ในทันทีที่รถของผู้บัญชาการหวังจอดเทียบเหลา หรือร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของเมืองลั่วหยาง ก็มีผู้หญิงในวัยสามสิบต้น ๆ แต่งกายด้วยกี่เพ้าสีจัดจ้านเข้ามาให้การต้อนรับเขาในทันที
“ผู้บัญชาการหวัง มี่เถียนดีใจจริง ๆ ที่คุณมาทานอาหารที่นี่”
ทันทีที่เขาก้าวเท้าลงจากรถ ผู้หญิงจัดจ้านคนนั้นก็เข้ามาคล้องแขนเขาในทันที แต่ทว่าหวังซานเย่นั้นไร้คำว่าปรานี เพียงแค่เขาปรายดวงตาด้วยความดุดัน ผู้หญิงคนนั้นก็ปล่อยมือที่คล้องแขนเขาในทันที
“รบกวนจัดโต๊ะให้ผมด้วย” เขาบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในร้านโดยไม่สนใจสิ่งใด
“มี่เถียนต้องขออภัยผู้บัญชาการหวัง วันนี้ด้านในร้านอาหารคนเยอะนัก เพราะรองผู้บัญชาการหลิวจองเอาไว้ตั้งแต่สามวันที่แล้ว ถ้าคุณไม่สะดวก...”
“ผมขอที่นั่งแค่สองที่ ตรงไหนก็ได้ หวังว่าคุณจะมีวิธีการจัดการ” ผู้บัญชาการหวังยังคงมีท่าทีที่นิ่งเฉย เขาเอ่ยบอกกับผู้หญิงที่ชื่อมี่เถียนเพียงสั้น ๆ เท่านั้น
“ค่ะ ผู้บัญชาการหวังเชิญด้านในค่ะ”
มี่เถียนผายมือเชื้อเชิญเขาเพียงเท่านั้น แต่สำหรับฉินเจินเจินนั้นได้รับเพียงสายตาจิกกัดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เธอจึงรีบเดินเข้าไปเพื่อเดินข้างกายของผู้บัญชาการ ก่อนจะส่งสายตาเป็นการเอาคืนให้กับมี่เถียนคนนั้น โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าหวังซานเย่กระตุกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจกับการกระทำของเธอ
ร้านอาหารร้านนี้สมกับเป็นที่หนึ่งในลั่วหยาง เป็นร้านอาหารจีนที่มีการผสมผสานการตกแต่งร้านด้วยวัสดุสไตล์ยุโรปเอาไว้ ทั้งหรูหราและลงตัว วันนี้ด้านในร้านคนแน่นขนัดตามคำบอกของมี่เถียน ด้วยเพราะมีคนจองเอาไว้ก่อนล่วงหน้า และคนส่วนใหญ่ก็เป็นนายทหารต่างยศกันทั้งสิ้น นายทหารที่มียศต่ำกว่าผู้บัญชาการหวังต่างพากันลุกขึ้นทำความเคารพด้วยท่าทางที่ดูขัดใจ เมื่อการมาเยือนโดยไม่ได้ตั้งใจของเขาเป็นการรบกวนเวลารับประทานอาหาร
เขาโบกมือให้เพียงเท่านั้น เพื่อบอกให้ทุกคนทำตัวตามสบาย แต่ทว่าเมื่อทุกสายตามองเห็นฉินเจินเจินในชุดกี่เพ้าที่งดงามสะดุดตา เธอก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทุกคนภายในร้านทันที ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเองที่ส่งสายตามองมาด้วยความอิจฉาริษยา
หวังซานเย่รับรู้ได้ถึงสายตาทุกคู่ที่ถูกส่งไปยังด้านหลังของเขาเป็นสายตาเดียว เขาจึงเดินให้ช้าลงเพื่อที่จะให้เธอได้มายืนอยู่ข้างกายของเขา แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเดินมาถึงตัวเขา รองผู้บัญชาการหลิว หรือ หลิวเจียอีก็เดินเข้ามาดักหน้าของเธอเอาไว้ ราวกับไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร
“สาวน้อย มีที่นั่งหรือยังครับ ถ้ายัง คุณสนใจจะร่วมโต๊ะด้วยกันไหม” หลิวเจียอีแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยท่าทางกักขฬะ สายตาของเขาไล่มองไปตามเนื้อตัวของเธอด้วยความคุกคาม อย่างไม่เกรงใจชุดทหารที่สวมใส่เลยแม่แต่น้อย
“ฉัน...” เธอกำลังจะเอ่ยปากบอกให้พวกเขาได้รู้ แต่ผู้บัญชาการหวังกลับเดินเข้ามาคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ ก่อนจะตอบหลิวเจียอีคนนั้นด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น
“เธอมากับผม รบกวนรองผู้บัญชาการหลิวหลีกทางให้ด้วย อ่อ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผมคิดว่าคุณใช้ถ้อยคำและกิริยาท่าทางเช่นนั้นกับเธอคงไม่เหมาะเท่าไร” เขาตอกกลับรองผู้บัญชาการคนนั้นด้วยสายตาที่ดุดัน
“แหม นาน ๆ ที เพิ่งจะได้เห็นผู้บัญชาการหวังพาผู้หญิงเข้าร้านอาหาร เธออายุน้อยขนาดนี้ ไม่ทราบว่าเธอเป็นเมียหรือนางบำเรอของคุณกันแน่ ฮ่า”
เธอที่ได้ฟังยังขบกรามแน่นด้วยความไม่พอใจ ผู้ชายคนนี้ช่างน่าไม่อายและมีนิสัยถ่อยยิ่งนัก
“คุณไม่ได้อยู่ในฐานะที่ผมจะต้องมาตอบคำถามที่ไร้ซึ่งความคิดของคุณ รองผู้บัญชาการหลิว หากคุณยังไม่หลีกทางผมจะลงโทษทางวินัยของคุณ” น้ำเสียงของเขาเริ่มแข็งกร้าวและดุดันขึ้น แม้ใบหน้าจะยังคงเก็บซ่อนอารมณ์เอาไว้ด้านใน
“จริงจังเกินไปแล้วผู้บัญชาการ หากเธอเป็นเมียของคุณผมก็ต้องขออภัย แต่ถ้าเธอเป็นแค่นางบำเรอ ก็แบ่งปันให้ผมบ้าง สวย ๆ แบบนี้ผมก็พร้อมจ่าย” หลิวเจียอียังคงส่งสายตาโลมเล้าเธอไม่ยอมเลิกรา
“ตอนนี้เธอยังไม่ใช่เมียของผม แต่ในอนาคตนี้เธอจะเป็นเมียของผมอย่างถูกต้องแน่นอน รบกวนหลีกทางด้วย”
เขาตอบหลิวเจียอีด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะคว้ามือเธอออกไปจากตรงนั้นด้วยใบหน้ายับย่น ดูก็รู้ว่าเขาอยากจะใส่หมัดกับรองผู้บัญชาการคนนั้นเต็มแก่ แต่ก็จำต้องข่มอารมณ์เอาไว้
ทางด้านฉินเจินเจินยังคงชะงักค้างไปกับคำพูดของเขา โดยปล่อยให้เขาจับมือเธอไปอย่างง่ายดาย จนมาถึงห้องส่วนตัวห้องหนึ่งเขาจึงคลายฝ่ามือที่จับเธอเอาไว้ออก
“ที่คุณพูดเมื่อครู่เป็นสิ่งที่คุณคิดจริง ๆ หรือ”
หลังจากที่เขาเลื่อนเก้าอี้ออกพร้อมกับพยักหน้าให้เธอนั่ง เธอก็โพล่งถามออกไปอย่างไม่รีรอ แต่สิ่งที่เธอได้รับเป็นคำถามกลับมา ซึ่งทำให้ใบหน้าของเธอนั้นร้อนผ่าวราวกับถูกไฟสุม
“เมื่อคืนคุณบอกคุณอยากจีบผม แต่ตอนนี้ผมเลื่อนสถานะให้คุณเป็นเมียผม...ในอนาคตไม่ดีหรอกหรือ”
ผู้บัญชาการหวังคนนี้ร้ายนัก หากเขาไม่ได้มีความรู้สึกกับคนคนนั้นเขาย่อมไม่แสดงกิริยาใด ๆ ออกมาอย่างฉาบฉวย แต่ตอนนี้เขากลับหยอดคำพูดกับเธอราวกับคนละคนกับเมื่อคืน ‘เพียงแค่ชั่วข้ามคืน คุณก็เปลี่ยนใจแล้วหรือหวังซานเย่’
“ตอนนี้เลยไม่ได้หรือคะ ทำไมต้องรออนาคตด้วย” เธอยกสองฝ่ามือประคองใบหน้าของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะส่งสายตาหวานหยดให้กับเขาโดยไม่มีการกักเก็บอารมณ์แต่อย่างใด
เพียะ
“โอ๊ย!” เธอร้องออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่น พร้อมกับลูบไล้ฝ่ามือลงบนหน้าผากของตัวเองเพื่อลดอาการเจ็บ
“แก่แดดเกินไปแล้ว คุณอายุแค่ยี่สิบเองนะ รู้จักสงวนตัวเอาไว้บ้าง” เขาดีดนิ้วมือลงบนหน้าผากกลมมนของเธอจนเกิดเสียงดัง พร้อมกับนิ่วใบหน้าเป็นการตักเตือน ด้วยท่าทางราวกับว่าเขาเป็นพ่อก็ไม่ปาน
“อย่าทำหน้าราวกับเป็นคุณพ่อของฉันสิคะ ฉันอยากได้คุณมาเป็นสามี ไม่อยากได้คุณพ่อเสียหน่อย” เธอบุ้ยปากใส่เขาด้วยความไม่พอใจ
“นี่คุณ!” เขากัดฟันกรอดพร้อมกับชี้นิ้วใส่เธอ
“สั่งอาหารเถอะค่ะ ฉันหิวแล้ว”
เธอเอ่ยปากห้ามศึกเอาไว้ ด้วยเพราะกระเพาะน้อย ๆ ของเธอได้เวลาทำงานขึ้นมาแล้ว ผู้บัญชาการหนุ่มจึงยอมเธออย่างว่าง่าย ก่อนจะเรียกพนักงานของร้านเข้ามารับรายการอาหาร
ใช้เวลาไม่นานอาหารมากมายก็วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ซึ่งมันเยอะมากเกินกว่าที่สองคนจะรับประทานหมด
“กินเยอะ ๆ นะเจินเจิน คุณดูผอมมากเกินไป”
เขาบอกกับเธอด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อ เมื่อนึกถึงรูปร่างที่อยู่ภายใต้กี่เพ้าตัวนั้น แม้เธอจะดูผ่ายผอม ทว่าทรวงอกของเธอกลับอวบอิ่มเสียยิ่งนัก
“คุณจะขุนฉันให้เป็นหมูหรือคะ ถึงเวลานั้นคุณคงไม่เอาฉันเป็นเมียแล้วกระมัง เอ๊ะ หรือนี่คือแผนการของคุณ!” เธอเอ่ยขึ้นดักคอของเขา
“ต่อให้คุณจะเป็นหมู แต่ถ้าผมรักคุณ คุณก็จะเป็นของผมอยู่ดี”
ตั้งแต่เขาหย่าร้างมานานนับสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยอะไรแบบนี้ออกมาต่อหน้าของเธออย่างไร้ความเขินอาย โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไร ทั้งที่เมื่อคืนเขายังบอกให้เธอพยายามทำให้เขารัก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาเป็นฝ่ายรุกเธอไปเสียแล้ว
“นี่คุณสนใจฉันแล้วหรือคะ”
เธอยิ้มกว้างขึ้นบนใบหน้า หัวใจสูบฉีดด้วยความร้อนแรง ผู้ชายวัยสี่สิบตรงหน้าช่างมีเสน่ห์อันเหลือล้นเสียจริง ๆ
“...” เขาไม่ได้ตอบอะไรเธอ แต่ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารของตัวเองด้วยความเขินอาย ดูได้จากรอยแดงจาง ๆ บนใบหน้าของเขา
ด้านหน้าห้องส่วนตัวของผู้บัญชาการหวัง มีกลุ่มสตรีที่เพิ่งจะรับประทานอาหารเสร็จเดินออกมาเพื่อแยกย้ายกันเดินทางกลับบ้านของตัวเอง ทว่ากลับมีสายตาของคนหนึ่งในกลุ่มนั้น มองผ่านกระจกเข้ามายังห้องรับประทานอาหารของหวังซานเย่
