“อ้าว พี่คิณณ์มาได้ไงคะ” ลัลน์ยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นไปหาคนรัก ความน้อยใจที่สะสมมาตลอดวันมลายหายไปในพริบตาเมื่อเห็นหน้าเขา
“ทำไมถึงมานั่งกินกับมัน” คิณณ์เอ่ยเสียงต่ำขณะขมวดคิ้วมองหญิงสาว น้ำเสียงที่ลอดไรฟันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ใครคะ พี่เจษงั้นเหรอ” ลัลน์เอ่ยอย่างงุนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม เธอไม่เข้าใจว่าเขาโกรธอะไร จะว่าหึงที่เธอมานั่งกับผู้ชายคนอื่นก็ไม่น่าใช่ เพราะคนที่นั่งด้วยคือเพื่อนสนิทของเขาเองมิใช่หรือ “มึงใจเย็น เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว วันนี้วันเกิดเมียมึงอย่าทำให้เป็นเรื่องเลย” เจษฎากระซิบเสียงเบา พลางดึงแขนคิณณ์ที่ดูเหมือนจะระเบิดอารมณ์อยู่รอมร่อ คิณณ์ยังคงขบฟันแน่น กรามขึ้นเป็นสันชัดเจน แววตาเย็นชาจ้องตรงไปยังคณาภัทรที่นั่งอยู่ตรงข้าม สายตานั้นราวกับจะส่งคำเตือนไปในตัว ลัลน์ที่อยู่ในเหตุการณ์รับรู้ถึงความตึงเครียดในทันที เห็นดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าคนรักเธอกับอัยการหนุ่มคนนี้คงไม่ถูกกันเสียแล้ว เธอพยายามฝืนยิ้มและขยับตัวเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา มือหนาของคิณณ์ก็กอบกุมมือเธอไว้แน่นก่อนจะจูงไปนั่งบนโต๊ะทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไหนว่าเข้าเวรไงคะ” ลัลน์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกึ่งสงสัยกึ่งแปลกใจ “หลอกเด็กแถวนี้เฉยๆน่ะ แต่กว่าจะเคลียร์งานเสร็จเลยมาช้าไปนิด” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พลางจัดเตรียมถ้วยชามพร้อมหมูย่างให้คนรักของเธอ “กินเสร็จมึงไปเอาของขวัญเมียมึงที่รถกูด้วย” เจษฎาที่นั่งอยู่ไม่ไกลมองภาพนั้นก่อนจะเอ่ยขัดอย่างไม่จริงจังนัก “ขนซื้ออะไรให้เมียกูอีก” คิณณ์หันไปมองเพื่อนด้วยคิ้วขมวด “มึงอย่าว่าอย่างนี้ ทั้งสำนักงานเขาก็ให้กันหมด” พูดพลางยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “แต่ว่าพี่เจษให้ตัวใหญ่มากเลยนะคะ” เสียงของหญิงสาวเหมือนจุดฉนวนอารมณ์ให้ปะทุไม่อย่างตั้งใจ “มึงซื้อตุ๊กตาให้เมียกู?” “ก็เมียมึงชอบ กูไม่รู้จะซื้อออะไรให้” เจษฎายักคิ้วตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “เมียกูเป็นภูมิแพ้ มึงก็ขยันสรรหา” คิณณ์พูดพลางถอนหายใจ แต่สายตายังคงจับจ้องเจษฎาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “แต่หนูชอบนะคะ” ลัลน์ยิ้มหวานพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส พลางทำตาโตจ้องคิณณ์ตาแป๋วอย่างอ้อนวอน ทำเอาคิณณ์ส่ายหน้าอย่างจำยอม “ลัลน์แกก็อย่าลืมไปเอาของขวัญที่รถของฉันนะ” หนูนาเองที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ให้อะไรเหรอ” หญิงสาวเอียงคอถามอย่างสงสัย ดวงตาเป็นประกายด้วยความอยากรู้ “เปิดดูเอาสิ เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์หรอก” “เชอะ” ลัลน์ทำหน้ามู่ทู่เมื่อเพื่อนสาวไม่ยอมเฉลย ปล่อยให้เธอคาใจ “กินเยอะๆ” คิณณ์รับบททำหน้าที่ย่างหมูและผักวางใส่จานของคนตัวเล็กข้างกายไม่หยุด ทำให้ลัลน์ยิ้มแก้มปริอย่างมีความสุขกับการดูแลที่อบอุ่นของคนรัก ในขณะที่บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คณาภัทรกลับนิ่งเงียบ อาการอึ้งงันของเขาทำให้ดูเหมือนแปลกแยกจากกลุ่มไปโดยปริยาย ราวกับทุกสิ่งรอบตัวเขาถูกปิดเสียงลง “กลับดีๆนะหนูนา” หลังจากทุกคนอิ่มหนำสำราญ ลัลน์เอ่ยบอกลาครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกย้ายกันกลับ “จ้า ลัลน์ก็เหมือนกันนะสุขสันต์วันเกิด” หนูนาหันมาอวยพรด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับคณาภัทรเนื่องจากทั้งสองติดรถมาด้วยกัน หญิงสาวหันกลับมาพบว่าคิณณ์คนรักของเธอกำลังมองตามคณาภัทรด้วยสายตาแข็งกร้าว เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ขณะที่เจษฎาเองก็ไม่ต่างกัน เขายืนนิ่ง สีหน้าแสดงถึงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ "พี่คิณณ์..." ลัลน์เรียกเบาๆ เพื่อเตือนสติ แต่คนรักยังคงไม่ละสายตาจากทางที่คณาภัทรเดินไป "มึงจะจ้องให้มันพรุนหรือไง" เจษฎาพูดพร้อมกับเหลือบมองคิณณ์ที่ยังคงจับจ้องไปทางเดิม สีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด แต่ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ตอบ สูดลมหายใจลึกข่มอารมณ์เอาไว้ “พวกพี่ไม่ชอบอัยการคณาภัทรหรือคะ” “คู่อริเก่าเลยล่ะ” เจษฎาละสายตามามองใบหน้าสาวรุ่นน้องที่คิ้วผูกกันจนแทบเป็นโบว์ "เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?" ลัลน์มองหน้าคิณณ์และเจษฎาสลับกันด้วยความสับสน “ไม่ใช่อริพี่หรอก อริเก่าไอ้คิณณ์มันโน่น แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะเป็นอริกับพี่ด้วย” ว่าพลางยักไหล่อย่างไม่หยีระอะไร “ไร้สาระ” เสียงเรียบเย็นเอ่ยออกมาหลังจากนิ่งมานาน “ขอบพระคุณพี่เจษนะคะสำหรับทุกอย่าง” ลัลน์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มเล็กๆ และเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัด “พี่ก็คงไม่ได้เจอหน้าเราแล้วงั้นสิ” ว่าแล้วพลางยื่นตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่ส่งให้เพื่อนรักถือไว้ จนตุ๊กตานั้นเล็กลงถนัดตา และยังขัดกับบุคลิกอันเยือกเย็นของเขาที่ใบหน้าติดเคร่งขรึมกลับตัดกันอย่างสิ้นเชิงกับตุ๊กตาน่ารักในมือ จนลัลน์เผลอหลุดขำออกมา “หัวเราะอะไร” คิณณ์เลิกคิ้วถาม “เปล่าค่ะ แค่คิดว่าพี่คิณณ์กับตุ๊กตานี่ดูน่ารักดี” คิณณ์ถอนหายใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม ส่วนเจษฎาแอบหัวเราะขำในใจที่เห็นภาพนั้น “หนูว่าคงต้องเจอกันแหละค่ะ ไว้ฝึกงานตอนตั๋วทนายจะมาขอฝากตัวอีกครั้งนะคะ” “ยินดีต้อนรับเสมอ พี่ไปก่อน ไปล่ะมึง” เจษฎายิ้มพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงใจ ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้คิณณ์ “เออ” “เดินทางปลอดภัยนะคะ” เจษฎาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินไปขึ้นรถ ทิ้งให้ลัลน์กับคิณณ์ยืนอยู่ด้วยกัน “เราไปกันเถอะ” เอ่ยพร้อมจูงมือคนตัวเล็กไปด้วยท่าทางเคร่งขรึม ภายในรถเงียบงันจนลัลน์รู้สึกอึดอัดใจ ความนิ่งของคิณณ์ทำให้เธอเริ่มไม่สบายใจ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบ “พี่คิณณ์คะ พี่ไม่พอใจอะไรหนูหรือเปล่า” เธอเอ่ยเสียงเบา พลางเหลือบมองสีหน้าของคนรักที่ตอนนี้สายตาจับจ้องอยู่บนท้องถนน “เปล่าหรอก” ชายหนุ่มตอบสั้น ๆ แต่เสียงของเขานั้นนิ่งจนยากจะจับความรู้สึก “งั้นพี่เป็นอะไรก็บอกหนูสิ” “ต่อไปนี้อย่าไปยุ่งกับไอ้แดนอีกนะ” เสียงแอร์กำลังทำงานดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน “แดนไหนคะ หรือพี่หมายถึงอัยการคณาภัทร” นั่งนึกชั่วครู่จนนึกออกว่าเขาเคยเป็นเพื่อนเก่าของคนรัก แต่ตอนนั้นเธอรู้แค่เพียงชื่อเล่นเท่านั้น “อืม” ชายหนุ่มรับคำในลำคอสั้นๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาอบอุ่นหัวใจเมื่อคนรักของเขาเลื่อนมือมากุมมือเขาที่ว่างอยู่ พร้อมส่งสายตาหนักแน่นที่ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ “พี่คิณณ์ไม่ต้องห่วงว่าจะซ้ำรอยเดิมนะคะ เพราะหนูรักพี่มาก อีกอย่างดูเหมือนเขาพยายามจีบหนูนาอยู่” “อืมดีแล้ว” “พี่ไม่อยากจะเคลียร์ใจกับเขาหน่อยหรือคะ ดูเขาอยากคุยกับพี่มากแต่ไม่กล้า” หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นอย่างลังเลด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แค่นี้ยังไม่มีกล้า จะมีปัญญามาคุยอะไรกับพี่ได้” คนตัวโตแค่นหัวเราะในลำคอ ลัลน์ได้แต่มองสีหน้าของเขาและรู้ว่าเรื่องราวระหว่างเขาและคณาภัทรคงเป็นเรื่องใหญ่ที่ฝังลึกเกินกว่าจะคลี่คลายได้ง่ายๆ เธอไม่คิดจะกดดันเขาอีก เพราะเข้าใจว่าความเจ็บปวดในอดีตนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาที่เธอไม่อาจแทรกแซง เธอทำได้เพียงจับมือเขาไว้แน่นขึ้น เป็นการบอกให้รู้ว่าเธอจะอยู่ข้างเขาเสมอ ไม่ว่าความขัดแย้งในอดีตจะยังคงอยู่หรือไม่ก็ตาม หญิงสาวในชุดคลุมอาบน้ำเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างสบายอารมณ์ ขณะเช็ดผมที่ยังเปียกหมาด ทุกท่วงท่าของเธอตกอยู่ภายใต้สายตาคมเข้มของชายหนุ่มเจ้าของห้อง เขามองเธอด้วยความรักและอ่อนโยน ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบไดร์เป่าผมมาช่วยเธอ ลัลน์มองภาพคนรักที่กำลังเป่าผมให้เธอด้วยความตั้งใจ บรรจงเป่าผมให้เธออย่างทนุถนอม สายตาเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย รอยยิ้มอบอุ่นของเขาทำให้เธออดยิ้มตามไม่ได้ เธอไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะได้พบใครสักคนที่ดีขนาดนี้ เมื่อเส้นผมแห้งสนิท ชายหนุ่มดึงคนตัวเล็กเข้ามาในอ้อมกอดอบอุ่น ก้มหน้าลงจุมพิตเบาๆ ที่ศีรษะของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน “สุขสันต์วันเกิดนะครับเด็กน้อยของพี่” “หนูนึกว่าพี่ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ” ลัลน์เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจและซึ้งใจ “พี่ก็กะจะเซอไพรซ์เรานั่นล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาบนใบหน้าเธอ “งั้นเหรอคะ แล้วไหนของขวัญของหนู” หญิงสาวดันตัวออกจากอ้อมอกแกร่งของเขา เงยหน้าสบตาอย่างคาดคั้น ทำให้ชายหนุ่มหลุดยิ้มออกมา “ตัวพี่ไง เดี๋ยวผูกโบว์ให้หนูกินทั้งคืนเลย” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา “โรคจิต ผีลามกเข้าสิงหรือคะ” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ใบหน้าหวานเปลี่ยนสีแดงจางๆ ก่อนจะตีแขนแกร่งของเขาเบาๆ “มันอยู่ในสายเลือด” “เชอะ ไม่ได้เตรียมก็บอก” เธอเบ้ปากเล็กน้อย ทำท่าจะเดินหนี “พี่เตรียมไว้แล้ว อ่ะนี่ในอนาคตสัญญานะว่าจะแต่งงานกับพี่” คนพี่รีบคว้าแขนเด็กขี้งอนไว้ ก่อนจะล้วงบางสิ่งออกมาจากด้านหลัง เป็นช่อดอกไม้เล็กๆ ที่มีการ์ดใบจิ๋วแนบอยู่ ส่งให้เธอด้วยแววตาจริงจัง “พี่ขอหนูหมั้น?” คนน้องรับมาด้วยความงุนงง ก่อนจะถามเสียงเบา “ใช่สิ เห็นว่าพี่ขายดอกไม้?” ชายหนุ่มยังคงเอ่ยหน้าตายราวกับตอบตามความจริง แต่หากสังเกตดีแล้วๆ มุมปากของเขากลับยกขึ้นเล็กน้อย “แต่ดอกไม้ช่อเล็กนี่นะคะของหมั้น” “เรียนของหมั้นมาว่ายังไง” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนจะถามกลับ “สิ่งของที่ให้เพื่อเป็นสัญญาว่าในอนาคตจะทำการสมรสกัน” ลัลน์ย่นคิ้วครุ่นคิดก่อนตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “แล้วพี่ทำไม่ถูกตรงไหน” “จะหมั้นทั้งทีขอของมีราคาค่างวดหน่อยได้ไหมคะ” เธอเบะปากเบาๆ ก่อนจะประชด “ของหมั้นไม่จำเป็นต้องมีราคานี่ ให้ไว้เป็นหลักฐานก็เพียงพอ” “หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!”“หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!” ลัลน์สะบัดหน้าพรืด ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะเดินหนีคนตัวโตให้พ้นสายตา แต่ยังไม่ทันพ้นแขนยาวของคิณณ์เขาก็เอื้อมมาจับข้อมือเธอไว้ ก่อนจะดึงตัวเธอเบาๆ ให้นั่งลงบนตักของเขา“ฮึๆ พี่ล้อเล่นน่ะตัวเล็ก พี่ขอมอบสิ่งนี้ให้หนูนะ ไว้หนูเรียนเนจบทำตามความฝันของหนูได้แล้วเราค่อยมาแต่งงานกัน” เขาจับมือเรียวของเธอแล้วค่อยๆ สวมแหวนเพชรวงงามเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างมั่นใจ แหวนวงนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ทว่าแววตาของชายหนุ่มที่มองเธอกลับส่องประกายอบอุ่นมากกว่า ก่อนจะคิณณ์ก้มหน้าลงจุมพิตหลังมือบางอย่างแสนรักใคร่และนุ่มนวล ทุกสัมผัสส่งผ่านความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจนลัลน์เบะปากเล็กน้อย แม้พยายามจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ความอบอุ่นและความรักที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้เธออดไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่ทันรู้ตัว เธอโผเข้ากอดเขาเต็มแรง ซบหน้ากับไหล่กว้างของคนรัก“ขอบคุณนะคะพี่คิณณ์ หนูรักพี่ที่สุดเลย” เสียงหวานสั่นเครือออกมาเบาๆ“พี่ก็รักหนูมากเหมือนกัน” คิณณ์กระซิบด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา พร้อมใช้มือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที
ทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกันภายในคอนโดของคิณณ์มานานถึงสามเดือนเต็ม ช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยความสุขที่ค่อยๆ สานสายใยระหว่างพวกเขาให้แน่นแฟ้นขึ้น แต่เมื่อการสอบของลัลน์สิ้นสุดลงทางบ้านก็ตามตัวเธอกลับจนเธอไม่อาจปฏิเสธได้ ทำให้หญิงสาวต้องจำใจเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อเดินทางกลับบ้าน ร่างบางนั่งพับเสื้อผ้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง ใจห่อเหี่ยวกับความจริงที่ว่าเธอจะไม่ได้เจอคนรักเป็นเวลาหลายเดือน ความคิดคำนึงถึงระยะห่างที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้เธอกังวลจนเก็บไว้ไม่อยู่ "หนูไปกันค่ะ" เสียงทุ้มนุ่มของคิณณ์ดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่เดินเข้ามาในห้อง สีหน้าและท่าทีของเขาดูสดใสจนผิดวิสัย เหมือนว่าเรื่องการจากลาครั้งนี้ไม่มีผลกระทบใดๆ ลัลน์ที่นั่งอยู่บนพื้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเบะปาก น้ำตารื้นขอบตาอย่างไม่อาจเก็บความน้อยใจไว้ได้อีก "พี่ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือคะ จะไปส่งหนูท่าเดียว" หญิงสาวเอ่ยเสียงเครือในลำคอ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยใจ คิณณ์ชะงักกึก เขาหยุดยืนนิ่งอยู่กลางห้อง สายตาจับจ้องไปที่แผ่นหลังบางของคนตัวเล็กที่ยังคงนั่งพับเสื้อผ้าอยู่บนเตียง เสื้อผ้าที่เคยกระจัดกระจายอยู่ในตู้ของเขาตลอดสามเดือนที่ผ่าน
รถหรูสีดำเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลเข้ามายังบริเวณบ้านเรือนไทยหลังงาม ตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางแมกไม้หลากหลายชนิด เส้นทางที่ทอดยาวผ่านเขตไร่พาณิชยกิจเต็มไปด้วยความร่มรื่น ความสงบของธรรมชาติและกลิ่นหอมอ่อนของดินหลังฝนตก ทำให้บรรยากาศยิ่งน่าประทับใจ โดยเฉพาะสำหรับคนเมืองกรุงที่ไม่ค่อยได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ โฮ่ง! โฮ่ง! เสียงสุนัขเห่าก้องดังขึ้นทันทีที่รถคันใหญ่ปรากฏตัว บรรดาหมาฝูงเล็กที่อยู่ในลานบ้านวิ่งกรูกันมาที่ประตูรั้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและท่าทีระแวดระวัง ราวกับกำลังปกป้องถิ่นฐานของตนเองจากผู้มาเยือน “บ้านหนูร่มรื่นมากเลยนะ” “สนใจมาอยู่ไหมคะท่านคิณณ์” ลัลน์เอ่ยสัพยอกพลางเหลือบมองสีหน้าคนรักที่ดูเหมือนหลงเสน่ห์ธรรมชาติในชนบทเข้าแล้ว “เลี้ยงพี่ไหมคะ” คิณณ์ยิ้มมุมปาก ตอบกลับด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “เดี๋ยวให้พ่อหนูเลี้ยงด้วยลำแข้งแทนดีไหมคะ” ยกคิ้วทิ้งท้ายคำพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “หยอกเล่นแค่นี้ต้องเอาพ่อมาขู่” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ เขยิบตัวเข้ามาใกล้ ก่อนใช้นิ้วดีดหน้าผากคนตัวเล็กอย่างหยอกล้อ “ก็หนูกลัวพี่ไม่กลัวอะไรนี่คะ” หญิงสาวหัวเราะคิกคักย่นจมูกใส่อย่างน่าร
“ไม่ต้องพิสูจน์ ฉันไม่อนุญาต!” พงษ์ทวีเอ่ยปฏิเสธเสียงเข้ม น้ำเสียงแข็งกร้าวของเขาทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันทันที ไม่มีช่องว่างให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้เอ่ยคำใดโต้กลับ “คุณน้าครับ ผมจริงจังกับลัลน์นะครับ ผมไม่ได้อยากทิ้งขว้างอะไรลูกคุณน้าเลย ผมแค่อยากดูแลเธอตลอดไปเท่านั้น” คิณณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงความอ่อนน้อม ทำให้พงษ์ทวีเงียบไปดวงตาคมจ้องมองชายหนุ่มนิ่งงัน ราวกับพยายามอ่านความนัยในคำพูดเหล่านั้น แต่ท่าทีของเขายังคงตึงเครียด “พ่อคะ หนูรักพี่คิณณ์จริงๆนะคะพ่อ” ลัลน์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือปนความเว้าวอน จ้องมองพ่อด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทั้งหวังให้เขาเข้าใจและยอมเปิดใจสักครั้ง “ลูกน่ะรักเขาพ่อรู้ แต่เขาน่ะรักลูกเหมือนที่ลูกรักเขาไหม” “รักสิคะ ที่ผ่านมาพี่เขาดูแลหนูมาตลอด ทั้งเรื่องฝึกงานและการสอบ พี่เขาช่วยเหลือหนูทุกอย่างเลยนะคะ” “แกจะบอกสิ่งที่เขาทำแค่นั้นคือเขารักแกแล้วงั้นเหรอ” พงษ์ทวีขมวดคิ้วเข้ม จ้องมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “ยามเจ็บป่วยพี่เขาก็ดูแลหนูนะคะพ่อ” หญิงสาวเขยิบตัวไปนั่งใกล้ๆพ่อของตน พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนมาให้ “งั้นเขาเคยพาล
