แชร์

บทที่ 14

เมื่อเห็นเทียนเสวียนและแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินพออกพอใจ หนิงเฉินจึงอาศัยจังหวะเหมาะนี้พูดขึ้นว่า:

“ท่านลุง วันนี้ท่านอยากจะซื้อบทกวีหรือไม่? ข้าจะคิดให้ท่านในราคาถูกเลย”

ฮ่องเต้ทรงหัวเราะออกมา “บอกข้ามาก่อน เหตุใดหนึ่งเดือนเจ้าถึงไม่ออกมา”

หนิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าถูกคนทำร้ายจนซี่โครงหักสองซี่ นอนอยู่บนเตียงเป็นเดือน...ส่วนเงินที่ข้าได้รับจากการขายบทกวีครั้งก่อนก็ถูกชิงไป เสื้อผ้าชุดใหม่ของข้าก็ถูกชิงไปด้วยเช่นกัน”

สีหน้าของฮ่องเต้เริ่มหม่นคล้ำ

แม่ทัพเฉินยิ่งโมโหหนัก “ผู้ใดทำ? แผ่นดินสงบร่มเย็นใต้พระบาทของโอรสสวรรค์ ยังมีผู้ใดกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้?”

“หลันซิง บอกข้ามาว่าผู้ใดทำ ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”

หนิงเฉินซาบซึ้งใจ คนแปลกหน้ายังปฏิบัติกับเขาดีกว่าคนสกุลหนิงเสียอีก

“ช่างเถอะ มันเป็นความผิดของข้าที่ร่างกายนี้ใช้การไม่ได้ ไม่มีอาหารให้กินอิ่มท้องไม่มีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ให้ใส่ บวกกับเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บหนัก ร่างกายนี้จึงอ่อนแอนัก!”

หนิงเฉินถือโอกาสขายความเวทนา หวังว่าต่อไปเมื่อเทียนเสวียนซื้อบทกวี จะให้ราคาสูง ๆ เพราะเห็นแก่ความน่าสงสารของเขา

แม้ว่าเม่ทัพผู้เฒ่าเฉินจะมีเกียรติยศชื่อเสียง แต่ตอนนี้เขาได้อำลากองทัพแล้ว

ส่วนฝูอ๋องก็เป็นแค่องค์ชายที่เอ้อระเหยไปวัน ๆ ฮ่องเต้คงไม่ได้มอบอำนาจใด ๆ ให้กับเขา

ทว่าเบื้องหลังของหนิงจื้อหมิงคือมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมาก...ไม่มีทางสู้ได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาเดือดร้อนไปด้วย เรื่องราวภายในครอบครัวนั้นซับซ้อนวุ่นวาย กระทั่งขุนนางเที่ยงธรรมยังยากจะตัดสินถูกผิดได้!

แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินยังไม่คลายความโกรธ “จะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร? บอกข้ามาว่าผู้ใดทำ? ข้าจะจัดการให้เจ้า”

หนิงเฉินส่ายหัว “ท่านแม่ทัพ ถ้าท่านสงสารข้าจริง ๆ ก็ซื้อบทกวีจากข้าสักสองบท ข้าจะคิดให้ราคาถูกเหมือนกับท่านลุง”

แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินยังคิดจะพูดสิ่งใด? ทว่ากลับถูกสายตาของฮ่องเต้ปรามไว้

หนิงเฉินไม่ต้องการพูด เขาคงหวาดกลัว จึงไม่อาจฝืนใจเขาได้

“หลันซิง เมื่อครู่ที่เจ้าเพิ่งเสนอแผนรับมือทั้งสามข้อ... เอาอย่างนี้ หนึ่งข้อเท่ากับหนึ่งร้อยตำลึงเป็นอย่างไร?”

หนิงเฉินดวงตาเบิกกว้าง

“ท่าน...ท่านพูดจริงหรือ?”

“ข้า...พูดจริง!”

หนิงเฉินยิ้ม ไม่คิดว่าสิ่งนี้จะสามารถทำเงินได้ด้วย

“ท่านลุง ขอบคุณ!”

หนิงเฉินขอบคุณอย่างจริงใจ

ฮ่องเต้ยิ้มและกล่าวว่า: “หลันซิง เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่?”

