แชร์

บทที่ 11

“พ่อบ้านอู๋ เข้ามาได้!”

หนิงเฉินตะโกนเรียกพ่อบ้านอู๋ให้เข้ามา หลังจากกระเพาะปัสสาวะที่อัดแน่นแทบระเบิดได้ปลดปล่อยออกมา

พ่อบ้านอู๋เดินเข้ามาอย่างอ่อนน้อม ส่วนด้านหลังยังมีสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มยกถ้วยยาตามเข้ามาด้วย

“คุณชายสี่ ยาต้มเสร็จแล้ว...ไม่ทราบว่ายังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?”

หนิงเฉินฝืนทนความเจ็บปวด นั่งเอนตัวพิงกับหัวเตียง แล้วพูดว่า “นำกระโถนไปเทให้ข้าที”

พ่อบ้านอู๋เงยหน้าขึ้นมองเขา หนังหน้ากระตุก

“มีสิ่งใดรึ หรือจะให้ข้าไปเทเอง?”

พ่อบ้านอู๋รีบเอ่ยขึ้นว่า “มิกล้า บ่าวจะไปเทเดี๋ยวนี้”

เขาเดินเข้ามา และหยิบกระโถนด้วยสีหน้ารังเกียจเดินออกไป ดวงตาฉายแววอำมหิต

หนิงจื้อหมิงจู่ ๆ ก็มีท่าทีต่อหนิงเฉินที่เปลี่ยนไป เขาจึงไม่กล้ารังแกหนิงเฉินตามอำเภอใจเหมือนแต่ก่อน

จะไม่ให้เจ้าลูกนอกคอกคนนี้ได้รับความโปรดปรานเด็ดขาด มิเช่นนั้นวันข้างหน้าเขาจะต้องอยู่ลำบากแน่...พ่อบ้านอู๋คิดในใจอย่างชั่วร้าย

สาวใช้พยายามเก็บมุมปาก กลัวว่าตนจะเผยยิ้มออกมา

ปกติพ่อบ้านอู๋คนนี้มักจะรังแกลูกน้องอย่างพวกนางอยู่เสมอ ทั้งเอาเปรียบและหักค่าแรงของพวกนาง ทว่าทุกคนโกรธแต่ไม่กล้าพูด...ในที่สุดวันนี้ก็มีคนจัดการกับเขา สะใจจริง ๆ

ขณะที่สาวใช้เพิ่งจะเสร็จจากการป้อนยาให้หนิงเฉิน พ่อบ้านอู๋ก็ยกถาดใบหนึ่งเข้ามา

ในถาดนั้นคืออาหารมื้อเช้า มีข้าวต้มหนึ่งชาม ซาลาเปาสองสามลูก ผักดองหนึ่งจาน และยังมีไข่ต้มอีกสองฟอง

พ่อบ้านอู๋วางถาดไว้บนม้านั่งทรงกลมที่อยู่ข้างเตียงแล้วพูดว่า “คุณชายสี่ เชิญรับประทานอาหารนะขอรับ”

หนิงเฉินมองดูเขา

พ่อบ้านอู๋ใบหน้าแสร้งยิ้ม

หนิงเฉินก็ยิ้มออกมา พลางเอื้อมมือออกไปหยิบไข่มาสองฟอง แล้วพูดว่า “ข้าไม่ค่อยอยากอาหาร ไข่สองฟองนี้ก็พอแล้ว...ส่วนที่เหลือพ่อบ้านอู๋ช่วยข้ากินแล้วกัน”

พ่อบ้านอู๋สีหน้าตะลึงงัน

เขาแก้แค้นหนิงเฉินที่ใช้ให้เขาไปเทกระโถน เมื่อครู่จึงแอบถ่มน้ำลายลงในชามข้าวต้ม อีกทั้งยังใช้มือที่เทกระโถนนั้นจับซาลาเปา พร้อมกับคนข้าวต้มในชาม

ส่วนจานผักดองนั้น เขายังหยิบเศษดินใต้พื้นรองเท้าใส่เข้าไปด้วย

มีเพียงไข่ต้มที่เขาไม่ได้ทำสิ่งใด แต่หนิงเฉินกลับเลือกไปสองใบ

หรือว่าหนิงเฉินจะรู้ว่าเขาทำสิ่งใดลงไป?

พ่อบ้านอู๋รู้สึกร้อนตัวขึ้นมาในทันที

หนิงเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องมองพ่อบ้านอู๋ และสังเกตปฏิกิริยาของเขา

เมื่อเห็นสายตาว่อกแว่กของเขาก็รู้ทันทีว่าตนเองเดาถูก ในอาหารเช้ามื้อนี้จะต้องใส่ส่วนผสมอย่างอื่นเพิ่มมาด้วย

เหตุผลที่เขาหยิบไข่มาเพียงสองฟอง เพราะไข่ต้องปอกเปลือก พ่อบ้านอู๋ไม่มีทางทำมิดีมิร้ายแน่

“นี่เป็นอาหารเช้าของคุณชายสี่ บ่าวไม่มีสิทธิ์กินขอรับ…คุณชายสี่ถึงจะไม่ค่อยอยากอาหาร แต่ก็ควรกินให้เยอะหน่อย อาการบาดเจ็บจะได้หายเร็วขึ้น!”

