กระจกบานใหญ่สะท้อนร่างของเด็กสาวรูปร่างผอมบางซ่อนรูป ที่กำลังปาดน้ำตาที่เปรอะพวงแก้มอิ่มออกไป ดวงตากลมโตที่เคยหมองหม่นของเจ้าของร่างเดิมนั้นทอประกายอย่างมีความหวัง จากผู้เป็นเจ้าของร่างคนใหม่ ฉินเจินเจินมองตัวเองในกระจกด้วยความพินิจตัวเองให้เต็มตาอีกครั้ง
ณ ที่แห่งนี้แม้จะเป็นสถานที่ที่มอบชีวิตใหม่ให้กับเธอ แต่ชีวิตก็ยังคงเป็นชีวิต ไม่มีทางที่ทุกอย่างจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นโดยไร้ซึ่งอุปสรรค หากเธอเป็นคนเดิมที่จิตใจดีและมุ่งสร้างเพียงอนาคต ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องถูกรังแกอยู่ดี “เจินเจิน การได้เกิดใหม่นั้นไม่ง่าย เพราะฉะนั้นเธอจะใช้ชีวิตดั่งคนอ่อนแอไม่ได้อีกต่อไป รู้หรือไม่” เธอเอ่ยปากให้กำลังใจตัวเองภายในกระจกพร้อมกับการยิ้มกว้าง เธอจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าเบา ๆ เพื่อปกปิดดวงตาที่บวมช้ำของตัวเอง ก่อนจะรีบลงไปนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับตระกูลหวังและอดีตสะใภ้คนโตของตระกูล บรรยากาศการทานอาหารเป็นไปด้วยความอึดอัดตามคำบอกของหวังซานเย่ เพราะทุกคนต่างพากันเอาอกเอาใจจ้าวจินหม่าย แม้เธอจะหย่าร้างไปนานแต่ดูเหมือนว่าคุณนายหวังยังคงต้องการที่จะพึ่งพิงอำนาจบารมีในการทำธุรกิจจากผู้เป็นพ่อบุญธรรมของนักร้องสาว ข้างกายของเธอจึงมีเพียงเขาที่คอยคีบอาหารใส่จานของเธอจนพูนล้น แต่เธอก็กินมันจนหมดเพื่อไม่เป็นการเสียน้ำใจที่เขาคอยดูแลเอาใจใส่ “ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มให้กับเขาพร้อมกับเอ่ยคำขอบคุณ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าบางจังหวะเวลามีหลายสายตาจ้องมองเธอด้วยความรู้สึกหลากหลาย “ขออนุญาตครับท่านผู้บัญชาการ” นายทหารในเครื่องแบบทหารสีเขียวอมน้ำตาลในวัยไล่เลี่ยกับเขาเดินเข้ามาหาผู้เป็นนายด้วยความรีบร้อน เดิมทีเขาไม่คิดจะเสียมารยาทด้วยการเข้ามาถึงในห้องอาหาร แต่ทว่ามีบุคคลเรืองอำนาจและเป็นนายใหญ่ของพวกเขานั่งรออยู่ภายในรถ เพื่อรอคอยที่จะสนทนาเรื่องสำคัญกับผู้บัญชาการหวัง “รองเวิน มีอะไรหรือถึงได้รีบร้อนเข้ามาหาผม” เขาถามออกไปในทันทีที่เห็นการปรากฏตัวของนายทหารคนสนิท “ผู้บัญชาการสูงสุดรอคุยกับคุณอยู่ภายในรถครับ” เขากระซิบบอกเพียงเท่านั้น แต่ก็ดังพอที่จะให้ฉินเจินเจินได้ยิน “อืม เดี๋ยวผมออกไปครับ” ผู้บัญชาหารหวังบอกกับรองเวิน ก่อนจะหันมาสนใจเธอที่กำลังวางตะเกียบลง “คุณรอผมที่นี่ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมา” “ตามสบายค่ะ ฉันอยู่ได้” เจินเจินบอกให้เขาสบายใจ หวังหานเย่จึงเดินออกจากห้องอาหารไป เมื่อห้องอาหารไร้ร่างของเจ้าของคฤหาสน์ เธอก็ตกเป็นเป้าหมายอีกครั้ง เมื่อคุณนายหวังเอ่ยคำแขวะเธอออกมาด้วยเสียงดัง “เฮ้อ สงสัยอากาศในห้องนี้ไม่ค่อยจะดี เหม็นคาวคนชั้นต่ำ ทานอาหารไม่อร่อยเลย พวกเราออกไปนั่งจิบไวน์ด้านนอกกันจะดีกว่า” คุณนายหวังส่งค้อนวงใหญ่ให้กับเธอ ก่อนจะสะบัดก้นเดินออกไป พร้อมกับคนอื่น ๆ เธอไม่ได้สนใจอะไร ดีเสียอีกที่จะได้นั่งรับประทานอาหารแบบสบาย ๆ เพียงคนเดียว แต่หลังจากที่ทุกคนออกไปจนหมด ป้าหวังก็เดินเข้ามาหาเธอ “คุณคะ รับไวน์สักแก้วดีไหมคะ เดี๋ยวป้าไปเอามาให้” นอกจากเขาที่ดีกับเธอ ก็คงมีป้าหวังและสาวใช้อีกสองคนกระมังที่ดีกับเธอ โดยไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเธอแต่อย่างใด “ก็ดีนะคะ ขอบคุณมากค่ะป้าหวัง” “รอสักครู่นะคะ” หลังจากนั้นไม่นานไวน์สีสวยกับแก้วไวน์ทรงหรูก็ถูกเสริฟ์ตรงหน้าเธอ ก่อนที่ป้าหวังและคนอื่น ๆ จะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ฝ่ามือเรียวบางจึงตวัดแก้วไวน์สไตล์ยุโรปขึ้นมาถือเอาไว้ด้วยความชำนาญ ดวงตาคู่สวยปรือลงเมื่อเธอกระดกไวน์ลงคอ รสชาติหวานละมุนติดขมปลายลิ้นนิดหน่อยทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย แต่ทว่า “เป็นเด็กแก่แดดเหมือนกันนะหล่อน อายุแค่ยี่สิบ แต่ถือแก้วไวน์ได้คล่องเชียว แม่...