“นั่นผู้บัญชาการหวังไม่ใช่หรือ แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน”
“ยังดูเป็นเด็กสาวอยู่เลย”
“จ้าวจินหม่ายจะรู้ไหมนะ ว่าสามีเก่าของตัวเองมีผู้หญิงใหม่แล้ว ฮ่า”
เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นระงม ราวกับเรื่องสนุกสนาน ก่อนที่กลุ่มคนพวกนั้นจะพากันเดินออกจากร้านไป เพื่อแจ้งข่าวให้ใครบางคนได้ทราบ
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ผู้บัญชาการหวังก็สั่งการให้นายทหารคนสนิทขับรถไปยังร้านตัดเย็บเสื้อผ้าร้านหนึ่ง โชคดีที่ถนนหนทางในยุคนี้ ผู้คนโดยทั่วไปไม่ได้ร่ำรวยมากพอที่จะซื้อรถยนต์ส่วนตัวได้เกือบทุกคน บนท้องถนนจึงมีรถไม่มากเท่าใรนัก ประชาชนทั่วไปมักจะใช้รถไฟเป็นการเดินทาง หรือไม่ก็ใช้จักรยานรถยุโรปที่มีตราสัญลักษณ์ของผู้บัญชาการทหารมักจะผ่านทุกอย่างไปได้อย่างง่ายดาย ในช่วงที่ยุคเศรษฐกิจกำลังฟื้นฟู และส่วนใหญ่ประเทศจีนเป็นพวกอนุรักษ์นิยม พวกนายทุนที่ประสบความสำเร็จจึงมักจะเป็นคนหัวสมัยใหม่พร้อมที่จะเปิดรับอะไรใหม่ ๆ เข้ามาเสียมากกว่าเมื่อเห็นเช่นนั้นเธอจึงมีความคิดของนักธุรกิจขึ้นมา ชีวิตใหม่ของเธอของมีเพียงเขาเป็นนายทุน เธอก็พร้อมที่จะใช้เงินลงทุนของเขาทำให้เกิดความงอกเงยด้วยการเปิดกิจการใดกิจการหนึ่งขึ้นมา หากถึงวันนั้นเขาไม่ได้มีใจให้กับเธอ เธอก็สามารถที่จะอยู่ต่อไปในโลกใบนี้ได้อย่างสบายโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร“เรื่องแบบนี้ทำไมถึงคิดไม่ได้นะ” เธอพึมพำขึ้นมา โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปยังเบื้องหน้าเพื่อหาแรงบันดาลใจในการทำกิจการ“คุณว่าอะไรนะ” เขาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเธอพึมพำอยู่ค
เสียงที่ดังลั่นออกไปของเธอ ทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันจับจ้องสายตามายังฉินเจินเจินด้วยความไม่เข้าใจ และสงสัยว่าเธอกำลังเรียกชื่อของใครกัน“คุณหมายถึงผมอย่างนั้นหรือ”ผู้ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเธอขยับเท้าเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะปรายนิ้วมือชี้เข้าหาตัวเอง เพื่อย้ำในสิ่งที่เธอเอ่ยเมื่อครู่อีกครั้ง และด้วยความที่เธอทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่พยายามข่มอารมณ์บอกปัดออกไป“ปะ...เปล่าคะ คุณแค่หน้าเหมือนคนที่ฉันเคยรู้จัก ต้องขออภัยด้วย” เธอตอบออกไปโดยที่ไม่ได้คิดจะมองใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย“เจินเจิน นี่คือหวังไห่เถิง น้องชายเพียงคนเดียวของผม” ผู้บัญชาการหวังเอ่ยแนะนำผู้เป็นน้องชายให้เธอได้รู้จัก“ฉันฉินเจินเจินค่ะ” เพื่อเป็นการไม่ให้เสียมารยาท เธอจึงรวบรวมความกล้า มองสบตากับเขา ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำแนะนำตัวเอง“ผมหวังไห่เถิง คุณสวยมากเลยครับ พี่ชายเธอเป็นเมียใหม่ของพี่อย่างนั้นหรือ”หวังไห่เถิง มองสาวสวยข้างกายของผู้เป็นพี่ชายด้วยสายตาโลมเลีย เธอช่างสวยถูกใจของเขาเสียเหลือเกิน พี่ชายของเขาคนนี้ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นเมียใหม่หรือเมียเก่าล้วนแล้วแต่มีใบหน้าและรูปร่างที่น่าจับต้อง“เธอย
“เจินเจิน คุณไม่เป็นอะไรนะ”หวังซานเย่ลูบไล้ฝ่ามือลงบนเส้นผมของเธอด้วยความอ่อนโยน ในขณะที่ร่างบอบบางของเธอยังคงไหวสะท้านราวกับหวาดกลัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา“คุณคะ ฉันกลัว คุณอยู่กับฉันก่อนนะคะ”ที่พึ่งของเธอในยามนี้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น แต่การที่เธอจะกล่าวโทษน้องชายสายเลือดเดียวกันของเขาอย่างโจ้งแจ้ง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะทำในตอนนี้"อืม ผมจะอยู่กับคุณ คุณไม่ต้องกลัวนะ" เขากระชับวงแขนแน่นขึ้นเพื่อหวังจะปลอบประโลมความกลัวของเธอ“...”เธอไม่เอ่ยสิ่งใดออกไป แต่เธอทำเพียงแค่ซุกใบหน้าลงบนแผงอกกว้างของเขา พร้อมกับท่อนแขนเล็กที่โอบกอดรอบเอวของเขาเอาไว้แน่น“เจินเจิน ถ้าผมจะบอกคุณว่า คุณไม่จำเป็นต้องอ่อนแอเสมอไป หากคุณเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่คุณจะต้องกลัวอีกต่อไป” หวังซานเย่บอกกับเธอราวกับให้ข้อคิดฉินเจินเจินคิดตามถ้อยคำที่เขาบอกกล่าว ไม่ว่าจะเป็นฉินเจินเจินที่จากมา หรือเจ้าของร่างนี้ ล้วนแล้วแต่อ่อนแอ และมักจะถูกคนที่ไว้ใจหักหลังและเอาเปรียบ ในตอนนี้ก็เช่นกันเธอกำลังจะถูกน้องชายของเขาเอาเปรียบ ชีวิตใหม่ของเธอจะกลับสู่หนทางเดิมอีกแล้วหรือ ในใจของเธอเองก็ไม่อยากเ
