หนิงเฉินตื่นขึ้นมาและพบว่าตนอยู่ในห้องแปลก ๆเตียงนุ่ม เครื่องเรือนงดงามห้องนี้ดีกว่าห้องโทรม ๆ เล็ก ๆ ของเขามากหรือว่าตนทะลุมิติเป็นครั้งที่สองแล้ว?“ฟื้นแล้วหรือ?”หนิงเฉินหันไปมองเมื่อได้ยินเสียง ผลที่ตามมาคือการเคลื่อนไหวนี้ส่งผลต่อบาดแผลบนร่างกาย เจ็บจนร้องโอดครวญแต่เขาแปลกใจมากยิ่งขึ้น เพราะคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงคือหนิงจื้อหมิงจริง ๆ“พ่อบ้านอู๋ เฉินเอ๋อร์ฟื้นแล้ว...ไปเอายาและน้ำแกงไก่ที่เตรียมไว้แล้วมาทั้งหมด”หนิงจื้อหมิงตะโกนไปทางประตูหนิงเฉินสีหน้าสับสน เป็นตนที่ถูกทุบตีจนสมองโง่ไปแล้วรึ? ยังฝันอยู่รึ?โดยเฉพาะน้ำเสียงของหนิงจื้อหมิงทำให้เขาขนลุกชัน“เฉินเอ๋อร์ เป็นเช่นไรบ้าง? รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง?”หนิงเฉินยื่นมือออกไป อยากจะหยิกใบหน้าเพื่อดูว่าเขาไม่ได้กำลังฝันอยู่ทว่าเขาลังเลเล็กน้อย และโบกมือไปทางหนิงจื้อหมิงหนิงจื้อหมิงชะงักไปครู่หนึ่ง คิดว่าหนิงเฉินมีอะไรอยากพูด เขาจึงขยับเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัวเป็นผลให้หนิงเฉินคว้าเคราของเขาไว้และดึงมันอย่างแรง...รากขาดไปหลายเส้นเลยทีเดียวหนิงจื้อหมิงเจ็บจนสูดลมหายใจเข้า เผลอยกมือขึ้นจะตบหนิงเฉิน...แต่ยกมือขึ้น
“พ่อบ้านอู๋ เข้ามาได้!”หนิงเฉินตะโกนเรียกพ่อบ้านอู๋ให้เข้ามา หลังจากกระเพาะปัสสาวะที่อัดแน่นแทบระเบิดได้ปลดปล่อยออกมาพ่อบ้านอู๋เดินเข้ามาอย่างอ่อนน้อม ส่วนด้านหลังยังมีสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มยกถ้วยยาตามเข้ามาด้วย“คุณชายสี่ ยาต้มเสร็จแล้ว...ไม่ทราบว่ายังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?”หนิงเฉินฝืนทนความเจ็บปวด นั่งเอนตัวพิงกับหัวเตียง แล้วพูดว่า “นำกระโถนไปเทให้ข้าที”พ่อบ้านอู๋เงยหน้าขึ้นมองเขา หนังหน้ากระตุก“มีสิ่งใดรึ หรือจะให้ข้าไปเทเอง?”พ่อบ้านอู๋รีบเอ่ยขึ้นว่า “มิกล้า บ่าวจะไปเทเดี๋ยวนี้”เขาเดินเข้ามา และหยิบกระโถนด้วยสีหน้ารังเกียจเดินออกไป ดวงตาฉายแววอำมหิตหนิงจื้อหมิงจู่ ๆ ก็มีท่าทีต่อหนิงเฉินที่เปลี่ยนไป เขาจึงไม่กล้ารังแกหนิงเฉินตามอำเภอใจเหมือนแต่ก่อนจะไม่ให้เจ้าลูกนอกคอกคนนี้ได้รับความโปรดปรานเด็ดขาด มิเช่นนั้นวันข้างหน้าเขาจะต้องอยู่ลำบากแน่...พ่อบ้านอู๋คิดในใจอย่างชั่วร้ายสาวใช้พยายามเก็บมุมปาก กลัวว่าตนจะเผยยิ้มออกมาปกติพ่อบ้านอู๋คนนี้มักจะรังแกลูกน้องอย่างพวกนางอยู่เสมอ ทั้งเอาเปรียบและหักค่าแรงของพวกนาง ทว่าทุกคนโกรธแต่ไม่กล้าพูด...ในที่สุดวันนี้ก็มีคนจัดกา