เล้าของเธอสอนมาอย่างนั้นรึ” นี่คือเสียงของผู้หญิงที่เธอเคยเอ่ยปากชมว่าไพเราะ แม่นักร้องสาวที่ทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าคนอื่น ที่แม้เบื้องหลังก็สรรหาคำพูดดี ๆ ออกจากปากไม่ได้ จะว่าไปแม่นักร้องสาวคนนี้อายุน้อยกว่าเธอในโลกก่อนเสียอีก แต่กลับแสดงกิริยาสุดต่ำตมใส่เธอ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน “แล้วคุณล่ะคะ อายุอานามมากกว่าฉันตั้งหลายปี ที่บ้านไม่สั่งสอนบ้างหรือคะว่าไม่สมควรพูดเช่นนั้นกับคนที่ไม่ได้สนิท” ฉินเจินเจินยังคงกลิ้งไวน์ที่อยู่ภายในแก้วด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ริมฝีปากบางยังลิ้มรสไวน์ด้วยความสบายอกสบายใจ “นี่เธอ! มันจะมากไปแล้วนะ กล้าดีอย่างไรถึงได้มาต่อปากต่อคำกับฉัน” แม่นักร้องสาวที่เผยสันดานที่แท้จริงเริ่มจะดีดดิ้นเมื่อถูกเธอตอบคืน “ถ้าคุณไม่เป็นฝ่ายเดินมาฉันก่อน คุณก็ไม่ต้องดีดดิ้นเช่นนี้หรอกจริงไหม” ฉินเจินเจินวางแก้วลง ก่อนจะหันไปยิ้มมุมปากให้กับจ้าวจินหม่าย “เธออย่านึกนะ ว่าซานเย่จะเข้าข้างเธอ เขารักฉันขนาดไหน เธอคงไม่รู้” กลีบปากสีชมพูเข้มขยับขึ้นลงด้วยความมั่นอกมั่นใจ “อืม เมื่อก่อนซานเย่คงจะรักคุณมากก็จริงอยู่ แต่ฉันคิดว่าตอนนี้คงจะไม่ ผู้ชายดี ๆ ที่ไหนกันจะรักผู้หญิงที่ทรยศเขาด้วยการมีผู้ชายคนอื่น!” แอลกอฮอล์ฤทธิ์ร้อนแรงสร้างความกล้าและบ้าบิ่นให้กับเธอไม่น้อย เธอจึงได้ตอกกลับผู้หญิงที่มั่นใจตัวเองอย่างแม่นักร้องสาว “กรี๊ด เขารักฉัน ต่อให้เขาจะหย่ากับฉัน แต่ถ้าฉันกลับมา เขาก็ต้องรักฉันอยู่ดี ส่วนเธอก็แค่นางบำเรอที่เขาใช้เงินซื้อมา ไม่มีทางที่เขาจะรักเธอไปมากกว่าฉัน!” เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นจนแสบแก้วหูทำให้ฉินเจินเจินต้องยกมือขึ้นปิดใบหูของตัวเอง การที่เธอตอกกลับแม่นักร้องสาวเช่นนั้นกลับไม่ทำให้เธอลดความมั่นลงเลยแม้แต่น้อย “ผู้ชายคนที่คุณยอมทิ้งซานเย่ไป เขาไม่เอาคุณแล้วหรือ คุณถึงได้ซมซานกลับมาหาเขาหน้าด้าน ๆ แบบนี้” ฉินเจินเจินลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับอดีตภรรยาของผู้บัญชาการหวัง “กรี๊ด นังชั้นต่ำ!” ซ่า แก้วไวน์ถูกจ้าวจินหม่ายสาดใส่หน้าของเธอ ก่อนที่แม่นักร้องสาวจะสาวเท้าเข้ามาเพื่อง้างมือใส่เธอ ฉินเจินเจินจึงคว้าข้อมือเล็กนั้นเอาไว้ก่อนที่ฝ่ามือนั้นจะตวัดลงบนหน้าของเธอ และเธอจะไม่ยอมให้ใครรังแกอีกเป็นอันขาด “ฉันไม่คิดจะยุ่งกับคุณ เพราะฉะนั้นต่างคนต่างอยู่จะดีกว่า” ฉินเจินเจินกำข้อมือของจ้าวจินหม่ายเอาไว้แน่น ก่อนที่เธอจะกดเสียงต่ำบอกกับคนหน้าไม่อายให้รู้ตัว “เขาเป็นของฉัน! และฉันจะทวงเขาคืนมา เพราะฉะนั้นหล่อนอย่าหวังที่จะได้เป็นภรรยาของเขา” จ้าวจินหม่ายสะบัดมือออกอย่างแรง เธอจึงคลายมือที่จับนักร้องสาวเอาไว้ ร่างระหงจึงหงายหลังล้มลงบนพื้นอย่างแรง สร้างความโมโหให้กับเธอไม่น้อย เธอจึงกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงเพื่อให้ทุกคนเข้ามาเห็นว่าถูกฉินเจินเจินทำร้าย ฉินเจินเจินมองการแสดงของแม่นักร้องสาวพราวเสน่ห์ด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะฉีกยิ้มด้วยท่าทางของปีศาจร้าย ฝ่ามือบางหยิบแก้วไวน์สาดใส่หน้าของตัวเอง ก่อนจะนั่งลงแล้วจับมือของจ้าวจินหม่ายเอาไว้ ในขณะที่ทุกคนวิ่งเข้ามาตามเสียงพอดี ‘เธอแสดงละครได้ ฉันก็แสดงได้เช่นเดียวกัน’ “เจินเจิน!” หวังซานเย่วิ่งเข้ามาประคองร่างของฉินเจินเจินเอาไว้ ภาพที่ทุกคนเห็นในตอนนี้ก็คือเจินเจินถูกนักร้องสาวทำร้าย “ซานเย่ ฉันไม่ได้ทำร้ายนัง...เธอเสียหน่อย” จ้าวจินหม่ายที่กำลังตกตะลึงในฝีมือการแสดงละครของฉินเจินเจิน รีบเอ่ยปากปฏิเสธกับผู้บัญชาการด้วยความตกใจ “จินหม่าย คุณกลับไปก่อนเถอะ” หวังซานเย่บอกอดีตภรรยาด้วยถ้อยคำห้วนสั้น ก่อนจะช้อนร่างเล็กของฉินเจินเจินเข้าสู่อ้อมอกของตัวเอง เธอจึงไม่รอช้าที่จะโอบรอบคอของเขาเพื่อยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่ง ก่อนจะหันไปสบตากับนักร้องสาวด้วยท่าทางของผู้ชนะ ริมฝีปากบางได้รูปแสยะยิ้มกว้าง ก่อนจะขยับริมฝีปากแบบไร้เสียงให้กับจ้าวจินหม่ายได้อ่าน ‘เขาเป็นของฉันต่างหาก’หกเดือนต่อมา...