์กำลังทำงานดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน “แดนไหนคะ หรือพี่หมายถึงอัยการคณาภัทร” นั่งนึกชั่วครู่จนนึกออกว่าเขาเคยเป็นเพื่อนเก่าของคนรัก แต่ตอนนั้นเธอรู้แค่เพียงชื่อเล่นเท่านั้น “อืม” ชายหนุ่มรับคำในลำคอสั้นๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาอบอุ่นหัวใจเมื่อคนรักของเขาเลื่อนมือมากุมมือเขาที่ว่างอยู่ พร้อมส่งสายตาหนักแน่นที่ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ “พี่คิณณ์ไม่ต้องห่วงว่าจะซ้ำรอยเดิมนะคะ เพราะหนูรักพี่มาก อีกอย่างดูเหมือนเขาพยายามจีบหนูนาอยู่” “อืมดีแล้ว” “พี่ไม่อยากจะเคลียร์ใจกับเขาหน่อยหรือคะ ดูเขาอยากคุยกับพี่มากแต่ไม่กล้า” หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นอย่างลังเลด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แค่นี้ยังไม่มีกล้า จะมีปัญญามาคุยอะไรกับพี่ได้” คนตัวโตแค่นหัวเราะในลำคอ ลัลน์ได้แต่มองสีหน้าของเขาและรู้ว่าเรื่องราวระหว่างเขาและคณาภัทรคงเป็นเรื่องใหญ่ที่ฝังลึกเกินกว่าจะคลี่คลายได้ง่ายๆ เธอไม่คิดจะกดดันเขาอีก เพราะเข้าใจว่าความเจ็บปวดในอดีตนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาที่เธอไม่อาจแทรกแซง เธอทำได้เพียงจับมือเขาไว้แน่นขึ้น เป็นการบอกให้รู้ว่าเธอจะอยู่ข้างเขาเสมอ ไม่ว่าความขัดแย้งในอดีตจะยังคงอยู่หรือไม่ก็ตาม หญิงสาวในชุดคลุมอาบน้ำเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างสบายอารมณ์ ขณะเช็ดผมที่ยังเปียกหมาด ทุกท่วงท่าของเธอตกอยู่ภายใต้สายตาคมเข้มของชายหนุ่มเจ้าของห้อง เขามองเธอด้วยความรักและอ่อนโยน ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบไดร์เป่าผมมาช่วยเธอ ลัลน์มองภาพคนรักที่กำลังเป่าผมให้เธอด้วยความตั้งใจ บรรจงเป่าผมให้เธออย่างทนุถนอม สายตาเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย รอยยิ้มอบอุ่นของเขาทำให้เธออดยิ้มตามไม่ได้ เธอไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะได้พบใครสักคนที่ดีขนาดนี้ เมื่อเส้นผมแห้งสนิท ชายหนุ่มดึงคนตัวเล็กเข้ามาในอ้อมกอดอบอุ่น ก้มหน้าลงจุมพิตเบาๆ ที่ศีรษะของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน “สุขสันต์วันเกิดนะครับเด็กน้อยของพี่” “หนูนึกว่าพี่ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ” ลัลน์เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจและซึ้งใจ “พี่ก็กะจะเซอไพรซ์เรานั่นล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาบนใบหน้าเธอ “งั้นเหรอคะ แล้วไหนของขวัญของหนู” หญิงสาวดันตัวออกจากอ้อมอกแกร่งของเขา เงยหน้าสบตาอย่างคาดคั้น ทำให้ชายหนุ่มหลุดยิ้มออกมา “ตัวพี่ไง เดี๋ยวผูกโบว์ให้หนูกินทั้งคืนเลย” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา “โรคจิต ผีลามกเข้าสิงหรือคะ” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ใบหน้าหวานเปลี่ยนสีแดงจางๆ ก่อนจะตีแขนแกร่งของเขาเบาๆ “มันอยู่ในสายเลือด” “เชอะ ไม่ได้เตรียมก็บอก” เธอเบ้ปากเล็กน้อย ทำท่าจะเดินหนี “พี่เตรียมไว้แล้ว อ่ะนี่ในอนาคตสัญญานะว่าจะแต่งงานกับพี่” คนพี่รีบคว้าแขนเด็กขี้งอนไว้ ก่อนจะล้วงบางสิ่งออกมาจากด้านหลัง