แชร์

บทที่ 3

“ท่านเสนาบดี หากไม่อยากให้ชื่อเสียงเสื่อมเสียว่ากระทำทารุณต่อบุตรชาย โปรดส่งคนนำเครื่องนอนและเสื้อผ้าที่หนากว่านี้มาด้วย”

หนิงเฉินตะโกนเสียงดัง

เขารู้ว่าหนิงจื้อหมิงเป็นคนที่รักษาภาพพจน์อย่างยิ่ง และเขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเช่นนี้

หนิงจื้อหมิงได้ยินเช่นนั้น ใบหน้ากลับดูน่าเกลียดยิ่งขึ้นไปอีก

หนิงกานรีบเดินตามมา และกล่าวประจบประแจง: “ท่านพ่อ อย่าโกรธไปเลย หนิงเฉินเพียงอยากเรียกร้องความสนใจจากท่านด้วยวิธีนี้ อย่าไปสนใจเขาก็พอแล้ว... ให้เขาอดอาหารสักสองสามวัน แล้วเขาจะพบว่ากลอุบายนี้ไร้ประโยชน์ แน่นอนว่าจะมาขอให้ท่านพ่อยกโทษให้”

“ใช่ ต้องไม่ให้เขาทำสำเร็จ กล้าข่มขู่ท่านพ่อ ซ้ำยังกล้าใช้ท่อนฟืนตีเราด้วย ป่าเถื่อนสิ้นดี”

หนิงเม่ากล่าวเสริม

หนิงจื้อหมิงไม่พูดอะไร เดินมาที่หน้าห้องในเรือนด้านหลัง

ยังไม่ทันเดินเข้าประตูไป ก็ได้ยินเสียงร้องไห้แล้ว

หนิงกานแหวกม่านให้อย่างประจบประแจง หนิงจื้อหมิงเดินเข้าไป

ห้องนอนหรูหรา และอบอุ่น

หนิงซิ่งนอนอยู่บนเตียง มีผ้าสีขาวพันรอบหน้าผาก และมีเลือดสีแดงสดซึมออกมา

ข้างเตียงมีฮูหยินรูปร่างอ้วนคนหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่

นางเป็นบุตรีของฉางเฉิงอวิ่น เสนาบดีฝ่ายซ้ายของราชวงศ์ปัจจุบัน ฉางหรูเยว่

เมื่อฉางหรูเยว่เห็นหนิงจื้อหมิง นางก็ปาดน้ำตา ยืนขึ้นทำความเคารพ และเอ่ยพร้อมเสียงสะอื้นไห้ “นายท่านกลับมาแล้วหรือ?”

หนิงจื้อหมิงส่งเสียงอืม แล้วมองไปยังหนิงซิ่งที่อยู่บนเตียง ก่อนจะเอ่ยถาม “ซิ่งเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง? ไปตามหมอมาดูหรือยัง?”

ฉางหรูเยว่ร้องไห้กระซิกพลางตอบ:

“หมอมาถึงแล้ว ซิ่งเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บสาหัส หมอบอกว่าต้องพักฟื้นอยู่บนเตียงสักพัก”

หนิงจื้อหมิงขมวดคิ้ว สีหน้าไม่พอใจ

“ไอ้สาร...” หนิงเม่ากำลังจะพูดว่าไอ้สารเลว ฉางหรูเยว่เหลือบตามอง เขาจึงเปลี่ยนคำพูดในทันที “พี่รองน่าสงสารจริง ๆ ปกติแล้วหากมีอาหารอร่อยเครื่องดื่มดี ๆ ก็ล้วนเก็บไว้ให้หนิงเฉินทั้งหมด คิดไม่ถึงเลยว่าเขาไม่เพียงแต่ขโมยจี้หยกของพี่รองไปเท่านั้น ยังลงมืออย่างโหดร้ายอีกด้วย เขาทำเกินไปแล้ว!”

ฉางหรูเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย และเอ่ยตำหนิ:

“อย่าพูดถึงน้องชายตนแบบนั้น อย่างไรเสียหนิงเฉินก็มาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ในชนบท จึงขาดการอบรมสั่งสอน...อีกทั้งเพราะคนเป็นแม่อย่างข้าบกพร่องในหน้าที่ ไม่ได้อบรมสอนสั่งเขาให้ดี”

หนิงกานรีบพูดขึ้น: “ท่านแม่ เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับท่านกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็นความผิดของหนิงเฉิน ท่านจะผูกมัดความรับผิดชอบไว้กับตนเองได้อย่างไร?”