“แค่นี้ก็ลุกมากินเองไม่เป็นรึไง” พงษ์ทวีอดกระแนะกระแหนชายหนุ่มกำยำตรงหน้าไม่ได้ “ขอโทษด้วยครับ” ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบโต้อะไรไปนอกเสียจากขอโทษผู้ใหญ่ที่ทำให้ต้องรอเสียมากกว่า คำขอโทษของเขามีความจริงใจ ไม่ใช่เพียงเพราะมารยาท แต่เพราะเขารู้สึกผิดจริงที่ทำให้พ่อของลัลน์ต้องรอ ตามปกติทุกวันเขาเป็นคนตื่นเช้าเสมอ ทว่าค่ำคืนที่ผ่านมากว่าที่เขาจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบย่ำรุ่ง จึงไม่แปลกที่วันนี้เขาจะตื่นสายจนผิดวิสัย “ไม่เป็นไรหรอก แม่ก็พึ่งทำกับข้าวเสร็จเองไม่ช้าไปหรอก” มุกลดาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเอ็นดูช่วยปลอบใจว่าที่ลูกเขยคนนี้ “มาค่ะพี่คิณณ์ ข้าวต้มฝีมือคุณแม่อร่อยไม่แพ้เมื่อวานเลยนะคะ” หญิงสาวอวดสรรพคุณโชว์ฝีมือแม่เสร็จสรรพพร้อมฉีกยิ้มอย่างน่ารักให้คนข้างกาย “อวดเหมือนตัวเองทำเลยนะ” “พี่คิณณ์อ่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว” คนน้องสะบัดหน้าหนีอย่างน่าเอ็นดู ตักข้าวต้มปลาร้อนๆ เข้าปากอย่างแง่งอน พลางทำเป็นไม่สนใจคนตัวโตข้างกาย คิณณ์มองหญิงสาวตักข้าวเข้าปากด้วยสายตาเอ็นดู อดยิ้มบางๆ กับท่าทางน่ารักของเธอไม่ได้ ก่อนจะจับช้อนคนข้าวในชามของตัวเองให้เย็นลง แล้
กว่าคิณณ์จะเลื่อยไผ่เสร็จและช่วยคนงานขนขึ้นรถก็เป็นเวลาเย็นย่ำพอดี แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันสาดส่องลอดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่ ที่ใต้ร่มเงานั้นมีหญิงสาวคนรักของเขายืนส่งยิ้มหวานให้กำลังใจไม่ห่าง ชายหนุ่มที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นไม้รีบปรี่ตรงไปหาคนน้องทันทีเมื่อเสร็จงาน “ทานน้ำหวานสักหน่อยนะคะ” ลัลน์ส่งแก้วน้ำแดงเย็นชื่นใจให้เขาทันที แต่คิณณ์กลับยกมือหนากุมมือนุ่มนิ่มของเธอไว้ พร้อมป้อนเข้าปากตัวเองอย่างอารมณ์ดี “น้ำหวานเหมือนเมียพี่เลย” เขายิ้มกริ่มหยอกล้อ ทำให้คนตรงหน้าเขินจนต้องหลบสายตา ใบหน้าเนียนขึ้นสีระเรื่อก่อนจะก้มหน้างุดไปกับคำหวานของคนรัก “เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ พี่คงเหนียวตัวแย่” ลัลน์พูดรัวเร็วราวกับจะหาทางเปลี่ยนเรื่อง ก่อนรีบชวนเขากลับบ้านโดยไม่รอฟังคำตอบ คิณณ์ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่เดินหนีเขาไปยืนรออยู่ที่รถ ดวงตาคมทอดมองด้วยสายตาเอ็นดูและอบอุ่น ก่อนจะก้าวขาตามเธอไปเงียบๆ วันนี้ทั้งเหนื่อยล้าและร่างกายเมื่อยล้ามาทั้งวัน เขาก็หวังเพียงให้มีเรื่องดีๆ ที่ช่วยเติมเต็มหัวใจเขาสักหน่อย เมื่อถึงบ้านหนุ่มสาวสองคนขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา เสียงหมาในบ้านเห่าเตือนใน
เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้วที่คิณณ์เทียวไปมาระหว่างที่ทำงานกับบ้านของลัลน์จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ทุกวันศุกร์เขาจะขับรถมาบ้านลัลน์และกลับไปในเช้าวันจันทร์ เขายังคงรับหน้าที่ช่วยงานในสวนตามปกติ เพราะครอบครัวของลัลน์ทำสวนหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก หรือพืชไร่ ทำให้เขาได้เรียนรู้งานใหม่ๆ พลอยสนุกไปด้วย สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลานี้คือ คิณณ์ไม่ได้พักที่กระท่อมท้ายสวนอีกต่อไป เขาได้ย้ายขึ้นมานอนในบ้านของครอบครัวลัลน์แล้ว วันนี้เขาเข้าสวนมะพร้าวเพื่อทำการเก็บเกี่ยวมะพร้าวน้ำหอม คิณณ์ทำการใช้ตะขอสอยทะลายมะพร้าวให้ลงกับร่องคูน้ำที่ขุดไว้เพื่อลดความเสียหายจากการกระแทกอีกทั้งยังทุ่นแรงในการขนย้ายด้วย “เดี๋ยวนี้ทำคล่องเชียวนะครับ” ลุงสมชัยซึ่งคอยสอนงานเขาเอ่ยแซวเมื่อเห็นว่าที่ลูกเขยนายของตนขยันขันแข็งหัวไวเช่นนี้ “คนเราต้องมีพัฒนาบ้างครับ” คิณณ์ยกยิ้มรับคำชมของลุงสมชัย ขณะวางตะขอลงแล้วใช้ผ้าขนหนูที่พาดไหล่เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้า "ดีครับดี อย่างนี้สิถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งลูกเขยนายหัว" ลุงสมชัยหัวเราะเสียงดัง พลางตบไหล่คิณณ์เบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “น้ำเย็นๆมาแล้วค่า” เสียง
เมื่อมาถึงคอนโดของชายหนุ่ม เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสามทุ่ม การจราจรที่ติดขัดทำให้ทั้งสองทำได้เพียงสั่งอาหารมากินแทนการออกไปทานข้างนอก หญิงสาวใช้ปลายนิ้วบรรจงแกะเนื้อปลานิลทอดออกจากก้างอย่างประณีต ก่อนวางลงบนจานของชายหนุ่มพลางเอ่ยเสียงใส“ปลานิลทอดอร่อยดีนะคะพี่คิณณ์” “หนูชอบก็กินเยอะๆสิคะ” คิณณ์ละสายตาจากจานอาหาร มองคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน“ของดีต้องแบ่งกันชิมสิคะ” รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความสุข“ถ้าอย่างนั้นเราต้องผลัดกันชิมแล้วล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมพราวระยับอย่างสื่อความหมาย“เหนื่อยขนาดนี้ยังมีแรงหื่นอีกหรือคะ”“พี่อดมาสามเดือนแล้วนะคนดี” เสียงทุ้มเอ่ยอ้อน พลางส่งสายตาเว้าวอน คนน้องหน้าแดงซ่าน รีบตักข้าวใส่ปากเหมือนตั้งใจจะกลบเกลื่อนความรู้สึก แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เขายิ่งจ้องเธอไม่วางตา“ทานข้าวค่ะ พูดเรื่องนั้นเวลาทานข้าวได้ยังไงคะ”“พี่พูดได้ทุกตอนเลยนะ ไม่กินข้าวแล้วทำตอนนี้ยังได้เลย” เขากระซิบหยอกเสียงพร่า แต่ยังไม่ทันจะขยับเข้าใกล้ คนตัวเล็กก็ส่งสายตาดุมาให้ราวกับเตือนว่าอย่าคิดลองดี ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
