บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์งดงามขมวดคิ้ว ลิ้มรสหรือ? บทกวีมีการลิ้มรสด้วยหรือ? มันไม่ได้เกี่ยวกับอาหารการกินเสียหน่อยกลิ่นอายของชายหนุ่มผู้นี้ดูไม่เหมือนบัณฑิตเลย กลับเหมือนพ่อค้าหาบเร่ที่เดินไปตามท้องถนนมากกว่า“นายท่าน ชายผู้นี้เป็นคนโกหกตั้งแต่แรกพบ เราอย่าไปสนใจเขาเลย รีบกลับกันเถิดขอรับ”ชายตุ้งติ้งหน้าขาวไร้หนวดเคราจ้องไปที่หนิงเฉินเพราะหนิงเฉินดูเหมือนคนโกหกมากเกินไปน่ะสิหนิงเฉินเบิกตากว้าง “ท่านว่าผู้ใดเป็นคนโกหก? ข้าจะบอกท่านให้นะ อีกไม่นานนักหรอก ข้าจะมีชื่อเสียงสะเทือนไปทั้งโลกวรรณกรรม เมื่อถึงตอนนั้นบทกวีของข้า ทองพันตำลึงก็ไม่อาจซื้อได้...ตอนนี้ไม่ซื้อ รับรองว่าจะต้องเสียใจแน่!”ชายตุ้งติ้งโพล่งคำเหยียดหยาม: “คนอย่างเจ้านะหรือจะมีชื่อเสียงสะเทือนไปทั้งโลกวรรณกรรม?”ใบหน้าของหนิงเฉินเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม “คนไร้ความเป็นชายเช่นท่าน เข้าใจบทกวีหรือ?”“บังอาจ!”ชายตุ้งติ้งชี้นิ้วใส่หนิงเฉิน นิ้วสั่นเทิ้มด้วยความโกรธบุรุษวัยกลางคนสวมอาภรณ์งดงามโบกมือไปมา มองหนิงเฉินพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม:“เจ้ายกยอตนเองว่าเก่งกาจถึงเพียงนั้น? กล้าให้ข้าทดสอบเจ้าไหมล่ะ?”หนิงเฉินกา
เทียนเสวียนมองหนิงเฉินด้วยความตกใจ อายุยังน้อยแท้ ๆ กลับมีรากฐานด้านวรรณกรรมลึกซึ้งเพียงนี้“ดูเหมือนว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ราชวงศ์ต้าเสวียนของเรา จะผลิตบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกวรรณกรรมได้แล้ว”เทียนเสวียนไม่ลังเลที่จะเอ่ยชมแม้แต่ชายตุ้งติ้งที่ดูถูกหนิงเฉินมาตลอด ในเวลานี้ก็ยังเลือกที่จะนิ่งเงียบแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจบทกวีโคลงกลอนมากนัก ทว่าแนวคิดทางศิลปะในบทกลอนนี้ของหนิงเฉิน แม้แต่คนโง่ก็ฟังออกว่าสูงส่งเพียงใด?เมื่อบทกลอนนี้ถูกปล่อยออกไป เชื่อว่าในเวลาไม่นาน จะทำให้เมืองหลวงทั้งเมืองต่างตกตะลึงได้หนิงเฉินยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ข้าไม่อยากมีชื่อเสียง ข้าแค่อยากกินอิ่มสวมเสื้อผ้าอุ่น”ในเวลานี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นชายตุ้งติ้งเดินไปเปิดประตูเด็กยกอาหารหลายคนจากหอจ้วงหยวนเดินเข้ามา ในมือของทุกคนถือถาด บนนั้นมีอาหารรสเลิศอยู่หนิงเฉินมองดูพวกเขาวางไว้บนโต๊ะ อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเทียนเสวียนเหลือบมองเขา ก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้ม: “หลานซิง นั่งลงสิ”หนิงเฉินถามหยั่งเชิง: “ท่านจะเลี้ยงอาหารข้าหรือ?”เทียนเสวียนพยักหน้าที่จริงแล้วหนิงเฉินหิวมาก เขาเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก ตั้งแต่