หนิงจื้อหมิงเห็นหนิงเฉินนิ่งเงียบ จึงคิดว่าคำพูดของตนโน้มน้าวใจของหนิงเฉินได้ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็ก เกลี้ยกล่อมสักหน่อยก็คงดีขึ้น“เฉินเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าได้พบเจอผู้ใดหรือไม่?”หนิงเฉินชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้เพราะสาเหตุใด“ท่านเสนาบดี ตั้งแต่ข้ามาอยู่จวนสกุลหนิง ข้าก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน...ช่วงนี้ถ้าไม่ป่วยก็บาดเจ็บหนัก จะพบเจอสักกี่คน? ไม่ทราบว่าท่านเสนาบดีกำลังถามถึงใคร?”หนิงจื้อหมิงยิ่งเกิดความสงสัย นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่เข้าใจเช่นกันหนิงเฉินแทบไม่ค่อยได้ออกจากจวน แล้วจะรู้จักกับฮ่องเต้ได้อย่างไร?หนิงจื้อหมิงก็ไม่กล้าถามออกมาตามตรง แค่พูดอย่างกำกวมว่า “ข้าไม่ได้หมายถึงคนในจวน แต่หมายถึงคนแปลกหน้า? ”หนิงเฉินยิ้มเยาะ: “คนในจวนยังรู้จักไม่หมด จะไปรู้จักคนอื่นได้ที่ไหนกัน?” หนิงจื้อหมิงยิ่งแปลกใจ แต่เขาก็ไม่กล้าถามออกมาตรง ๆหนิงเฉินมองเขาและพูดว่า “ท่านเสนาบดี ในเมื่อท่านไม่อนุญาตให้ข้าออกจากจวน...แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องสืบหาให้ถึงที่สุด”“เรื่องอะไร?”“หนิงกานชิงเงินข้าไปร้อยตำลึง”หนิงจื้อหมิงขมวดคิ้ว “เจ้าเอาเงินร้อยตำลึงมาจากที่ใด?”“ท่านอย่าสนใจเรื่องนี
หนิงเฉินเดินตามเฉวียนกงกงไปยังห้องที่พวกเขาเคยมาเมื่อครั้งก่อนทันทีที่เข้าไปในห้อง เขาก็พบว่านอกจากเทียนเสวียนแล้ว ยังมีชายชราที่มีขาเพียงข้างเดียวแม้หนิงเฉินจะเคยพบเขาเป็นครั้งแรก แต่ครั้งแรกก็เดาตัวตนของเขาได้ทันที เขาก็คือแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน“ท่านลุง เราเจอกันอีกแล้ว?”หนิงเฉินก้าวขึ้นมาพร้อมกับโค้งคำนับจากนั้นเขาก็ทำความเคารพแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยหลันซิง คารวะท่านแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน!”แม้จะเป็นการพบกันครั้งแรก แต่หนิงเฉินเคยเป็นทหาร ดังนั้นเขาจึงให้ความเคารพแม่ทัพอาวุโสที่กรำศึกมาทั้งชีวิตผู้นี้เป็นพิเศษ“เจ้าก็คือหลันซิง?”แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินดูท่าทางตื่นเต้น เขามองสำรวจหนิงเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นขมวดคิ้วทันที:“อากาศหนาวมาก เหตุใดจึงสวมเสื้อผ้าตัวบางเช่นนี้”หนิงเฉินฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “เล่าแล้วเรื่องมันยาวนัก!”เมื่อเห็นว่าหนิงเฉินไม่อยากพูดมากความ แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินก็ไม่เค้นถาม แต่ถามด้วยความแปลกใจว่า: “เจ้ารู้ตัวตนของข้าได้อย่างไร หรือเคยพบกันมาก่อน?”“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าน้อยพบกับท่านแม่ทัพ แต่เรื่องราววีรกรรมอันกล้าหาญของท่าน ข้าน้อยได้ยินมาตั้งแต่เ