เสียงหวานใสก้องกังวานที่ฟังดูไพเราะราวกับนกนางแอ่นขับขาน เพียงแค่เธอเอื้อนเอ่ยออกมาเบา ๆ ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ด้านในห้องของฉินเจินเจินหันมองไปตามกันเป็นสายตาเดียวหญิงสาวในชุดกี่เพ้าราคาแพงสีดำสนิท ลวดลายบนเนื้อผ้าเป็นเส้นไหมปักดอกพลัมสีชมพูอ่อนอย่างงดงาม รูปร่างของเธอนั้นสูงสง่าและมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่ชัดเจนสมส่วน ผิวพรรณนั้นก็เรียบเนียนและขาวดุจดั่งหิมะในคืนวสันต์แรกของปีใบหน้าของเธอนั้นสวยงามราวกับหยกสลักที่ฉินเจินเจินเคยได้เห็นในภาพวาดของนักร้องในยุค 80 จากโปสเตอร์ในร้านสะสมของเก่าของยุคที่เธอจากมา ใบหน้ารูปไข่รับกับคิ้วเรียวงามเรียงเส้นสวย ดวงตากลมโตหวานซึ้งมีแพขนตาหนางอนงามเป็นเครื่องประดับ จมูกเชิดรั้นส่วนปลายทำให้เธอคนนี้ดูน่าค้นหา ริมฝีปากบางที่แต่งแต้มสีสันด้วยสีชมพูเข้มตัดกับผิวที่ขาวสะท้อนแสงไฟ เธอคนนี้ช่างเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์เหลือล้นเสียจริง ๆ“จ้าวจินหม่าย...” หวังซานเย่เอ่ยชื่อของผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา“ฉันเองค่ะ ไม่เจอกันนานเลยนะอาเย่”จ้าวจินหม่ายส่งรอยยิ้มหวานพร้อมกับเรียกชื่อของสามีเก่าด้วยความสนิทสนม ราวกับลืมไปเสียสนิทว่าเธอกับเขาหย่าร้างกันไปนานแล้ว“อ
กระจกบานใหญ่สะท้อนร่างของเด็กสาวรูปร่างผอมบางซ่อนรูป ที่กำลังปาดน้ำตาที่เปรอะพวงแก้มอิ่มออกไป ดวงตากลมโตที่เคยหมองหม่นของเจ้าของร่างเดิมนั้นทอประกายอย่างมีความหวัง จากผู้เป็นเจ้าของร่างคนใหม่ ฉินเจินเจินมองตัวเองในกระจกด้วยความพินิจตัวเองให้เต็มตาอีกครั้งณ ที่แห่งนี้แม้จะเป็นสถานที่ที่มอบชีวิตใหม่ให้กับเธอ แต่ชีวิตก็ยังคงเป็นชีวิต ไม่มีทางที่ทุกอย่างจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นโดยไร้ซึ่งอุปสรรค หากเธอเป็นคนเดิมที่จิตใจดีและมุ่งสร้างเพียงอนาคต ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องถูกรังแกอยู่ดี“เจินเจิน การได้เกิดใหม่นั้นไม่ง่าย เพราะฉะนั้นเธอจะใช้ชีวิตดั่งคนอ่อนแอไม่ได้อีกต่อไป รู้หรือไม่” เธอเอ่ยปากให้กำลังใจตัวเองภายในกระจกพร้อมกับการยิ้มกว้างเธอจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าเบา ๆ เพื่อปกปิดดวงตาที่บวมช้ำของตัวเอง ก่อนจะรีบลงไปนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับตระกูลหวังและอดีตสะใภ้คนโตของตระกูลบรรยากาศการทานอาหารเป็นไปด้วยความอึดอัดตามคำบอกของหวังซานเย่ เพราะทุกคนต่างพากันเอาอกเอาใจจ้าวจินหม่าย แม้เธอจะหย่าร้างไปนานแต่ดูเหมือนว่าคุณนายหวังยังคงต้องการที่จะพึ่งพิงอำนาจบารมีในการทำธุรกิจจากผู้เป็นพ่อบุ
หกเดือนต่อมา...จากวันนั้นที่เกิดเรื่องราวแห่งความวุ่นวายในคฤหาสน์ผู้บัญชาการ จ้าวจินหม่ายก็หายไปและไม่เข้ามาวุ่นวายกับเธออีกเลย แต่ฉินเจินเจินก็ไม่นิ่งนอนใจ ด้วยเพราะรู้ดีว่าผู้หญิงอย่างจ้าวจินหม่ายไม่มีทางจะยอมเลิกราได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอนเธอเองก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนัก เพราะมัวยุ่งวุ่นวายกับธุรกิจที่เธอก่อตั้งขึ้นถึงสองธุรกิจโดยมีเขาเป็นนายทุนใหญ่สนับสนุนส่วนหวังไห่เถิงนั้นเธอไม่ค่อยได้พบเจอ สถานที่ที่เธอหลับนอนในตอนนี้ก็มักจะเป็นร้านขายเครื่องสำอางที่เธออยากเปิดเพื่อสนองความสวยงามของตัวเอง ก่อนหน้านี้เธอไม่ใช่คนหน้าตาสวย แต่ตอนนี้เธอมีหน้าตาและรูปร่างที่ดี การแต่งกายและการประทินโฉมจึงเป็นเรื่องสนุกสำหรับเธอส่วนกิจการหลักของเธอยังคงเป็นผลผลิตอุตสาหกรรมที่กำลังเจริญก้าวหน้าในยุคแห่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะเธอมาจากโลกที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ฉินเจินเจินจึงเข้าใจว่าในยุค 1980 เธอสมควรที่จะลงทุนประกอบธุรกิจอะไร กับความสามารถที่มีติดตัวมา ภายในระยะเวลาอันสั้นเธอจึงจัดการธุรกิจของตัวเองให้เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้แต่ผู้บัญชาการหวังยังคงอึ้งกับความสามารถในวัยยี่สิบปีของเธอไม่น้อยทั้งที่ความเป็นจริง
