“หนิงเฉิน โผล่หัวออกมานะ”“คุณชายรอง ท่านเข้าไปไม่ได้นะขอรับ... คุณชายสี่ติดไข้หวัด อย่าให้แพร่เชื้อใส่ท่านไปด้วยเลยนะขอรับ”“หลีกไป เจ้าสุนัขรับใช้ชั่วช้า กล้าดีอย่างไรมาขวางทางข้า? ให้ไอ้สารเลวนั่นเลิกแสร้งตายแล้วไสหัวออกมาหาข้าเสีย”เสียงด่าทอผสมผสานไปกับเสียงตบหน้าดังก้องหนิงเฉินตกใจตื่นขึ้นมาเขามองไปรอบห้องเล็ก ๆ ด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์มีเพียงโต๊ะสี่เหลี่ยม เก้าอี้กลม เตียงผุพังหลังเล็ก ๆ ไม่มีอะไรอื่นอีกที่นี่คือที่ไหน?ขณะที่หนิงเฉินกำลังสงสัย ชิ้นส่วนความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขา ความเจ็บปวดแสนสาหัสแทบจะทำให้เขาหมดสติไปทว่าความรู้สึกเจ็บปวดนี้ เกิดขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็วหนิงเฉินเช็ดเหงื่อเย็นที่ซึมออกจากหน้าผาก เผยสีหน้าประหลาดออกมา... เขาทะลุมิติหรือนี่เดิมทีเขาเป็นผู้บัญชาการหน่วยกองกำลังพิเศษในโลก ระหว่างการสู้รบกับศัตรู เขาถูกลูกหลงของกระสุนปืนเข้าที่ส่วนสำคัญ และพลีชีพเพื่อประเทศชาติหลังจากที่ตายไปแล้ว เขากลับเดินทางทะลุมิติ เข้ามาในร่างของคนที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับเขาคนนี้อย่างนั้นหรือ?ที่นี่คือราชวงศ์ต้าเสวียนนี่เป็นราชวงศ์ที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในป
รถม้าคันหนึ่งจอดลงที่หน้าประตูจวนสกุลหนิงบ่าวรับใช้รีบนำม้าวางเท้ามาชายหนุ่มผอมเพรียว รูปร่างหน้าตาองอาจผ่าเผย สวมอาภรณ์หรูหราลงจากรถม้าก่อนคนผู้นี้เป็นบุตรชายคนโตแห่งจวนสกุลหนิง หนิงกานทันใดนั้น บุรุษวัยห้าสิบปีซึ่งมีใบหน้าสง่างามลุ่มลึก มีกลิ่นอายไม่ธรรมดาเดินลงจากรถม้าเช่นกันเขาคือหนิงจื้อหมิง เสนาบดีกรมพิธีการของราชวงศ์ปัจจุบัน หนิงกานผลักบ่าวรับใช้ออกไปอย่างแรง และช่วยประคองหนิงจื้อหมิงลงจากรถม้าอย่างเอาใจใส่“กานเอ๋อร์ ข้ากำชับให้คนตุ๋นแม่ไก่แก่ให้เจ้าแล้วหนึ่งตัว เจ้าควรกินอาหารเย็นให้เยอะหน่อยนะ บำรุงให้เต็มที่ สองสามวันมานี้เจ้าคงจะเหนื่อยมากแล้ว”สองสามวันมานี้ มีการสอบคัดเลือกขุนนางที่จัดขึ้นสามปีครั้งในต้าเสวียน หนิงกานเพิ่งเข้าร่วมการสอบขุนนางเสร็จสิ้น หนิงจื้อหมิงจึงไปรับเขาด้วยตนเอง และนี่ก็เพิ่งจะกลับมาถึง“ขอบคุณขอรับท่านพ่อ!”หนิงกานประคองหนิงจื้อหมิงเดินเข้าไปข้างในทันทีที่ผ่านเข้าประตูไป เห็นหนิงเม่าน้องชายคนที่สามของเขา เดินนำบ่าวในบ้านหลายคน ในมือถือท่อนไม้ดูดุร้ายหนิงจื้อหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ?”ครั้นหนิงเม่าเห็นว่าเป็นพ่อข
“ท่านเสนาบดี หากไม่อยากให้ชื่อเสียงเสื่อมเสียว่ากระทำทารุณต่อบุตรชาย โปรดส่งคนนำเครื่องนอนและเสื้อผ้าที่หนากว่านี้มาด้วย”หนิงเฉินตะโกนเสียงดังเขารู้ว่าหนิงจื้อหมิงเป็นคนที่รักษาภาพพจน์อย่างยิ่ง และเขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเช่นนี้หนิงจื้อหมิงได้ยินเช่นนั้น ใบหน้ากลับดูน่าเกลียดยิ่งขึ้นไปอีกหนิงกานรีบเดินตามมา และกล่าวประจบประแจง: “ท่านพ่อ อย่าโกรธไปเลย หนิงเฉินเพียงอยากเรียกร้องความสนใจจากท่านด้วยวิธีนี้ อย่าไปสนใจเขาก็พอแล้ว... ให้เขาอดอาหารสักสองสามวัน แล้วเขาจะพบว่ากลอุบายนี้ไร้ประโยชน์ แน่นอนว่าจะมาขอให้ท่านพ่อยกโทษให้”“ใช่ ต้องไม่ให้เขาทำสำเร็จ กล้าข่มขู่ท่านพ่อ ซ้ำยังกล้าใช้ท่อนฟืนตีเราด้วย ป่าเถื่อนสิ้นดี”หนิงเม่ากล่าวเสริมหนิงจื้อหมิงไม่พูดอะไร เดินมาที่หน้าห้องในเรือนด้านหลังยังไม่ทันเดินเข้าประตูไป ก็ได้ยินเสียงร้องไห้แล้วหนิงกานแหวกม่านให้อย่างประจบประแจง หนิงจื้อหมิงเดินเข้าไปห้องนอนหรูหรา และอบอุ่นหนิงซิ่งนอนอยู่บนเตียง มีผ้าสีขาวพันรอบหน้าผาก และมีเลือดสีแดงสดซึมออกมาข้างเตียงมีฮูหยินรูปร่างอ้วนคนหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่นางเป็นบุต
บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์งดงามขมวดคิ้ว ลิ้มรสหรือ? บทกวีมีการลิ้มรสด้วยหรือ? มันไม่ได้เกี่ยวกับอาหารการกินเสียหน่อยกลิ่นอายของชายหนุ่มผู้นี้ดูไม่เหมือนบัณฑิตเลย กลับเหมือนพ่อค้าหาบเร่ที่เดินไปตามท้องถนนมากกว่า“นายท่าน ชายผู้นี้เป็นคนโกหกตั้งแต่แรกพบ เราอย่าไปสนใจเขาเลย รีบกลับกันเถิดขอรับ”ชายตุ้งติ้งหน้าขาวไร้หนวดเคราจ้องไปที่หนิงเฉินเพราะหนิงเฉินดูเหมือนคนโกหกมากเกินไปน่ะสิหนิงเฉินเบิกตากว้าง “ท่านว่าผู้ใดเป็นคนโกหก? ข้าจะบอกท่านให้นะ อีกไม่นานนักหรอก ข้าจะมีชื่อเสียงสะเทือนไปทั้งโลกวรรณกรรม เมื่อถึงตอนนั้นบทกวีของข้า ทองพันตำลึงก็ไม่อาจซื้อได้...ตอนนี้ไม่ซื้อ รับรองว่าจะต้องเสียใจแน่!”ชายตุ้งติ้งโพล่งคำเหยียดหยาม: “คนอย่างเจ้านะหรือจะมีชื่อเสียงสะเทือนไปทั้งโลกวรรณกรรม?”ใบหน้าของหนิงเฉินเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม “คนไร้ความเป็นชายเช่นท่าน เข้าใจบทกวีหรือ?”“บังอาจ!”ชายตุ้งติ้งชี้นิ้วใส่หนิงเฉิน นิ้วสั่นเทิ้มด้วยความโกรธบุรุษวัยกลางคนสวมอาภรณ์งดงามโบกมือไปมา มองหนิงเฉินพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม:“เจ้ายกยอตนเองว่าเก่งกาจถึงเพียงนั้น? กล้าให้ข้าทดสอบเจ้าไหมล่ะ?”หนิงเฉินกา