หนิงเฉินตรวจดูไข่ในมือว่ามีรอยแตกหรือไม่ ถ้ามีเขาก็จะไม่กิน เขาพลางเอ่ยไปเรื่อยเปื่อยว่า:

“พ่อบ้านอู๋ นี่คือรางวัลที่ข้าให้เจ้า กินอาหารในจานให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่คำเดียวเลย”

พ่อบ้านอู๋เอาแต่ส่ายหัวและพูดว่า “บ่าวขอบคุณคุณชายสี่ บ่าวกินอาหารเช้าแล้ว กินไม่ไหวแล้วขอรับ”

หนิงเฉินพลางปอกเปลือกไข่ พลางยิ้มและถามว่า: “พ่อบ้านอู๋ เจ้าคิดว่าระหว่างเราใครเป็นนาย? และใครเป็นบ่าว?”

“แน่นอนว่าคุณชายสี่เป็นนาย บ่าวเป็นบ่าวรับใช้”

“พูดได้ดี! เช่นนั้นบ่าวรับใช้ควรจะเชื่อฟังนายหรือไม่?”

พ่อบ้านอู๋รีบพูดขึ้นว่า: “แน่นอนว่าบ่าวรับใช้ก็ต้องเชื่อฟังนาย”

“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าขอสั่งให้เจ้ากินอาหารในจานให้หมดเดี๋ยวนี้...ถ้าเจ้าไม่กินถือว่าขัดคำสั่งของนาย ตามกฎของจวนจะต้องถูกโบยยี่สิบครั้ง”

พ่อบ้านอู๋ใบหน้าเขียวคล้ำ

หนิงเฉินแสดงสีหน้าเคร่งขรึม ตะคอกด้วยเสียงดุดันว่า: “ยังไม่รีบกินอีกรึ?”

พ่อบ้านอู๋ตกใจรีบพูดขึ้นว่า: “ข้าน้อยกิน บ่าวจะกินเดี๋ยวนี้...”

เขาหยิบซาลาเปาขึ้นมา ใบหน้าดูพะอืดพะอม

หากรู้แต่แรกก็คงไม่เติมสิ่งอื่นลงไป หาเรื่องใส่ตัวเองแท้ ๆ

ขณะที่พ่อบ้านอู๋กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั้น หนิงจื้อหมิงก็เดินเข้ามา

เขาเพิ่งเสร็จจากการเข้าเฝ้าถวายรายงาน บนตัวยังคงสวมชุดขุนนาง

“เฉินเอ๋อร์ วันนี้รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่?”

หนิงจื้อหมิงสีหน้ายิ้มแย้ม ราวกับบิดาผู้มีความเมตตาคนหนึ่ง

หนิงเฉินกลับรู้สึกคลื่นเหียน ไข่ต้มในมือไม่น่ากินขึ้นมาทันที

“นายท่านกลับมาแล้ว? คุณชายสี่เพิ่งดื่มยาเข้าไป สีหน้าดีขึ้นมาก...ท่านคุยกันต่อเถิด บ่าวขอตัวออกไปก่อน”

“พ่อบ้านอู๋ เจ้ายังไม่ได้กินอาหารเลย”

หนิงเฉินชี้ไปที่ถาดอาหาร เจ้าแก่นี่ยังคิดจะหนีรึ? ไม่มีทางหรอก

พ่อบ้านอู๋บ่นคร่ำครวญว่า: “นายท่าน บ่าวกินมื้อเช้ามาแล้ว แต่คุณชายสี่บอกว่าเขาไม่ค่อยอยากอาหาร ยืนกรานจะให้บ่าวกินอาหารเหล่านี้ให้หมด...บ่าวกินไม่ไหวจริง ๆ ขอรับ”

หนิงจื้อหมิงมองไปทางหนิงเฉิน ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล: “เฉินเอ๋อร์ เจ้ากำลังบาดเจ็บอยู่ กินให้มากหน่อยจะได้หายเร็วขึ้น!”

“ข้ากินน้อย ไข่สองฟองก็พอแล้ว…ที่เหลือก็ให้พ่อบ้านอู๋กินเถอะจะได้ไม่เสียของ”

หนิงจื้อหมิงพยักหน้าและพูดว่า “เฉินเอ๋อร์กินน้อย ถ้าเช่นนั้นพ่อบ้านอู๋ก็กินที่เหลือไปเถอะ”

พ่อบ้านอู๋ชะงัก

สีหน้าของเขาดูขมขื่น “ขอรับ!”

เขาไม่กล้าเพิกเฉยคำพูดของหนิงจื้อหมิง

“ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะยกไปกิน!”