ผู้บัญชาการหวังเดินออกไปจากร้านของเธอด้วยสายตาอ้อยอิ่ง ราวกับไม่ต้องการห่างกายของเธอเลยแม้แต่เสี้ยววินาที ส่วนเธอนั้นได้แต่ส่งรอยยิ้มให้กับเขาพร้อมกับโบกมือไปมา เพื่อบอกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เจอกันอยู่ดีวันนี้เป็นวันจัดงานเลี้ยงของกองทัพ เขาในฐานะผู้บัญชาการจะไม่เข้าร่วมได้อย่างไรกัน หวังซานเย่จึงล่วงหน้าไปก่อนเพราะต้องจัดการดูแลคนในกองทัพตามหน้าที่ ส่วนเธอในฐานะว่าที่ภรรยาของเขาก็ต้องเข้าร่วมด้วยเช่นเดียวกันฉินเจินเจินรู้สึกว่างานเลี้ยงในวันนี้นั้นเปรียบเสมือนการเปิดตัวของเธอ ให้สามารถยืนข้างกายของนายทหารยศสูงได้อย่างภาคภูมิและเหมาะสมไม่ว่าจะด้วยฐานะและหน้าตาร่างระหงที่เริ่มมีน้ำมีนวลไม่ได้เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเหมือนหกเดือนก่อน ด้วยเพราะเธอนั้นไม่ต้องอดอยากและไม่ต้องตรากตรำทำงานหนักเพื่อเลี้ยงปากท้องหรือสนองความต้องการของมารดาอีกต่อไปเธอนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้งที่มีเครื่องประทินโฉมวางอยู่เรียงราย กระจกเงาสะท้อนใบหน้าของเด็กสาวที่เปี่ยมไปด้วยความสุขจนเอ่อล้นทะลักผ่านดวงตาคู่สวยจนเปล่งประกาย ฉินเจินเจินเริ่มลงมือแต่งหน้าด้วยความชำนาญ ใบหน้าที่ขาวซีดเริ่มมีสีสันแต่ไม่จัดจ้า
ผู้บัญชาการหวัง จัดการความเรียบร้อยของงานเลี้ยงด้วยตัวเอง นาน ๆ ที กองทัพจะจัดงานเลี้ยงเพื่อขอบคุณนายทหารทุกนายที่ร่วมมือกันทำหน้าที่กันเต็มความสามารถเมื่อถึงเวลาที่งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ผู้เข้าร่วมงานก็เดินทางมากันอย่างคับคั่ง หวังซานเย่ชะเง้อคอมองหาว่าที่ภรรยาของเขาด้วยใจจดจ่อ ด้วยเพราะอยากเห็นเต็มแก่ว่าเธอจะงดงามเฉิดฉายเพียงใดในค่ำคืนนี้“ผู้บัญชาการมองหาใครหรือครับ” รองเวินคนสนิทเอ่ยทักทาย เมื่อเห็นว่านายของเขายืนคอยืดคอยาวปานนกกระจอกเทศอยู่นานแล้ว“ว่าที่เมียน่ะรองเวิน ห่าวอู๋ไปนานแล้วไม่มาเสียที”เขากระซิบกระซาบกับรองเวินอย่างไร้ความอาย ที่แม้แต่คนฟังยังหน้าเหวอไปเมื่อคนเป็นนายมีท่าทีที่เปลี่ยนไป“คุณมีความกล้าขึ้นเยอะเลยนะครับ ตั้งแต่มีภรรยาเด็ก ฮ่า”แม้เขาจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของหวังซานเย่ แต่เขาคนนี้เห็นผู้บัญชาการมาตั้งแต่ที่ยังเป็นนายทหารยศน้อย จนตอนนี้นายทหารคนนั้นเติบโตและผ่านเรื่องราวในชีวิตมามากเสียเหลือเกิน ดูท่าแล้วเด็กสาวคนสวยคงจะทำให้หัวใจของหวังซานเย่เบ่งบานขึ้นอีกครั้ง“ครับรองเวิน ฮ่า”เขาหัวเราะกลบเกลื่อนความเขินอาย ไม่คิดว่าเด็กสาวที่อ่อนวัยกว่าเขาเกือบเท่าตัวจะเร
บรรยากาศภายในห้องนอนของผู้บัญชาการหวังและภรรยาของเขา ถูกตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นและมีแสงไฟสลัว ๆ เต็มไปด้วยความเงียบสงบตามคำสั่งของเขา เพื่อสร้างบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกสำหรับทำกิจกรรมกระชับรักหวังซานเย่กำลังนั่งข้างเตียง ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนท่อนแขนของภรรยาที่กำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความหลงใหล ใบหน้าของเธอยังคงเปล่งประกายอ่อนหวานเหมือนทุกวัน แต่ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนเธอจะอ่อนแอลงไปบ้างหลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป หวังซานเย่ตั้งอกตั้งใจที่จะเร่งผลิตทายาทให้กับตระกูลหวังของเขาด้วยความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ และดูเหมือนว่าความเหน็ดเหนื่อยของเขาและภรรยาจะบังเกิดผล เมื่อฉินเจินเจิน เมียเด็กของเขาเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันด้วยความดีอกดีใจจนไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร โชคดีที่ป้าหวังให้คำแนะนำวิธีการดูแลเธอได้อย่างดีเยี่ยม และไม่ลืมที่จะรีบพาเธอไปพบกับคุณหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการของเธอให้แน่ใจอีกครั้งเมื่อผลการตรวจออกมา ชายวัยสี่สิบที่ยังหนุ่มแน่น แข็งแรงและมั่นคงก็คงต้องอ่อนแรงลงไป หลังจากที่ได้ยินคุณหมอเอ่ยบอก"ภรรยาของคุณกำลังตั้งครรภ์ครับ อายุครรภ์ตอนนี้ก็รา
แสงแดดในยามเช้าของวันใหม่ยังคงสาดส่องและทอประกายแสงที่เจิดจ้า เล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่าแก่ภายห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ผู้บัญชาการหวังด้วยความสดใส แสงที่ส่องสะท้อนกับผนังสีขาวสะอาด นั้นดูอบอุ่นและเงียบสงบราวกับไร้ผู้คน แม้แต่เสียงฝีเท้าของคนในบ้านยังคงเงียบเชียบหวังซานเย่ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องทำงานของเขา ดวงตาอันแสนจะเคร่งขรึมจ้องมองไปยังเอกสารต่าง ๆ ที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวอักษรบนกระดาษเหล่านั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับการค้าขาย และการบริหารจัดการสิ่งของมีค่าของตระกูลหวังที่ยังคงต้องดำเนินต่อไปแม้จะไร้เงาของอดีตคุณนายหวัง และแม้ว่าหวังไห่เถิงจะออกจากบ้านไปแล้วก็ตาม แต่การบริหารงานของตระกูลยังคงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเขาและภรรยาผู้บัญชาการหวังรู้สึกว่าชีวิตในคฤหาสน์นั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่หวังไห่เถิงและมารดาตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ด้วยภาระหน้าที่ภายในกองทัพ และภรรยาที่เพิ่งจะเข้ามาจัดการดูแลความเรียบร้อยของทุกอย่างภายในตระกูล ทำให้ทุกสิ่งยังไม่เข้าร่องเข้ารอย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขายังคงจับจ้องไ
หวังไห่เถิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว เขาคว้าอาวุธปืนที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหวังซานเย่ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหวังซานเย่หันมองหวังไห่เถิงอย่างไม่สะทกสะท้านและไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย"คิดว่าฉันจะกลัวนายหรือ"เขาเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อย แต่การที่ต้องเผชิญกับความโกรธของหวังไห่เถิง ทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เสียมากกว่าหวังไห่เถิงก้าวไปข้างหน้า ภายในมือของเขาจับอาวุธปืนเอาไว้แน่น เขารู้สึกว่าการแก้แค้นอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาจะรู้สึกมีอำนาจในการควบคุมชีวิตของตัวเองได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปก็ตามแกรก"หวังซานเย่...ทุกอย่างมันต้องจบที่นาย!"หวังไห่เถิงตะโกนลั่น ในขณะจ่อปากกระบอกปืนไปที่ขมับของหวังซานเย่ แต่ทว่ามือของเขากลับสั่นเพราะความโกรธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกที่อยากจะหลุดพ้นจากทุกสิ่งที่ต้องเผชิญ"ซานเย่!" ฉินเจินเจินตกใจมาก เธอวิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความกลัว แต่ทว่ากลับถูกห่าวอู๋คว้าตัวเอาไว้เสียก่อน เพราะกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยหวังซานเย่เหลือบมองปืนที่จ่อศีรษะ เขาไ