ฉางหรูเยว่เช็ดน้ำตาตรงมุมหางตาที่ไม่มีอยู่จริง พลางถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น:

“หนิงเฉินค่อนข้างดื้อรั้น แต่ก็มิใช่ความผิดของเขาคนเดียว เป็นแม่ที่อบรมสั่งสอนเขาไม่ดี”

“พวกเจ้าสองพี่น้องจะไปโทษเขาเพราะเรื่องนี้ไม่ได้นะ...แม้ว่าเขาจะไม่ได้เกิดจากแม่ แต่แม่ก็ยังปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นลูกของตน”

หนิงจื้อหมิงเดิมอยากถามเรื่องที่หนิงเฉินขาดเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่เมื่อได้ยินฉางหรูเยว่พูดเช่นนั้น ก็มั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าหนิงเฉินกำลังโกหก

ฮึ่ม เขาดื้อรั้นจนเป็นนิสัย พูดแต่เรื่องโกหก เป็นเด็กที่ไม่สามารถสั่งสอนได้

“หนิงเฉินรังแกผู้อาวุโสกว่า ลงมืออย่างโหดเหี้ยมเลวร้าย...เด็ก ๆ ปิดเรือนตะวันตก หากไม่มีคำสั่งของข้า ไม่อนุญาตให้เขาก้าวออกจากเรือนตะวันตกแม้แต่ครึ่งก้าว”

หนิงจื้อหมิงกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนมุมริมฝีปากของฉางหรูเยว่...ความร้ายกาจของนางนั้น เหนือกว่าบุตรชายทั้งสามของนางมาก

...

ณ เรือนตะวันตก อาไฉประคองหนิงเฉินกลับเข้าไปในห้อง

“คุณชายสี่ เมื่อครู่ท่านทำให้ข้ากลัวแทบตายจริง ๆ นะขอรับ”

“ท่านว่าท่านจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ? ยอมโอนอ่อนกับนายท่านก็สิ้นเรื่องแล้ว...คราวนี้ เกรงว่านายท่านจะยิ่งไม่ต้องการพบท่านอีกต่อไปน่ะสิขอรับ!”

หนิงเฉินแสยะยิ้มเย็นชา “อาไฉ นี่ข้ายังโอนอ่อนน้อยไปอีกหรือ?”

“หลายปีมานี้ ข้าเอาอกเอาใจพวกเขาอย่างระมัดระวัง กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม แม้ว่าสุนัขที่บ้านกัดข้า ข้ายังต้องขอโทษสุนัขด้วยซ้ำ…แต่เจ้าก็เห็น ข้าเกือบได้ไปพบยมบาลแล้ว”

อาไฉถอนหายใจ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ

เขารู้สึกสงสารหนิงเฉินจริง ๆ เป็นคนรู้ความ ใจดี และเชื่อฟัง... แต่เหตุใดถึงไม่ได้รับรอยยิ้มจากนายท่านเลยล่ะ?

พูดไปพูดมา เป็นเพราะคุณชายสี่ไม่มีคนหนุนหลัง และไม่สามารถช่วยเหลือหน้าที่การงานของนายท่านได้

“คุณชายสี่ ที่ท่านทำเช่นนี้ มีเจตนาอะไรหรือขอรับ? รังแต่จะทำให้สถานการณ์ของตนลำบากยากเข็ญเท่านั้น”

หนิงเฉินยิ้ม: “อย่างน้อยที่สุด พวกหนิงกานทั้งสามคน ภายภาคหน้าจะไม่กล้ารังแกข้าตามใจชอบอีก”

อาไฉเจ็บปวดใจยิ่งนัก

“การสอบขุนนางเสร็จสิ้นแล้ว อีกสามวันน่าจะประกาศผลกระมัง?”

อาไฉพยักหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมหนิงเฉินถึงถามเรื่องนี้?

หนิงเฉินยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เจ้าว่าหนิงกานจะมีชื่ออยู่บนกระดานหรือไม่?”

