“พี่รอง ทำเช่นนี้ก็เท่ากับปล่อยเจ้าลูกนอกคอกนั่นไปหรือ?” หนิงเม่าจ้องมองแผ่นหลังของหนิงเฉิน และพูดจาชั่วร้าย หนิงซิ่งเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าช่วงนี้ท่านพ่อเป็นเช่นไร? อยู่ ๆ ก็มีท่าทีต่อหนิงเฉินเปลี่ยนไปจากเดิม หากเราทำร้ายหนิงเฉิน ไม่แน่ว่าอาจจะถูกท่านพ่อตำหนิ ”“เรื่องสำคัญกว่านั้นคือ พี่ใหญ่ต้องเข้าวังไปสอบหน้าพระที่นั่งในวันพรุ่งนี้ อย่าให้เรื่องนี้ส่งผลต่อเขาเลย”หนิงเม่าพยักหน้า ลูบคลำเสื้อคลุมขนสัตว์บนตัว เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าลูกนอกคอกผู้นั้นได้เสื้อคลุมตัวนี้มาจากที่ใด? ปกคอน่าจะเป็นขนจิ้งจอก” ขนตรงส่วนที่อยู่ต่ำลงมาจากลำคอของจิ้งจอก เป็นส่วนที่อุ่นที่สุด ล้ำค่ามาก และมีราคาแพงหนิงซิ่งแค่นเสียงเย็นชา “จะต้องขโมยมาจากคนอื่นแน่นอน ลูกนอกคอกก็คือลูกนอกคอก ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ก่อนจะถูกตามตัวให้มาอยู่ที่นี่ก็เคยทำอาชีพขอทานมาก่อน เรื่องลักเล็กขโมยน้อยถือเป็นเรื่องปกติ” อีกด้านหนึ่ง หนิงเฉินพาอาไฉมาส่งที่หน้าประตูจวนเขาแอบยัดเงินให้อาไฉสี่ตำลึง ตนเก็บไว้หนึ่งตำลึง เพื่อไว้ใช้ยามจำเป็น “คุณชายสี่ สิ่งนี้...สิ่งนี้บ่าวรับไม่ได้”“รับไปเถอะ หากเจ้าไม่รั
แม่ลูกสกุลฉางสีหน้าเปลี่ยนไปฉางหรูเยว่แววตากะพริบพร้อมกับเอ่ยว่า “ท่านพี่ อาไฉออกจากจวนสกุลหนิงไปแล้วเจ้าค่ะ”“อะไรกัน? เกิดเรื่องขึ้นเมื่อใด? ทำไมข้าไม่รู้?”“ท่านพี่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ... อาไฉต้องการไปเอง เขาอายุมากแล้ว ขาแข้งเดินเหินลำบาก เขาคิดจะไปเอง ข้าก็ห้ามเขาไม่ได้ ทำได้ก็แค่ปล่อยเขาไป เขาเพิ่งจะออกไปเมื่อบ่ายวันนี้เจ้าค่ะ”หนิงจื้อหมิงขมวดคิ้ว “ไม่ใช่พวกเจ้าไล่เขาไปหรอกหรือ?”หนิงเม่ารีบเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ อาไฉต้องการไปเองจริง ๆ...ท่านแม่พยายามรั้งเขาไว้ แต่เขายืนกรานที่จะไป”“ก่อนออกไป ท่านแม่ยังให้เงินเขาไปบางส่วนด้วย”หนิงจื้อหมิงเหลือบมองหนิงเม่า พร้อมถอนหายใจ และก้มลงจิบน้ำชา...ทันใดนั้น เขาก็หยุดชะงัก และเงยหน้าขึ้นมองไปทางหนิงเม่า เหตุใดเสื้อคลุมบนตัวหนิงเม่าถึงดูคุ้นตานัก?หนิงจื้อหมิงพยายามนึกว่าเคยเห็นเสื้อคลุมนี้ที่ใด?ทันใดนั้นใบหน้าของเขาพลันซีดเผือดราวกับกระดาษ ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว มือกลับยิ่งสั่นจนถ้วยน้ำชาในมือหล่นลงพื้นจนแตกกระจายเขาลุกขึ้นยืนทันที และจ้องมองหนิงเม่า “เสื้อคลุมบนตัวเจ้าได้มาจากที่ใด?”หนิงเม่ารู้สึกผิดขึ้นมาทันที รีบมองไปทางฉ
