แชร์

บทที่ 15

หนิงจื้อหมิงรู้ว่าหนิงเฉินแอบหนีออกไปก็โมโหอย่างมาก

เขากังวลว่าหนิงเฉินจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ออกไปพูด หากไปถึงหูฮ่องเต้จะต้องเดือดร้อนแน่!

หนิงจื้อหมิงรออยู่นาน ไม่ทันเจอหนิงเฉิน ทว่าทันเจอขันทีที่มาแจ้งให้เข้าวัง

เมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงเรียกตัวเขาให้เข้าวัง หนิงจื้อหมิงใจเต้นระส่ำระสาย เริ่มกระวนกระวาย!

เขาแอบยัดเงินให้ขันทีที่มาแจ้งเรื่อง เพราะอยากรู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงเรียกพบเขา?

ทว่าขันทีรับเงินไปแล้วแต่กลับไม่รู้เรื่องอันใดเลย ...ที่จริงแล้วเขาก็ไม่รู้เรื่องจริง ๆ

หนิงจื้อหมิงติดตามขันทีผู้นั้นมาที่ห้องทรงพระอักษรในวังหลวง

เฉวียนกงกงกำลังยืนอยู่ที่ประตู มองเขาเหมือนมีเลศนัย

หนิงจื้อหมิงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงรีบคุกเข่าลงและเอ่ยเสียงดังว่า “กระหม่อมหนิงจื้อหมิง ถวายบังคมฝ่าบาท!”

“ชู่ว์...ใต้เท้าหนิง ฝ่าบาทจัดการงานราชกิจอยู่ อย่าส่งเสียงดัง ท่านรอไปก่อน!”

หนิงจื้อหมิงทำได้แค่คุกเข่ารออยู่นอกประตู

เขาต้องการสอบถามเรื่องราวจากปากเฉวียนกงกง ทว่าเฉวียนกงกงกลับหันหลังแล้วเดินเข้าไปด้านใน

หนิงจื้อหมิงคุกเข่านานกว่าสองชั่วยาม

เขาเป็นขุนนางบุ๋น ร่างกายบอบบางและอ่อนแอ หัวเข่าเริ่มปวด ดวงตาพร่ามัว ทรมานราวกับเอวแทบจะขาดออกจากตัว

ทว่าฮ่องเต้ทรงยังไม่เรียกให้เข้าเฝ้า เขาจึงต้องคุกเข่าต่อไป

จนกระทั่งตอนที่เขาเกือบทนไม่ไหว เฉวียนกงกงจึงออกมา

“ใต้เท้าหนิง ตามข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้!”

หนิงจื้อหมิงพยายามลุกขึ้นยืน ขาทั้งสองข้างมีอาการสั่น พอคุกเข่านานแล้วรีบลุกขึ้นยืน เลือดลมจึงติดขัด ตาพร่ามัวจนเกือบจะล้มลง

เขาพยายามทรงตัวร่างอันแก่ชราให้อยู่นิ่ง

การไม่ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชสำนักย่อมถือเป็นการไม่เคารพ

เขาเดินตัวสั่นเข้าไปในห้องทรงพระอักษร คุกเข่าคำนับอีกครั้ง และเอ่ยเสียงดังว่า: “กระหม่อมหนิงจื้อหมิง ถวายบังคมฝ่าบาท!”

ฮ่องเต้ทรงละสายตาจากสาส์นกราบทูลในมือ และเปลี่ยนมามองที่เขาด้วยสายตาเยือกเย็น

หน้าผากของหนิงจื้อหมิงปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น

ฮ่องเต้ไม่ยอมให้เขาลุกขึ้น นั่นเป็นสัญญาณอันตราย

“ท่านใต้เท้า ท่านคิดว่าเราใจดีเกินไปหรือไม่?”

หนิงจื้อหมิงประหลาดใจและงุนงง เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า: “ฝ่าบาททรงเป็นกษัตริย์ที่มีความเมตตาและความชอบธรรม ทั้งการปกครองและการทหารไม่มีใครเทียบได้ ราษฎร...”

เขายังเอ่ยไม่จบ ฮ่องเต้กลับทรงแค่นเสียงอย่างเย็นชา!

“กษัตริย์ที่มีความเมตตาและความชอบธรรมหรือ? เจ้าหมายถึงเราใจดีเกินไป ดังนั้นพวกเจ้าจึงกล้าขัดคำสั่งอย่างนั้นรึ?”

หนิงจื้อหมิงในสมองมึนงง ไม่รู้จะตอบเช่นไร?

เสียงดังปัง!

สาส์นกราบทูลในมือฮ่องเต้ถูกโยนลงบนโต๊ะทรงงานอย่างแรง

“ท่านใต้เท้า เราให้เจ้าปฏิบัติต่อหนิงเฉินอย่างดี แล้วเจ้าทำอย่างไร?”