“คุณชายใหญ่ได้รับการสั่งสอนจากนายท่านโดยตรง ดังนั้นความรู้ย่อมไม่มีทางด้อยแน่นอน... ไม่ผิดไปจากที่คาดหรอกขอรับ คุณชายใหญ่จะต้องมีชื่ออยู่บนกระดานอย่างแน่นอน”

อาไฉพูด และถอนหายใจหนัก ๆ “คุณชายสี่จะร่ำเรียนหนังสือจดจำตัวอักษรก็สายเกินไปเสียแล้ว หากเร็วกว่านี้เสียหน่อย บางทีอาจสามารถกลับมาพร้อมกับตำแหน่งทางราชการได้ เช่นนี้ต่อไปก็ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกท่านอีก”

สกุลหนิงมีอาจารย์สอนตำรา

หลังจากที่หนิงเฉินมาถึงสกุลหนิง ก็ได้ติดตามคุณชายหลายคนไปเรียนรู้วิธีอ่านเขียน แต่สุดท้าย จะเรียนรู้มันก็สายเกินไปแล้ว ดังนั้นความรู้ย่อมไม่ดีเท่าคุณชายอีกสามคน

“อาไฉ เจ้าเชื่อว่าโลกนี้มีอัจฉริยะหรือไม่?”

อาไฉมองหนิงเฉินด้วยความสับสน

หนิงเฉินยิ้ม “อาไฉ ที่จริงแล้วข้าก็คืออัจฉริยะ...สิ่งที่อาจารย์สอน ข้าได้เรียนรู้ทุกอย่างแล้ว และความรู้ของข้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหนิงกานเลย”

“เมื่อก่อนข้าไม่อยากเป็นจุดสนใจ เพราะกลัวจะทำให้พวกเขาริษยา…แต่ตอนนี้ ข้าไม่ต้องปกปิดตัวเองอีกต่อไปแล้ว”

“อาไฉ คอยดูเถิด... อาจจะเร็ว ๆ นี้? ข้าจะมีชื่อเสียงในโลกวรรณกรรม”

อาไฉกลับมองหนิงเฉินด้วยสีหน้าเป็นกังวล เป็นไปได้ไหมว่าไข้จะทำให้สมองของเขาพังไปแล้ว? เหตุใดถึงเริ่มพูดเรื่องเหลวไหลแล้วเล่า?

ในใจของหนิงเฉินพูดว่า หากองค์ชายน้อยที่ได้ทุกอย่างมาโดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลยเช่นข้าลงมือเมื่อไรแล้วละก็ ท่าน หนิงกาน ชาตินี้ก็อย่าคิดลืมตาอ้าปากได้อีก

ปราชญ์ในยุคนี้เก่งด้านบทกวี ทำให้ราชวงศ์ต้าเสวียนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีรูปแบบของวรรณกรรมที่แพร่หลาย มีบทกวีและบทกลอนปรากฏออกมาเป็นจำนวนมาก

ว่ากันว่ายามนั้นเสนาบดีฝ่ายซ้ายอาศัยบทกวี ทำให้ฮ่องเต้เสวียนปฏิบัติต่อเขาแตกต่างออกไป ก้าวหน้าราบรื่น

ดังนั้น ผู้รู้หนังสือแห่งราชวงศ์ต้าเสวียนล้วนอยากเขียนผลงานชิ้นเอกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว... บางทีอาจจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ก็เป็นได้

หนิงเฉินคิดที่จะขายบทกวี

บทกวีที่ดีหาได้ยากยิ่ง

หนิงเฉินเขียนบทกวีไม่เป็น แต่ในโลกนี้ไม่มียักษ์ใหญ่แห่งบทกวีเช่น หลี่ไป๋ ตู้ฟู่ และไป๋จวีอี้ หากตัวเขาเองไม่สามารถเป็นยักษ์ได้ เช่นนั้นก็จะยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์ และแกล้งทำเป็นมีอำนาจบารมีเสียเอง

จากนี้ไปเขาจะเป็นน้องชายของไป๋จวีอี้...ไป๋เผียว! (แปลว่า ได้ทุกอย่างมาโดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลย)

เนื่องจากความกดดันในชีวิต เชื่อว่าผู้อาวุโสสองสามคนนั้นจะไม่ตำหนิเขา

ก่อนอื่นหาเงิน

พอมีเงินแล้ว ก็หาทางย้ายออก

แต่นี่เป็นเรื่องยากนิดหน่อย

ประการแรก ใบรับรองของเขาอยู่ในมือของหนิงจื้อหมิง

ใบรับรองเทียบเท่ากับบัตรประจำตัวประชาชน หากไม่มีใบรับรอง ก็จะไม่สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ ไม่แน่อาจถูกจับในข้อหาเป็นโจรเสียด้วยซ้ำ

เพื่อชื่อเสียงของหนิงจื้อหมิงเอง จะต้องไม่มอบใบรับรองให้เขาง่าย ๆ เป็นแน่...เขาจะลองในภายหลัง ดูว่าจะหาวิธีขโมยมันมาไว้ในมือได้หรือไม่?