เป็นช่อดอกไม้เล็กๆ ที่มีการ์ดใบจิ๋วแนบอยู่ ส่งให้เธอด้วยแววตาจริงจัง “พี่ขอหนูหมั้น?” คนน้องรับมาด้วยความงุนงง ก่อนจะถามเสียงเบา “ใช่สิ เห็นว่าพี่ขายดอกไม้?” ชายหนุ่มยังคงเอ่ยหน้าตายราวกับตอบตามความจริง แต่หากสังเกตดีแล้วๆ มุมปากของเขากลับยกขึ้นเล็กน้อย “แต่ดอกไม้ช่อเล็กนี่นะคะของหมั้น” “เรียนของหมั้นมาว่ายังไง” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนจะถามกลับ “สิ่งของที่ให้เพื่อเป็นสัญญาว่าในอนาคตจะทำการสมรสกัน” ลัลน์ย่นคิ้วครุ่นคิดก่อนตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “แล้วพี่ทำไม่ถูกตรงไหน” “จะหมั้นทั้งทีขอของมีราคาค่างวดหน่อยได้ไหมคะ” เธอเบะปากเบาๆ ก่อนจะประชด “ของหมั้นไม่จำเป็นต้องมีราคานี่ ให้ไว้เป็นหลักฐานก็เพียงพอ” “หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!”“หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!” ลัลน์สะบัดหน้าพรืด ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะเดินหนีคนตัวโตให้พ้นสายตา แต่ยังไม่ทันพ้นแขนยาวของคิณณ์เขาก็เอื้อมมาจับข้อมือเธอไว้ ก่อนจะดึงตัวเธอเบาๆ ให้นั่งลงบนตักของเขา“ฮึๆ พี่ล้อเล่นน่ะตัวเล็ก พี่ขอมอบสิ่งนี้ให้หนูนะ ไว้หนูเรียนเนจบทำตามความฝันของหนูได้แล้วเราค่อยมาแต่งงานกัน” เขาจับมือเรียวของเธอแล้วค่อยๆ สวมแหวนเพชรวงงามเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างมั่นใจ แหวนวงนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ทว่าแววตาของชายหนุ่มที่มองเธอกลับส่องประกายอบอุ่นมากกว่า ก่อนจะคิณณ์ก้มหน้าลงจุมพิตหลังมือบางอย่างแสนรักใคร่และนุ่มนวล ทุกสัมผัสส่งผ่านความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจนลัลน์เบะปากเล็กน้อย แม้พยายามจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ความอบอุ่นและความรักที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้เธออดไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่ทันรู้ตัว เธอโผเข้ากอดเขาเต็มแรง ซบหน้ากับไหล่กว้างของคนรัก“ขอบคุณนะคะพี่คิณณ์ หนูรักพี่ที่สุดเลย” เสียงหวานสั่นเครือออกมาเบาๆ“พี่ก็รักหนูมากเหมือนกัน” คิณณ์กระซิบด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา พร้อมใช้มือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที
ท่ามกลางร่มไม้เขียวขจีข้างริมสระน้ำ ใต้ร่มไม้มีหญิงสาวร่างท้วมคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อน หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาตัวโคร่งใส่กระโปรงพลีทยาวคลุมข้อเท้า ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหนากำลังสอดส่องเหมือนหาใครอยู่ “ลัลน์จ๋าาา ฉันมาแล้วขอโทษนะที่มาช้าพอดีว่าติดธุระ ขอโทษที่ทำให้แกรอนานนะ” สาวเจ้าร่างบางหน้าตาคมสวย ใส่ชุดนักศึกษาวิ่งกระหืดกระหอบพลางตะโกนเรียกหาเพื่อนรักซึ่งกำลังนั่งรออยู่ “หนูนานี่นะตลอดเลย น่าน้อยใจชะมัด” “โอ๋ๆๆๆ ไม่โกรธนะจ๊ะลัลน์จ๋า ทำแก้มป่องๆแบบนี้เดี๋ยวพี่มาร์คจะไม่รักนะ” หนูนากล่าวไปพลางหยิกแก้มลัลน์ไปด้วยความเอ็นดู “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่มาร์คเขาเล่า” ลัลน์ว่าพลางหน้าแดงขวยเขินเมื่อหนูนาเอ่ยถึงแฟนหนุ่มของตน “แหมๆๆ อิจฉาคนรักกันหวานชื่นเนอะ เมื่อไหร่ฟ้าจะส่งผู้ชายหน้าตาดีแบบพี่มาร์คมาให้ฉันซักคนบ้าง” “ไม่ต้องมาทำแซวเลยมาคุยธุระของเรากันดีกว่า เราไปติดต่อกับทางคณะเรื่องฝึกงานแล้ว เห็นว่าให้ส่งเอกสารฝึกงานภายในอาทิตย์หน้า ว่าแต่หนูนาจะไปฝึกสำนักงานอัยการจังหวัดจริงใช่ไหม แกไม่คิดเปลี่ยนใจไปสำนักงานทนายความกั