หนิงเม่าวิ่งเร็วเกินไปจนหนิงเฉินไล่ตามไม่ทันเขากลับไปที่เรือนตะวันตก แล้วขับไล่บ่าวชั่วพวกนั้นออกไปหนิงเฉินพาอาไฉกลับไปที่ห้อง และมอบไก่ย่างครึ่งตัวที่ห่อไว้แล้วให้เขาอาไฉเปิดห่อกระดาษไขแล้วพบว่าเป็นไก่ย่างครึ่งตัว ตอนแรกตกตะลึง ต่อมากลับอดกลืนน้ำลายไม่ได้ในฐานะบ่าวรับใช้ เงินเดือนของเขาน้อยมาก พอประทังชีพได้อย่างยากลำบากเท่านั้นเอง...ตลอดทั้งปีไม่ได้ลิ้มรสของคาวเลยด้วยซ้ำ“อาไฉ ข้าเอามาให้เจ้าโดยเฉพาะ รีบกินซะ!”อาไฉส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ของดีเช่นนี้บำรุงร่างกายของคุณชายสี่ได้พอดี...ท่านเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก กินเนื้อมากหน่อย ร่างกายจะได้ดีขึ้นโดยเร็ว”“ข้ากินไปแล้ว และครึ่งหนึ่งนี้เก็บไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ…เอากลับไปกิน ยังกินคู่กับสุราได้พอดีด้วย”หนิงเฉินยืนกรานหนักแน่น ไม่เช่นนั้นอาไฉคงไม่ยอมรับมันอาไฉไม่อาจขัดใจได้ และเอ่ยขอบคุณเขาซ้ำ ๆ : “ขอบคุณคุณชายสี่ ขอบคุณคุณชายสี่...”“อาไฉ หยุดขอบคุณได้แล้ว...ถ้าไม่มีเจ้า ข้าคงตายไปแล้ว”…และในเวลานี้ ณ พระราชวัง ห้องทรงอักษรและทรงงานฮ่องเต้เสวียนกำลังถือตำราหลายเล่ม พลิกอ่านผ่านแสงเทียนชายตุ้งติ้งรออยู่ด้านข้างอย่างร
เฉวียนกงกงเหลือบตามองขุนนางบู๊และบุ๋นที่เต็มท้องพระโรง ก่อนจะใช้น้ำเสียงแหลมคมอ่านออกเสียง:“จุดตะเกียงพินิจดาบยามเมามาย ฝันย้อนกลับเป่าแตรที่ค่ายยามอาหารแลสุรามอบให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เครื่องดนตรีบรรเลงขับขาน ทบทวนกำลังพลในสนามม้าศึกวิ่งพุ่งทะยานเร็ว คันธนูสะเทือนราวสายฟ้ากษัตราเสร็จกิจบ้านเมือง คว้าชัยมีชื่อเสียงสืบต่อไป น่าเสียดายที่ผมขาวโพลน!”เมื่อเฉวียนกงกงอ่านจบ เดิมท้องพระโรงเงียบสงัดก็ราวกับว่ามีระเบิดลูกหนึ่งร่วงลงสู่ผืนน้ำอันสงบเงียบขุนนางบู๊บุ๋นล้วนตกตะลึง!โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายบุ๋น ต่างมีสีหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นในฐานะขุนนางฝ่ายบุ๋น ผู้ใดจะไม่อยากมีผลงานชิ้นเอกที่สืบทอดรุ่นสู่รุ่นสืบไปบ้างเล่า?ขุนนางฝ่ายบู๊แม้จะไม่มีความรู้เท่าขุนนางฝ่ายบุ๋น ทว่าก็ยังคงฟังแนวคิดทางศิลปะของบทกลอนนี้ออกตรงหน้าพวกเขาดูเหมือนจะมีภาพปรากฏขึ้น แม่ทัพผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนหนึ่งทอดถอนใจด้วยความหดหู่กับดาบล้ำค่าที่ผนึกมาเนิ่นนานแล้วของตนแม่ทัพไม้ใกล้ฝั่ง สาวงามเกศาขาว ล้วนเป็นเรื่องที่น่าเสียใจในชีวิต“ฝ่าบาท บังอาจถามว่าผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์บทกลอนนี้หรือ?”หลี่ฮั่นหรูหัวหน้าสถาบั