หนิงซิ่งกับหนิงเม่าตกใจกลัวจนวิญญาณแทบหลุดจากร่างฉางหรูเยว่ก็ตกใจกลัวเช่นกัน สีหน้าซีดเผือด...แต่ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหานางเป็นคนที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับหนิงจื้อหมิง ไม่มีใครจะเข้าใจบุรุษผู้นี้ดีไปกว่านางหนิงจื้อหมิงรู้จักควบคุมลมปราณ น้อยครั้งนักจะเกิดอารมณ์โมโห...แต่ในเวลานี้เขากลับควบคุมตัวเองไม่ได้ นั่นแสดงว่าเสื้อคลุมตัวนี้มีที่มาไม่ธรรมดา“ซิ่งเอ๋อร์ เม่าเอ๋อร์ พูดความจริงมา”เสื้อคลุมตัวนี้พวกเขาชิงมาจากหนิงเฉิน หากเกิดเรื่องขึ้นจริง ก็แค่โยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับเขาหนิงเม่าพูดด้วยความกลัวจนตัวสั่น:“ท่านพ่อใจเย็นก่อน เสื้อคลุมตัวนี้หนิงเฉินมอบให้ข้า”ในสมองของหนิงจื้อหมิงมึนงง!วันนี้หนิงเฉินออกไปข้างนอก จากนั้นยังนำเสื้อคลุมตัวนี้กลับมา ส่วนเขากลับถูกฮ่องเต้เรียกไปว่ากล่าวตักเตือนนั่นหมายความว่าวันนี้หนิงเฉินออกไปพบฮ่องเต้ และฮ่องเต้ก็ทรงมอบเสื้อคลุมตัวนี้ให้กับเขาเขายังคิดไม่ออกว่าเหตุใดฮ่องเต้ทรงดีกับหนิงเฉินถึงเพียงนี้?แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือเจ้าลูกโง่สองคนนี้ชิงของพระราชทานมา และยังสวมลงบนตัวด้วยหนิงเฉินจะมอบให้เขาได้อย่างไร?
ฉางหรูเยว่รีบเข้าไปขัดขวาง …… ณ พระราชวัง ในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้เสวียนวางพู่กันลง บนกระดาษเขียนแผนการสามข้อของหนิงเฉินไว้ ฮ่องเต้เสวียนยิ่งอ่านก็ยิ่งพึงพอใจ “ด้วยแผนการสามข้อนี้ จะช่วยให้ประชาชนตามแนวชายแดนปลอดภัยไร้กังวลตลอดฤดูหนาวปีนี้” เฉวียนกงกงรีบกล่าวชมว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถและทรงพลานุภาพ การที่พระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองประชาชนนั้น เป็นความสุขของปวงชนแล้ว” “อย่ามายกยอ แผนการนี้ล้วนเป็นผลงานของหนิงเฉิน...หากมีลูกก็ขอให้เป็นอย่างหนิงเฉินเถอะ” “ว่าแต่ คนที่ข้าให้ไปถ่ายทอดพระราชโองการกลับมาหรือยัง?” เฉวียนกงกงรีบตอบ “กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้พยักตอบอืมเสียงหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วมุ่น “หนิงจื้อหมิงผู้นี้ช่างเลอะเลือนเสียจริงๆ หนิงเฉินมีความสามารถระดับจอหงวน แต่เขากลับมองข้าม” “หากไม่ให้บทเรียนแก่เขา เขาคงจะคิดว่าเราไม่มีโทสะเสียแล้ว” หลังจากหนิงจื้อหมิงจากไป เขายิ่งคิดก็ยิ่งโมโห สุดท้ายก็ทรงมีพระราชโองการลงโทษโดยตรง เขาคิดว่าแค่ตำหนิคงไม่พอที่จะทำให้หนิงจื้อหมิงสำนึกได้ ฮ่องเต้เสวียนตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “เนี่ยเหลียง?” เนี่ยเหลียงรีบก้