หนิงเฉินฉวยจังหวะพูดขึ้นว่า: “ไม่ต้องไป กินที่นี่เลย... การดูคนอื่นกินก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง”

พ่อบ้านอู๋รู้ว่าตนเองหนีไม่รอดแล้ว

เขาทำได้แค่ฝืนไม่ให้อาเจียนออกมา เริ่มต้นกินเข้าไป...ท่าทางดูทรมานยิ่งกว่าตอนที่หนิงเฉินกินยาเสียอีก

หนิงเฉินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย มองไปทางหนิงจื้อหมิง “ท่านเสนาบดีเพิ่งเสร็จจากการเข้าเฝ้า คงยังไม่ได้กินอะไร? จะกินสักหน่อยหรือไม่?”

หนิงจื้อหมิงตกใจเล็กน้อย มองไปทางพ่อบ้านอู๋ สายตามีประกายวูบหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหัว

พ่อบ้านอู๋ข่มความพะอืดพะอม และกินอาหารในจานจนหมด

“นายท่าน คุณชายสี่ บ่าวขอตัวก่อน!”

หนิงจื้อหมิงโบกมือ

“เดี๋ยวก่อน!” หนิงเฉินจู่ ๆ ก็ตะโกนห้ามเขา “พ่อบ้านอู๋ พูดขอบคุณสักหน่อยสิ!”

พ่อบ้านอู๋โกรธจนแทบจะกัดฟันกรามให้แตก ทว่าต้องแสร้งทำเป็นสีหน้ายิ้มแย้ม “ขอบคุณคุณชายสี่สำหรับรางวัล!”

“ไม่เป็นไร! พ่อบ้านอู๋ต้องลำบากดูแลข้า ถ้ามีอาหารดี ๆ อีก ข้าจะเก็บเอาไว้ให้เจ้า”

พ่อบ้านอู๋หนังหน้ากระตุก “ขอบคุณคุณชายสี่ บ่าวขอตัว!”

เมื่อพ่อบ้านอู๋ออกมาก็รีบวิ่งไปที่แปลงดอกไม้ทันที พร้อมทั้งอาเจียนออกมา

หนิงเฉินมองไปทางหนิงจื้อหมิง “ท่านเสนาบดีเพิ่งเสร็จจากการเข้าเฝ้าก็แวะมาเลย หรือมีข่าวดีอะไรจะบอกข้ารึ? เช่นว่า...อนุญาตให้ข้าออกจากจวนสกุลหนิงได้แล้ว?”

สีหน้าของหนิงจื้อหมิงเคร่งขรึม “เฉินเอ๋อร์ หลายปีมานี้แม้ข้าจะไม่ได้ดูแลเจ้า แต่ข้าก็ยังเป็นพ่อของเจ้า คนในสายเลือดย่อมสำคัญกว่าคนนอกเสมอ พ่อจะทนเห็นเจ้าเร่ร่อนอยู่ตามถนนได้อย่างไร? ดังนั้นต่อไปอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีก”

“ถ้าเช่นนั้นท่านเสนาบดีมาที่นี่เพื่อเหตุใด? หรืออยากมาดูว่าข้าตายแล้วหรือไม่?”

หนิงจื้อหมิงโมโหอย่างหนัก: “ลูกทรพี เจ้าจะพูดดี ๆ หน่อยไม่ได้รึ? จะต้องประชดประชันให้ได้ ข้าเป็นพ่อของเจ้า เจ้ารู้จักคำว่ากตัญญูหรือไม่?”

หนิงเฉินยิ้มเยาะ

“ท่านเสนาบดีน่าขันเสียจริง ก่อนหน้านี้ข้าพยายามทำทุกวิถีทางให้พวกท่านพอใจ สุนัขในบ้านกัดข้า ข้ายังต้องขอโทษมัน...ขอถามหน่อยว่าพวกท่านมีใครเคยเห็นข้าอยู่ในสายตาบ้าง?”

“ตอนนี้ท่านเสนาบดีต้องการลูกชายที่กตัญญู มันไม่สายเกินไปหรือ...หนิงเฉินที่อดทนอดกลั้นผู้นั้นได้ตายไปแล้ว” ใบหน้าของหนิงจื้อหมิงเขียวคล้ำ

“เฉินเอ๋อร์ พ่อเป็นขุนนางใหญ่ขั้นสองของราชสำนัก งานราชกิจรัดตัว จึงละเลยการดูแลเจ้า ต่อไปพ่อจะชดเชยให้เจ้าอย่างดีแน่นอน”

“ข้ารู้ว่าในใจเจ้ารู้สึกโกรธเคือง แต่เจ้าก็ควรเข้าใจความยากลำบากของพ่อด้วย”

หนิงเฉินเยาะเย้ยในใจ เข้าใจท่านเรื่องใด? เข้าใจว่าท่านเป็นคนไร้มโนธรรม ทอดทิ้งภรรยากับลูก? หรือเข้าใจว่าท่านไม่สมควรเป็นพ่อคน เพราะไม่เคยแยแสบุตรชายของตน?

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status