“เหตุใดเขาจึงได้รับบาดเจ็บสาหัส นอนติดเตียงอยู่เป็นเดือน?”

หนิงจื้อหมิงตกใจแทบสิ้นสติ

เรื่องนี้เขาพยายามปิดข่าวแล้ว แต่ฮ่องเต้ทรงทราบได้อย่างไร?

หรือในจวนมีสายลับที่เป็นศัตรูฝ่ายตรงข้ามคอยสอดแนมอยู่?

ฮ่องเต้ทรงตรัสด้วยความโมโหว่า “ที่จวนสกุลหนิงของเจ้า หนิงเฉินบาดเจ็บสาหัส เงินหาย เสื้อผ้าชุดใหม่ถูกชิงไป... ท่านใต้เท้า จวนสกุลหนิงเป็นจวนที่พักของเจ้า หรือเป็นรังโจรกันแน่?”

“ตั๋วเงินร้อยตำลึงนั้น ข้าเป็นคนมอบให้กับหนิงเฉิน”

เบื้องหน้าของหนิงจื้อหมิงเริ่มพร่ามัว เขาเกือบจะเป็นลมหมดสติ

ที่แท้แล้วตั๋วเงินร้อยตำลึงของหนิงเฉินก็ได้รับมาจากฮ่องเต้?

นั่นเป็นของพระราชทาน

บังอาจชิงของพระราชทาน ฝ่าฝืนคำสั่งฮ่องเต้ นี่เท่ากับโทษประหาร

บนหน้าผากของหนิงจื้อหมิงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อขนาดใหญ่เท่าเมล็ดถั่ว แผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาตัวสั่นพร้อมโขกศีรษะไม่หยุด “ฝ่าบาท โปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วย ฝ่าบาทโปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วย...”

ฮ่องเต้มองดูเขาอย่างเย็นชา

หนิงจื้อหมิงตกใจราวกับวิญญาณจะหลุดจากร่าง ทำได้เพียงโขกศีรษะร้องขอชีวิต

“พอแล้ว เจ้าคิดจะโขกหัวให้ตายอยู่ที่นี่ ให้เราถูกมองว่าเป็นคนโหดเหี้ยมอย่างนั้นรึ?”

“กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมมิกล้า...ฝ่าบาท โปรดยกโทษด้วย ฝ่าบาทโปรดยกโทษด้วย...”

......

ในเวลานี้หนิงเฉินกินจนอิ่มหนำแล้ว และกลับมาถึงกำแพงด้านนอกจวนสกุลหนิง

เขาเหยียบก้อนหินตรงมุมกำแพงแล้วกระโดดข้ามไป

ครานี้ไม่มีหนิงเม่ากับบ่าวชั่วช้าพวกนั้นมาดักรอเขาอีก

“อาไฉ อาไฉ...”

หนิงเฉินพลางตะโกนเรียก พร้อมเดินไปที่ห้องของอาไฉ

เสียงดังเอี๊ยด ประตูถูกเปิดออก

“คุณชายสี่ ท่านกลับมาแล้วหรือ? บ่าวเป็นห่วงอย่างมาก”

หนิงเฉินยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นหยิบถุงกระดาษออกมาจากใต้เสื้อคลุมของเขา “อาไฉ ดูสิว่าข้านำอาหารดี ๆ อะไรมาให้เจ้าบ้าง?”

อาไฉมองดูหนิงเฉินด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“คุณชายสี่ แม้ข้าจะเป็นบ่าว แต่ขอบังอาจแนะนำท่าน... เราไม่ควรทำสิ่งผิดกฎหมายเด็ดขาด”

ทุกครั้งที่หนิงเฉินออกไป เขาจะกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่และอาหาร

เสื้อคลุมขนสัตว์ที่อยู่บนตัวของหนิงเฉินมองดูก็รู้ว่ามีราคาแพง

หนิงเฉินยิ้มและพูดว่า “อาไฉอย่ากังวลไปเลย ข้าไม่มีทางทำสิ่งไม่ดี...เงินแต่ละตำลึงข้าได้มาอย่างสุจริต”

ขณะที่หนิงเฉินพูดก็บังเอิญมองไปเห็นห่อสัมภาระที่อยู่บนเตียง

“อาไฉ ท่านเก็บของเพราะเหตุใด?”

อาไฉเผยสีหน้าไม่สู้ดี ถอนหายใจพร้อมกับพูดว่า “คุณชายสี่ บ่าวต้องไปแล้ว ต่อไปไม่อาจดูแลท่านได้อีก”

“พอบ่าวไปแล้ว คุณชายสี่ต้องควบคุมอารมณ์ตัวเอง อย่าทำให้นายท่านโมโห...และพยายามอยู่ให้ห่างจากฮูหยินผู้นั้น”

หนิงเฉินคิ้วขมวด “เกิดอะไรขึ้น? หรือมีใครต้องการไล่เจ้าไป?”