“เฉินเอ๋อร์ พ่อเข้าใจเจ้าผิดไป... ตั๋วเงินร้อยตำลึงนี้เป็นของเจ้าจริงๆ” “และเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวนี้ด้วย พี่สามของเจ้าแค่ล้อเล่นกับเจ้าเล่น ไม่มีทางจะเอาของเจ้าไปจริง ๆ หรอก” หนิงจื้อหมิงยื่นเสื้อคลุมให้ พร้อมกับวางตั๋วเงินใบหนึ่งไว้ ซึ่งก็คือใบที่หนิงกานเคยแย่งไป หนิงเฉินไม่ได้รับไว้ แต่กลับมองพวกเขาด้วยสายตาแปลก ๆ... คนพวกนี้หัวกระแทกประตูมาหรืออย่างไร? ของที่แย่งไป กลับเอามาคืนให้เขาเฉย ๆ “พวกเจ้าตัวดีทั้งสาม ยังไม่รีบขอโทษน้องสี่อีก?” หนิงจื้อหมิงหันไปตะคอก พวกหนิงกานทั้งสามคนแสดงสีหน้าไม่พอใจ โดยเฉพาะหนิงซิ่งและหนิงเม่า ที่เกลียดจนอยากจะบีบคอหนิงเฉินให้ตายได้...เพราะไอ้ลูกนอกสมรสคนนี้ทำให้พวกเขาสองคนต้องโดนตีไปสองรอบในวันนี้ แต่เพราะคำพูดของหนิงจื้อหมิง พวกเขาจึงไม่กล้าขัด หนิงกานพูดด้วยสีหน้ามืดมนว่า “น้องสี่ วันนั้นพี่ใหญ่แค่ล้อเจ้าเล่นเอง ถ้าเจ้าได้รับบาดเจ็บ พี่ใหญ่ต้องขอโทษเจ้าด้วย หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา” ฟนิงเฉินมองเขาด้วยความเย้ยหยันในใจ เล่นหรือ? ข้าเจ็บจนต้องนอนเตียงเป็นเดือน แล้วเจ้ามาบอกว่าแค่เล่นหรือกัน? แต่เขายังไม่เข้าใจว่าเจ้าพวกนี้คิดจะทำ
ที่จริงนี่คือวิธีการยืดเวลาออกไปของเขา เพื่อทำให้หนิงเฉินสงบลงก่อน “ท่านเสนาบดีหนิง หากไม่มีธุระอะไรแล้ว ก็เชิญกลับเถอะ!” หนิงจื้อหมิง ข่มความโกรธไว้แล้วพา พวกหนิงกานทั้งคนจากไป “ให้ตายสิ...โรคจิตชัด ๆ!” หนิงเฉินสบถออกมาคำหนึ่ง ทันใดนั้น เขาเก็บตั๋วเงินและเสื้อคลุมขนสัตว์ แล้วนั่งลงที่โต๊ะหนังสือ พรุ่งนี้เขาตั้งใจจะไปเยี่ยมแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน จะไปมือเปล่าก็คงไม่ได้ แต่เขาก็ไม่มีของมีค่าอะไรจะให้ จึงตั้งใจจะเขียนบทกวีให้แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินสักบทหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเขียนกี่บทก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสม สุดท้ายเลยต้องล้มเลิกไป ช่างเถอะ พรุ่งนี้ตอนไปค่อยไปซื้อของขวัญน่าจะดีกว่า ...... วันต่อมา หนิงเฉินออกจากไปบ้านหลังกินอาหารเช้าเสร็จ เมื่อมาถึงจวนแม่ทัพ เขาจัดแจงเสื้อผ้าที่แต่งให้เรียบร้อย แล้วเดินไปเคาะประตู เสียงดังเอี๊ยดเสียงหนึ่ง! ประตูสีแดงสดถูกเปิดออก มีชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ กลิ่นอายทั้งตัวเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งดุดัน คนนี้น่าจะเคยออกรบมาแล้ว หนิงเฉินประสานมือคารวะแล้วพูดว่า “ข้าคือหลันซิง ขอเข้าพบแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน รบกวนไปรายงานสักหน่อย!” “เจ้าคือหลั