เมื่อหญิงสาวมาถึงหน้าห้องแฟนหนุ่มแล้วจึงกดรหัสเข้าห้องไปในห้อง แต่เมื่อลัลน์เปิดประตูห้องเข้าไปกลับเจอรองเท้าส้นสูงสีแดงของผู้หญิงวางระเกะระกะ เมื่อไล่สายตาไปตามทางเดินกลับมีเสื้อผ้าชายหญิงที่ถอดทิ้งไว้อย่างไม่ไยดี เสียงเนื้อกระทบเนื้อปนกับเสียงครางของชายหญิงดังลั่นห้อง หญิงสาวกลั้นใจเดินไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อให้เห็นถึงความจริง“อ๊าส์ อ๊าส์ อื้อออ มาร์คขาา อ๊ะส์ ญดาเสียวจังเลย อ๊าส์ๆๆ”พลั่บๆๆๆๆๆ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้อง“ฮึม ซี๊ดดด ตอดอีกดา อืมม แม่งเอามันชิบ”หญิงสาวผมยาวสีทองกำลังขึ้นขี่ขย่มมาร์คอย่างเมามัน ชายหนุ่มครางในลำคอยึดสะโพกญดาแทงเอ็นตอกสวนร่องฉ่ำ ปากจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่มโดยไม่รู้เลยว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญกำลังรับชมหนังสดนี้อยู่“พะ พะ พี่มาร์คคะ” ลัลน์เรียกมาร์คด้วยเสียงอันสั่นเครือ น้ำตาไหลเต็มนองหน้าสาว ทำให้กิจกรรมเข้าจังหวะระหว่างมาร์คกับญดาพลันชะงักลง“ว้ายยย นังบ้าแกเข้ามาในห้องของคนอื่นได้ยังไง ไม่มีมารยาท!!!” ญดากรีดร้องเสียงดัง มือขาวควานหาผ้ามาคลุมร่างกายขาวผ่องไว้“ละ ลัลน์ ” ชายผู้ก่อเรื่องสร้างปัญหาเรียกแฟนสาวของตนเสียงค่อย พลางอ้ำอึ้งน้ำล
ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน “พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!!“ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว“เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็
ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน “พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!!“ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว“เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็
ภายใต้แสงอาทิตย์สีส้มยามพระอาทิตย์อัสดง หญิงสาวผิวขาว ใบหน้าซูบตอบ ดวงตากลมโตยังคงบวมช้ำถึงแม้เวลาจะผ่านมาได้เดือนหนึ่งแล้วก็ตาม เธอก็ยังคงเสียใจกับการโดนทิ้งนั้นอยู่ ลัลน์ซึ่งนอนพักอยู่ในคอนโดของหนูนา สายตาเหม่อยลอยออกไปยังหน้าต่าง จ้องมองแสงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าเห็นเพียงแต่แสงสีส้มด้วยจิตใจเศร้าหมอง เมื่อไหร่กันนะที่เธอจะลืมความรักครั้งนี้ได้คิดแล้วน้ำตาก็เอ่อรื้นที่ขอบตา ก๊อกๆๆๆ เสียงเคาะประตูห้องพลันดึงสติหญิงสาวให้อยู่กับความเป็นจริง แล้วเปล่งเสียงดังเล็กน้อยบอกเพื่อนเธอให้เปิดประตูเข้ามาได้ “ลัลน์จ๋า คืนนี้ไปเปิดหูเปิดตากันหน่อยไหม เขาว่าอกหักต้องใช้เหล้าย้อมใจนะ” หนูนาวิ่งถลามาที่เตียง แล้วเอ่ยปากชวนเพื่อนไปเที่ยวอย่างออดอ้อนพร้อมกับเอาหน้าถือแขนลัลน์พลางทำตาปริบๆ ให้เพื่อนเอ็นดู “พาเพื่อนไปย้อมใจหรืออยากไปเที่ยวเองคะ” ลัลน์พูดดักคอหนูนาอย่างรู้ทัน “ก็แหมม อยากไปเที่ยวด้วยแล้วก็อยากพาลัลน์ไปด้วย นะๆลัลน์นะ ไปด้วยกันนะๆๆ” หนูนาทำหน้าตาอ้อนเพื่อนอย่างสุดฤทธิ์หวังว่าเพื่อนจะใจอ่อนยอมไปเที่ยวกับเธอ ที่ชวนลัลน์ไปนั้นเธอก็ไม่ได้หวังให้เพื่อนเธอเมาหัวราน้ำหรือได้ผู้ชายกลับมาหรอ