อาไฉยิ้มพร้อมกับส่ายหัว “ไม่มีใครไล่บ่าวไป ข้าอายุมากแล้วเริ่มทำงานไม่ไหว อาจถึงเวลากลับบ้านและเกษียณตัวเองแล้ว”

“บ่าวไม่อยู่แล้ว คุณชายสี่ต้องดูแลตัวเองให้ดี”

หนิงเฉินไม่เชื่อ หากไม่มีใครไล่เขาไป อาไฉไม่มีทางจากไปอย่างแน่นอน

แม้อาไฉจะขาพิการหนึ่งข้าง แต่สุขภาพก็ยังดีอยู่ ทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว ทำอีกสองสามปีก็ไม่ใช่ปัญหา

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเห็นความอาลัยอาวรณ์ในดวงตาของอาไฉ เขายังเป็นห่วงตน

ให้ตายเถอะ มันจะต้องเป็นฝีมือของฉางหรูเยว่และบุตรชายอย่างแน่นอน

ไม่รู้เกิดจากสาเหตุใด หนิงจื้อหมิงมีท่าทีต่อเขาเปลี่ยนไปมาก...ระยะนี้ฉางหรูเยว่และบุตรชายก็ไม่กล้าแตะต้องเขา ดังนั้นจึงมาลงมือกับอาไฉแทน

ก่อนหน้านี้หนิงเม่าเคยพูดว่า จะต้องไล่อาไฉออกจากสกุลฉางให้ได้

ช่างร้ายกาจเสียจริง

“อาไฉ ฉางหรูเยว่ไล่เจ้าไปใช่หรือไม่?”

อาไฉส่ายหัว “คุณชายสี่ บ่าวต้องการไปเองจริง ๆ บ่าวแก่แล้ว อยากกลับบ้านไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”

“บ้านหลังนี้ไม่มีอะไรควรค่าให้บ่าวต้องอาลัยอาวรณ์ มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังกังวลคือท่าน คุณชายสี่...ท่านต้องปกป้องตัวเองให้ดี”

คิ้วของหนิงเฉินขมวดเข้าหากัน คนเดียวที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างดีในจวนแห่งนี้กำลังจะจากไป ในใจรู้สึกเจ็บปวด

“ทาสสุนัข เจ้าเก็บของเสร็จแล้วหรือยัง ถ้าเก็บเสร็จแล้วก็รีบไสหัวไป”

ในเวลานั้นเสียงของหนิงซิ่งดังขึ้นมาจากด้านนอก

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว อาการบาดเจ็บที่ศีรษะของหนิงซิ่งเริ่มหายเป็นปกติ

ทันใดนั้นสีหน้าของหนิงเฉินโมโหจนเขียวคล้ำ ที่แท้ฉางหรูเยว่กับบุตรชายต้องการขับไล่อาไฉไป

ทว่าอาไฉถูกไล่ออกจากจวนสกุลหนิง ทั้งหมดเป็นเพราะเขา

“สารเลว รังแกกันมากเกินไปแล้ว...”

หนิงเฉินโกรธจัด เขาหันหลังกลับและเดินไปที่ประตู...ฉวยเอาท่อนไม้ที่อยู่หลังประตูขึ้นมาแล้วเดินออกไป

“คุณชายสี่...”

อาไฉคิดจะเข้าไปขวางหนิงเฉิน แต่เขาเดินกะเผลกด้วยขาเดียว แน่นอนว่าไม่มีทางตามทัน

หนิงซิ่งกับหนิงเม่ายืนอยู่ตรงลานกว้าง พร้อมกับพาคนรับใช้มาสองสามคน

หนิงกานไม่ปรากฏตัว เพราะการสอบคัดเลือกขุนนางครั้งนี้เขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยม พรุ่งนี้ต้องเข้าไปสอบหน้าพระที่นั่ง จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม

การสอบหน้าพระที่นั่งก็คือ ฮ่องเต้จะทรงทดสอบความสามารถของพวกเขาด้วยตนเอง หากพวกเขาทำได้ดีก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางทันที

หนิงซิ่งกับหนิงเม่าเห็นหนิงเฉินออกมาพร้อมกับถือท่อนไม้ พวกเขาประหลาดใจเป็นอันดับแรก เพราะไม่คาดคิดว่าหนิงเฉินจะกลับมาแล้ว...ทั้งสองคนพลันก้าวถอยด้วยความหวาดกลัว

พวกเขาเคยพลาดท่าเพราะน้ำมือของหนิงเฉิน เงามืดของความหวาดกลัวยังฝังอยู่ในใจ

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status