เมื่อเห็นเทียนเสวียนและแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินพออกพอใจ หนิงเฉินจึงอาศัยจังหวะเหมาะนี้พูดขึ้นว่า:“ท่านลุง วันนี้ท่านอยากจะซื้อบทกวีหรือไม่? ข้าจะคิดให้ท่านในราคาถูกเลย”ฮ่องเต้ทรงหัวเราะออกมา “บอกข้ามาก่อน เหตุใดหนึ่งเดือนเจ้าถึงไม่ออกมา”หนิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าถูกคนทำร้ายจนซี่โครงหักสองซี่ นอนอยู่บนเตียงเป็นเดือน...ส่วนเงินที่ข้าได้รับจากการขายบทกวีครั้งก่อนก็ถูกชิงไป เสื้อผ้าชุดใหม่ของข้าก็ถูกชิงไปด้วยเช่นกัน”สีหน้าของฮ่องเต้เริ่มหม่นคล้ำแม่ทัพเฉินยิ่งโมโหหนัก “ผู้ใดทำ? แผ่นดินสงบร่มเย็นใต้พระบาทของโอรสสวรรค์ ยังมีผู้ใดกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้?”“หลันซิง บอกข้ามาว่าผู้ใดทำ ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”หนิงเฉินซาบซึ้งใจ คนแปลกหน้ายังปฏิบัติกับเขาดีกว่าคนสกุลหนิงเสียอีก“ช่างเถอะ มันเป็นความผิดของข้าที่ร่างกายนี้ใช้การไม่ได้ ไม่มีอาหารให้กินอิ่มท้องไม่มีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ให้ใส่ บวกกับเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บหนัก ร่างกายนี้จึงอ่อนแอนัก!”หนิงเฉินถือโอกาสขายความเวทนา หวังว่าต่อไปเมื่อเทียนเสวียนซื้อบทกวี จะให้ราคาสูง ๆ เพราะเห็นแก่ความน่าสงสารของเขา แม้ว่าเม่ทัพผู้เฒ่าเฉินจะมีเกียรติยศ
หนิงจื้อหมิงรู้ว่าหนิงเฉินแอบหนีออกไปก็โมโหอย่างมากเขากังวลว่าหนิงเฉินจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ออกไปพูด หากไปถึงหูฮ่องเต้จะต้องเดือดร้อนแน่!หนิงจื้อหมิงรออยู่นาน ไม่ทันเจอหนิงเฉิน ทว่าทันเจอขันทีที่มาแจ้งให้เข้าวังเมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงเรียกตัวเขาให้เข้าวัง หนิงจื้อหมิงใจเต้นระส่ำระสาย เริ่มกระวนกระวาย!เขาแอบยัดเงินให้ขันทีที่มาแจ้งเรื่อง เพราะอยากรู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงเรียกพบเขา?ทว่าขันทีรับเงินไปแล้วแต่กลับไม่รู้เรื่องอันใดเลย ...ที่จริงแล้วเขาก็ไม่รู้เรื่องจริง ๆหนิงจื้อหมิงติดตามขันทีผู้นั้นมาที่ห้องทรงพระอักษรในวังหลวงเฉวียนกงกงกำลังยืนอยู่ที่ประตู มองเขาเหมือนมีเลศนัยหนิงจื้อหมิงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงรีบคุกเข่าลงและเอ่ยเสียงดังว่า “กระหม่อมหนิงจื้อหมิง ถวายบังคมฝ่าบาท!”“ชู่ว์...ใต้เท้าหนิง ฝ่าบาทจัดการงานราชกิจอยู่ อย่าส่งเสียงดัง ท่านรอไปก่อน!”หนิงจื้อหมิงทำได้แค่คุกเข่ารออยู่นอกประตูเขาต้องการสอบถามเรื่องราวจากปากเฉวียนกงกง ทว่าเฉวียนกงกงกลับหันหลังแล้วเดินเข้าไปด้านในหนิงจื้อหมิงคุกเข่านานกว่าสองชั่วยามเขาเป็นขุนนางบุ๋น ร่างกายบอบบ