จากวันนั้นที่เกิดเรื่องราวแห่งความวุ่นวายในคฤหาสน์ผู้บัญชาการ จ้าวจินหม่ายก็หายไปและไม่เข้ามาวุ่นวายกับเธออีกเลย แต่ฉินเจินเจินก็ไม่นิ่งนอนใจ ด้วยเพราะรู้ดีว่าผู้หญิงอย่างจ้าวจินหม่ายไม่มีทางจะยอมเลิกราได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอนเธอเองก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนัก เพราะมัวยุ่งวุ่นวายกับธุรกิจที่เธอก่อตั้งขึ้นถึงสองธุรกิจโดยมีเขาเป็นนายทุนใหญ่สนับสนุนส่วนหวังไห่เถิงนั้นเธอไม่ค่อยได้พบเจอ สถานที่ที่เธอหลับนอนในตอนนี้ก็มักจะเป็นร้านขายเครื่องสำอางที่เธออยากเปิดเพื่อสนองความสวยงามของตัวเอง ก่อนหน้านี้เธอไม่ใช่คนหน้าตาสวย แต่ตอนนี้เธอมีหน้าตาและรูปร่างที่ดี การแต่งกายและการประทินโฉมจึงเป็นเรื่องสนุกสำหรับเธอส่วนกิจการหลักของเธอยังคงเป็นผลผลิตอุตสาหกรรมที่กำลังเจริญก้าวหน้าในยุคแห่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะเธอมาจากโลกที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ฉินเจินเจินจึงเข้าใจว่าในยุค 1980 เธอสมควรที่จะลงทุนประกอบธุรกิจอะไร กับความสามารถที่มีติดตัวมา ภายในระยะเวลาอันสั้นเธอจึงจัดการธุรกิจของตัวเองให้เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้แต่ผู้บัญชาการหวังยังคงอึ้งกับความสามารถในวัยยี่สิบปีของเธอไม่น้อยทั้งที่ความเป็นจริง
ผู้บัญชาการหวังเดินออกไปจากร้านของเธอด้วยสายตาอ้อยอิ่ง ราวกับไม่ต้องการห่างกายของเธอเลยแม้แต่เสี้ยววินาที ส่วนเธอนั้นได้แต่ส่งรอยยิ้มให้กับเขาพร้อมกับโบกมือไปมา เพื่อบอกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เจอกันอยู่ดีวันนี้เป็นวันจัดงานเลี้ยงของกองทัพ เขาในฐานะผู้บัญชาการจะไม่เข้าร่วมได้อย่างไรกัน หวังซานเย่จึงล่วงหน้าไปก่อนเพราะต้องจัดการดูแลคนในกองทัพตามหน้าที่ ส่วนเธอในฐานะว่าที่ภรรยาของเขาก็ต้องเข้าร่วมด้วยเช่นเดียวกันฉินเจินเจินรู้สึกว่างานเลี้ยงในวันนี้นั้นเปรียบเสมือนการเปิดตัวของเธอ ให้สามารถยืนข้างกายของนายทหารยศสูงได้อย่างภาคภูมิและเหมาะสมไม่ว่าจะด้วยฐานะและหน้าตาร่างระหงที่เริ่มมีน้ำมีนวลไม่ได้เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเหมือนหกเดือนก่อน ด้วยเพราะเธอนั้นไม่ต้องอดอยากและไม่ต้องตรากตรำทำงานหนักเพื่อเลี้ยงปากท้องหรือสนองความต้องการของมารดาอีกต่อไปเธอนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้งที่มีเครื่องประทินโฉมวางอยู่เรียงราย กระจกเงาสะท้อนใบหน้าของเด็กสาวที่เปี่ยมไปด้วยความสุขจนเอ่อล้นทะลักผ่านดวงตาคู่สวยจนเปล่งประกาย ฉินเจินเจินเริ่มลงมือแต่งหน้าด้วยความชำนาญ ใบหน้าที่ขาวซีดเริ่มมีสีสันแต่ไม่จัดจ้า
ผู้บัญชาการหวัง จัดการความเรียบร้อยของงานเลี้ยงด้วยตัวเอง นาน ๆ ที กองทัพจะจัดงานเลี้ยงเพื่อขอบคุณนายทหารทุกนายที่ร่วมมือกันทำหน้าที่กันเต็มความสามารถเมื่อถึงเวลาที่งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ผู้เข้าร่วมงานก็เดินทางมากันอย่างคับคั่ง หวังซานเย่ชะเง้อคอมองหาว่าที่ภรรยาของเขาด้วยใจจดจ่อ ด้วยเพราะอยากเห็นเต็มแก่ว่าเธอจะงดงามเฉิดฉายเพียงใดในค่ำคืนนี้“ผู้บัญชาการมองหาใครหรือครับ” รองเวินคนสนิทเอ่ยทักทาย เมื่อเห็นว่านายของเขายืนคอยืดคอยาวปานนกกระจอกเทศอยู่นานแล้ว“ว่าที่เมียน่ะรองเวิน ห่าวอู๋ไปนานแล้วไม่มาเสียที”เขากระซิบกระซาบกับรองเวินอย่างไร้ความอาย ที่แม้แต่คนฟังยังหน้าเหวอไปเมื่อคนเป็นนายมีท่าทีที่เปลี่ยนไป“คุณมีความกล้าขึ้นเยอะเลยนะครับ ตั้งแต่มีภรรยาเด็ก ฮ่า”แม้เขาจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของหวังซานเย่ แต่เขาคนนี้เห็นผู้บัญชาการมาตั้งแต่ที่ยังเป็นนายทหารยศน้อย จนตอนนี้นายทหารคนนั้นเติบโตและผ่านเรื่องราวในชีวิตมามากเสียเหลือเกิน ดูท่าแล้วเด็กสาวคนสวยคงจะทำให้หัวใจของหวังซานเย่เบ่งบานขึ้นอีกครั้ง“ครับรองเวิน ฮ่า”เขาหัวเราะกลบเกลื่อนความเขินอาย ไม่คิดว่าเด็กสาวที่อ่อนวัยกว่าเขาเกือบเท่าตัวจะเร