ท่ามกลางเสียงตะโกนและการโต้เถียงที่ดังสนั่นภายในสวนด้านหลังของตระกูลหวัง เกิดการต่อสู้ในระหว่างพี่น้องที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ง่าย ๆ หวังซานเย่บุตรชายคนโตของตระกูลหวัง จ่อปากกระบอกปืนเข้ากับศีรษะของหวังไห่เถิงอย่างไร้ความปรานี"ซานเย่...อย่าทำร้ายเขา!"เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้หวังซานเย่หยุดนิ่ง ความโกรธแค้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ขณะที่สายตายังจ้องมองไปที่ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่"คุณแม่" เสียงหวังซานเย่นั้นเรียบเฉยและไม่ได้ดูตกใจเท่าไรนักคุณนายหวัง มารดาที่เคยแสดงออกถึงความเมตตาและความห่วงใยของเขา แต่ในขณะนี้ดวงตาของเธอที่มักจะอ่อนโยน กลับแฝงด้วยความเด็ดขาดและบางครั้งก็เห็นสายตาที่ซ่อนความรู้สึก ในแบบที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน"ซานเย่! อย่าทำแบบนี้!"คุณนายหวังเดินเข้ามาหาเขาและยกมือขึ้นจับแขนของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าหวังซานเย่กลับสะบัดมือของเธอออกแล้วจ้องมองไปที่หวังไห่เถิงด้วยความเจ็บปวด"นี่คือสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ!" หวังซานเย่พูดด้วยเสียงแหบแห้ง ความโกรธปะทุขึ้นอีกครั้ง"ซานเย่...แต่เขาเป็นน้องชายของลูก" คุณนายหวังพูดเสียงเบาลง พร้อมกับหายใจเข้าลึก"คุณแน่ใจหรือครับ ว่าเขา
"หวังไห่เถิง....ถอยไป" เสียงนั้นหนักแน่นและทรงพลังดังขึ้น ผู้บัญชาการยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการข่มขู่หวังซานเย่ เดินมาจากทางเดินที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร ด้านหลังของเขาคือที่ที่แสงจันทร์สาดส่อง จึงทำให้เขาดูเหมือนกับผู้ที่ออกมาจากเงามืด เขาส่งสายตามองไปยังฉินเจินเจินแล้วยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเธอปลอดภัยดี ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหวังไห่เถิงอีกครั้ง"ซานเย่ในที่สุดคุณก็มาทันเวลา" ฉินเจินเจินพึมพำออกมาในใจ ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกแต่ทว่าคำพูดของหวังไห่เถิงก็ดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย"รู้ตัวเร็วกว่าที่คิดนะ...พี่ชาย ฮ่า"หวังซานเย่ยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างของสวนด้านหลังคฤหาสน์ ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่พยายามกดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ร่างสูงใหญ่นั้นเปี่ยมไปด้วยอำนาจดูน่ากลัวกว่าที่เคยเป็น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขาพยายามรักษาความสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้ แต่ทว่าในตอนนี้น้องชายกลับทำในสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้อีกต่อไป"ไห่เถิง!" เสียงทุ้มต่ำของหวังซานเย่ดังก้องขึ้น"..." เจ้าของชื่อหาได้มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย"หวังไห่เถิง นายกล
เสียงของสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบสงัดแต่ทว่าบรรยากาศของคฤหาสน์ผู้บัญชาการในตอนนี้กลับเปรียบเสมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ดังขึ้นภายในเงามืด เงาทึมของพระจันทร์เสี้ยวทอแสงลงมากระทบบนพื้นดินด้วยความเยือกเย็น ความมืดมิดปกคลุมทุกอย่าง ราวกับว่าทุกสิ่งในคฤหาสน์นี้กำลังหลบซ่อนตัวเองจากความน่ากลัวภายในมุมหนึ่งที่มืดสนิท ฉินเจินเจินยืนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เมื่อเสียงฝีเท้าของ หวังไห่เถิง ดังกระหึ่มมาจากทางเดิน และนั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าทวี เธอหันกลับไปมองบานประตูไม้ทึบที่เปิดอ้าออกไว้เล็กน้อย ใจหนึ่งก็อยากจะหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่อาจหนีออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน"เจินเจิน คุณอยู่ไหนกัน ผมหวังว่าคุณคงไม่อยากทำให้ผมโกรธหรอกกระมัง"เสียงของหวังไห่เถิงดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ดวงตาคู่สวยของเธอกลับมองเห็นว่าในมือของเขาถือดาบรูปทรงโบราณ ส่องสะท้อนแสงจันทร์ ทำให้เงานั้นช่างดูดุดันและน่าสะพรึงกลัว‘บ้าชิบ นี่มันคนวิปริตชัด ๆ ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยหรืออย่างไร’ เธอคิดในใจ ก่อนจะกัดฟันแน่น เธอรู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วย