ภายใต้แสงแดดยามเช้าอ่อน ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกพุดซ้อนลอยล่องไปตามสายลม อากาศแจ่มใสเป็นใจให้กับฤกษ์งามยามดี คิณณ์ในชุดสูทสีครีมเข้าชุดกับกางเกงขายาว ผมถูกเซตขึ้นอย่างประณีต ยิ่งขับให้บุคลิกดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มแห่งความสุข มือหนากอบกุมพานธูปเทียนแพไว้แน่นขณะก้าวเดินนำขบวนขันหมากไปยังบ้านเรือนไทยของเจ้าสาวเสียงดนตรีบรรเลงแห่ขันหมากดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นและรอยยิ้มแห่งความยินดี ไอย์ลดาและวินตรัยก้าวตามลูกชายมาอย่างสง่างามเตรียมพร้อมสำหรับค่าผ่านทางของประตูเงินประตูทอง ซึ่งมีหนูนาและรินทร์ในชุดไทยห่มสไบสีชมพูกลีบบัว ยืนรอเป็นด่านแรก“จะผ่านด่านนี้ได้เจ้าบ่าวต้องตะโกนบอกรักเจ้าสาวนะคะ ยิ่งดังมากแสดงว่ารักมาก” รินทร์เอ่ยเสียงทะเล้น ดวงตาพราวระยับ ในเมื่อนี่คือโอกาสเธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสแกล้งพี่ชายในวันสำคัญของเขาอย่างเต็มที่!“ยัยรินทร์ให้มันน้อยๆหน่อย” เสียงลอดไรฟันเอ่ยกระซิบน้องสาวที่แกล้งเขาไม่เข้าเรื่อง“ทำสิคะเจ้าบ่าวหรือไม่รักเจ้าสาว” รินทร์หาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจยั่วโมโห“แกรับเงินไปแล้วปล่อยพี่เข้าไปเดี๋ยวนี้!”“ไม
“หนูคะเดี๋ยววันนี้ไปบ้านพี่กันนะ” คิณณ์ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังสาละวนกับการเก็บเสื้อผ้าอยู่ “ตอนไหนหรือคะ” ร่างบางถึงชะงักมือ หันไปถามอย่างแปลกใจ“เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วไปเลยค่ะ เดี๋ยวไปค้างที่บ้านพี่เลย”“มัดมือชกเหลือเกินนะคะ”“ฮึๆ ไม่ทำแบบนี้หนูก็บ่ายเบี่ยงอีก”“พี่ไปแต่งตัวเลยค่ะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะรอนาน” หญิงสาวรีบไล่คนพี่ที่ยังคงเปลือยอก สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว อวดมัดกล้ามแน่นที่เจ้าตัวตั้งใจฟิตมาเป็นอย่างดี ลัลน์เผลอมองเพียงครู่ก่อนจะเบือนหน้าหนี ภาพล่อตาล่อใจแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเธอเลย“หนูเก็บของไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่รีบอาบแล้วเราไปบ้านกัน” คำว่าบ้านทำให้คนน้องหัวใจพองโต ทั้งหวั่นเกรงเมื่อต้องไปบ้านคนรักพบเจอพ่อแม่ของเขา ถึงแม้เธอจะเจอพ่อแม่ของเขาแล้วก็ตามแต่นั่นก็เพียงชั่วครู่ไม่ถึงวัน อีกทั้งวันนี้เธอต้องไปบ้านของเขาอีกต่างหากหญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านที่พักนี้มักจะก่อตัวขึ้นได้ง่ายเหลือเกิน ก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นด้วยใจสั่นไหว พลางเงยหน้ามองนาฬิการอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อแม่ของคิณณ์อีกครั้งเมื่อรถหรูเคลื่อ
1 ปีผ่านไปลัลน์เรียนจบเนติบัณฑิตและได้ใบอนุญาตว่าความมาภายในหนึ่งปีสร้างความภาคภูมิใจให้ทั้งครอบครัวของหญิงสาว และแน่นอนว่าคนคอยติวคอยดูแลตลอดมาภาคภูมิใจในเมียเด็กของเขาเป็นอย่างยิ่ง ทุกความสำเร็จของตัวเล็กมีเขาอยู่เคียงข้างเธอเสมอแต่ความสงบไม่อาจคงอยู่ได้นานปัญหาเข้ามาแทรกแซง คิณณ์นั้นถึงเวลาย้ายเวียนศาลไปจังหวัดอื่นซึ่งความกังวลของเขานั้น คือเขาคงไปมาระหว่างที่ทำงานกับคอนโดได้ยากเป็นเหตุให้เขาต้องห่างจากคนรัก ความกังวลที่ก่อตัวทำให้เขาเริ่มคิดถึงอนาคตของเธอมากขึ้น และสุดท้ายจึงตัดสินใจถามออกไป“หนูว่าหนูจะไปทำอะไรต่อหลังเรียนจบนะคะ”“หนูจะไปเก็บคดี แล้วเตรียมสอบผู้ช่วยต่อค่ะ”“อ้องั้นเหรอ” คิณณ์ตอบรับเสียงเรียบ แต่แววตากลับดูเคร่งเครียดจนลัลน์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม“มีอะไรหรือเปล่าคะ”“พี่ต้องย้ายศาลน่ะ คราวนี้พี่ต้องไปประจำที่ศาลพิจิตร”“ย้ายศาลงั้นหรือคะ” เสียงหวานแผ่วลงจนแทบกลืนหายไปในลำคอ“อืม พี่คงต้องไปอยู่ที่นั่นสักระยะอาจมาหาเราได้น้อยลง”ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศทันที ลัลน์เม้มริมฝีปากแน่น เธอเข้าใจดีว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา หน้าที่ที่เขาต้องทำตลอดและสิ่งนี้คือความฝันของเข