ท่ามกลางผืนป่าที่รกชัฏและมืดครึ้ม อีกทั้งยังมีสายฝนที่โปรยกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายกับเสียงฟาดฟันของสายฟ้าที่สาดลงมาจนบรรยากาศที่มืดมิดรอบกายสว่างวาบอย่างน่ากลัวด้านหลังของฉินเจินเจินยังคงมีชายฉกรรจ์ร่างกายใหญ่โตวิ่งตามเธอมาด้วยความบ้าคลั่งราวกับซอมบี้ในซีรีส์ที่เธอเคยดู พวกมันไม่แม้แต่จะลั่นไกปืนเพราะกลัวว่าเธอจะไร้ลมหายใจ ดูเหมือนว่ารางวัลจากการไล่ล่าของพวกมันคือร่างกายของเธอ‘ใครกันที่โหดเหี้ยมกับฉันได้อย่างเลือดเย็นเช่นนี้’ เธอคิดไม่ตกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอเป็นฝีมือของผู้ใดกัน ชีวิตใหม่ของฉินเจินเจินคือการได้อยู่อย่างสงบสุขกับผู้ชายดี ๆ สักคน แต่เหตุใดทุกอย่างถึงได้ดูยากเย็นไปเสียหมดอุตส่าห์ก่อตั้งธุรกิจให้เติบโตเพื่อหวังว่าสักวันจะได้ยืนเคียงข้างเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เหตุไฉนถึงได้กลับตาลปัตรมากถึงเพียงนี้“แม่สาวน้อย เธอวิ่งนานเกินไปแล้วกระมัง เหนื่อยเปล่า ๆ น่า ไม่สู้มานอนรอรับความสนุกจากพวกเราจะดีกว่านะ” หนึ่งในคนร้ายพวกนั้นตะโกนบอกเธอด้วยน้ำเสียงป่าเถื่อน“หยุดให้โง่น่ะสิ ไอ้พวกเวร! ฉันไปทำอะไรให้แก”ฉินเจินเจินยังคงออกแรงวิ่งอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยและโชคดีที่ร่างใหม่ของเธ
บ้านพักตากอากาศของผู้บัญชาการ...สามวันแล้วที่เจินเจินของเขานอนหลับไป อาการเบื้องต้นของเธอคือความอ่อนล้า และได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก หวังซานเย่จึงเลือกที่จะพาเธอมายังบ้านพักตากอากาศที่น้อยคนนักจะรู้ว่าเขามีบ้านพักอยู่นอกชานเมืองดวงตาคู่คมมองฝ่าเท้าที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่คิดเลยว่ามารดาของตัวเองจะร้ายกาจมากถึงเพียงนี้ ผู้บัญชาการหนุ่มคิดหนักและไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น เขาจึงไม่อยากพาเธอกลับไปยังคฤหาสน์ จึงได้พาเธอมารักษาตัวที่นี่เป็นการชั่วคราวหวังซานเย่เฝ้าอยู่ข้างกายของเธอไม่ห่าง และเฝ้ารอคอยการตื่นของเธอด้วยใจจดจ่อ ฝ่ามือคู่ใหญ่จับมือเล็กของเธอเอาไว้แน่น แววตาบ่งบอกถึงความรักใคร่ห่วงใยเธออย่างท่วมท้น“เจินเจิน คุณนอนนานเกินไปแล้วนะ” เขาบ่นพึมพำก่อนจะแนบมือเล็กไปกับใบหน้าของตัวเองด้วยความหวงแหน“คุณคิดถึงฉันหรือคะ แค่ก แค่ก”ฉินเจินเจินรู้สึกตัวและได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยขึ้นมาพอดี เธอจึงฝืนยิ้มและเก็บอาการเอาไว้ หวังจะแกล้งเขาเล็ก ๆ“นี่คุณตื่นนานแล้วหรือ แกล้งผมนี่นา”ใบหน้าคร้ามเข้มของเขาเต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อเห็นว่าเธอฟื้นตื่นขึ้นมาเสียที หวังซาน
แสงอาทิตย์อันแสนอบอุ่นได้ลาลับไปเมื่อหมดเวลาของการทำหน้าที่ ท้องทิวาสีส้มอมแดงได้เปลี่ยนเป็นความมืดมิดไปทั่วทั้งผืนฟ้า กลุ่มดาวน้อยใหญ่นั้นทอประกายระยิบระยับประดับท้องฟ้าให้น่าชื่นชม จันทราทรงกลมลอยเด่นหราอยู่กลางท้องฟ้า ทอแสงประกายสีทองส่องสว่างสายลมที่พัดผ่านนั้นแผ่วเบาและนุ่มนวล พอให้ละอองน้ำพัดพาความเย็นมาสู่ผิวกาย ก่อนที่ต้นไม้น้อยใหญ่บริเวณน้ำตกจะส่งเสียงเสียดสีที่ไพเราะราวกับบรรเลงเครื่องดนตรี“เป็นของฉันนะคะ ซานเย่...”ถ้อยคำของเธอสะท้อนกึกก้องอยู่ภายในศีรษะของเขา โลกทั้งใบนั้นราวกับหยุดหมุน เป็นคำพูดที่ทำให้เขาแทบจะคลั่ง และพร้อมจะสยบให้แก่เธอตลอดไปตึกตัก ตึกตักเสียงของหัวใจเต้นอย่างรุนแรง แข่งขันกับเสียงของใบไม้ที่บิดปลิว ฉินเจินเจินนั่งคร่อมตัวลงบนตัวของเขา ก่อนจะประคองใบหน้าของผู้บัญชาการด้วยมือทั้งสองข้าง สบตากับเขาด้วยความลึกซึ้ง แล้วโน้มลงมาจูบอย่างอ่อนโยนในขณะที่เขาดึงเธอเข้ามาชิด มือข้างหนึ่งโอบเอวบาง ส่วนมืออีกข้างก็จับประคองใบหน้าได้รูปเอาไว้ริมฝีปากบางนุ่มหยุ่นทาบทับลงมาบนกลีบปากหยักของเขา จนเกิดความรู้สึกที่ร้อนผ่าวไปตามอณูรูขุมขน และรู้สึกซาบซ่าน เขาไม่อาจต้