จวนสกุลหนิงหนิงเฉินในเวลานี้กำลังทำท่าม้าอยู่ในลานเรือนร่างกายนี้ขาดสารอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว กอปรกับเพิ่งหายจากการป่วยหนัก ค่อนข้างผอมกะหร่องจึงต้องออกกำลังกายให้แข็งแรงหากไม่ใช่เพราะสุขภาพย่ำแย่ของเขา เมื่อวานนี้คงไม่ปล่อยให้หนิงเม่าหนีไปได้หรอกขณะที่หนิงเฉินทำท่าม้า ก็คิดถึงเรื่องราวต่อไปสุดท้ายแล้ว จวนสกุลหนิงแห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเขา จึงต้องหาทางออกไปโดยเร็วที่สุดตามสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าเขาไม่ออกจากจวนสกุลหนิง ไม่ช้าก็เร็วจะถูกฉางหรูเยว่และลูกชายฆ่าตายเอาได้ตอนนี้เขามีหนึ่งร้อยตำลึงเงิน สามารถซื้อเรือนหลังเล็ก ๆ ในสถานที่ห่างไกลได้แล้วอีกสักพัก หนิงจื้อหมิงก็น่าจะเลิกประชุมเช้าแล้ว...ถึงเวลาก็ค่อยไปหาเขาเพื่อหงายไพ่แล้วกันในใจของหนิงจื้อหมิงไม่มีลูกชายแบบเขา ย่อมน่าจะเห็นด้วย...ส่วนฉางหรูเยว่และลูกชาย เกรงว่าอยากจะให้ตนจากไปใจจะขาดเช่นนั้นก็ไปที่เมืองตะวันตกแล้วกัน ที่นั่นมีทั้งคนดีคนเลวปะปนกัน เขาสามารถขายบทกวีไปด้วย ทำของที่ไม่มีในโลกนี้ขายไปด้วยหนิงเฉินกำลังคิดอย่างสะเปะสะปะ หนิงกานและหนิงเม่าก็นำบ่าวรับใช้ถือท่อนไม้หลายคนพุ่งเข้ามาครั้นหนิงเฉินเห็นว่าสถานก
ทันทีที่หนิงจื้อหมิงกลับถึงจวน ก็ได้ยินเสียงดังโวยวายมาจากเรือนตะวันตก ดังนั้นเขาจึงเดินมาดูทว่าเมื่อเขาเห็นหนิงเฉินซึ่งหมดสติทั้งที่จมูกช้ำใบหน้าบวม สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันทีความหนาวเย็นไหลตามกระดูกก้นกบและพุ่งตรงไปที่ท้ายทอยของหนิงจื้อหมิง ทำให้เขาวิงเวียนศีรษะฮ่องเต้เสวียนเพิ่งเตือนเขาให้ปฏิบัติต่อหนิงเฉินด้วยความเมตตา ทว่ายามนี้ก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเสียแล้ว นี่มิใช่ว่าจะเอาชีวิตเขาหรือ?หากฮ่องเต้เสวียนรู้เรื่องนี้เข้า ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ทุกคนที่นี่มีเท่าใดก็เท่านั้น ผู้ใดล้วนอย่าได้คิดว่าจะรอดไปได้“ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว...หนิงเฉินคนนี้ทำมากเกินไปขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว เมื่อสองวันก่อนทำร้ายเข้าที่ศีรษะของพี่รอง วันนี้เขายังขโมยเงินของพี่ใหญ่อีก”“เรามาเผชิญหน้ากับเขา แต่เขาไม่เพียงแค่ไม่ยอมรับเท่านั้น ยังลงมือทำร้ายคนอีกด้วย...ท่านดูแขนของข้าสิ เป็นแผลที่เขากัดทั้งนั้นเลย”“ท่านพ่อ ท่านต้องตัดสินให้ข้านะขอรับ!”หนิงเม่าร้องไห้ทันที อุบายนี้เขาใช้มาหลายต่อหลายครั้ง และมันก็ได้ผลเสมอทว่าคราวนี้อุบายนี้ใช้ไม่ได้ผล หนิงจื้อหมิงหันกลับมา และตวัดมือตบหน้าเขาอย