ประการที่สอง ตามกฎหมายต้าเสวียน หากครอบครัวมีลูกชายเพียงคนเดียว จะต้องปรนนิบัติดูแลพ่อแม่ ถ้าครอบครัวมีพี่น้องหลายคน จะสามารถแยกบ้านได้ ทว่าบุรุษจำต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสิบหกปี ในโลกนี้อายุสิบหกปีก็กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว

ทั้งหมดนี้เขียนไว้ในกฎหมาย และเมื่อฝ่าฝืนจะถูกลงโทษขั้นรุนแรง

แต่นี่เป็นเรื่องง่ายดายมาก ในอีกไม่กี่เดือนเขาก็จะอายุสิบหกปี อดทนก็จะผ่านพ้นไปได้แล้ว

ไม่สนแล้ว หาเงินก่อนแล้วกัน

เนื่องจากพระเจ้าได้ประทานโอกาสให้เขาได้มีชีวิตใหม่ เช่นนั้นจะต้องไม่ใช้ชีวิตไม่เอาไหนเด็ดขาด

อาจไม่ต้องเป็นถึงขุนนางผู้สูงส่ง แต่อย่างน้อยก็ต้องมีครอบครัวที่มั่งคั่งร่ำรวยให้ได้

“อาไฉ พรุ่งนี้ไปที่หอจ้วงหยวนกัน!”

ในเมืองหลวงมีหอจ้วงหยวน ซึ่งเป็นที่ที่บัณฑิตและนักกวีมารวมตัวกัน

เจ้าของหอจ้วงหยวนเก่งกาจด้านบทกวี ตราบใดที่สามารถเขียนคำในบทกวีดี ๆ ออกมาได้ ก็สามารถกินอาหารในหอจ้วงหยวนได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน

ดังนั้นหอจ้วงหยวนจึงผลิตผลงานยอดเยี่ยมมาไม่น้อย

หนิงเฉินตัดสินใจไปขายบทกวีที่หอจ้วงหยวนพรุ่งนี้ ทำกำไรจากมันก่อน เรื่องย้ายออกค่อยว่ากันอีกที

...

วันรุ่งขึ้น หนิงเฉินตื่นขึ้นมา อาไฉก็เข้ามาพร้อมกับน้ำร้อน

“อาไฉ รีบเก็บข้าวของ รอข้าอาบน้ำเสร็จแล้ว เราจะไปที่หอจ้วงหยวนกัน”

“คุณชายสี่ เกรงว่าเราจะไปไม่ได้แล้วละขอรับ”

“หืม?”

อาไฉถอนหายใจแล้วพูดต่อ “เมื่อคืนนายท่านมีคำสั่งลงมา ให้กักบริเวณท่าน ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามก้าวออกจากเรือนตะวันตกแม้แต่ครึ่งก้าว ที่ประตูมีคนเฝ้าอยู่ขอรับ”

สีหน้าของหนิงเฉินมืดมนลง

แต่ทว่า เขามีแผนที่ดี และเราก็มีบันไดด้วย

ที่มุมกำแพงด้านในลานเรือนมีกองฟืน สามารถรื้อออกมาได้

หนิงเฉินอาบน้ำอย่างรวดเร็ว แล้วมาที่ลานเรือน วางแผนที่จะปีนกำแพงออกไป

แต่อาไฉไปไม่ได้ เขาแก่มากแล้ว อีกทั้งขาก็พิการด้วย จึงปีนข้ามกำแพงไม่ได้

“คุณชายสี่ เราอย่าไปเลยดีกว่าไหม? หากนายท่านรู้เข้า จะโกรธเอาได้นะขอรับ”