“เจินเจิน นี่คุณกำลังท้าทายผมอยู่หรือเปล่า” เขาถามเธอออกไป“ค่ะ ฉันท้าทายคุณ ฉันอยากรู้เต็มแก่แล้วว่าสามีในวัยสี่สิบของฉันทำอะไรได้บ้าง” เธอเชยปลายคางของเขาให้แหงนมองสบตา“ผมจะมอบความเป็นผัวให้กับคุณ ผมจะทำให้คุณร้องขอชีวิต”หวังซานเย่ไม่ยอมแพ้ ในเมื่อเมียเด็กของเขาร่านสวาทถึงเพียงนี้เขาก็จำต้องแสดงฝีไม้ลายมือให้เต็มที่ ก่อนที่เขาจะอุ้มเธอนั่งคร่อมลงบนตัก ก่อนจะโอบกอดร่างของเธอ ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังเนียนนุ่ม ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากจุดสัมผัส ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม ราวกับโลกรอบตัวนั้นหยุดหมุน เหลือเพียงสองคนในห้วงเวลาอันแสนหวานฉินเจินเจินหลับตาพริ้มเพื่อรับรสจูบอันแสนร้อนแรง เขาขบเม้มดูดดึงกลีบปากของเธอจนบวมแดง แล้วดูดไซ้ซอกคออันขาวผ่องของเธอแล้วประทับรอยจนเธอครางออกมาอ่าฝ่ามืออุ่นบีบเค้นเนื้อนุ่มของเธออย่างแรง ในณะที่นิ้วหัวแม่มือก็เขี่ยเม็ดทับทิมสีหวานแล้วบีบขยี้ไปมา เขาผลักเธอให้เอนพิงเก้าอี้ตัวยาว ก่อนจะสวมครอบริมฝีปากลงไปบนเต้าอวบสองฝ่ามือบีบขยำส่งก้อนขาวอวบเข้าปากด้วยความกระหาย ลิ้นเรียวตวัดลงบนตุ่มไตจนเปียกชุ่ม ก่อนจะดูดดึงและขบกัดทรวงอกอิ่มจนเกิดรอยแดงอ่า ซี้ดเธอครางออกมาด
รุ่งอรุณยามเช้าที่แสงแดดสาดส่อง กับเสียงของน้ำตกที่ไหลจากที่สูง ฉินเจินเจินลืมตาขึ้นมาแต่ทว่ากลับต้องหลับตาแน่นเพื่อปรับสายตาให้รับกับแสงแดดที่เจิดจ้าอีกครั้งแพขนตาหนากระพริบถี่ กวาดมองทุกสิ่งที่กระจัดกระจายรอบกาย ก่อนจะอมยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย ข้างกายของเธอมีร่างที่เปลือยเปล่าของเขา ทำให้เธออดที่จะคิดถึงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้“ซานเย่นะซานเย่ ลีลาของคุณช่างร้อนแรงเสียจริง ๆ”เธอพึมพำ และมองหน้าเขาด้วยสายตาที่จับจ้อง ยามที่เขาหลับตาพริ้มนั้นช่างดูดีเสียเหลือเกินหมับ“คุณยังไม่อิ่มหรือครับ”เธอที่ไม่ทันได้ระวังตัว กลับเป็นฝ่ายถูกคนที่แอบหลับกระชากเข้าไปโอบกอด ปลายจมูกที่โด่งเป็นสันคมซุกไซ้ไปตามลำคอระหงของเธอด้วยความคลั่งไคล้“ฉันเจ็บระบมไปหมดแล้วค่ะ โดยเฉพาะตรงนั้น”เธอก้มมองเนินสวาทของตัวเอง มันทั้งเจ็บและรวดร้าวไปเสียหมด เพราะเขาทั้งดูด ทั้งเลีย ทั้งขยี้ ทั้งกระแทกกระทั้นอย่างหนักหน่วง“ก็ตรงนั้นของคุณมันหอม มันหวาน มันอร่อยถูกใจผมนี่ครับ”เพียงแค่ชั่วข้ามคืนเขาก็เปลี่ยนไปทุกอย่าง คนที่ไม่ค่อยเปิดเผยความรู้สึกอย่างเขา กลับพูดทุกอย่างออกมาอย่างไม่อาย“พักก่อนนะคะ แล้วฉันจะให้คุณกินอี
บรรยากาศภายในห้องนอนของผู้บัญชาการหวังและภรรยาของเขา ถูกตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นและมีแสงไฟสลัว ๆ เต็มไปด้วยความเงียบสงบตามคำสั่งของเขา เพื่อสร้างบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกสำหรับทำกิจกรรมกระชับรักหวังซานเย่กำลังนั่งข้างเตียง ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนท่อนแขนของภรรยาที่กำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความหลงใหล ใบหน้าของเธอยังคงเปล่งประกายอ่อนหวานเหมือนทุกวัน แต่ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนเธอจะอ่อนแอลงไปบ้างหลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป หวังซานเย่ตั้งอกตั้งใจที่จะเร่งผลิตทายาทให้กับตระกูลหวังของเขาด้วยความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ และดูเหมือนว่าความเหน็ดเหนื่อยของเขาและภรรยาจะบังเกิดผล เมื่อฉินเจินเจิน เมียเด็กของเขาเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันด้วยความดีอกดีใจจนไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร โชคดีที่ป้าหวังให้คำแนะนำวิธีการดูแลเธอได้อย่างดีเยี่ยม และไม่ลืมที่จะรีบพาเธอไปพบกับคุณหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการของเธอให้แน่ใจอีกครั้งเมื่อผลการตรวจออกมา ชายวัยสี่สิบที่ยังหนุ่มแน่น แข็งแรงและมั่นคงก็คงต้องอ่อนแรงลงไป หลังจากที่ได้ยินคุณหมอเอ่ยบอก"ภรรยาของคุณกำลังตั้งครรภ์ครับ อายุครรภ์ตอนนี้ก็รา