หนิงเฉินตื่นขึ้นมาและพบว่าตนอยู่ในห้องแปลก ๆเตียงนุ่ม เครื่องเรือนงดงามห้องนี้ดีกว่าห้องโทรม ๆ เล็ก ๆ ของเขามากหรือว่าตนทะลุมิติเป็นครั้งที่สองแล้ว?“ฟื้นแล้วหรือ?”หนิงเฉินหันไปมองเมื่อได้ยินเสียง ผลที่ตามมาคือการเคลื่อนไหวนี้ส่งผลต่อบาดแผลบนร่างกาย เจ็บจนร้องโอดครวญแต่เขาแปลกใจมากยิ่งขึ้น เพราะคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงคือหนิงจื้อหมิงจริง ๆ“พ่อบ้านอู๋ เฉินเอ๋อร์ฟื้นแล้ว...ไปเอายาและน้ำแกงไก่ที่เตรียมไว้แล้วมาทั้งหมด”หนิงจื้อหมิงตะโกนไปทางประตูหนิงเฉินสีหน้าสับสน เป็นตนที่ถูกทุบตีจนสมองโง่ไปแล้วรึ? ยังฝันอยู่รึ?โดยเฉพาะน้ำเสียงของหนิงจื้อหมิงทำให้เขาขนลุกชัน“เฉินเอ๋อร์ เป็นเช่นไรบ้าง? รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง?”หนิงเฉินยื่นมือออกไป อยากจะหยิกใบหน้าเพื่อดูว่าเขาไม่ได้กำลังฝันอยู่ทว่าเขาลังเลเล็กน้อย และโบกมือไปทางหนิงจื้อหมิงหนิงจื้อหมิงชะงักไปครู่หนึ่ง คิดว่าหนิงเฉินมีอะไรอยากพูด เขาจึงขยับเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัวเป็นผลให้หนิงเฉินคว้าเคราของเขาไว้และดึงมันอย่างแรง...รากขาดไปหลายเส้นเลยทีเดียวหนิงจื้อหมิงเจ็บจนสูดลมหายใจเข้า เผลอยกมือขึ้นจะตบหนิงเฉิน...แต่ยกมือขึ้น
“พ่อบ้านอู๋ เข้ามาได้!”หนิงเฉินตะโกนเรียกพ่อบ้านอู๋ให้เข้ามา หลังจากกระเพาะปัสสาวะที่อัดแน่นแทบระเบิดได้ปลดปล่อยออกมาพ่อบ้านอู๋เดินเข้ามาอย่างอ่อนน้อม ส่วนด้านหลังยังมีสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มยกถ้วยยาตามเข้ามาด้วย“คุณชายสี่ ยาต้มเสร็จแล้ว...ไม่ทราบว่ายังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?”หนิงเฉินฝืนทนความเจ็บปวด นั่งเอนตัวพิงกับหัวเตียง แล้วพูดว่า “นำกระโถนไปเทให้ข้าที”พ่อบ้านอู๋เงยหน้าขึ้นมองเขา หนังหน้ากระตุก“มีสิ่งใดรึ หรือจะให้ข้าไปเทเอง?”พ่อบ้านอู๋รีบเอ่ยขึ้นว่า “มิกล้า บ่าวจะไปเทเดี๋ยวนี้”เขาเดินเข้ามา และหยิบกระโถนด้วยสีหน้ารังเกียจเดินออกไป ดวงตาฉายแววอำมหิตหนิงจื้อหมิงจู่ ๆ ก็มีท่าทีต่อหนิงเฉินที่เปลี่ยนไป เขาจึงไม่กล้ารังแกหนิงเฉินตามอำเภอใจเหมือนแต่ก่อนจะไม่ให้เจ้าลูกนอกคอกคนนี้ได้รับความโปรดปรานเด็ดขาด มิเช่นนั้นวันข้างหน้าเขาจะต้องอยู่ลำบากแน่...พ่อบ้านอู๋คิดในใจอย่างชั่วร้ายสาวใช้พยายามเก็บมุมปาก กลัวว่าตนจะเผยยิ้มออกมาปกติพ่อบ้านอู๋คนนี้มักจะรังแกลูกน้องอย่างพวกนางอยู่เสมอ ทั้งเอาเปรียบและหักค่าแรงของพวกนาง ทว่าทุกคนโกรธแต่ไม่กล้าพูด...ในที่สุดวันนี้ก็มีคนจัดกา