หนิงเฉินแสยะยิ้ม “อยากโกรธก็โกรธไปสิ ไฟโทสะโหมกระหน่ำปานนี้ หากเก่งจริงก็เผาตัวเองให้ข้าดูหน่อยสิ... ผู้ใดก็อย่าคิดขวางทางทำมาหากินของข้า”

หนิงเฉินปีนกำแพงออกมา

ตั้งแต่มาถึงจวนสกุลหนิง หนิงเฉินก็ไม่ค่อยออกไปไหนเลย เรื่องหอจ้วงหยวนเขาเพียงแค่เคยได้ยินมาเท่านั้น แต่ไม่เคยไปที่นั่นเลย

แต่ถึงอย่างไรก็ตามหอจ้วงหยวนมีชื่อเสียงมาก เขาสอบถามไปตลอดทางก็ถึงหอจ้วงหยวนอย่างราบรื่นแล้ว

หอจ้วงหยวนเป็นอาคารสีแดงสามชั้น ล้อมรอบด้วยน้ำสามด้าน ดูมีจิตวิญญาณอย่างมาก และทำเลที่ตั้งก็ดีมากเช่นกัน

ขณะที่หนิงเฉินกำลังจะเข้าไป มีคนสามคนเดินออกมาจากด้านในพอดี

ผู้ที่เดินนำคือบุรุษในวัยสี่สิบห้าสิบปี เสื้อผ้าอาภรณ์งดงาม บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา

ด้านหลังมีคนเดินตามมาสองคน คนหนึ่งมีหนวดเคราดก รูปร่างกำยำ หน้าตาดุร้าย

อีกคนหนึ่งมีใบหน้าขาวไร้เครา ลักษณะท่าทางเช่นสตรี

บุรุษวัยกลางคนในชุดงดงามส่ายหัวพลางถอนหายใจ: “มาเสียเที่ยว ไม่มีบทกวีดี ๆ เลยสักบท มีแต่คนที่กินและดื่มกลุ่มหนึ่งเท่านั้น”

“นายท่าน อย่าได้โมโหไปเลย กวีดีกลอนดีคาดหวังได้แต่บังคับไม่ได้...ไว้ครั้งหน้าพวกเรากลับมากันใหม่”

บุรุษหน้าขาวไร้เคราพูดด้วยน้ำเสียงแหลมเล็กอย่างปลอบประโลม

ดวงตาของหนิงเฉินเป็นประกาย เมื่อเห็นการแต่งกายของคนผู้นี้ เขาเป็นคนรวย

ในตอนที่หนิงเฉินเดินผ่านทั้งสามคน จู่ ๆ เขาก็โค้งคำนับ “ท่านทั้งสามโปรดรั้งอยู่ต่อเถอะขอรับ”

พวกเขาทั้งสามหยุดฝีเท้าลง

ชายที่ดูดุร้ายและชายตุ้งติ้งคล้ายอิสตรีก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ขวางอยู่ตรงหน้าบุรุษวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงาม

หนิงเฉินรีบพูด: “อย่ากังวลไปขอรับ ข้ามิใช่คนไม่ดี... ข้าแค่อยากจะถามสักหน่อย ท่านสามคนมาซื้อบทกวีใช่หรือไม่?”

ทั้งสามมองไปที่หนิงเฉิน

หนิงเฉินมีรูปร่างผอมบาง ไม่สูง เสื้อผ้าบนตัวถูกซักจนขาวซีด ดูเหมือนบัณฑิตตกต่ำมากกว่า

บุรุษวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์งดงามถามขึ้น: “ทำไมรึ เจ้ามีบทกวีจะขาย?”

หนิงเฉินพยักหน้า “ข้าเชี่ยวชาญบทกวีโคลงกลอน ท่านต้องการอะไรหรือ? แค่พูดออกมา...หากไม่พอใจไม่คิดเงิน”

บุรุษวัยกลางคนหัวเราะขึ้นมา “ยังไม่โตเลย แต่น้ำเสียงไม่เด็กเสียแล้ว!”

หนิงเฉินตบหน้าอกตนและรับปาก “ข้าบอกท่านแล้ว หากไม่พอใจก็ไม่คิดเงิน...หรือว่า พวกท่านจะลองลิ้มรสดูก่อน คิดว่าดีค่อยซื้อก็ได้”

“คนอย่างข้าหากเจรจาค้าขาย ก็จะยึดเอาความยุติธรรมเป็นหลัก ไม่หลอกลวงแม้กระทั่งเด็ก!”

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status