แสงแดดในยามเช้าของวันใหม่ยังคงสาดส่องและทอประกายแสงที่เจิดจ้า เล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่าแก่ภายห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ผู้บัญชาการหวังด้วยความสดใส แสงที่ส่องสะท้อนกับผนังสีขาวสะอาด นั้นดูอบอุ่นและเงียบสงบราวกับไร้ผู้คน แม้แต่เสียงฝีเท้าของคนในบ้านยังคงเงียบเชียบหวังซานเย่ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องทำงานของเขา ดวงตาอันแสนจะเคร่งขรึมจ้องมองไปยังเอกสารต่าง ๆ ที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวอักษรบนกระดาษเหล่านั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับการค้าขาย และการบริหารจัดการสิ่งของมีค่าของตระกูลหวังที่ยังคงต้องดำเนินต่อไปแม้จะไร้เงาของอดีตคุณนายหวัง และแม้ว่าหวังไห่เถิงจะออกจากบ้านไปแล้วก็ตาม แต่การบริหารงานของตระกูลยังคงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเขาและภรรยาผู้บัญชาการหวังรู้สึกว่าชีวิตในคฤหาสน์นั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่หวังไห่เถิงและมารดาตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ด้วยภาระหน้าที่ภายในกองทัพ และภรรยาที่เพิ่งจะเข้ามาจัดการดูแลความเรียบร้อยของทุกอย่างภายในตระกูล ทำให้ทุกสิ่งยังไม่เข้าร่องเข้ารอย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขายังคงจับจ้องไ
หวังไห่เถิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว เขาคว้าอาวุธปืนที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหวังซานเย่ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหวังซานเย่หันมองหวังไห่เถิงอย่างไม่สะทกสะท้านและไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย"คิดว่าฉันจะกลัวนายหรือ"เขาเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อย แต่การที่ต้องเผชิญกับความโกรธของหวังไห่เถิง ทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เสียมากกว่าหวังไห่เถิงก้าวไปข้างหน้า ภายในมือของเขาจับอาวุธปืนเอาไว้แน่น เขารู้สึกว่าการแก้แค้นอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาจะรู้สึกมีอำนาจในการควบคุมชีวิตของตัวเองได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปก็ตามแกรก"หวังซานเย่...ทุกอย่างมันต้องจบที่นาย!"หวังไห่เถิงตะโกนลั่น ในขณะจ่อปากกระบอกปืนไปที่ขมับของหวังซานเย่ แต่ทว่ามือของเขากลับสั่นเพราะความโกรธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกที่อยากจะหลุดพ้นจากทุกสิ่งที่ต้องเผชิญ"ซานเย่!" ฉินเจินเจินตกใจมาก เธอวิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความกลัว แต่ทว่ากลับถูกห่าวอู๋คว้าตัวเอาไว้เสียก่อน เพราะกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยหวังซานเย่เหลือบมองปืนที่จ่อศีรษะ เขาไ
ท่ามกลางเสียงตะโกนและการโต้เถียงที่ดังสนั่นภายในสวนด้านหลังของตระกูลหวัง เกิดการต่อสู้ในระหว่างพี่น้องที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ง่าย ๆ หวังซานเย่บุตรชายคนโตของตระกูลหวัง จ่อปากกระบอกปืนเข้ากับศีรษะของหวังไห่เถิงอย่างไร้ความปรานี"ซานเย่...อย่าทำร้ายเขา!"เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้หวังซานเย่หยุดนิ่ง ความโกรธแค้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ขณะที่สายตายังจ้องมองไปที่ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่"คุณแม่" เสียงหวังซานเย่นั้นเรียบเฉยและไม่ได้ดูตกใจเท่าไรนักคุณนายหวัง มารดาที่เคยแสดงออกถึงความเมตตาและความห่วงใยของเขา แต่ในขณะนี้ดวงตาของเธอที่มักจะอ่อนโยน กลับแฝงด้วยความเด็ดขาดและบางครั้งก็เห็นสายตาที่ซ่อนความรู้สึก ในแบบที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน"ซานเย่! อย่าทำแบบนี้!"