ท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม หญิงสาวร่างกายอ่อนระทวยเคลิบเคลิ้มไปกับจูบแสนหวานที่ชายหนุ่มเป็นคนชักจูง ลัลน์จูบตอบชายหนุ่มอย่างเงอะงะไม่ประสีประสาแต่กลับเป็นฉนวนปลุกเร้าอารมณ์คิณณ์ได้เป็นอย่างดี ร่างกายสาวสั่นสะท้านแขนแกร่งจึงโอบรอบเอวพลางบีบขยำสะโพกประคองไม่ให้ล้มลง มือหนาขยำหน้าอกที่ใหญ่เกินตัวของลัลน์ชายหนุ่มยังคงตักตวงความหวานจากปากหญิงสาว ร่างบางในอ้อมแขนของคิณณ์ไม่อาจปรับลมหายใจให้ทันกับจุมพิตที่ดูดดื่มราวกับดูดชีวิตของตนไปด้วย หญิงสาวจึงส่งเสียงร้องคราง ทุบอกของชายหนุ่มให้ถอนจูบออกไปเสียที“ต่อไหม?” คิณณ์ถามหญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังหอบสูดอากาศหายใจเข้าปอดอย่างเอ็นดู แต่ทว่าชายหนุ่มไม่รอฟังคำตอบของเธอดันร่างหญิงสาวให้เข้าไปในห้องน้ำแล้วล็อกประตูก่อนที่จะตะโบมจูบเธออีกครั้งชายหนุ่มดันร่างลัลน์ชิดกำแพงแล้วสอดลิ้นร้อนเข้ามาสำรวจภายในโพรงปากหวานอีกครั้ง จูบครั้งนี้ร้อนแรงกว่าในตอนแรก ลิ้นหนาสอดเข้ามาในปากลากเลียสำรวจทั่วปากสาว ดูดดุนลิ้นเล็กอย่างแนบแน่นสลับกับการดูดขบริมฝีปาก มือข้างหนึ่งคิณณ์เลื่อนมาปลดสายชุดเดรสที่คล้องคอลัลน์อย่างง่ายดาย ถลกชุดเดรสลงให้กองใต้ราวนม
เสียงสบถของคิณณ์ทำให้หญิงสาวได้สติออกจากภวังค์อันแสนวาบหวาม ผลักชายหนุ่มออกห่างให้พ้นตัว อีกนิดเดียวเธอเกือบมีความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าสะแล้ว ดวงตากลมโตเบิกถลนเมื่อเห็นลำเอ็นเขื่องขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าข้อมือเสียอีก เขาเป็นลูกครึ่งรึยังไงตรงนั้นถึงได้ใหญ่โตขนาดนี้!!!หญิงสาวพลันเห่อร้อนใบหน้าเมื่อเห็นของสงวนของเขาเต็มตา รีบหันหลังจัดการตนเองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เมื่อลัลน์หันไปแล้วพบว่าชายหนุ่มได้ยัดเก็บเจ้านั่นแล้ว แต่ทว่าตรงเป้ากางเกงแสล็คนั้นยังคงนูนเด่นชัดอยู่"เอ่อ ขะ ขอโทษด้วยนะคะ จบเรื่องกันเพียงเท่านี้แล้วต่างคนต่างแยกย้ายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะคะ" ก้มหน้าหงุดอย่างสำนึกผิดต่อชายหนุ่มตรงหน้าที่เธอไปลวนลามเขาก่อน รีบจ้ำอ้าวเดินออกไปจากห้องน้ำหลีกหนีให้พ้นสถานการณ์น่าอึดอัดนี้"เดี๋ยว" เสียงเย็นเยียบของชายหนุ่มต่างจากเสียงตอนเขากระเซ้าเย้าแหย่เธอที่ดูจะร้อนแรงอบอุ่นราวกับเปลี่ยนไปคนละคน คิณณ์คว้าข้อมือลัลน์ไว้ คิ้วหนาขมวดเป็นปม สายตาคมกริบจ้องมองดวงหน้าหวานซึ้งอย่างจับผิด"ถะ ถือว่าให้มันจบตรงนี้จะดีกว่านะคะ ถ้าคุณไม่ยินยอมหนูคงได้แต่แจ้งความเอาผิดกับคุณ" เมื่อเ
“หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!” ลัลน์สะบัดหน้าพรืด ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะเดินหนีคนตัวโตให้พ้นสายตา แต่ยังไม่ทันพ้นแขนยาวของคิณณ์เขาก็เอื้อมมาจับข้อมือเธอไว้ ก่อนจะดึงตัวเธอเบาๆ ให้นั่งลงบนตักของเขา“ฮึๆ พี่ล้อเล่นน่ะตัวเล็ก พี่ขอมอบสิ่งนี้ให้หนูนะ ไว้หนูเรียนเนจบทำตามความฝันของหนูได้แล้วเราค่อยมาแต่งงานกัน” เขาจับมือเรียวของเธอแล้วค่อยๆ สวมแหวนเพชรวงงามเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างมั่นใจ แหวนวงนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ทว่าแววตาของชายหนุ่มที่มองเธอกลับส่องประกายอบอุ่นมากกว่า ก่อนจะคิณณ์ก้มหน้าลงจุมพิตหลังมือบางอย่างแสนรักใคร่และนุ่มนวล ทุกสัมผัสส่งผ่านความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจนลัลน์เบะปากเล็กน้อย แม้พยายามจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ความอบอุ่นและความรักที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้เธออดไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่ทันรู้ตัว เธอโผเข้ากอดเขาเต็มแรง ซบหน้ากับไหล่กว้างของคนรัก“ขอบคุณนะคะพี่คิณณ์ หนูรักพี่ที่สุดเลย” เสียงหวานสั่นเครือออกมาเบาๆ“พี่ก็รักหนูมากเหมือนกัน” คิณณ์กระซิบด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา พร้อมใช้มือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที
“อ้าว พี่คิณณ์มาได้ไงคะ” ลัลน์ยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นไปหาคนรัก ความน้อยใจที่สะสมมาตลอดวันมลายหายไปในพริบตาเมื่อเห็นหน้าเขา“ทำไมถึงมานั่งกินกับมัน” คิณณ์เอ่ยเสียงต่ำขณะขมวดคิ้วมองหญิงสาว น้ำเสียงที่ลอดไรฟันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ใครคะ พี่เจษงั้นเหรอ” ลัลน์เอ่ยอย่างงุนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม เธอไม่เข้าใจว่าเขาโกรธอะไร จะว่าหึงที่เธอมานั่งกับผู้ชายคนอื่นก็ไม่น่าใช่ เพราะคนที่นั่งด้วยคือเพื่อนสนิทของเขาเองมิใช่หรือ“มึงใจเย็น เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว วันนี้วันเกิดเมียมึงอย่าทำให้เป็นเรื่องเลย” เจษฎากระซิบเสียงเบา พลางดึงแขนคิณณ์ที่ดูเหมือนจะระเบิดอารมณ์อยู่รอมร่อคิณณ์ยังคงขบฟันแน่น กรามขึ้นเป็นสันชัดเจน แววตาเย็นชาจ้องตรงไปยังคณาภัทรที่นั่งอยู่ตรงข้าม สายตานั้นราวกับจะส่งคำเตือนไปในตัว ลัลน์ที่อยู่ในเหตุการณ์รับรู้ถึงความตึงเครียดในทันที เห็นดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าคนรักเธอกับอัยการหนุ่มคนนี้คงไม่ถูกกันเสียแล้ว เธอพยายามฝืนยิ้มและขยับตัวเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา มือหนาของคิณณ์ก็กอบกุมมือเธอไว้แน่นก่อนจะจูงไปนั่งบนโต๊ะทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ไหนว่าเข้าเวรไงคะ” ลัลน์เอ่ยถามด้วยน
ชายสูงวัยเดินออกมาจากคอกพยาน ใบหน้าของเขาแสดงความอ่อนล้าและเศร้าหมอง สายตาของเขากวาดมองไปที่ลูกชายจะปรี่ไปหาลูกชาย ภาพนั้นสะท้อนสู่สายตาของทุกคนในห้องพิจารณาคดี เสียงสะอื้นของชายสูงวัยดังขึ้นทันทีเมื่อเขาถึงตัวลูกชาย แขนทั้งสองข้างของเขาสวมกอดลูกชายแน่นราวกับกลัวว่าจะเสียไปอีกครั้ง น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ขณะที่จำเลยยืนนิ่งเฉยราวกับไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว“แล้วเขาจะฟ้องลูกชายเขาทำไมกัน” ลัลน์ขมวดคิ้วสีหน้าฉายความสับสนและไม่เข้าใจ บ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นคนพ่อร้องไห้วิ่งเข้าไปกอดลูกชาย“อารมณ์ชั่ววูบนั่นแหละ ตอนนั้นคงโมโห ตอนนี้ก็ไม่อยากให้ลูกติดคุกหรอก แต่ทำไงได้ตอนนั้นแจ้งความไปแล้ว เป็นคดีอาญาแผ่นดินอีกเลยต้องปล่อยเลยตามเลย” หนูนากระซิบบอกเพื่อนสาวเมื่อเธอเริ่มงงดังเช่นที่เธอเคยสงสัย“แล้วแค่เงิน 30 บาทนี่นะ ถึงขั้นต้องตีพ่อตัวเองเลยเหรอ” หญิงสาวยังคงจ้องมองภาพชายสูงวัยที่กอดลูกชายทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกหนักใจ ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมพึมพำถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ“คาดเดากันว่าน่าจะเมายาแหละ ไม่งั้นคงไม่มีคนปกติที่ไหนตีพ่อแม่จนบาดเจ็บหนักขนาดนี้” หนูนาหันไปมองเพื่อนสาว ก่อนจะกระซ
ปัง!เมื่อหญิงสาวเปิดประตูเข้ามาเสียงประทัดดังลั่นไปทั่วสำนักงาน ทำให้ลัลน์ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในห้องหยุดชะงัก หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เศษพลาสติกหลากสีปลิวว่อนเต็มอากาศราวกับฝนทำให้ทั้งสำนักงานเลอะเทอะอย่างช่วยไม่ได้“เฮ้! สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะลัลน์!” เสียงทักดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างจากพี่ๆทั้งสาม ตรงกลางห้องมีเนตรนภาเดินถือเค้กวันเกิดเดินตรงเข้ามาหาเธอ น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาของลัลน์อย่างห้ามไม่อยู่ เธอรู้สึกซาบซึ้งใจกับความตั้งใจของพี่ๆ หญิงสาวยืนนิ่งมองเค้กวันเกิดตรงหน้า เค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีมขนาด 2 ปอนด์ ประดับด้วยเฟอร์เรโร รอชเชอร์เรียงรายอย่างสวยงาม และบนยอดเค้กยังมีสตรอว์เบอร์รีสดสีแดงเพิ่มความหรูหรายืนมองเค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีม “เป่าสิลัลน์ ก็อย่าลืมอธิษฐานด้วยล่ะ” กุลธิดาเมื่อเห็นน้องเล็กยืนนิ่ง เพลงจบแล้วก็ยังไม่เป่าเค้กเสียที เนตรนภาส่งเค้กให้นานแล้วจนกล้ามจะขึ้นจึงเอ่ยเตือนให้หญิงสาวเป่าเค้ก“ขอบพระคุณพี่ๆมากเลยนะคะ ไม่เห็นต้องลำบากกันเลย” ลัลน์หลุดจากภวังค์ ยิ้มบางๆ ก้มหน้าเป่าเทียนบนเค้กที่พี่ๆเตรียมมาให้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้ม
การอยู่ที่คอนโดของคิณณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลัลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ห้องที่เคยดูเรียบง่ายและเป็นระเบียบตามสไตล์ชายหนุ่ม กลับมีสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาวแทรกซึมอยู่ทุกมุมอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอใช้ประจำเติมเต็มบรรยากาศในห้องให้ดูอบอุ่นและสดใส ตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่ที่เธอนำมาตั้งไว้บนเตียงนอน กลายเป็นความคุ้นเคยที่เจ้าของไม่อาจปฏิเสธได้ในห้องน้ำที่เคยมีแค่ของใช้พื้นฐาน กลับมีชุดขวดแชมพูและครีมนวดกลิ่นหวานวางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่ผ้าเช็ดตัวที่เธอเลือกใช้ยังเป็นสีพาสเทลที่แตกต่างจากโทนสีเข้มเรียบง่ายของเขาลัลน์ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องนอน แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบเส้นผมสีดำดัดลอนคลาย ๆ ที่จัดทรงอย่างมีวอลลุ่ม ผมของเธอถูกรวบครึ่งหัวอย่างเรียบร้อย ติดโบน่ารักสีขาวที่เพิ่มความสดใสให้ใบหน้าหวานซึ้งที่ดูเปล่งประกาย ใบหน้าหวานซึ้งที่เคยดูซูบซีดจากความทุกข์ใจในอดีต บัดนี้กลับเปล่งปลั่งสดใส พวงแก้มใสที่เคยตอบแห้งกลับอิ่มเอิบจนดูน่าหยิก ร่างกายมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชุดนักศึกษาที่กระชับพอดีตัว จนเผยให้เห็นความอวบอิ่มเกินตัว กระโปรงทรงเอ