แสงอาทิตย์ในยามอรุณรุ่งได้ลาลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความมืดมิดที่เงียบสงัด ราวกับไม่มีอะไรจะหยุดยั้งความชั่วร้ายที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งลั่วหยาง หวังซานเย่ เป็นผู้บัญชาการทหารที่ฉลาดเฉลียวและกล้าหาญ เขาได้รับคำสั่งให้ปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ก่อความเดือดร้อนในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่ในระหว่างทางเขากลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติจนไม่อาจมองข้ามไปได้"ผู้บัญชาการครับ เหตุการณ์ในวันนี้มันดูแปลกไปนะครับ"ห่าวอู๋ ลูกน้องคนสนิทของหวังซานเย่ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา ขณะกอบกุมพวงมาลัยของรถยุโรปทางการทหารหวังซานเย่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขากำลังครุ่นคิดอยู่ภายในใจ และสิ่งที่คิดก็เริ่มจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้ดูแปลกตามที่ห่าวอู๋บอกกล่าว และดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้มีจำนวนมากมายเหมือนในทุกครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งพวกมันยังดูเหมือนกับกำลังพยายามหนีเสียมากกว่าการตั้งใจต่อสู้"มันไม่น่าจะใช่แบบนี้" หวังซานเย่พึมพำเบา ๆ เมื่อสายตาคู่คมมองเห็นความผิดปกติในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางผ่านเขาสั่งให้ห่าวอู๋หยุดรถในทันทีที่มองเห็นว่าหมู่
หวังซานเย่รับหน้าที่เป็นคนขับรถในเช้าวันใหม่ เขาพาเธอกลับไปยังคฤหาสน์ของเขา บรรยากาศในวันนี้สดใสกว่าทุกวัน ความเขียวชะอุ่มของต้นไม้ทั้งสองฝั่งทำให้เธอทอดสายตามองด้วยความสบายใจ จนกระทั่งเริ่มมองเห็นคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนเนินสูง สามารถมองเห็นตัวเมืองอันกว้างไกลที่เธอเองก็ยังเดินสำรวจไม่ครบทุกมุม เป็นความหรูหราของสถาปัตยกรรมจีนโบราณผสมผสานกับกลิ่นอายยุคสาธารณรัฐสะท้อนความมั่งคั่งและทรงอำนาจของตระกูลหวัง ตระกูลที่มีบทบาทสำคัญทั้งในกองทัพและเศรษฐกิจระดับประเทศที่ฉินเจินเจินได้มองอย่างเต็มตาในวันนี้"เจินเจิน ผมยังไม่อยากกลับเลย อยากอยู่กับคุณสองต่อสองมากกว่า" เขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งมาจับมือเธอเอาไว้"ซานเย่ ตั้งใจขับรถหน่อยสิคะ ฉันยังไม่อยากนอนข้างทางนะคะ!" เธอบ่นอุบ เมื่อเห็นเขาขับรถมือเดียว จนรู้สึกไม่ปลอดภัย"คุณไม่อยากอยู่กับผมแค่สองคนอย่างนั้นหรือ" เขาไม่ฟังเธอปราม แต่ทว่าเร่งรัดให้เธอตอบคำถามของเขา"ที่คฤหาสน์ก็ไม่มีใครมาวุ่นวายกับคุณนี่คะ ซานเย่ คุณตั้งใจขับรถก่อนเถอะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะงอนคุณนะคะ" เธอกอดอกมุ่ยหน้าใส่เขาด้วยสายตาเอาจริง"ไม่งอนนะ ผมยอมแล้วก็ได้"ฟอดหวังซ
ปลายนิ้วที่เรียวสวยผลักร่างใหญ่โตของเขาให้นอนราบลงไปบนฝากระโปรงของรถได้ด้วยมือเดียว หวังซานเย่ร่างกายอ่อนระทวยไปกับลีลาอันแสนเร่าร้อนของเธอเสียแล้วฉินเจินเจินนั่งคร่อมลงบนท่อนกายอุ่นร้อนของเขาจนมิดลำ ส่งให้เขาหน้าเบ้ด้วยความคับแน่น ความเจ็บสะท้านแล่นไปทั่วลำใหญ่แต่ทว่ายังคงซ่านเสียวจนสมองขาวโพลนซี้ดไม่ได้มีเพียงเขาที่เจ็บปวด เธอเองก็เช่นกันเพราะขนาดที่ใหญ่โตของเขาได้เบียดเสียดเข้ามาภายในโพรงสวาทจนแทบจะปริแตกจากกัน แต่นั่นกลับเป็นความเจ็บปวดที่เธอยินดีสะโพกอิ่มโขลกไปข้างหน้าเพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนท่อนเอ็นเขื่องเข้าออกร่องสวาทที่ชุ่มฉ่ำเต็มไปด้วยความต้องการที่พุ่งพล่าน ไฟร่านกำลังครอบงำตัวของเธอฉินเจินเจินยกตัวขึ้นแล้วกระแทกตัวลงไปเพื่อให้แท่งหยกเข้าไปในร่องรักของเธออย่างแรง ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความลึกและความสะใจ มันทั้งร้อนแรงและวาบหวาม จนเขาครางออกมาด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า“อ่า เจินเจิน กระแทกอีก ผมเสียวจังเลยครับ”“อะ...อื้อ”ริมฝีปากบางสีแดงสดขบเม้มเข้าหากันด้วยความซ่านสยิว ก่อนที่เธอจะออกแรงขยับสะโพกอย่างเชี่ยวชาญ แล้วบดสะโพกลงไปอย่างหนักจนน้ำกามไหลออกมาชุ่มฉ่ำและเกิดเสียงดังแ