คุณนายหวังเดินเข้ามาหาเขาและยกมือขึ้นจับแขนของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าหวังซานเย่กลับสะบัดมือของเธอออกแล้วจ้องมองไปที่หวังไห่เถิงด้วยความเจ็บปวด"นี่คือสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ!" หวังซานเย่พูดด้วยเสียงแหบแห้ง ความโกรธปะทุขึ้นอีกครั้ง"ซานเย่...แต่เขาเป็นน้องชายของลูก" คุณนายหวังพูดเสียงเบาลง พร้อมกับหายใจเข้าลึก"คุณแน่ใจหรือครับ ว่าเขา
"หวังไห่เถิง....ถอยไป" เสียงนั้นหนักแน่นและทรงพลังดังขึ้น ผู้บัญชาการยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการข่มขู่หวังซานเย่ เดินมาจากทางเดินที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร ด้านหลังของเขาคือที่ที่แสงจันทร์สาดส่อง จึงทำให้เขาดูเหมือนกับผู้ที่ออกมาจากเงามืด เขาส่งสายตามองไปยังฉินเจินเจินแล้วยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเธอปลอดภัยดี ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหวังไห่เถิงอีกครั้ง"ซานเย่ในที่สุดคุณก็มาทันเวลา" ฉินเจินเจินพึมพำออกมาในใจ ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกแต่ทว่าคำพูดของหวังไห่เถิงก็ดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย"รู้ตัวเร็วกว่าที่คิดนะ...พี่ชาย ฮ่า"หวังซานเย่ยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างของสวนด้านหลังคฤหาสน์ ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่พยายามกดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ร่างสูงใหญ่นั้นเปี่ยมไปด้วยอำนาจดูน่ากลัวกว่าที่เคยเป็น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขาพยายามรักษาความสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้ แต่ทว่าในตอนนี้น้องชายกลับทำในสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้อีกต่อไป"ไห่เถิง!" เสียงทุ้มต่ำของหวังซานเย่ดังก้องขึ้น"..." เจ้าของชื่อหาได้มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย"หวังไห่เถิง นายกล
เสียงของสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบสงัดแต่ทว่าบรรยากาศของคฤหาสน์ผู้บัญชาการในตอนนี้กลับเปรียบเสมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ดังขึ้นภายในเงามืด เงาทึมของพระจันทร์เสี้ยวทอแสงลงมากระทบบนพื้นดินด้วยความเยือกเย็น ความมืดมิดปกคลุมทุกอย่าง ราวกับว่าทุกสิ่งในคฤหาสน์นี้กำลังหลบซ่อนตัวเองจากความน่ากลัวภายในมุมหนึ่งที่มืดสนิท ฉินเจินเจินยืนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เมื่อเสียงฝีเท้าของ หวังไห่เถิง ดังกระหึ่มมาจากทางเดิน และนั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าทวี เธอหันกลับไปมองบานประตูไม้ทึบที่เปิดอ้าออกไว้เล็กน้อย ใจหนึ่งก็อยากจะหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่อาจหนีออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน"เจินเจิน คุณอยู่ไหนกัน ผมหวังว่าคุณคงไม่อยากทำให้ผมโกรธหรอกกระมัง"เสียงของหวังไห่เถิงดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ดวงตาคู่สวยของเธอกลับมองเห็นว่าในมือของเขาถือดาบรูปทรงโบราณ ส่องสะท้อนแสงจันทร์ ทำให้เงานั้นช่างดูดุดันและน่าสะพรึงกลัว‘บ้าชิบ นี่มันคนวิปริตชัด ๆ ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยหรืออย่างไร’ เธอคิดในใจ ก่อนจะกัดฟันแน่น เธอรู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วย