“ถ้าหนูอยาก หนูควบมันเลยค่ะ”สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหู ความนุ่มนวลของคำพูดเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่กลับทิ้งร่องรอยไว้ให้หัวใจเต้นระรัว คำพูดของเขายังคงดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวลัลน์ไม่หยุดราวกับต้องการย้ำเตือนถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ดวงหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นปมอย่างฉงนใจว่าคนรักต้องการจะสื่ออะไร ก่อนที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อสมองเริ่มประมวลผลช้าๆ จนเข้าใจความหมายของคำพูดเขาได้ในที่สุด ใบหน้าสวยหวานที่ปกติขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อร้อนผ่าว แผ่ซ่านไปจนถึงใบหู“หืมม ว่าไงคะไม่อยากลองหรือคะ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหู พร้อมกับลมหายใจร้อนที่ปัดผ่านแก้มเธอเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงคลอเคลีย สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากกายสาวที่ทำให้เขาเหมือนถูกมนตร์สะกดทุกครั้งที่ได้กลิ่น“หนูทำไม่เป็น” ลัลน์ตัวแข็งทื่อ สติที่พยายามรวบรวมเหมือนกำลังละลายหายไปกับความใกล้ชิด เสียงของเธอสั่นไหวและแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์“แค่หนูโยกเอวเหมือนหนูเต้นเอง” ใบหน้าคมคายผละออกมาเล็กน้อยเพียงเพื่อจับจ้องใบหน้าหญิงสาวที่บิดเบี้ยวเพราะแรงเสียวซ่าน เมื่อเขาแกล้งขยับสะโพกกระตุ้นความรู้สึกของเธอ“อ๊ะ
คิณณ์เลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอโดยยืดตัวเอนพิงขอบอ่างในท่าทางสบายๆ แต่ทว่าการมาของเขาทำให้อ่างน้ำที่เคยกว้างพอสำหรับเธอเพียงคนเดียวกลับเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดถนัดตา น้ำในอ่างพลันเอ่อล้นออกมาทันทีที่ร่างกายสูงใหญ่ของชายหนุ่มแทรกตัวลงไป หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วครู่ทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ล่อแหลมนี้ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยอย่างลังเล แล้วค่อยๆ หดขาเรียวของตัวเองเข้าหากันพร้อมกับกอดเข่าไว้แน่น ราวกับจะสร้างพื้นที่เล็กๆของตัวเองในอ่างน้ำที่ตอนนี้ดูเล็กลงกว่าเดิม เพื่อเปิดทางให้ชายหนุ่มได้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับร่างกายใหญ่โตของเขามากขึ้น แม้ว่าในความเป็นจริง เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้องการพื้นที่สักเท่าไรก็ตามชายหนุ่มเอนตัวอย่างสบายๆ พิงขอบอ่างน้ำ สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามวางแขนทอดบนขอบอ่างราวกับสัตว์กางอาณาเขตดึงดูดให้ลัลน์เผลอจ้องมองตาไม่กระพริบ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจกลับไม่ใช่ท่วงท่าเหล่านั้น หากแต่เป็นสายตาคมดุที่จับจ้องมายังร่างเล็กตรงหน้าสายตาที่หนักแน่นและเร่าร้อน ราวกับนักล่าที่กำลังจดจ้องเหยื่ออันล้ำค่า ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหายที่ไม่คิดจะปิดบัง ราวกับเธอเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องก