คืนวันผันผ่าน ลัลน์เริ่มต้นเข้าเรียนที่เน พร้อมเตรียมสอบตั๋วทนายควบคู่ไปด้วย แต่กระนั้น เธอก็ยังคงพักอยู่กับคิณณ์เช่นเดิม กิจวัตรประจำวันของทั้งสองไม่เปลี่ยนแปลง ในยามเช้า ชายหนุ่มจะเป็นผู้ไปส่งเธอ ส่วนยามเย็น เขาก็ไปรับเธอกลับ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาราวกับเป็นความเคยชินที่อบอุ่นเช้าวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันก่อน ๆ คิณณ์ขับรถมาส่งลัลน์ที่เนตามปกติ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะก้าวลงจากรถ เธอหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มซุกซน ก่อนยกนิ้วเรียวยาวแตะที่แก้มสากของเขาเป็นเชิงบอกใบ้“ที่รัก ลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ?”ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มบางจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า ขณะที่ลัลน์โน้มตัวเข้าไปใกล้ จรดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา สูดดมกลิ่นอายอันแสนคุ้นเคย“ขับรถดี ๆ ตั้งใจทำงานนะคะ” เธอกระซิบเบา ๆ ราวกับจะส่งมอบพลังใจให้เขาตลอดทั้งวัน“ตั้งใจเรียนนะคะ เรียนไม่ไหวก็นอนเลย” คิณณ์หัวเราะในลำคอ ก่อนเอื้อมมือไปลูบศีรษะคนรักเบา ๆ“นี่คือคำแนะนำของผู้พิพากษางั้นหรือคะ” หญิงสาวเบ้ปาก ขยับถอยเล็กน้อยก่อนเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจ“ถ้าไม่มีสมาธิจะเรียนสู้ไปหลับให้สมองปลอดโปร่งไม่ดีกว่าเหรอ”“จะเก็บคำแนะนำนี
เมื่อมาถึงคอนโดของชายหนุ่ม เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสามทุ่ม การจราจรที่ติดขัดทำให้ทั้งสองทำได้เพียงสั่งอาหารมากินแทนการออกไปทานข้างนอก หญิงสาวใช้ปลายนิ้วบรรจงแกะเนื้อปลานิลทอดออกจากก้างอย่างประณีต ก่อนวางลงบนจานของชายหนุ่มพลางเอ่ยเสียงใส“ปลานิลทอดอร่อยดีนะคะพี่คิณณ์” “หนูชอบก็กินเยอะๆสิคะ” คิณณ์ละสายตาจากจานอาหาร มองคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน“ของดีต้องแบ่งกันชิมสิคะ” รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความสุข“ถ้าอย่างนั้นเราต้องผลัดกันชิมแล้วล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมพราวระยับอย่างสื่อความหมาย“เหนื่อยขนาดนี้ยังมีแรงหื่นอีกหรือคะ”“พี่อดมาสามเดือนแล้วนะคนดี” เสียงทุ้มเอ่ยอ้อน พลางส่งสายตาเว้าวอน คนน้องหน้าแดงซ่าน รีบตักข้าวใส่ปากเหมือนตั้งใจจะกลบเกลื่อนความรู้สึก แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เขายิ่งจ้องเธอไม่วางตา“ทานข้าวค่ะ พูดเรื่องนั้นเวลาทานข้าวได้ยังไงคะ”“พี่พูดได้ทุกตอนเลยนะ ไม่กินข้าวแล้วทำตอนนี้ยังได้เลย” เขากระซิบหยอกเสียงพร่า แต่ยังไม่ทันจะขยับเข้าใกล้ คนตัวเล็กก็ส่งสายตาดุมาให้ราวกับเตือนว่าอย่าคิดลองดี ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้วที่คิณณ์เทียวไปมาระหว่างที่ทำงานกับบ้านของลัลน์จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ทุกวันศุกร์เขาจะขับรถมาบ้านลัลน์และกลับไปในเช้าวันจันทร์ เขายังคงรับหน้าที่ช่วยงานในสวนตามปกติ เพราะครอบครัวของลัลน์ทำสวนหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก หรือพืชไร่ ทำให้เขาได้เรียนรู้งานใหม่ๆ พลอยสนุกไปด้วย สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลานี้คือ คิณณ์ไม่ได้พักที่กระท่อมท้ายสวนอีกต่อไป เขาได้ย้ายขึ้นมานอนในบ้านของครอบครัวลัลน์แล้ว วันนี้เขาเข้าสวนมะพร้าวเพื่อทำการเก็บเกี่ยวมะพร้าวน้ำหอม คิณณ์ทำการใช้ตะขอสอยทะลายมะพร้าวให้ลงกับร่องคูน้ำที่ขุดไว้เพื่อลดความเสียหายจากการกระแทกอีกทั้งยังทุ่นแรงในการขนย้ายด้วย “เดี๋ยวนี้ทำคล่องเชียวนะครับ” ลุงสมชัยซึ่งคอยสอนงานเขาเอ่ยแซวเมื่อเห็นว่าที่ลูกเขยนายของตนขยันขันแข็งหัวไวเช่นนี้ “คนเราต้องมีพัฒนาบ้างครับ” คิณณ์ยกยิ้มรับคำชมของลุงสมชัย ขณะวางตะขอลงแล้วใช้ผ้าขนหนูที่พาดไหล่เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้า "ดีครับดี อย่างนี้สิถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งลูกเขยนายหัว" ลุงสมชัยหัวเราะเสียงดัง พลางตบไหล่คิณณ์เบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “น้ำเย็นๆมาแล้วค่า” เสียง