เทียนเสวียนมองหนิงเฉินด้วยความตกใจ อายุยังน้อยแท้ ๆ กลับมีรากฐานด้านวรรณกรรมลึกซึ้งเพียงนี้“ดูเหมือนว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ราชวงศ์ต้าเสวียนของเรา จะผลิตบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกวรรณกรรมได้แล้ว”เทียนเสวียนไม่ลังเลที่จะเอ่ยชมแม้แต่ชายตุ้งติ้งที่ดูถูกหนิงเฉินมาตลอด ในเวลานี้ก็ยังเลือกที่จะนิ่งเงียบแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจบทกวีโคลงกลอนมากนัก ทว่าแนวคิดทางศิลปะในบทกลอนนี้ของหนิงเฉิน แม้แต่คนโง่ก็ฟังออกว่าสูงส่งเพียงใด?เมื่อบทกลอนนี้ถูกปล่อยออกไป เชื่อว่าในเวลาไม่นาน จะทำให้เมืองหลวงทั้งเมืองต่างตกตะลึงได้หนิงเฉินยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ข้าไม่อยากมีชื่อเสียง ข้าแค่อยากกินอิ่มสวมเสื้อผ้าอุ่น”ในเวลานี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นชายตุ้งติ้งเดินไปเปิดประตูเด็กยกอาหารหลายคนจากหอจ้วงหยวนเดินเข้ามา ในมือของทุกคนถือถาด บนนั้นมีอาหารรสเลิศอยู่หนิงเฉินมองดูพวกเขาวางไว้บนโต๊ะ อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเทียนเสวียนเหลือบมองเขา ก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้ม: “หลานซิง นั่งลงสิ”หนิงเฉินถามหยั่งเชิง: “ท่านจะเลี้ยงอาหารข้าหรือ?”เทียนเสวียนพยักหน้าที่จริงแล้วหนิงเฉินหิวมาก เขาเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก ตั้งแต่
หนิงเม่าวิ่งเร็วเกินไปจนหนิงเฉินไล่ตามไม่ทันเขากลับไปที่เรือนตะวันตก แล้วขับไล่บ่าวชั่วพวกนั้นออกไปหนิงเฉินพาอาไฉกลับไปที่ห้อง และมอบไก่ย่างครึ่งตัวที่ห่อไว้แล้วให้เขาอาไฉเปิดห่อกระดาษไขแล้วพบว่าเป็นไก่ย่างครึ่งตัว ตอนแรกตกตะลึง ต่อมากลับอดกลืนน้ำลายไม่ได้ในฐานะบ่าวรับใช้ เงินเดือนของเขาน้อยมาก พอประทังชีพได้อย่างยากลำบากเท่านั้นเอง...ตลอดทั้งปีไม่ได้ลิ้มรสของคาวเลยด้วยซ้ำ“อาไฉ ข้าเอามาให้เจ้าโดยเฉพาะ รีบกินซะ!”อาไฉส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ของดีเช่นนี้บำรุงร่างกายของคุณชายสี่ได้พอดี...ท่านเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก กินเนื้อมากหน่อย ร่างกายจะได้ดีขึ้นโดยเร็ว”“ข้ากินไปแล้ว และครึ่งหนึ่งนี้เก็บไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ…เอากลับไปกิน ยังกินคู่กับสุราได้พอดีด้วย”หนิงเฉินยืนกรานหนักแน่น ไม่เช่นนั้นอาไฉคงไม่ยอมรับมันอาไฉไม่อาจขัดใจได้ และเอ่ยขอบคุณเขาซ้ำ ๆ : “ขอบคุณคุณชายสี่ ขอบคุณคุณชายสี่...”“อาไฉ หยุดขอบคุณได้แล้ว...ถ้าไม่มีเจ้า ข้าคงตายไปแล้ว”…และในเวลานี้ ณ พระราชวัง ห้องทรงอักษรและทรงงานฮ่องเต้เสวียนกำลังถือตำราหลายเล่ม พลิกอ่านผ่านแสงเทียนชายตุ้งติ้งรออยู่ด้านข้างอย่างร