หนิงเฉินพยักหน้า

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะยังไม่ให้เงินเจ้าในตอนนี้ แต่เก็บไว้กับข้าก่อน...เมื่อยามที่เจ้าต้องการก็มาหาข้าที่นี่”

“ข้าไม่โกงเจ้าหรอก ตอนนี้เจ้าไม่มีกำลังที่จะปกป้องตัวเองได้ เข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”

หนิงเฉินพยักหน้าเล็กน้อย ที่จริงแล้ว...ถ้าตอนนี้เขาพกตั๋วเงินสามร้อยตำลึงกลับไป ด้วยสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ เขาอาจจะถูกชิงไปอีกก็ได้

ต่อให้เขาเก็บมันไว้ในโรงเก็บเงินก็ยังมีต้นขั้วตั๋วเงินอยู่ หากถูกพบก็ยังจะถูกชิงไปอยู่ดี

“เช่นนั้นก็เก็บไว้กับท่านลุง”

ฝูอ๋องดูแล้วไม่เหมือนคนคดโกง เก็บมันไว้กับเขาก็ไม่น่ามีปัญหาใด

ทว่าเขาพนันได้เลยว่าฝูอ๋องจะไม่หลอกเขา สำหรับฝูอ๋อง เงินสามร้อยตำลึงนั้นน้อยนิด

“เจ้าเด็กหนุ่ม เจ้าผอมแห้งแรงน้อยเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงถูกคนชิงเงินไป...หากเจ้ายินดี จะมาหาข้าที่จวนก็ได้ ข้าจะสอนหมัดมวยให้เจ้า จะได้เอาไว้ป้องกันตัว”

แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินเอ่ย

ดวงตาของหนิงเฉินเป็นประกาย เขารีบทำความเคารพ: “ข้าน้อยยินดี ขอบคุณท่านแม่ทัพ!”

“ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ รอเจ้าหายดีแล้วก็มาหาข้า”

หนิงเฉินพยักหน้าซ้ำ ๆ พร้อมส่งเสียงตอบรับ

หากเอาอกเอาใจท่านแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่จะเป็นประโยชน์ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไม่ตกลง

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังต้องฝึกฝนร่างกาย เพราะร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป

หนิงเฉินมองไปทางฝูอ๋อง “ท่านลุง ท่านยังอยากจะซื้อบทกวีอยู่ไหม?”

ฮ่องเต้มองออกไปนอกหน้าต่าง “วันนี้ดึกแล้ว ที่บ้านยังมีงานต้องทำ...บทกวีเก็บไว้ครั้งหน้าเถอะ”

หนิงเฉินผิดหวังเล็กน้อย พร้อมส่งเสียงตอบรับ

ทว่านึกถึงเงินสามร้อยตำลึงที่หาได้เมื่อครู่ เขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที

ฮ่องเต้ลุกขึ้นและมองไปทางเฉวียนกงกง “ให้เงินหลันซิงห้าตำลึงไว้ใช้จ่ายประจำวัน”

“หลันซิง ข้าให้คนจัดเตรียมอาหารไว้ให้เจ้า เห็นว่าเจ้าซูบผอมต้องกินบำรุงให้มาก...ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ตอนออกไปข้าจะจ่ายค่าอาหารเอง”

หนิงเฉินแววตายิ้มแย้ม “ขอบคุณท่านลุง!”

ฮ่องเต้ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า

“พวกเรากลับกันเถอะ!”

พอเขาเดินมาถึงหน้าประตูก็หันหลังกลับ และถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ของตัวเองออกมาส่งให้หนิงเฉิน

เสื้อคลุมขนสัตว์ ลักษณะเหมือนเสื้อคลุมที่มีความหนา

หนิงเฉินโบกมือซ้ำ ๆ “ท่านลุง สิ่งนี้ข้ารับไม่ได้ มันราคาสูงเกินไป...อีกอย่างข้างนอกหนาวมาก ท่านอย่าปล่อยให้หนาวเลย”

เนื้อผ้าของเสื้อคลุมตัวนี้มองดูก็รู้ว่ามีราคามาก

ฮ่องเต้ทรงยิ้มและตรัสว่า: “ให้เจ้าแล้วก็รับไปเถอะ...ข้ามีรถม้า ไม่หนาวหรอก”

หนิงเฉินปฏิเสธไม่ได้ จึงรับเสื้อคลุมตัวนั้นมา ดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณท่านลุง!”

ฮ่องเต้พยักหน้าและเดินนำผู้คนออกไป

หนิงเฉินสวมเสื้อคลุมไว้บนตัว ไม่เพียงอบอุ่นแค่ร่างกาย แต่หัวใจยิ่งอบอุ่นกว่า

หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เข้ามาได้!”

บริกรต่างทยอยกันเข้ามา ไม่นานก็มีอาหารเลิศรสวางเรียงเต็มโต๊ะ

ช่างรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนกระแสน้ำอุ่นไหลผ่านหัวใจ ท่านลุงเป็นคนดีจริง ๆ...หนิงเฉินคิดในใจ

ในเวลานี้ฮ่องเต้และแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินกำลังนั่งอยู่ภายในรถม้าอันกว้างขวาง

เฉวียนกงกงคอยรับใช้อยู่ข้างกาย

“ท่านแม่ทัพ ท่านคิดว่าหลันซิงเป็นอย่างไร?”

แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินกล่าวว่า: “ชายหนุ่มในเมืองหลวง พอเห็นข้าเหมือนกับเห็นจิ้งจอก หลบเลี่ยงแทบไม่ทัน...เด็กคนนี้เจอข้าไม่หมิ่นตนและไม่ถือตน มีความเป็นแม่ทัพ น่ายกย่องจริง ๆ”

“ประเด็นสำคัญคือเด็กคนนี้ฉลาดและรู้จักวางแผน...หากเขาได้รับการฝึกฝนเพิ่มเติม ในภายภาคหน้าจะกลายเป็นอาวุธที่สำคัญ”

ฮ่องเต้หัวเราะยกใหญ่ “น้อยนักที่จะเห็นแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินประเมินค่าคนรุ่นหลังสูงเช่นนี้ ท่านยังไม่ประเมินค่ารัชทายาทสูงเช่นนี้เสียด้วยซ้ำ”

“ฝ่าบาท เมืองหลวงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้คนพากันทำตัวเกียจคร้าน ชายหนุ่มเหล่านั้นอ่อนแอไร้กำลัง...ควรจะส่งไปที่สนามรบเพื่อฝึกฝนทักษะของพวกเขา”

“ต่างกับหลันซิง แม้เขาจะผอมแห้ง แต่ก็ดูแข็งแรง ไม่หมิ่นตนหรือถือตน เป็นคนมีการศึกษา และเข้าใจกลยุทธ์การสู้รบ... เขาน่ายกย่องจริงๆ”

ฮ่องเต้พยักหน้า “เด็กคนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ !”

“ฝ่าบาท ท่านไม่ควรมองข้ามอัจฉริยะที่โดดเด่นเช่นนี้เด็ดขาด”

ฮ่องเต้ยิ้มสรวลพร้อมเอ่ยว่า: “เรารู้แล้ว!”

“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่อง!”

หลังจากส่งแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินกลับจวน ระหว่างเส้นทางกลับวัง สีหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้หม่นคล้ำลง

เขาเปิดม่านขึ้นและเอ่ยว่า “เนี่ยเหลียงล่ะ?”

เนี่ยเหลียงซึ่งกำลังติดตามอยู่ข้างรถม้าก็โน้มตัวเข้ามา และพูดอย่างนอบน้อมว่า “ฝ่าบาทต้องการสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“เจ้าลองไปสืบดูว่าช่วงนี้หนิงเฉินเจอปัญหาเรื่องใด?”

“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง!”

เฉวียนกงกงดูเหมือนลังเลจะพูด

ฮ่องเต้เหลือบมองเขา “มีสิ่งใดอยากจะพูดรึ?”

เฉวียนกงกงรีบก้มศีรษะลงและเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้หนิงเฉินเคยบอกว่า บาดแผลบนร่างกายของเขาเกิดจากสุนัขดุร้ายในจวน สุนัขดุร้ายตัวนี้น่าจะเป็นใครบางคน และน่าจะเป็นคนของจวนสกุลหนิง”

“เพ้อเจ้อสิ้นดี” ฮ่องเต้ยิ้มเยาะ จากนั้นเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า: “ยังต้องพูดอีกรึ? หากเกิดจากคนนอก เขาคงไปรายงานทางการแล้ว... มีแต่คนในจวนสกุลหนิงเท่านั้น ที่จะทำให้เขาสงบปากและไม่อยากให้พูดมากความเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

“หนิงจื้อหมิงคนนี้ ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจคำพูดของเรา”

เฉวียนกงกงตัวสั่นเล็กน้อย เขารู้ว่าในครั้งนี้ฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก

“ฝ่าบาททรงพระทัยเย็นก่อน สุขภาพสำคัญกว่า อย่าทรงโกรธจนส่งผลเสียต่อพระวรกาย”

ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็นชา และตรัสว่า “สักพักพอกลับถึงวัง เจ้าส่งคนไปที่จวนสกุลหนิง แจ้งให้หนิงจื้อหมิงมาพบข้า”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

หนิงจื้อหมิงเอ๋ย การเป็นขุนนางหลายสิบปีของเจ้าสูญเปล่าแล้ว? ฮ่องเต้ทรงเตือนเจ้าแล้ว แต่เจ้ายังกล้าฝ่าฝืน เพิกเฉยอำนาจสวรรค์ นี่ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายรึ? เฉวียนกงกงพึมพำอยู่ในใจ

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status