ภายใต้แสงไฟสีวอร์มโทนที่ช่วยเติมเต็มความอบอุ่นให้ห้องอาหารที่ยังคงตกแต่งด้วยโทนสีดำซึ่งยังคงเอกลักษณ์ความเย็นชาของคิณณ์ ห้องที่ควรให้บรรยากาศอึมครึมแต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงถึงมืดมนเลยสักนิด กลับกันแล้วอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นอายแห่งความรักที่แผ่ซ่านจากคนทั้งสองบนโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย มีต้มยำทะเลร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ผัดสายบัวที่ดูสดใหม่ ปลาทอดกรอบสีเหลืองทอง แต่อาหารแทบทั้งหมดบนโต๊ะนั้นยังคงวางอยู่อย่างไม่พร่องไปสักนิด เหตุเพราะหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าเขานี้ตักเพียงข้าวต้มถ้วยเล็กที่เขาสั่งเพิ่มมาใหม่เข้าปากเท่านั้น“สั่งมาเยอะแบบนี้พี่จะกินหมดเองหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอดจะเย้าแหย่คนตรงหน้ามิได้ เมื่อเห็นอาหารที่ชายหนุ่มตั้งใจสั่งมให้เธอแต่กลับลืมไปเสียว่าเธอนั้นเจ็บกรามจนไม่สามารถทานของต้องใช้กำลังในการขบเคี้ยวได้“พี่ขอโทษค่ะ ตัวเล็กจะอิ่มไหมกินแต่ข้าวต้ม” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเมื่อคนรักไม่อาจทานของชอบได้“อิ่มสิคะข้าวต้มเยอะขนาดนี้ หนูทายไม่หมดหรอกค่ะ” ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะอยากลองชิมอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะอาหารที่เรียงรายตรงหน้าล้วนเป็นของโปรดของเธอทั้งสิ้
ชายหนุ่มเหลือบมองเห็นปลายสายวางโทรศัพท์คนตัวเล็กของเขากลับนิ่งเงียบทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยิ่งสายตากลมโตของเธอเหม่อลอยไปตามท้องถนนฉายชัดถึงความกังวลใจจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือรู้สึกไม่ดีที่ผิดนัดกับเพื่อน” คิณณ์เอ่ยปากถามไถ่หญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เสียงของหนูนาดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร” น้ำเสียงของเธอแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด ถึงแม้หนูนาจะพยายามปกปิดอย่างไรคนเป็นเพื่อนแบบเธอก็อดกังวลไม่ได้จริงๆ“หนูโทรหาเพื่อนไปคุยให้เคลียร์ดีไหมคะ” ตาคมเหลือบมองหญิงสาวข้างกายพร้อมเอ่ยให้คำแนะนำ ก่อนละสายตากลับมาที่ถนน“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ให้หนูนาอยู่กับตัวเองไปก่อนถ้ายังไม่ดีขึ้นไว้หนูจะไปนอนกับหนูนา” “หนูถามพี่รึยังคะ ว่าพี่จะให้ไปไหม” คนแก่กว่ายกยิ้มมุมปาก ประคองพวงมาลัยขับรถอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ“เราเป็นอะไรกันคะถึงต้องขออนุญาตพี่” คนตัวเล็กเอียงคอมองคนตัวโต ตาเปล่งประกายอย่างหยอกเย้าคนข้างกายถึงแม้ในใจจะรู้คำตอบของคำถามแล้วก็ตาม“เป็นเมียพี่ไงคะ” ไม่ว่าเปล่าดึงมือเรียวมากุมไว้ก่อนจะจุมพิตหลังมือขาวนวลเนียน แววตาคมส่งสายตาหาเด็กน้อย