เฉวียนกงกงเหลือบตามองขุนนางบู๊และบุ๋นที่เต็มท้องพระโรง ก่อนจะใช้น้ำเสียงแหลมคมอ่านออกเสียง:“จุดตะเกียงพินิจดาบยามเมามาย ฝันย้อนกลับเป่าแตรที่ค่ายยามอาหารแลสุรามอบให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เครื่องดนตรีบรรเลงขับขาน ทบทวนกำลังพลในสนามม้าศึกวิ่งพุ่งทะยานเร็ว คันธนูสะเทือนราวสายฟ้ากษัตราเสร็จกิจบ้านเมือง คว้าชัยมีชื่อเสียงสืบต่อไป น่าเสียดายที่ผมขาวโพลน!”เมื่อเฉวียนกงกงอ่านจบ เดิมท้องพระโรงเงียบสงัดก็ราวกับว่ามีระเบิดลูกหนึ่งร่วงลงสู่ผืนน้ำอันสงบเงียบขุนนางบู๊บุ๋นล้วนตกตะลึง!โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายบุ๋น ต่างมีสีหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นในฐานะขุนนางฝ่ายบุ๋น ผู้ใดจะไม่อยากมีผลงานชิ้นเอกที่สืบทอดรุ่นสู่รุ่นสืบไปบ้างเล่า?ขุนนางฝ่ายบู๊แม้จะไม่มีความรู้เท่าขุนนางฝ่ายบุ๋น ทว่าก็ยังคงฟังแนวคิดทางศิลปะของบทกลอนนี้ออกตรงหน้าพวกเขาดูเหมือนจะมีภาพปรากฏขึ้น แม่ทัพผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนหนึ่งทอดถอนใจด้วยความหดหู่กับดาบล้ำค่าที่ผนึกมาเนิ่นนานแล้วของตนแม่ทัพไม้ใกล้ฝั่ง สาวงามเกศาขาว ล้วนเป็นเรื่องที่น่าเสียใจในชีวิต“ฝ่าบาท บังอาจถามว่าผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์บทกลอนนี้หรือ?”หลี่ฮั่นหรูหัวหน้าสถาบั
จวนสกุลหนิงหนิงเฉินในเวลานี้กำลังทำท่าม้าอยู่ในลานเรือนร่างกายนี้ขาดสารอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว กอปรกับเพิ่งหายจากการป่วยหนัก ค่อนข้างผอมกะหร่องจึงต้องออกกำลังกายให้แข็งแรงหากไม่ใช่เพราะสุขภาพย่ำแย่ของเขา เมื่อวานนี้คงไม่ปล่อยให้หนิงเม่าหนีไปได้หรอกขณะที่หนิงเฉินทำท่าม้า ก็คิดถึงเรื่องราวต่อไปสุดท้ายแล้ว จวนสกุลหนิงแห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเขา จึงต้องหาทางออกไปโดยเร็วที่สุดตามสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าเขาไม่ออกจากจวนสกุลหนิง ไม่ช้าก็เร็วจะถูกฉางหรูเยว่และลูกชายฆ่าตายเอาได้ตอนนี้เขามีหนึ่งร้อยตำลึงเงิน สามารถซื้อเรือนหลังเล็ก ๆ ในสถานที่ห่างไกลได้แล้วอีกสักพัก หนิงจื้อหมิงก็น่าจะเลิกประชุมเช้าแล้ว...ถึงเวลาก็ค่อยไปหาเขาเพื่อหงายไพ่แล้วกันในใจของหนิงจื้อหมิงไม่มีลูกชายแบบเขา ย่อมน่าจะเห็นด้วย...ส่วนฉางหรูเยว่และลูกชาย เกรงว่าอยากจะให้ตนจากไปใจจะขาดเช่นนั้นก็ไปที่เมืองตะวันตกแล้วกัน ที่นั่นมีทั้งคนดีคนเลวปะปนกัน เขาสามารถขายบทกวีไปด้วย ทำของที่ไม่มีในโลกนี้ขายไปด้วยหนิงเฉินกำลังคิดอย่างสะเปะสะปะ หนิงกานและหนิงเม่าก็นำบ่าวรับใช้ถือท่อนไม้หลายคนพุ่งเข้ามาครั้นหนิงเฉินเห็นว่าสถานก