กว่าคิณณ์จะเลื่อยไผ่เสร็จและช่วยคนงานขนขึ้นรถก็เป็นเวลาเย็นย่ำพอดี แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันสาดส่องลอดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่ ที่ใต้ร่มเงานั้นมีหญิงสาวคนรักของเขายืนส่งยิ้มหวานให้กำลังใจไม่ห่าง ชายหนุ่มที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นไม้รีบปรี่ตรงไปหาคนน้องทันทีเมื่อเสร็จงาน “ทานน้ำหวานสักหน่อยนะคะ” ลัลน์ส่งแก้วน้ำแดงเย็นชื่นใจให้เขาทันที แต่คิณณ์กลับยกมือหนากุมมือนุ่มนิ่มของเธอไว้ พร้อมป้อนเข้าปากตัวเองอย่างอารมณ์ดี “น้ำหวานเหมือนเมียพี่เลย” เขายิ้มกริ่มหยอกล้อ ทำให้คนตรงหน้าเขินจนต้องหลบสายตา ใบหน้าเนียนขึ้นสีระเรื่อก่อนจะก้มหน้างุดไปกับคำหวานของคนรัก “เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ พี่คงเหนียวตัวแย่” ลัลน์พูดรัวเร็วราวกับจะหาทางเปลี่ยนเรื่อง ก่อนรีบชวนเขากลับบ้านโดยไม่รอฟังคำตอบ คิณณ์ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่เดินหนีเขาไปยืนรออยู่ที่รถ ดวงตาคมทอดมองด้วยสายตาเอ็นดูและอบอุ่น ก่อนจะก้าวขาตามเธอไปเงียบๆ วันนี้ทั้งเหนื่อยล้าและร่างกายเมื่อยล้ามาทั้งวัน เขาก็หวังเพียงให้มีเรื่องดีๆ ที่ช่วยเติมเต็มหัวใจเขาสักหน่อย เมื่อถึงบ้านหนุ่มสาวสองคนขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา เสียงหมาในบ้านเห่าเตือนใน
“แค่นี้ก็ลุกมากินเองไม่เป็นรึไง” พงษ์ทวีอดกระแนะกระแหนชายหนุ่มกำยำตรงหน้าไม่ได้ “ขอโทษด้วยครับ” ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบโต้อะไรไปนอกเสียจากขอโทษผู้ใหญ่ที่ทำให้ต้องรอเสียมากกว่า คำขอโทษของเขามีความจริงใจ ไม่ใช่เพียงเพราะมารยาท แต่เพราะเขารู้สึกผิดจริงที่ทำให้พ่อของลัลน์ต้องรอ ตามปกติทุกวันเขาเป็นคนตื่นเช้าเสมอ ทว่าค่ำคืนที่ผ่านมากว่าที่เขาจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบย่ำรุ่ง จึงไม่แปลกที่วันนี้เขาจะตื่นสายจนผิดวิสัย “ไม่เป็นไรหรอก แม่ก็พึ่งทำกับข้าวเสร็จเองไม่ช้าไปหรอก” มุกลดาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเอ็นดูช่วยปลอบใจว่าที่ลูกเขยคนนี้ “มาค่ะพี่คิณณ์ ข้าวต้มฝีมือคุณแม่อร่อยไม่แพ้เมื่อวานเลยนะคะ” หญิงสาวอวดสรรพคุณโชว์ฝีมือแม่เสร็จสรรพพร้อมฉีกยิ้มอย่างน่ารักให้คนข้างกาย “อวดเหมือนตัวเองทำเลยนะ” “พี่คิณณ์อ่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว” คนน้องสะบัดหน้าหนีอย่างน่าเอ็นดู ตักข้าวต้มปลาร้อนๆ เข้าปากอย่างแง่งอน พลางทำเป็นไม่สนใจคนตัวโตข้างกาย คิณณ์มองหญิงสาวตักข้าวเข้าปากด้วยสายตาเอ็นดู อดยิ้มบางๆ กับท่าทางน่ารักของเธอไม่ได้ ก่อนจะจับช้อนคนข้าวในชามของตัวเองให้เย็นลง แล้
“ไม่ต้องพิสูจน์ ฉันไม่อนุญาต!” พงษ์ทวีเอ่ยปฏิเสธเสียงเข้ม น้ำเสียงแข็งกร้าวของเขาทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันทันที ไม่มีช่องว่างให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้เอ่ยคำใดโต้กลับ “คุณน้าครับ ผมจริงจังกับลัลน์นะครับ ผมไม่ได้อยากทิ้งขว้างอะไรลูกคุณน้าเลย ผมแค่อยากดูแลเธอตลอดไปเท่านั้น” คิณณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงความอ่อนน้อม ทำให้พงษ์ทวีเงียบไปดวงตาคมจ้องมองชายหนุ่มนิ่งงัน ราวกับพยายามอ่านความนัยในคำพูดเหล่านั้น แต่ท่าทีของเขายังคงตึงเครียด “พ่อคะ หนูรักพี่คิณณ์จริงๆนะคะพ่อ” ลัลน์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือปนความเว้าวอน จ้องมองพ่อด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทั้งหวังให้เขาเข้าใจและยอมเปิดใจสักครั้ง “ลูกน่ะรักเขาพ่อรู้ แต่เขาน่ะรักลูกเหมือนที่ลูกรักเขาไหม” “รักสิคะ ที่ผ่านมาพี่เขาดูแลหนูมาตลอด ทั้งเรื่องฝึกงานและการสอบ พี่เขาช่วยเหลือหนูทุกอย่างเลยนะคะ” “แกจะบอกสิ่งที่เขาทำแค่นั้นคือเขารักแกแล้วงั้นเหรอ” พงษ์ทวีขมวดคิ้วเข้ม จ้องมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “ยามเจ็บป่วยพี่เขาก็ดูแลหนูนะคะพ่อ” หญิงสาวเขยิบตัวไปนั่งใกล้ๆพ่อของตน พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนมาให้ “งั้นเขาเคยพาล