หนิงเฉินจ้องมองทั้งสองคนด้วยสายตาเยือกเย็นทว่าหนิงซิ่งและหนิงเม่ากลับจ้องมองเสื้อคลุมขนสัตว์บนตัวของหนิงเฉินพวกเขาต่างจากหนิงเฉิน ตั้งแต่วัยเยาว์ก็ได้กินอาหารเลิศรสและมีอาภรณ์สวยหรู ดังนั้นแค่มองก็รู้ทันทีว่าเสื้อคลุมตัวนั้นมีราคาแพง“หนิงเฉิน เสื้อคลุมขนสัตว์บนตัวเจ้าได้มาจากที่ใด?”หนิงเม่าตะโกนถาม คราวก่อนพี่ชายของเขาชิงเงินหนิงเฉินไปร้อยตำลึง หนิงเฉินยังไม่กล้าปริปากเลยเขาจ้องไปที่เสื้อคลุมขนสัตว์ของหนิงเฉินหนิงเฉินเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า: “เกี่ยวอะไรกับท่าน?”“เจ้ามันลูกนอกคอก ไม่มีคนอบรมสั่งสอน หยาบคายไร้การศึกษา ข้าเป็นพี่สามของเจ้า ข้าถามเจ้า แต่ดูท่าทีของเจ้าสิ?“หนิงเฉิน หลายวันก่อนท่านแม่จัดหาเสื้อคลุมขนสัตว์ให้ข้า ข้ายังไม่ทันได้ใส่ก็ถูกคนขโมยไปแล้ว...ที่แท้ก็เป็นเจ้าที่ขโมยมา”หนิงเม่าตัดสินใจใช้แผนเดิมอีกครั้ง“โจรในบ้านระวังยากเสียจริง หนิงเฉิน...เจ้าลูกนอกคอกนิสัยเลวทราม เจ้าหัวขโมย ยังไม่คืนเสื้อคลุมให้พี่สามเจ้าอีกรึ? หากท่านพ่อรู้เรื่องนี้ เจ้าไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนัง”หนิงซิ่งพูดสนับสนุนหนิงเฉินขี้เกียจอธิบาย หากพวกเขาอยากจะเล่นงานใครก็ย่อมหาข้ออ้างได้เส
กลุ่มคนรับใช้มองไปทางสองพี่น้องหนิงซิ่งกับหนิงเม่า หนิงเฉินเดาถูกแล้ว พวกเขาวางแผนจะโยนความผิดหนิงเฉินเปิดห่อสัมภาระของอาไฉ ในนั้นมีเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆไม่กี่ชิ้น“แหกตาสุนัขของพวกท่านดูให้ชัด ๆ ว่าลักลอบเอาสิ่งใดออกไปไหม?”หนิงซิ่งเห็นว่าแผนการโยนความผิดนี้ล้มเหลว ในใจจึงคิดแผนใหม่ขึ้นมา: “บนตัวมันก็ต้องค้นด้วย เผื่อบางทีอาจจะซ่อนไว้ที่ตัว?”“พวกท่านรังแกกันเกินไปแล้ว...พวกท่านไม่ใช่เจ้าหน้าที่ไม่ใช่หัวขโมย มีสิทธิ์อันใดมาค้นตัวผู้อื่น นี่เท่ากับเหยียบย่ำศักดิ์ศรีและความเป็นคนของเขา”หนิงเฉินถูกยั่วให้โมโห หนิงเม่ากล่าวดูถูกว่า: “ศักดิ์ศรี...ในสายตาของข้า เขาเป็นแค่สุนัขเฒ่าที่ไร้ประโยชน์ จะเอาศักดิ์ศรีมาจากที่ใด?”หนิงเฉินเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า: “ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ท่านก็แค่เกิดมามีชาติตระกูลดี ไม่ใช่เพราะท่านมีความสามารถอื่นใด”“เขาเข้ามาเป็นบ่าวในจวนเพราะความจำเป็นในชีวิต การหาเลี้ยงชีพด้วยสองมือไม่ใช่เรื่องน่าอายแม้แต่น้อย...มันมีเกียรติยิ่งกว่าพวกมือไม้อ่อนแรงอย่างพวกท่านเสียอีก”“อาไฉทำงานลำบากตรากตรำในจวนสกุลหนิงมานานหลายสิบปี หรือว่าก่อนเขาจะจากไปยังต้องถูกพวก