“ไม่นึกเลยว่าเราจะได้พบคุณชายหลันตัวเป็น ๆ” “ไม่นึกว่าคุณชายหลันจะอายุน้อยขนาดนี้ แต่กลับสร้างสรรค์ผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้ เก่งมากจริง ๆ!” “มาเร็ว ทุกคนมาขอบคุณคุณชายหลันพร้อมกัน!” ชายหนุ่มร่างกายบึกบึนหลายสิบคนล้อมหนิงเฉินไว้ พวกเขาพร้อมใจกันประสานมือคำนับ แล้วพูดขึ้นพร้อมกันว่า “ขอบคุณคุณชายหลัน!” หนิงเฉินรู้สึกกระอักกระอ่วนจนเท้าจิกพื้น วิธีการขอบคุณนี้ช่างพิเศษเกินไปแล้ว “ทุกคนไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้...ข้าเพียงแค่เคารพนับถือแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน เลยแต่งบทกวีนั้นขึ้นมา” หนิงเฉินพึ่งพูดจบ ก็มีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน? เขาปฏิบัติต่อแขกกันเช่นนี้หรือ?” หนิงเฉินหันไปมองก็พบว่าเป็นแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน ชายวัยกลางคนคนก่อนหน้านี้พูดขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพผู้เฒ่า คุณชายหลันได้ใช้บทกวีช่วยคลายปมในใจของท่านแล้ว พวกเราจึงขอบคุณเขาอยู่” “พวกเจ้ากลับไปฝึกเสีย...วิธีขอบคุณแบบนี้ อย่าได้ทำให้เขาตกใจอีก” กลุ่มคนต่างกระจายตัวออกไป ส่วนหนิงเฉินก็รีบเดินเข้าไปคารวะ “หลันซิงขอคารวะแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน!” “ไม่ต้องเกรงใจ!” แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินพูดพลางหัวเราะ “บาดแผลหายดีแล้วหรือ?” “ข
“คุณชายหลัน ตอนเที่ยงอย่าเพิ่งกลับนะ...ข้าจัดงานเลี้ยงไว้แล้ว อยู่ดื่มเป็นเพื่อนข้าสักสองสามจอก!” หนิงเฉินประสานมือ “หลันซิงน้อมรับคำสั่ง!” จวนแม่ทัพครอบครองพื้นที่กว้างขวาง มีสนามฝึกซ้อมโดยเฉพาะ ที่กล้าเลี้ยงทหารส่วนตัวในเมืองหลวงนอกจากฮ่องเต้เสวียนแล้ว ก็มีเพียงแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินเท่านั้น เพียงแต่เหล่าทหารพวกนี้ล้วนมีรายชื่อจดทะเบียน เป็นอดีตทหารของแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน จำนวนก็ไม่มากนัก หนิงเฉินเดินตามฉีหยวนจงมายังสนามฝึก เมื่อครู่เขาถามแล้วว่าเขาแซ่ฉี ชื่อเต็มว่าฉีหยวนจง ในสนามฝึก มีชายหนุ่มร่างกายกำยำหลายคนที่มีรูปร่างบึกบึน เปลือยท่อนบน จนเห็นกล้ามเนื้อปูดโปน แบกท่อนไม้ไว้และวิ่งวนรอบสนามฝึก มีเหงื่อไหลโซมกาย หนิงเฉินรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปมีชีวิตเหมือนอยู่ในค่ายทหารสมัยก่อน “คุณชายหลัน ท่านวิ่งตามพวกเขาไปก่อน เพื่ออบอุ่นร่างกาย” “ได้!” หนิงเฉินไม่พูดมาก เขาถอดเสื้อคลุมขนสัตว์พับเก็บไว้อย่างดี แล้วถอดเสื้อตัวบางด้านในออก เผยให้เห็นร่างหารท่อนบนที่ผอมบาง หนิงเฉินมองรูปร่างของตัวเอง ซึ่งผอมซูบเหมือนโครงกระดูก จึงมีท่าทีตะขิตตะขวงใจเล็กน้อย ฉีหยวนจงหัวเราะ “คุณชายห