แสงอาทิตย์ในยามอรุณรุ่งได้ลาลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความมืดมิดที่เงียบสงัด ราวกับไม่มีอะไรจะหยุดยั้งความชั่วร้ายที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งลั่วหยาง หวังซานเย่ เป็นผู้บัญชาการทหารที่ฉลาดเฉลียวและกล้าหาญ เขาได้รับคำสั่งให้ปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ก่อความเดือดร้อนในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่ในระหว่างทางเขากลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติจนไม่อาจมองข้ามไปได้"ผู้บัญชาการครับ เหตุการณ์ในวันนี้มันดูแปลกไปนะครับ"ห่าวอู๋ ลูกน้องคนสนิทของหวังซานเย่ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา ขณะกอบกุมพวงมาลัยของรถยุโรปทางการทหารหวังซานเย่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขากำลังครุ่นคิดอยู่ภายในใจ และสิ่งที่คิดก็เริ่มจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้ดูแปลกตามที่ห่าวอู๋บอกกล่าว และดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้มีจำนวนมากมายเหมือนในทุกครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งพวกมันยังดูเหมือนกับกำลังพยายามหนีเสียมากกว่าการตั้งใจต่อสู้"มันไม่น่าจะใช่แบบนี้" หวังซานเย่พึมพำเบา ๆ เมื่อสายตาคู่คมมองเห็นความผิดปกติในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางผ่านเขาสั่งให้ห่าวอู๋หยุดรถในทันทีที่มองเห็นว่าหมู่
หวังซานเย่รับหน้าที่เป็นคนขับรถในเช้าวันใหม่ เขาพาเธอกลับไปยังคฤหาสน์ของเขา บรรยากาศในวันนี้สดใสกว่าทุกวัน ความเขียวชะอุ่มของต้นไม้ทั้งสองฝั่งทำให้เธอทอดสายตามองด้วยความสบายใจ จนกระทั่งเริ่มมองเห็นคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนเนินสูง สามารถมองเห็นตัวเมืองอันกว้างไกลที่เธอเองก็ยังเดินสำรวจไม่ครบทุกมุม เป็นความหรูหราของสถาปัตยกรรมจีนโบราณผสมผสานกับกลิ่นอายยุคสาธารณรัฐสะท้อนความมั่งคั่งและทรงอำนาจของตระกูลหวัง ตระกูลที่มีบทบาทสำคัญทั้งในกองทัพและเศรษฐกิจระดับประเทศที่ฉินเจินเจินได้มองอย่างเต็มตาในวันนี้"เจินเจิน ผมยังไม่อยากกลับเลย อยากอยู่กับคุณสองต่อสองมากกว่า" เขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งมาจับมือเธอเอาไว้"ซานเย่ ตั้งใจขับรถหน่อยสิคะ ฉันยังไม่อยากนอนข้างทางนะคะ!" เธอบ่นอุบ เมื่อเห็นเขาขับรถมือเดียว จนรู้สึกไม่ปลอดภัย"คุณไม่อยากอยู่กับผมแค่สองคนอย่างนั้นหรือ" เขาไม่ฟังเธอปราม แต่ทว่าเร่งรัดให้เธอตอบคำถามของเขา"ที่คฤหาสน์ก็ไม่มีใครมาวุ่นวายกับคุณนี่คะ ซานเย่ คุณตั้งใจขับรถก่อนเถอะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะงอนคุณนะคะ" เธอกอดอกมุ่ยหน้าใส่เขาด้วยสายตาเอาจริง"ไม่งอนนะ ผมยอมแล้วก็ได้"ฟอดหวังซ
ปลายนิ้วที่เรียวสวยผลักร่างใหญ่โตของเขาให้นอนราบลงไปบนฝากระโปรงของรถได้ด้วยมือเดียว หวังซานเย่ร่างกายอ่อนระทวยไปกับลีลาอันแสนเร่าร้อนของเธอเสียแล้วฉินเจินเจินนั่งคร่อมลงบนท่อนกายอุ่นร้อนของเขาจนมิดลำ ส่งให้เขาหน้าเบ้ด้วยความคับแน่น ความเจ็บสะท้านแล่นไปทั่วลำใหญ่แต่ทว่ายังคงซ่านเสียวจนสมองขาวโพลนซี้ดไม่ได้มีเพียงเขาที่เจ็บปวด เธอเองก็เช่นกันเพราะขนาดที่ใหญ่โตของเขาได้เบียดเสียดเข้ามาภายในโพรงสวาทจนแทบจะปริแตกจากกัน แต่นั่นกลับเป็นความเจ็บปวดที่เธอยินดีสะโพกอิ่มโขลกไปข้างหน้าเพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนท่อนเอ็นเขื่องเข้าออกร่องสวาทที่ชุ่มฉ่ำเต็มไปด้วยความต้องการที่พุ่งพล่าน ไฟร่านกำลังครอบงำตัวของเธอฉินเจินเจินยกตัวขึ้นแล้วกระแทกตัวลงไปเพื่อให้แท่งหยกเข้าไปในร่องรักของเธออย่างแรง ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความลึกและความสะใจ มันทั้งร้อนแรงและวาบหวาม จนเขาครางออกมาด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า“อ่า เจินเจิน กระแทกอีก ผมเสียวจังเลยครับ”“อะ...อื้อ”ริมฝีปากบางสีแดงสดขบเม้มเข้าหากันด้วยความซ่านสยิว ก่อนที่เธอจะออกแรงขยับสะโพกอย่างเชี่ยวชาญ แล้วบดสะโพกลงไปอย่างหนักจนน้ำกามไหลออกมาชุ่มฉ่ำและเกิดเสียงดังแ